ลานนวดข้าวของโอรนัน ๒๑-๕

1 พงศาวดาร 21:19-22:1

ไปสร้างแท่นบูชาที่ลานนวดข้าวของท่านโอรนันรึ?

ราชาดาวิดพร้อมที่จะทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าทรงบัญชา  พระองค์จะไม่ขัดพระทัยพระเจ้าอีกแล้ว  ดังนั้น ราชาดาวิดจึงเสด็จไปบ้านของท่านโอรนัน

ขณะนั้น ท่านโอรนันกำลังดูแลคนงานนวดข้าวอยู่  แต่เมื่อหันมา ก็เห็นทูตสวรรค์

“โอ๊ะ! ท่านทูตสวรรค์ของพระเจ้า”  ท่านโอรนันอุทานด้วยความตกใจ

ทำให้ลูกชายของท่านทั้ง 4 คนที่อยู่ในลานนั้น รีบวิ่งไปซ่อนตัว  พวกเขากลัวว่า ทูตสวรรค์จะมาสังหารพวกเขา

ดังนั้น เมื่อราชาดาวิดมาถึง จึงพบท่านโอรนันคนเดียว   ท่านออกมาต้อนรับพระราชา ก้มลง ซบหน้าลงดินถวายความเคารพ

“ขอพระราชาจงทรงพระเจริญพะยะค่ะ”

“ท่านโอรนัน… “ ราชาดาวิดตรัสทันควัน  “ขอท่านให้ลานนวดข้าวนี้แก่เราเถอะนะ  ให้ท่านคิดเต็มราคา เพื่อว่าเราจะสร้างแท่นบูชาถวายพระเจ้า และภัยพิบัติจะได้จบสิ้นไป  ไม่ทำให้ประชาชนต้องเดือดร้อนอีก”

“ขอพระราชาทรงใช้ที่ดินนี้เถิดพะยะค่ะ  ทรงรับไปและทำทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นว่าดี  และข้าพระบาทขอถวายวัว สำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา ถวายฟืน  ถวายข้าวสาลีเป็นธัญญบูชา   ข้าพระบาทขอถวายทั้งหมดเลยพะยะค่ะ”

“ไม่ได้  ท่านทำอย่างนั้นไม่ได้”   ราชาดาวิดทรงค้าน “เราจะเอาของท่านมาถวายพระเจ้า และถวายเครื่องเผาบูชาโดยไม่เสียค่าอะไรเลยนั้น ไม่ถูกต้องนะท่าน   คิดราคามาเถอะ  เราจะจ่ายตามราคาเต็ม”

ท่านโอรนันเข้าใจสิ่งที่พระราชาตรัสทันที… จริงซินะ  จะถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ต้องนำจากสิ่งที่ตนเองมี ไม่ใช่ไปเอาของคนอื่นมาถวาย

ดังนั้น ราชาดาวิดจึงได้จ่ายค่าที่ดิน เป็นทองคำ 600 เชเขล    จากนั้น ราชาดาวิดก็สั่งให้คนมาสร้างแท่นบูชา และเมื่อทำเสร็จก็ได้ถวายเครื่องบูชา  เครื่องศานติบูชาด้วย

พระเจ้าทรงตอบมาจากสวรรค์ทันที  เป็นไฟมาจากสวรรค์ และพระเจ้าก็ทรงสั่งให้ทูตสวรรค์เอาดาบเก็บเสีย

เมื่อพระเจ้าทรงตอบเช่นนั้น ราชาดาวิดก็ถวายสัตวบูชาด้วย   จริง ๆ แล้วสถานที่ซึ่งพระราชาจะถวายเครื่องบูชาอยู่ที่เมืองกิเบโอน  แต่เมื่อพระเจ้าทรงให้ราชาดาวิดสร้างแท่นบูชาที่นี่

พระองค์จึงทรงเข้าพระทัยว่า ที่นี่จะเป็นที่สร้างพระวิหารของพระเจ้า ……

 

คำสารภาพของพระราชา ๒๑-๔

1 พงศาวดาร 21:16-18

พระเจ้าทรงเปลี่ยนพระทัยที่จะไม่สังหารคนในนครเยรูซาเล็มด้วยโรคระบาด  ทั้ง ๆ ที่ทูตสวรรค์ซึ่งตอนนั้นกลายเป็นทูตมรณะกำลังมาอยู่เหนือ

นครดาวิดแห่งนี้….

ขณะนั้นเอง ราชาดาวิดทรงเงยขึ้นไป ก็เห็นทูตอยู่ระหว่างโลกและฟ้าสวรรค์…. มีดาบอยู่ในมือ ส่วนผู้ใหญ่ของนครก็กำลังซบหน้าลง  พวกเขารอว่า ใครเป็นคนต่อไปที่จะถูกสังหาร

แต่ราชาดาวิดอธิษฐานต่อพระเจ้าทันที  พระองค์ไม่ทรงทราบว่า พระเจ้าทรงห้ามทูตนั้นไว้


“พระเจ้าข้า    ข้าทาสเป็นคนที่สั่งให้นับประชาชนมิใช่หรือ
ข้าทาสเอง เป็นผู้ที่ทำบาปร้ายต่อพระพักตร์พระองค์
ข้าทาสได้ทำความชั่วมากยิ่ง
แต่บรรดาคนเหล่านี้เขาไม่ได้ทำอะไร
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าทาส
ขอพระองค์ทรงลงโทษข้าทาสและครอบครัวของข้าทาส…
แต่ขออย่าให้โรคร้ายนั้นตกลงบนประชากรของพระองค์เลยพระเจ้าข้า
ขอพระเจ้าทรงเมตตาด้วย…”

เวลานี้  ราชาดาวิดเอง ทรงตระหนักดีแล้วว่า การที่คนต้องตายมากมาย และครอบครัวจำนวนมหาศาลต้องรับโรคร้ายนี้ ก็เป็นเพราะความเย่อหยิ่ง ความภาคภูมใจไร้สาระของพระองค์นั่นเอง

และทรงยอมรับผิดอย่างลูกผู้ชายแล้ว…  พระองค์ทรงทูลขอให้พระเจ้าลงโทษพระองค์และครอบครัวแทนที่จะลงโทษผ่านไปที่ประชาชน

ทูตของพระเจ้ามาหากาด  ซึ่งเป็นผู้กล่าวคำของพระเจ้าที่อยู่ใกล้ชิดพระราชา  แจ้งแก่กาดว่า ให้ราชาดาวิดไปสร้างแท่นบูชาถวายพระเจ้าที่ลาดนวดข้าวของโอรนัน ซึ่งเป็นคนชาวเยบุส….

พระเจ้าทรงให้โอกาสดาวิดได้สารภาพบาปและถวายเครื่องบูชา  … พระเจ้าทรงหาหนทางให้พระราชาได้ทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ แต่… ราชาดาวิดจะทรงทำหรือเปล่านะ?

 

การเลือกโทษของพระราชา ๒๑-๓

1 พงศาวดาร 21:13-15

กันดารอาหาร 3 ปี    หรือการโจมตีจากศัตรูนั่นหมายถึงสงคราม  3 เดือน หรือว่าจะเอาการมีโรคระบาดในแผ่นดิน 3 วันโดยทูตของพระเจ้าจะไปทำลายคนทั่วอิสราเอล

เป็นโทษสามอย่างที่พระเจ้าทรงให้โอกาสราชาดาวิดเลือก

ราชาดาวิดทรงคิดอย่างหนัก

กันดารอาหารถึงสามปี…. เราอาจจะต้องกลายไปเป็นทาสของประเทศรอบ ๆ  เพราะเราต้องพึ่งพาเขา  เราจะอยู่ภายใต้มือของมนุษย์    ราชวงศ์อาจจะปลอดการกันดารอาหาร  แต่ประชาชนจะต้องทุกข์ยากมาก
ศัตรูมาโจมตี สามเดือน…  แม้พระเจ้าจะตรัสว่า ดาบของศัตรูจะตามเจ้าทัน… เราจะต้องตกในมือของมนุษย์อีกนั่นแหละ …
โรคระบาดบนแผ่นดิน… นี่เป็นการอยู่ภายใต้พระหัตถ์ของพระเจ้าโดยตรง  ทั้งประชาชนและครอบครัวของเราคนใดคนหนึ่งจะโดนโรคระบาดนั้น  แม้กระทั่งตัวเราเองซึ่งเป็นราชาก็อาจหนีไม่พ้น…   แต่ตายในพระหัตถ์พระเจ้านั้น ดีกว่าตายด้วยน้ำมือของศัตรู

เมื่อทรงตัดสินพระทัยได้จึงทรงตอบกาด  ผู้กล่าวคำของพระเจ้า

ภาพวาดโดย กุสตาฟ ดอเร่ (1832-1883)

ภาพเขียนโดย กุสตาฟ ดอเร่ (1832-1883)

“เรากระวนกระวายมากนะท่าน  แต่ขอเราถูกลงโทษด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้าโดยตรงเถิด”   ราชาดาวิดไม่ได้ทรงขอร้องว่า อย่าลงโทษเลย… พระองค์ทรงรู้ดีว่า ได้ทรงทำผิดยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า

พระเจ้าเป็นผู้ประทานความรุ่งเรือง ความสงบให้  มิใช่มาจากราชาดาวิดเอง…. แต่ทำไมจึงจะเอาเกียรติยศของพระเจ้ามาเป็นของตน??

เมื่อราชาดาวิดขอเช่นนั้น

ไม่ทันไร  คนก็เป็นโรคระบาดกันทั่วไปหมด  มีคนตาย 70,000 คน ทั่วแผ่นดิน!! ประมาณร้อยละ 6-7  ของจำนวนประชากรที่นับมา

ขณะนั้น ทูตของพระเจ้ามาถึงเมืองเยรูซาเล็มที่ใคร ๆ เรียกกันว่า นครแห่งดาวิด

ทูตกำลังลงมือที่จะส่งโรคระบาดมาตามพระบัญชาของพระเจ้า…

ทันใดนั้นเอง พระเจ้าก็ทรงกลับพระทัย!!

เป็นไปได้อย่างไร  ทำไมพระเจ้าจึงทรงเปลี่ยนพระทัย?

 

“พอแล้ว! หยุดก่อน  ขอให้เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้”” พระเจ้าตรัสกับทูตสวรรค์ ซึ่งกำลังยืนอยู่ที่ลานนวดข้างของโอรนัน

ทูตสวรรค์ทำตามคำสั่งพระเจ้าทันทีเช่นกัน

เขาไม่ฝืนพระองค์เลย

 

จะเลือกโทษแบบใด ๒๑-๒

1 พงศาวดาร 21:7-13

การที่ราชาดาวิดได้สั่งให้สำรวจประชากรนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพระองค์ทรงรู้สึกภูมิใจว่า  ความรุ่งเรืองของอิสราเอลนั้น เป็นผลงานของพระองค์  ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพระองค์ทรงประสงค์ที่จะขยายอาณาเขตออกไปก็เป็นได้

แต่โยอาบไม่ได้บอกจำนวนของคนเลวี และคนเผ่าเบนยาบิน

เขามีเหตุผลส่วนตัว…. เขาไม่ต้องการให้คนเผ่าเบนยามิน ซึ่งเคยถูกลงโทษมามากมายแล้ว ต้องมารับเคราะห์กรรมที่อาจเกิดขึ้น

แม่ทัพโยอาบเป็นคนมองการณ์ไกล   เขาพอจะรู้ว่า พระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไร และเขาก็เห็นว่า ราชาดาวิดจะตกอยู่ในความลำบากโดยไม่จำเป็น

อะไรหรือ?

ก็นี่ไง…. พระเจ้าทรงโกรธที่ราชาดาวิดทำเช่นนั้น   พระองค์จะทรงลงโทษทั้งอิสราเอล ไม่เฉพาะราชาดาวิดเท่านั้น

ภาพโดย Julia Margaret Cameron (1818-1879)

และราชาดาวิดก็สำนึกทันทีว่า  ทรงทำผิดไปแล้ว

“ข้าทาสของพระองค์ได้ทำความผิดใหญ่มาก…”  ราชาดาวิดอธิษฐาน  “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า   ขอพระองค์ทรงอภัยบาปชั่วร้ายของข้าทาสด้วยเถิด  ข้าทาสทำสิ่งที่โง่เง่ามาก”

พระเจ้าได้ตรัสผ่านผู้เผยคำกล่าวชื่อ กาด…

“พระเจ้าตรัสว่า  เราเสนอให้เจ้าเลือกสามอย่าง   เจ้าจะให้เราลงโทษเจ้าอย่างไร

การกันดารอาหาร 3 ปี    หรือการโจมตีจากศัตรูนั่นหมายถึงสงคราม  3 เดือน หรือว่าจะเอาการมีโรคระบาดในแผ่นดิน 3 วันโดยทูตของพระเจ้าจะไปทำลายคนทั่วอิสราเอล  ขอให้พระราชาทรงตอบมา”

พระเจ้าทรงให้ราชาดาวิดเลือกการลงโทษเอง!

พระเจ้ายังทรงเมตตาต่อราชาดาวิดมาก  ที่จริงพระองค์จะทรงทำแบบใดก็ได้ หรือทั้งสามแบบก็ได้

ราชาดาวิดทรงคิดแล้วคิดอีก   พระองค์ทรงกังวลพระทัยมาก

พระองค์จะทรงเลือกอย่างใดนะ?

 

เมื่อแม่ทัพไม่เห็นด้วย ๒๑-๑

1  พงศาวดาร 21:1-6

ไม่นานต่อมา ราชาดาวิด ทรงจำเริญขึ้นในการปกครอง ในการทำให้อิสราเอลได้เข้าใกล้ชิดพระเจ้า  กลับทำสิ่งหนึ่งที่พลาดไป   ไม่น่าเลย

ในช่วงเวลานั้น  ศัตรูของพระเจ้าคือ มาร  ได้เข้ามาดลใจให้ดาวิดทำการนับจำนวนคนอิสราเอล

การนับจำนวนครั้งนี้ จะทำให้ราชาดาวิดได้รู้สึกภาคภูมิกับจำนวนประชาชนในการปกครอง  ทำให้เกิดความรู้สึกที่ว่า…ฉันเก่ง  ฉันใหญ่  ฉันสามารถยิ่งนัก …..

ราชาดาวิดทรงบัญชาโยอาบ แม่ทัพใหญ่

“เจ้าจงออกไปนับจำนวนคนอิสราเอลให้เรา  ตั้งแต่เบเออร์เชบาจนถึงดาน  แล้วกลับมารายงานให้เรารู้จำนวนประชากรที่มีอยู่”

“แต่ว่า”  โยอาบทูลทัดทาน

“ขอพระเจ้าประทานประชากรให้พระราชาร้อยเท่า  พวกเขาทุกคนไม่ได้เป็นไพร่พลผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทหรือพะยะค่ะ?  เหตใดพระองค์จึงทรงต้องการจำนวนประชากรเล่า?”

โยอาบเป็นแม่ทัพที่ฉลาดปราชญ์เปรื่องเป็นอย่างยิ่ง   เขามองเห็นว่า ราชาดาวิดกำลังก้าวเข้าไปในความเย่อหยิ่ง และจะทำให้เป็นที่ไม่พอพระทัยพระเจ้า

“ขอพระราชาทรงพิจารณาอีกครั้งพะยะค่ะ   เหตุใดจึงจะทรงทำให้เกิดเหตุร้ายแก่อิสราเอลโดยไม่จำเป็น?”

แต่… ความประสงค์ของพระราชาย่อมชนะการทัดทานของแม่ทัพโยอาบ

แม้แม่ทัพจะไม่เห็นด้วย  แต่เขาก็จำต้องไปทำตามคำบัญชาของราชาดาวิด   เขาและกองทหารกลุ่มเล็ก ๆ ได้เดินทางไปทั่วอิสราเอล   เพื่อนับจำนวนคน

เมื่อได้ครบแล้ว เขาก็กลับมายังเยรูซาเล็ม   เขาถวายรายงานจำนวนประชากร

1,100,000   คน เป็นจำนวนชายที่สามารถออกรบได้ทั่วอิสราเอล

470,000  คน เป็นจำนวนชายในเผ่ายูดาห์ที่ออกรบได้

แต่…แม่ทัพโยอาบ  ไม่ได้บอกจำนวนทั้งหมด

เขาไม่ได้นับชนเผ่าเบนยามิน และเผ่าเลวี   เพราะเขารู้สึกรังเกียจกับคำสั่งของพระราชาครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง

 

ศึกที่เมืองรับบาห์ ๒๐

1 พงศาวดาร 20:1-3

 

หลังจากศึกคราวนั้น  โยอาบแม่ทัพ ได้พาทหารอิสราเอลกลับมาจากอัมโมน โดยยังไม่ได้ทำศึกขั้นเด็ดขาดแต่อย่างใด

เมื่อถึงฤดูแล้งในปีต่อมา  จึงได้ยกทัพไปอีกครั้ง เพื่อกวาดล้างคนอัมโมน  ตอนนั้น โยอาบยกทัพไปโดยราชาดาวิดยังคงอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม

แต่ขณะที่กำลังทำศึกอยู่ โยอาบได้ส่งข่าวมายังดาวิด ทูลให้พระองค์ออกไปสำเร็จศึกที่เมืองรับบาห์ มิฉะนั้น เมืองนั้นจะถูกเรียกตามชื่อของโยอาบ   เขาต้องการให้เมืองรับบาห์เป็นเมืองที่ราชาดาวิดได้ชื่อว่า เป็นผู้มีชัยชนะ มิใช่เขา

โยอาบได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง เกียรติยศกลับมาเป็นของราชาดาวิด  พระองค์ทรงยกทัพมาและตีรับบาห์แตก   พระองค์ได้ยึดทรัพย์สินจากเมืองนั้นมากมาย  ทั้งทองคำ เพชรพลอย และข้าวของอื่น  ๆ    และสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้แหละที่กลายเป็นของซึ่งซาโลมอนได้นำมาใช้ในการสร้างพระวิหารของพระเจ้าต่อมา

ราชาดาวิดสำเร็จโทษเมืองรับบาห์

จากนั้นพระราชาให้กวาดคนในเมืองออกมา  ให้พวกเขาทำงานก่อสร้าง  อยู่กับเลื่อย ขวาน เหล็ก  ทุก ๆ หัวเมืองในแผ่นดินอัมโมนก็โดนเช่นนั้นกันหมด

จากนั้น ราชาดาวิดก็กลับมายังเยรูซาเล็ม

อัมโมนจึงกลายเป็นเมืองขึ้นของอิสราเอลอย่างสมบูรณ์แบบ

และต่อมา ก็ได้ประหารพวกมนุษย์ยักษ์เมืองเกเซอร์  และมนุษย์ยักษแห่งเมืองกัทซึ่งเป็นลูกหลานของโกลิอัทอีกมากมาย

 

ลีลาทหารรับจ้าง ๑๙-๓

 

1 พงศาวดาร 19:6-15

คนอัมโมน  ได้ดูหมิ่นเกียรติของราชาดาวิดจากการที่พวกเขาโกนเคราของทูตที่ไปเยี่ยม และยังตัดเสื้อผ้าท่อนล่างให้เดินเปลือยออกมา

แน่นอน พวกเขารู้ดีว่า ตัวเองทำให้ราชาดาวิดพิโรธ   และแน่นอนอีกด้วยว่า พวกเขาไม่สามารถปกป้องตัวเองได้จากกองทัพจากอิสราเอล

จะทำอย่างไรดี?

วิธีเดียวคือ จ้างทหารมารบให้  นี่เป็นวิธีการของโลกสมัยโบราณ  แม้จะเป็นวิธีการที่เสี่ยงมาก เพราะทหารรับจ้างไม่ได้มีหัวใจที่จะปกป้องจริง ๆ

ดังนั้นจึงรีบไปจ้างทหารจากทางเหนือ และตะวันออกมา  มีทหารและรถศึกจากเมโสโปเตเมีย และอารัม มาอาคาห์ และเมืองโศบาห์ (ซีเรีย)  มีรถม้าศึกรวบรวมมาถึง 32,000 คัน  มากมายจริง ๆ  พวกเขาเสียเงินไปหนึ่งพันตะลันต์กับการจ้างครั้งนี้

ดังนั้น จึงมีกษัตริย์และทหารรับจ้างมารวมตัวกับทหารของอัมโมน

โดยแบ่งให้ทหารอัมโมนรักษาเมือง

ส่วนทหารรับจ้างจากซีเรียก็อยู่ในทุ่งกลางแจ้ง

ชาวอัมโมนรู้สึกปลอดภัยขึ้นที่มีกองทัพสองกองคอยช่วยกันอยู่ ….

สงครามสมัยโบราณ  กุสตาฟ ดอเร่

 

ราชาดาวิดได้ส่งโยอาบ แม่ทัพผู้เก่งกล้าเข้ามาทำสงครามครั้งนี้  พระองค์ไม่ได้มาเอง ส่งเพียงทหารกล้ามาเป็นกองทัพใหญ่

เมื่อเขามาถึงก็เห็นว่า จะมีกองทัพขนาบอยู่สองด้าน…. ทหารอัมโมนและทหารรับจ้าง

โยอาบจึงแบ่งทัพออกเป็นสองส่วน  ส่วนหนึ่งไปสู้กับทหารรับจ้าง อีกส่วนไปสู้กับทหารอัมโมน โดยมีอาบีชัย ซึ่งเป็นน้องชายของแม่ทัพเป็นผู้คุมไป

แผนของโยอาบที่กล่าวกับอาบีชัยคือ

“ถ้าทัพของเรานั้นใครมีกำลังสู้ไม่ไหว  อีกกองทัพจะเข้าไปสมทบช่วยกัน …. เจ้าและทหารของเจ้าต้องกล้าหาญ  และเป็นลูกผู้ชาย  เราจะสู้เพื่อชาติของเรา และเพื่อหัวเมืองของพระเจ้าของเรา   ขอพรจากพระเจ้า  ให้พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ทรงพอพระทัย”

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ

แม่ทัพโยอาบตีคนซีเรียแตกพ่าย  กระเจิดกระเจิงไม่เป็นท่า  เสียศักดิ์ศรีทหารรับจ้างจริง ๆ

กองทัพอัมโมนที่ประจำเมืองอยู่ก็ใจเสียกันไปตาม ๆ กัน   แทนที่จะสู้ กลับหนีเข้าเมืองไป

 

ต่อมาซีเรียก็กลับกลายเป็นเมืองขึ้นของอิสราเอลเสียอีก  ไม่น่าเลย ไม่น่ามารับจ้างต่อสู้เช่นนี้

 

เหยียบย่ำศักดิ์ศรี ๑๙-๑

1 พงศาวดาร 19:1-5

เวลาผ่านไป  ราชานาหาช แห่งอัมโมนสิ้นพระชนม์  ราชานาหาชนี้ เป็นผู้ที่สัตย์ซื่อต่อราชาดาวิดมาตลอด  ดังนั้น ราชาดาวิดจึงทรงคิดว่า ต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้โอรสของราชานาหาชทราบว่า   พระองค์ทรงรู้สึกเสียพระทัยต่อการจากไปครั้งนี้ด้วยจริงใจ

พระองค์ทรงส่งทูตเดินทางไปแผ่นดินอัมโมนซึ่งอยู่ทางตะวันออก  เพื่อแสดงความเสียใจและสร้างไมตรีกับราชาฮานูน…. พวกเขาเดินทางไปเพื่อการนี้ และเตรียมตัวอย่างดีที่จะกล่าวคำดี ๆ ถวายราชาฮานูน

แต่น่าเสียดายจริง ๆ   ข้าราชการของราชาฮานูนไม่ได้เห็นถึงความตั้งใจดีนี้  พวกเขาไม่เชื่อ และกลัวราชาดาวิด

“ฝ่าพระบาททรงคิดว่า ราชาดาวิดจะตรงไปตรงมากับฝ่าพระบาทรึพะยะค่ะ?”   คำเริ่มต้นนี้ก็น่ากลัวแล้ว

“ราชาดาวิดทรงนับถือราชบิดาของพระองค์จริง ๆ หรือ?   ราชาดาวิดทรงส่งคนมาเพื่อสอดส่องดูพวกเราแน่นอน”
พวกเขาเป็นเมืองขึ้นอยู่แล้ว   ไม่น่าจะต้องกลัวขนาดนี้

และเมื่อคณะทูตของราชาดาวิดไปถึง

สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น !!!

ราชาฮานูนบัญชา “จับตัวพวกมันมาให้หมด  แล้วโกนเคราพวกเขาเสีย”

ไม่ได้แค่โกนเคราธรรมดา  โกนแค่ครึ่งเดียว

นี่เป็นการหยามเหยียดศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายชาวอิสราเอลเป็นอย่างยิ่ง   บุรษชาวตะวันออกกลางที่เป็นไทนั้น จะไว้หนวดเครา  คนที่เป็นทาสเท่านั้นจะไม่มีเครา หลายคนยอมตายเสียดีกว่าที่จะถูกบังคับโกนหนวดเช่นนี้

ยังไม่หมด

พวกเขาตัดเสื้อผ้าตั้งแต่สะโพกลงไป

มันน่าอายยิ่งกว่า

พวกเขาต้องเดินออกมาเหมือนคนเปลือยกาย

ทูตและผู้ติดตามทุกคนต่างถูกดูหมิ่นให้อับอาย  ใคร ๆ เห็นก็หัวเราะเยาะ ขบขัน

แต่มีบางคนรีบไปเยรูซาเล็ม

ข่าวเรื่องนี้ จึงไปถึงราชาดาวิดอย่างรวดเร็ว

ราชาดาวิดเองส่งคนมาบอกว่า ให้ทุกคนพักที่เยรีโคจนกว่าเคราจะขึ้นหมด แล้วจึงกลับมาเยรูซาเล็ม  พระองค์ทรงเห็นใจคนเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง

แน่นอนว่า ราชาดาวิดต้องทรงวางแผนว่า    จะจัดการอย่างไรกับชาวอัมโมนที่ดูหมิ่นพระองค์อย่างร้ายแรงเช่นนี้….

 

การศึกและการเมือง ๑๘

1 พงศาวดาร 18:1-17

ไม่เพียงแต่ราชาดาวิดจะได้รับพระพรจากพระเจ้าอย่างล้นเหลือ  แต่ในการทหาร ราชาดาวิดก็รบชนะศัตรูรอบด้าน

ทรงมีชัยชนะต่อชาวฟิลิสเตียยึดเมืองกัท ทางตะวันตกเฉียงใต้
ทรงตีชาวโมอับทางตะวันออกและได้เป็นเมืองขึ้น

ส่วนทางเหนือ ทรงชนะราชาฮาดัดเอเซอร์ จากเมืองโศบาห์ไปถึงเมืองฮามัท ที่นั่นยึดรถรบได้ 1000 คัน  พลขับ 7000 คน ทหารราบ 20,000 คน และราชาดาวิดทรงสั่งตัดเอ็นขาม้า ไม่ให้ทำศึกได้ทั้งหมด  ยกเว้นม้าที่จะต้องใช้เทียมรถรอดตัวไป 100 ตัว

ศึกครั้งนั้น ราชาดาวิดและกองทัพอิสราเอลต้องสังหารคนชาวอารัมไปถึง 22,000 คน เพราะพวกเขาเข้ามาช่วยราชาฮาดัดเอเซอร์… ไม่น่าเลยที่ต้องมาตายเพื่อคนอื่นอย่างนี้ !

ด้วยเหตุนี้เอง อาณาจักรของอารัมจึงกลายเป็นเมืองขึ้นของอิสราเอลไปด้วย

ไม่ว่าราชาดาวิดยกทัพไปที่ใด  ก็ชนะที่นั่น พระเจ้าได้ประทานชัยชนะให้เสมอ

จากศึกอารัมและโศบาห์นี่เอง  ราชาดาวิดได้ทองเหลืองจำนวนมหาศาลเข้ามาในเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ราชาซาโลมอนได้ใช้ทำเครื่องใช้ในพระวิหารของพระเจ้าในเวลาต่อมา

ยังมีเครื่องเงิน  ทอง ทองเหลืองมาจากราชาโทอูแห่งเมืองฮามัท  ส่งมาเป็นบรรณาการโดยไม่ต้องทำศึกให้ยุ่งยากอีกด้วย

เครื่องเงิน ทองจากชนชาติต่าง ๆ นั้นมีอีกมากมาย  ราชาดาวิดได้นำมาเพื่อจะใช้ในการสร้างพระวิหารทั้งหมด

ชนชาติเอโดม โมอับ  อัมโมน ฟิลิสเตีย อามาเลข  กลายเป็นเมืองขึ้นของอิสราเอล

ส่วนชาวเอโดม สู้รบอย่างรุนแรงที่หุบเขาเกลือทางใต้  ถูกสังหารภายใต้แม่ทัพอาบีชัยถึง 18,000 คน  พวกเขาจึงยอมแพ้

เห็นไหมว่า ไม่ว่าจะไปที่ใด  ราชาดาวิดก็ได้ชัยชนะเพราะพระเจ้าประทานให้ทั้งสิ้น

เมื่อหมดจากการศึก  ราชาดาวิดก็ทรงหันมาปกครองประเทศอย่างจริงจัง  ทรงทำสิ่งที่เที่ยงธรรม ถูกต้องให้กับประชาชน… พระเจ้ายิ่งทรงอวยพระพรมากขึ้น

แม่ทัพใหญ่คือ  โยอาบ
อาลักษณ์หลวง คือ เยโฮชาฟัท
ปุโรหิตหลวง   คือ ศาโดกและอาหิเมเลค
ราชเลขา คือ ชัฟชา
กองทหารรักษาพระองค์ เป็นชาวเคเรธีและชาวเปเลทคือ เบไนยาห์
ราชมนตรี หรือรัฐมนตรีต่าง ๆ  คือ โอรสของราชาดาวิด

 

 

คำอธิษฐานของพระราชา ๑๗-๓

1 พงศาวดาร 17:16-27

ราชาดาวิดทรงตื้นตันในพระทัยยิ่งนัก  เมื่อได้ทรงฟังทุกคำที่พระเจ้าตรัสกับนาธัน  พระเจ้าทรงดีกับพระองค์ไม่สิ้นสุด  … ดาวิดเป็นใครกันที่ได้มาจนถึงบัลลังก์นี้…

พระองค์ทรงเข้าเฝ้าพระเจ้า อธิษฐาน….

“ข้าแต่พระเจ้า  ดาวิดและครอบครัวของเขาเป็นใครที่พระองค์ทรงนำมาไกลถึงวันนี้?
พระองค์ยังทรงกล่าวถึงอนาคตของครอบครัว

และพระองค์ทรงให้เกียรติแก่ข้าทาสของพระองค์อย่างสูงส่งเพียงนี้  ข้าทาสของพระองค์ไม่อาจกล่าวคำใดออกมา   พระองค์ทรงรู้จักข้าทาสของพระองค์

พระองค์ได้ประทานคำมั่นสัญญา ตามน้ำพระทัยของพระองค์ เพื่อเห็นแก่ผู้รับใช้ของพระองค์  เพื่อจะทรงทำสิ่งยิ่งใหญ่นี้ ให้รู้กันทั่ว

ข้าแต่พระเจ้า ไม่มีผู้ใดเสมอพระองค์เลย ตามที่ข้าทาสของพระองค์ได้ยินมากับหู  ใช่..ไม่มีใครมาเทียบเท่าพระองค์ได้

และจะมีชนชาติใดในโลกที่เหมือนอิสราเอล  ประชากรของพระองค์  พระเจ้าได้เสด็จมาไถ่ประชากรของพระองค์เอง  เพื่อนำเกียรติยศมาสู่พระนามของพระองค์

พระองค์ทรงทำการใหญ่ น่าเกรงขาม
พระองค์ทรงไล่ชนชาติต่าง ๆ  ออกไปพ้นหน้าคนที่พระองค์ทรงไถ่ออกมาจากอียิปต์

ไม่ทราบนามผู้วาด

ขอบคุณพระเจ้า

พระองค์ทรงให้อิสราเอลเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เอง ตลอดไป
ข้าแต่พระเจ้า … พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขา

ข้าแต่พระเจ้า… ขอให้คำสัญญาที่ประทานเรื่องข้าทาสและครอบครัววงศ์วานของข้าทาสนั้น ได้รับการสถาปนาไว้ตลอดไป   ขอทรงกระทำตามพระสัญญา

พระเจ้าข้า…  เพื่อว่าการนั้นจะตั้งมั่นคง  และเพื่อพระนามของพระองค์จะยิ่งใหญ่ตลอดไป  และคนทั้งหลายจะกล่าวว่า

พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ทรงเป็นพระเจ้าแห่งอิสราเอล

และวงศ์วานของดาวิดข้าทาสของพระองค์จะได้รับการสถาปนาต่อพระพักตร์ของพระองค์

ข้าแต่พระเจ้าขอข้าทาส….  พระองค์ทรงเปิดเผยว่า พระองค์จะสร้างวงศ์วานของเขา   ข้าทาสจึงมีใจกล้าที่จะอธิษฐานเช่นนี้

ข้าแต่พระเจ้า  ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า  ทรงสัญญาจะประทานสิ่งดีเหล่านี้ให้ข้าทาสของพระองค์

บัดนี้   ขอพระองค์ทรงพอพระทัยที่จะอวยพระพรแก่วงศ์วานของข้าทาสให้ยั่งยืนต่อพระพักตร์ของพระองค์ตลอดไป

ข้าแต่พระเจ้า …เพราะว่า….สิ่งใดที่พระองค์ทรงอวยพระพร  สิ่งนั้นจะได้รับพระพรเป็นนิตย์…”

 

พระบัญชาจากพระเจ้า ๑๗-๒

1 พงศาวดาร 17:7-15

ราชาดาวิดทรงปรารถนาจะสร้างพระวิหารถวายพระเจ้า   แต่… พระเจ้ากลับตรัสปฏิเสธ

พระเจ้าตรัสกับนาธันต่อว่า

“เจ้าจงไปบอกดาวิด  ผู้รับใช้ของเรา   องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า   เราได้นำเจ้าออกมาจากทุ่งหญ้าที่เจ้าเคยเลี้ยงแกะ  จากทุ่งที่เจ้าเคยต้อนแกะ มาสู่การปกครองประเทศ  เจ้าได้มาปกครองคนอิสราเอลซึ่งเป็นประชากรของเรา

คนที่เคยดูแลแกะ  ถูกเลือกมาดูแลคนของพระเจ้า

ไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน  เราอยู่กับเจ้า

เราได้กำจัดศัตรูทั้งหลายออกไปพ้นหน้าเจ้าด้วย

บัดนี้  เราจะทำให้ชื่อของเจ้า เลื่องลือออกไปเหมือนกับชื่อของคนที่สำคัญทั้งหลายของโลก

เราจะจัดเตรียมที่ ๆ หนึ่งให้คนอิสราเอลได้ตั้งถิ่นฐาน  พวกเขาจะมีบ้านเป็นของตนเอง และไม่ถูกโจรผู้ร้าย หรือคนอื่น ๆ รบกวน   คนชั่วร้ายจะไม่มาข่มเหง รังแกพวกเขาเหมือนที่เคยอีกต่อไป

ที่จริง มันเป็นอย่างนั้นเรื่อยมาตั้งแต่ที่เราได้ตั้งคนให้นำประชากร ปกครองพวกเขา

เราจะทำลายศัตรูของพวกเขาให้ราบคาบ”

นาธันได้ยินเสียงของพระเจ้าอย่างชัดเจน  และเขาจำทุกคำไว้

“เราขอประกาศว่า  องค์พระผู้เป็นเจ้าจะสถาปนาครอบครัวของเจ้า  เมื่อเจ้าตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า

เราจะตั้งลูกชายคนหนึ่งให้ปกครองต่อจากเจ้า

เขาคนนี้จะเป็นผู้สร้างพระวิหารให้เรา

และเราจะสถาปนาบัลลังก์ของเขาตลอดกาล

เราจะเป็นพ่อของเขา  และเขาจะเป็นลูกชายของเรา

เราจะไม่เอาความรักมั่นคงของเราไปจากเขาเหมือนกับที่เราเอาไปจากราชาก่อนหน้าเจ้า

เราจะตั้งเขาไว้ในที่อยู่ และอาณาจักรของเราตลอดไป

เราจะสถาปนาบัลลังก์ของเขาไว้นิรันดร์”

นาธันได้ยินสิ่งใด เขาก็ไปกราบทูลราชาดาวิดทุกอย่าง…..

ความปรารถนาของราชา ๑๗-๑

หลังจากที่ราชาดาวิดได้ทรงบัญชาทุกอย่างแล้ว  ทุกคนก็ทำหน้าที่ของตน

แต่ละวันจะมีประชาชนมาถวายเครื่องบูชา   ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้ากันอย่างต่อเนื่อง

อาการที่จะไปหาพระอื่นอย่างที่เคยพลาดพลั้งมา  ก็ไม่เกิดขึ้น

ทั้งนี้เพราะราชาดาวิดได้เป็นตัวอย่างที่ดี    ประชาชนก็รักพระเจ้าด้วยสุดใจของพวกเขาตามอย่างที่ราชาดาวิดทรงรักพระเจ้าอย่างสุดใจ

 

 

วันหนึ่ง ราชาดาวิดทรงมองเห็นอะไรบางอย่างที่พระองค์ไม่สบายพระทัยมาก  จึงทรงเรียกนาธัน ผู้กล่าวคำของพระเจ้าซึ่งเป็นที่ปรึกษาของพระองค์มาเข้าเฝ้า

“ท่านดูซิ  เราเอง อยู่ในวังไม้สนสีดาร์ งดงามมาก  ในขณะที่หีบพันธสัญญาของพระเจ้านั้นกลับอยู่ในพลับพลา  เหมือนกับเป็นแค่บ้านชั่วคราว”

นาธันเข้าใจพระทัยของราชาดาวิดทันที   พอจะเดาออกว่า พระองค์ทรงคิดอะไรอยู่

“ขอพระองค์ทรงทำตามที่พระองค์ดำริเถิดพะยะค่ะ  เพราะพระเจ้าสถิตกับฝ่าพระบาท”

บางครั้งแม้นาธันจะเข้าใจหัวใจมนุษย์

แต่พระทัยพระเจ้านั้นเป็นอย่างไรล่ะ  ?  เหมือนกับราชาดาวิดหรือเปล่า?

 

คืนนั้นเอง  พระเจ้าได้ตรัสกับนาธันชัดเจน เป็นคำตรัสที่ยาวมาก

“นาธัน  เจ้าจงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราอย่างนี้…

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า  เจ้าไม่ใช่คนที่จะสร้างวิหารให้เราอยู่   ไม่เห็นหรือว่า เราไม่เคยอยู่ในวิหารเลย   ตั้งแต่ครั้งที่เรานำอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ จนทุกวันนี้”

จริงซิ… นาธันคิด

พระเจ้าทรงอยู่ในสวรรค์  และทรงมาพบโมเสสที่พุ่มไม้ซึ่งไหม้ไฟ  แต่ก็ไม่ได้ถูกเผา

ยามที่คนอิสราเอลเดินทาง พระองค์ทรงอยู่กับเขาชัดเจนที่เสาเมฆ และเสาไฟ

เมื่อคนอิสราเอลเดินทางในถิ่นกันดาร พระเจ้าก็ประทับกับเขาให้เห็นชัดเจน  พระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องอยู่ในวิหารใด ๆ

เมื่อพระองค์ให้สร้างหีบพันธสัญญา  พระองค์ก็ทรงอยู่ในพลับพลาท่ามกลางพวกเขามาโดยตลอด

และบัดนี้ พระองค์ก็ทรงอยู่ในสวรรค์  และทรงอยู่ท่ามกลางคนอิสราเอลเช่นกัน

นาธันน้อมรับคำของพระเจ้า

“เจ้าก็รู้อยู่ว่า  เราไปมากับคนอิสราเอล ไปมากับพลับพลาตลอด  ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม  เราเคยพูดกับผู้รับใช้ของเราไหมว่า … เหตุใดเจ้าจึงไม่สร้างวิหารไม้สนสีดาร์ให้เรา?”

 

จริงซินะ  พระเจ้าไม่เคยบัญชาให้สร้างอะไรนอกเหนือไปจากพลับพลาสมัยท่านโมเสส

แล้วยังไงกันนี่…

พระเจ้าจะตรัสอะไรต่อไป

 

คณะนักร้อง ๑๖-๓

1 พงศาวดาร 16:37-43

ก่อนที่ราชาดาวิดจะเสด็จกลับพระราชวังเพื่อไปอวยพรแก่ครอบครัวของพระองค์นั้นเอง

พระองค์ทรงจัดการเรื่องของนักร้องให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปทุก ๆ วัน

ทรงเห็นว่า การร้องเพลงสรรเสริญ ยกย่ององค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นเรื่องที่ควรทำทุก ๆ วัน ไม่ใช่เฉพาะวันสำคัญเท่านั้น

พระเจ้าสถิตในสวรรค์  และพระองค์ทอดพระเนตรลงมาที่โลกมนุษย์อยู่ตลอดเวลา  อย่างหนึ่งที่ราชาดาวิดปรารถนาคือ พระเจ้าจะทรงพอพระทัยในสิ่งที่พระองค์ได้ยินและได้เห็น   ราชาดาวิดปรารถนาที่จะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าทุกเวลา

มีข้อกำหนดที่อาสาฟ และคนของเขาจะต้องทำทุก ๆ วัน

เป็นเหมือนงานประจำวัน  แต่มันเป็นงานที่ต้องทำออกมาจากหัวใจ จากวิญญาณ ไม่ใช่แค่ปากร้องแล้วใจลอย..  ทำอย่างนั้นคือไม่สมบูรณ์แบบ

ท่านโอเบดเอโดม กับเพื่อนอีก 68 คน ได้เข้ามาทำงานด้วย

มีคนที่ทำหน้าที่ยามเฝ้าประตู  … คือ โอเบดเอโดมบุตรชายเยดูธูน  และโฮสาห์

ส่วนผู้ที่ประจำอยู่ในพลับพลาเพื่อถวายเครื่องบูชาทุกเช้าเย็นนั้นคือ ปุโรหิตศาโดก และปุโรหิตผู้ช่วยท่านอื่น ๆ    โดยจะต้องทำตามที่พระเจ้าได้ทรงสั่งคนอิสราเอลไว้ตั้งแต่สมัยท่านโมเสส

มีคนที่จะถวายคำขอบพระคุณพระเจ้าว่า “เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์”   คือเฮมาน  เยดูธูน และคนอื่นอีกหลายคน   ทั้งเฮมานและเยดูธูนรับหน้าที่เป่าแตร ตีฉาบ  บรรเลงเครื่องดนตรีอื่น ๆ   เพื่อคลอไปกับบทเพลงสรรเสริญพระเจ้า

ทุกคนรับหน้าที่ของตนมาอย่างเต็มใจ  นักร้อง นักดนตรีก็มีการซ้อม ฝึกอย่างแข็งขัน

และทุกอย่างก็ถูกจัดไว้อย่างลงตัว

 

บทเพลงถวาย ๑๖-๑

1 พงศาวดาร 16:7-36

เป็นครั้งแรก  ราชาดาวิดได้ทรงกำหนดให้มีการร้องเพลงขอบพระคุณพระเจ้า

อาสาฟ และพี่น้องของเขาเป็นผู้รับผิดชอบงานนี้

เพลงที่เขาร้อง มีเนื้อหาอย่างไรหรือ??

เหมือนเพลงชาติหรือเปล่านะ?  ในเมื่อเขาเริ่มเป็นชาติที่มีพระราชาปกครองมั่นคงแล้ว

ไม่เลย…

เพราะเป็นเพลงที่พวกเขาร้องเพื่อขอบคุณพระเจ้า….

“จงขอบคุณพระเจ้า  ร้องออกพระนามของพระองค์

จงให้ชนชาติทั้งหลายได้เห็นพระราชกิจของพระเจ้าอย่างชัดแจ้ง

จงร้องเพลงถวายพระเจ้ากัน    ร้องเพลงสดุดี ยกย่องพระองค์

เรามาอวดพระนามบริสุทธิ์ของพระเจ้า

ให้ทุกคนที่แสวงหาพระเจ้านั้น ได้ล้นไหลด้วยความเปรมปรีดิ์

จงแสวงหาพระเจ้า  และพลังของพระองค์

แสวงหาพระพักตร์ของพระองค์ตลอดไป

จงระลึกถึงการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงทำ

การอัศจรรย์และคำพิพากษาจากพระโอษฐ์ของพระองค์  …..

พวกเขาร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าอย่างนี้

และยังมีอีกหลายสิ่งที่เขาร้องสรรเสริญพระองค์

เขาชวนให้แผ่นดินโลกร้องเพลงถวายพระเจ้า

และประกาศความรอดที่มาจากพระองค์ทุก ๆ วัน….

กษัตริย์ทรงรักการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ทรงแต่งตั้งคนให้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าทุกวัน

ภาพวาดโดย  เกอรริท วาน ฮอนธอส

ที่เขาร้องเพลงอย่างนี้ก็เพราะ

พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่  และสมควรที่จะสรรเสริญพระองค์

เขาขอถวายสาธุการพระเจ้าตลอดนิรันดร์กาล …..

หน้าที่ของชายทั้งเก้า ๑๖-๑

1 พงศาวดาร 16:1-6

เมื่อพวกเขาได้นำหีบพันธสัญญาของพระเจ้าเข้ามาในเมืองแล้ว   เขาก็วางไว้ในพลับพลาที่ราชาดาวิดได้ทรงเตรียมไว้ล่วงหน้า

ดีมาก…. ทำสำเร็จแล้ว

ราชาดาวิดรู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่ไม่มีเหตุการณ์ร้าย ๆ เกิดขึ้นอีก  นี่เป็นเพราะพระองค์เองได้ทรงเตรียมอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน หรือวิธีการ   พระองค์ทรงทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าได้ทรงสั่งไว้กับโมเสส

จากนั้นก็ได้มีการถวายเครื่องเผาบูชา

ถวายศานติบูชาต่อพระเจ้า

พอทำทุกอย่างเสร็จสิ้นด้วยความอิ่มใจนั้นเอง  ราชาดาวิดก็ทรงอวยพระพรประชาชนในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า…

นี่เป็นสิ่งดีเหลือเกิน..   กษัตริย์ทรงอวยพรประชาชน

หมายความว่า กษัตริย์องค์นั้น ทรงทราบดีว่า หน้าที่ของพระองค์คือการปกครองแบบไหน  แบบใดที่จะทำให้การอวยพรนั้นไม่มีอุปสรรค   ต้องนำประชาชนให้ถูกต้องอย่างไร  ต้องปกครองด้วยความเที่ยงธรรมอย่างไร

จากนั้นก็ทรงแจกขนมปัง    เนื้อ   ขนมองุ่นแห้ง ให้กับประชาชนทั้งชายและหญิงเหมือน ๆ กัน

ปุโรหิต… ยังทำหน้าที่เป่าแตรต่อพระพักตร์พระเจ้าด้วย

เราไม่ทราบว่า ใช้เวลานานเท่าไรในการทำทุกสิ่งเหล่านี้  แต่หลังจากที่หีบพันธสัญญาของพระเจ้าได้ถูกสถาปนาไว้ในพลับพลาแล้วนั้น …

ราชาดาวิดก็ทรงหันมาตั้งเลวีบางคน  ให้ดูแลปรนนิบัติหน้าหีบพันธสัญญานั้น   พวกเขาทำหน้าที่ถวายเกียรติ และสรรเสริญพระเจ้าแห่งอิสราเอล

นี่เป็นหน้าที่ซึ่งมีอาสาฟเป็นหัวหน้า ดูแลและมีรองอีก 9 คน    หน้าที่ของพวกเขาแบ่งกันไป โดยมีคนตีฉาบ  เล่นพิณใหญ่ พิณเขาคู่  และเป่าแตร  ทั้งหมดนี้ ทำหน้าหีบพันธสัญญาของพระเจ้า

 

วันที่ยินดีที่สุด ๑๕-๒

1  พงศาวดาร 15:16-29

การไปอัญเชิญหีบพันธสัญญาของพระเจ้าครั้งนี้  มีการเตรียมนักร้อง นักดนตรีอย่างระมัดระวัง ใช้คนที่เชี่ยวชาญซึ่งร้องเพลง เล่นดนตรีได้ดีที่สุด  พวกเขาเหล่านี้ก็ต้องเตรียมตัว ชำระชีวิตให้สะอาด จึงจะทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เครื่องดนตรีที่ใช้ น่าสนใจจริง ๆ  มีพิณใหญ่  พิณเขาคู่ ฉาบ

ซึ่งทำนองของพวกเขาก็มีกำหนดไว้แล้ว  เรียกว่า ทำนองอาลาโมท และทำนองเชมินิท

ยังมีคนที่ได้รับการแต่งตั้งเพื่อเป่าแตรนำหน้าหีบพันธสัญญาของพระเจ้า  มีหลายคนเป็นยามเพื่อเฝ้าหีบพันธสัญญา

ครั้งนี้จะเป็นขบวนแห่ที่น่าทึ่งที่สุดตั้งแต่มีกษัตริย์ครองอิสราเอลมา  ….

เมื่อเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว

พระราชาและพวกเขาก็พากันไปบ้านของท่านเอเบด-เอโดม  ทุกคนมีความสุข ยินดีมาก มีเขียนบันทึกไว้ว่า

 

 

ภาพวาดโดย วิลเลียม บราสซี โฮล

 

 

“ราชาดาวิด และผู้ใหญ่ของอิสราเอล รวมทั้งนายทหารพากันไปอัญเชิญหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาจากบ้านของเอเบด-เอโดมด้วยความยินดี

เพราะพระเจ้าทรงช่วยเลวีที่หามหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

พวกเขาจึงถวายวัวผู้ 7 ตัว และแกะผู้ 7 ตัว

ราชาดาวิดพร้อมกับคนเลวีทั้งหมด คณะนักร้อง และผู้รับผิดชอบนักร้อง ต่างก็สวมเสื้อลินิน ราชาดาวิดทรงสวมผ้าเอเฟดลินินด้วย

เป็นอันว่า ชนอิสราเอลทั้งปวงได้อัญเชิญหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามายังกรุงเยรูซาเล็มด้วยเสียงอันดัง  เสียงโห่ร้องชื่นชมยินดี  เสียงเป่าเขาแกะ และแตร  เสียงฉาบ เสียงพิณใหญ่ และพิณเขาคู่”

แม้ว่าจะเป็นวันอันศักดิ์สิทธิ์    แต่มันเป็นวันที่สนุกที่สุดของทุก ๆ  คนด้วย

แต่… น่าเสียดายเหลือเกิน  มีคนหนึ่งไม่มีความสุข

เมื่อผู้นั้นเห็นราชาดาวิดโลดเต้น เฉลิมฉลองหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับประชาชน  เธอก็นึกดูหมิ่นราชาดาวิดในใจ

เธอผู้นั้นคือ มีคาล  ซึ่งเป็นมเหสีของราชาดาวิด และเป็นราชธิดาของราชาซาอูล

 

 

 

ชำระตัว ๑๕-๑

1 พงศาวดาร  15:1-15

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่มีสักวัน ที่ราชาดาวิดลืมหีบพันธสัญญาของพระเจ้าที่อยู่ในบ้านของท่านโอเบด-เอโดม   พระองค์ได้ทรงสร้างราชวัง  ตำหนักต่าง ๆ ตามที่เหมาะสมกับครอบครัวอันใหญ่โตของพระราชาแล้ว

และก็ได้ทรงเตรียมพลับพลาหลังหนึ่งเพื่อจะได้เป็นที่วางหีบนั้นไว้อย่างสมเกียรติ

เวลานี้ พระราชาทรงรู้แล้วว่า เหตุใดอุสซาห์จึงต้องตาย เพียงเอามือไปแตะหีบของพระองค์ที่กำลังจะหล่นจากเกวียน

“ต่อไปนี้ ไม่ให้คนใด ยกเว้นคนเลวีเป็นผู้อัญเชิญหีบพันธสัญญาของพระเจ้า” ราชาดาวิดตรัสกับปุโรหิต

“เพราะว่า พระเจ้าทรงเลือกพวกเขาไว้ตั้งแต่นานมาแล้ว เพื่อให้หามหีบพันธสัญญาของพระองค์ และพวกเขาจะได้รับใช้ต่อพระพักตร์พระองค์ตลอดไปด้วย”

“เจ้าจงรวบรวมคนในครอบครัวของท่านอาโรน และคนเผ่าเลวีให้มารวมพร้อมหน้ากัน”

จากนั้น พระราชาได้เลือกคนจากตระกูลต่าง ๆ  ตามจำนวนที่เหมาะสม โดยมีหัวหน้าประจำกลุ่มของตน  แล้วทรงเรียกทั้งปุโรหิตคือท่านศาโดกและท่านอาบียาธาร์ รวมถึงหัวหน้าประจำกลุ่ม ชื่อ อุรีเอล  อาสายาห์ โยเอล  เชไมอาห์ เอลีเอล และอัมมีนาดับมาเฝ้าเพื่อจะจัดทุกอย่างให้เรียบร้อย   ทุกคนนั่งอยู่ต่อพระพักตร์พระราชา

“เอาล่ะ  ท่านหัวหน้าของตระกูลทั้งหลาย  ขอให้ท่านและคนเลวีชำระตัวให้บริสุทธิ์  เพื่อจะได้อัญเชิญหีบพันธสัญญาของพระเจ้ามายังพลับพลาที่เราจัดเตรียมไว้”

พวกเขาน้อมรับคำของพระราชา

“คราวที่แล้วนะ  พระเจ้าของเราทรงพิโรธเพราะว่า ไม่ได้มีเหล่าเลวีไปอัญเชิญหีบนั้นมา  เราเองคิดจะทำอะไรก็ทำ  ไม่ได้ทูลถามพระเจ้าว่า จะต้องทำอย่างไรบ้าง”

ทุกคนโล่งใจที่พระราชาเองทรงยอมรับว่า ทรงพลาดไปแล้ว

ปุโรหิตและเลวี

ดังนั้น พวกเขาจึงไปทำพิธีชำระตนให้บริสุทธิ์ มันแปลว่า พวกเขาจะแยกตัวเองออก  ไม่ทำบาป ซักเสื้อผ้า อาบน้ำด้วยพิธีที่กำหนดไว้แล้ว   …

ดูซิ… ก่อนที่จะไปทำสิ่งใดถวายพระเจ้า พวกเขาต้องชำระตัวให้สะอาด

ไม่อย่างนั้น จะไม่มีคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่ของตนได้อย่างสมบูรณ์

 

พบศัตรูเก่า ๑๔

1 พงศาวดาร 14

“เจ้าดาวิดเนี่ยนะ?”

“ใช่แล้ว  คนที่เคยมาอยู่กับเรา และภักดีกับเรา เดี๋ยวนี้ เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล และมีเมืองหลวงที่เยรูซาเล็มขอรับ”   กษัตริย์ของฟีลิสเตียทนไม่ได้ที่เห็นเช่นนี้

“เราต้องยกทัพไปตีเมืองนี้  เอาให้อยู่หมัด  แบบนี้ทิ้งไว้ไม่ได้  เดี๋ยวมันต้องมาตีเราแน่นอน ตัดไฟเสียต้นลม”

 

กองทัพฟิลิสเตียจึงขึ้นมาทางเหนือ ตั้งค่ายที่หุบเขาเรฟาอิม  และปล้นผู้อยู่อาศัยในแถบนั้น

เมื่อราชาดาวิดได้ข่าว    จึงทูลถามพระเจ้าทันที  “พระเจ้าข้า  ข้าทาสของพระองค์ควรไปสู้กับคนฟีลิสเตียหรือไม่   พระองค์จะทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของข้าทาสของพระองค์ไหมพระเจ้าข้า?”

ราชาดาวิดทรงทราบดีว่า สิ่งสำคัญคือ  พระเจ้าทรงไปกับพระองค์หรือไม่…

“ไปเถอะ ดาวิด  เราจะมอบเขาไว้ในมือของเจ้าแน่”  พระเจ้าตรัสตอบ

ดังนั้น ราชาดาวิดจึงจัดกองทัพ ยกไปที่บาอัลเป-ราซิม

ศึกครั้งนั้น  ราชาดาวิดชนะขาดลอย  ชนะแบบที่พระองค์เองก็ทรงคาดไม่ถึง  ตรัสว่า

“พระเจ้าได้ทรงทะลุทะลวงข้าศึกของข้า เหมือนดังก้อนน้ำใหญ่ที่โถมเข้าใส่พวกเขา   ขอบคุณพระเจ้ายิ่งนัก   มหัศจรรย์จริง ๆ”

คนฟีลิสเตียหนีหัวซุกหัวซุน ทิ้งข้าวของและเทวรูปต่าง ๆ ไว้มากมาย

“พวกเจ้าจงเอาเทวรูปเหล่านี้ไปเผาเสียให้หมด  อย่าให้เหลือซาก  พวกเจ้าอย่าไปเสียดายมันด้วย!”

แต่… คนฟีลิสเตียยังไม่เข็ด    ไม่นานก็กลับมาปล้นในหุบเขาเรฟาอิมแห่งเดิม

“พระเจ้าข้า  ข้าทาสของพระองค์ควรไปจัดการกับคนฟีลิสเตียนี้ไหม?”

“เจ้าอย่าตามเขาไป”  พระเจ้าตรัสตอบ  “จงอ้อมไปโจมตีพวกเขาที่ตรงข้ามกับดงยางสน  ฟังให้ดี… ถึงที่นั่น  เมื่อเจ้าได้ยินเสียงกองทัพเคลื่อนไหว  เจ้าก็จงบุกได้ทันที เพราะตอนนั้น เราจะไปก่อนหน้าเจ้า เพื่อโจมตีกองทัพของศัตรู”

ราชาดาวิดทรงทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าทรงบัญชา

จากเมืองกิเบโอน   ข้ามไปทางตะวันตก ผ่านหุบเขาเรฟาอิม ไปถึงเมืองเกเซอร์ ดาวิดปราบคนฟีลิสเตียเสียราบคาบ

ชัยชนะครั้งนี้ ทำให้พระนามของราชาดาวิดเป็นที่เลื่องลือในหมู่ประชาชาติต่าง ๆ  ทั้งใกล้และไกล

การเดินทางของหีบพันธสัญญา ๑๓

1 พงศาวดาร 13

ละเลย  หลงลืม  ไม่สนใจ…..มานานแล้ว

บัดนี้ ราชาดาวิดทรงคิดถึงหีบพันธสัญญาของพระเจ้า ซึ่งเป็นหีบที่บรรจุศิลาจารึกพระบัญญัติสิบประการของพระเจ้าไว้    ตั้งแต่สมัยราชาซาอูล  ไม่มีใครสนใจหีบพันธสัญญานี้    แล้วมันอยู่ที่ไหนกัน  น่าจะเอากลับมาไว้ในเมืองหลวง

พระราชาทรงเรียกประชุมคนอิสราเอล…

“หากว่าท่านทั้งหลายเห็นด้วย  และเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า เราก็จะส่งข่าวให้คนอิสราเอลทั้งใกล้ และไกล  รวมถึงปุโรหิต และคนเลวี เพื่อจะได้เชิญหีบของพระเจ้าคืนมา”

“ดีเลยพะยะค่ะ  พวกเราขอสนับสนุนความคิดนี้”

“ดี… ถึงเวลาที่เราจะทำสิ่งที่ถูกต้อง   เราได้ละเลยหีบพันธสัญญาของพระเจ้ามานานเหลือเกิน”  ราชาดาวิดตอบ

ปรากฏว่า หีบพันธสัญญานั้น อยู่ที่เมืองคีริยาท-เยอาริม   ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของกรุงเยรูซาเล็ม  “ขอให้ท่านไปเชิญคนอิสราเอลจากแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ ไปจนถึงเลโบฮามัท ทางเหนือสุดมาก ๆ   มารวมตัวกันเพื่ออัญเชิญหีบของพระเจ้ามาจากคีรียาท-เยอาริม”

การอัญเชิญครั้งนี้  เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ดังนั้น คนทั้งหลายจึงมารวมตัวกันเพื่อฉลอง แสดงความยินดี…

เขาได้อัญเชิญหีบของพระเจ้ามาจากบ้านของอาบีนาดับ  ขึ้นเกวียนเล่มใหม่ที่ไม่มีใครเคยใช้มาก่อน เวลานั้น เขาน่าจะใช้คานหามขึ้นเกวียน  จึงไม่มีใครแตะต้องหีบนั้นเลย    คนนำขบวนคือ อุสซาห์ และอาหิโยห์  ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็ร้องเพลง บรรเลงพิณเขาคู่ พิณใหญ่ รำมะนา และฉาบ   ทุกคนพากันเต้นรำ ร้องเพลงอย่างชื่นชมยินดี

ลา ลา ลัน ลา  ฮา เล ลูยา  สรรเสริญ  พระเจ้า  ฮาเลลูยา

แต่… เมื่อมาถึงลานนวดข้าวแห่งหนึ่ง  เจ้าวัวสะดุด

เสียหลัก  “โอ้ย  ระวัง!!” คนหนึ่งร้อง

ทำให้อุสซาห์หันไปเอามือรับหีบที่กำลังเอียง จะตกลงมาจากเกวียน

ขณะนั้นเอง พระพิโรธของพระเจ้าก็เกิดขึ้น ทรงประหารเขาทันที เพราะเขาได้จับหีบพันธสัญญาซึ่งต้องห้าม ไม่มีใครแตะต้องได้ ….

อุสซาห์ล้มลง สิ้นใจตายตรงนั้นเอง

“โอ… โอ… ดูซิว่า เกิดอะไรขึ้น…. ท่านอุสซาห์… โธ่!”

ราชาดาวิดเองก็ทรงตกใจมากที่เกิดเหตุเช่นนี้   และพระองค์ทรงไม่พอพระทัยที่พระเจ้าทรงประหารอุสซาห์

แต่ในพระทัยลึก ๆ ของราชาดาวิด  ทรงรู้ว่า ต้องมีอะไรไม่ถูกต้องแน่นอน… มันคืออะไรหรือ?

ราชาดาวิดทรงรู้สึกเกรงกลัวพระเจ้าจับใจ  “แล้วเราจะนำหีบของพระเจ้ากลับไปด้วยได้อย่างไรนะ?”

“เอาอย่างนี้ เราเอาหีบพันธสัญญานี้ไปฝากไว้ที่บ้านของท่านโอเบดเอโดมก่อนแล้วกัน “

ดังนั้น บ้านของท่านโอเบด-เอโดมจึงเป็นที่เก็บรักษาหีบพันธสัญญาไว้จนกว่าราชาดาวิดจะทรงหาทางออกได้

ตลอดเวลานั้น พระเจ้าได้ทรงอวยพรครอบครัว และ งานทุกอย่างของโอเบด-เอโดม

 

กำลังหนุนทางทหาร ๑๒-๒

1 พงศาวดาร 12:23-40

เมื่อดาวิดได้ย้ายมาอยู่ที่เฮโบรนในเวลาต่อมา  ก็มีทหารที่ติดอาวุธเข้ามาสมทบ เพื่อจะร่วมกันมอบอาณาจักรของราชาซาอูลให้  พวกเขาต้องการทำตามที่พระเจ้าได้เคยตรัสไว้  ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ไม่ใช่แต่ผู้ใหญ่และประชาชนเท่านั้นที่จะเชิญให้ดาวิดเป็นกษัตริย์  แต่ทหารจากเผ่าต่าง ๆ  ก็มีน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วย

มีจากเผ่ายูดาห์ชำนาญโล่และหอก  6,800  นาย

จากเผ่าสิเมโอน เป็นทหารเจนศึก    7,100   นาย

คนเลวี                                                 4,600   คน

พงศ์พันธุ์อาโรน                                   3,700   คน

ศาโดกและคนในตระกูล                           22  คน

คนเบนยามิน                                        3,000   คน  พวกนี้เคยจงรักภักดีต่อซาอูล,า่ก่อน

คนเอฟราอิมเป็นทหารกล้า              20,800  นาย

คนมนัสเสห์                                        18,000 นาย  พวกเขาตั้งใจมากที่จะให้ดาวิดเป็นกษัตริย์ นี่ครึ่งเผ่าเท่านั้น

คนเผ่าอิสสาคาร์ เป็นผู้ทำนาย              200 คน  รวมกับคนอื่น ๆ ในครอบครัว

คนเศบูลุน  เป็นทหารฝึกมาอย่างดี   50,000 นาย  พร้อมอาวุธ

คนนัฟทาลี                                           38,000 นาย  เป็นจำนวนรวมเจ้าหน้าที่และทหารพร้อมรบ

คนเผ่าดาน                                           28,600  นาย  พร้อมรบ

คนเผ่าอาเชอร์                                     40,000  นาย  พร้อมทำสงคราม

ยังมีคนที่เพิ่มเติมอีก                        120,000   นาย  พวกนี้มาจากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน  เป็นทั้งคนมนัสเสห์อีกครึ่งหนึ่ง   คนรูเบน คนกาด  ติดอาวุธพร้อมสรรพ

มากมายเหลือเกิน

ทหารมาจากทั่วอิสราเอลมืดฟ้ามัวดิน  ต้องการมาเชิญให้ดาวิดเป็นกษัตริย์  พวกเขาไม่ได้มามือเปล่า แต่เอาอาหารบรรทุกลา ล่อ อูฐ และวัว มาเพียบ   พร้อมที่จะทำการเลี้ยง ซึ่งก็ได้เลี้ยงกันถึง สามวัน  ทุกคนต่างยินดีที่เขาจะได้กษัตริย์องค์ใหม่ที่กล้าหาญ  เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเตรียมให้พวกเขา