เยเรมีย์ 41-1 สังหารหมู่

เยเรมีย์ 41:1-8

ในเดือนที่เจ็ด อิชมาเอลลูกชายเนธานิยาห์ ลูกชายเอลีชามาซึ่งอยู่ในครอบครัวของพระราชา  เป็นข้าราชการชั้นหัวหน้าของพระราชาด้วย  ได้มาหาเกดาลิยาห์ลูกชายอาหิคัมพร้อมกับชาย10 คนที่มิสปาห์
ขณะที่กำลังกินอาหารด้วยกันอยู่นั้น  อิชมาเอลลูกชายเนธานิยาห์พร้อมกับชายสิบคนก็ลุกขึ้น และใช้ดาบสังหารเกดาลิยาห์ลูกชายอาหิคัมลูกชายชาฟานซึ่งกษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการในแผ่นดิน

ยิ่งกว่านั้นอิชมาเอลยังสังหารชาวยูดาห์และชาวเคลเดียที่อยู่กับเกดาลิยาห์ในมิสปาห์ด้วย
หลังจากวันที่ฆาตกรรมเกดาลิยาห์ ก่อนที่ใคร ๆ จะรู้เรื่อง ก็มีชาย 80 คนมากจากเชเคม  ชิโลห์ และสะมาเรีย ทั้งหมดโกนหนวดเครา และเสื้อผ้าขาดวิ่น  ร่างกายเต็มด้วยรอยแผลเชือด… พวกเขานำธัญบูชาและเครื่องหอมมาถวายที่พระวิหารของพระเจ้า
และอิชมาเอลเดินออกมาจากมิสปาห์เพื่อพบพวกเขา ทำทีเป็นร้องไห้ เมื่อพบกันก็กล่าวว่า
“ไปเถอะ เข้าไปหาท่านเกดาลิยาห์ลูกชายอาหิคัม”
เมื่อพวกเขาเข้ามาในเมือง อิชมาเอลลูกชายของเนธานิยาห์ และสมุนของเขาก็สังหารหมู่คนเหล่านั้น โยนศพเข้าไปในที่เก็บน้ำ
แต่มีชายสิบคนในหมู่พวกเขากล่าวแก่อิชมาเอลว่า
“อย่าฆ่าพวกเราเลย  เพราะเรามีเสบียงอาหาร ทั้งข้าวสาลี ข้าวบารเลย์  น้ำมันและน้ำผึ้งซ่อนไว้ในทุ่ง”
ดังนั้นเขาจึงไว้ชีวิตคนเหล่านั้น

เยเรมีย์ 40-3 ไม่เชื่อความหวังดี

เยเรมีย์ 40:13-16

แล้วโยฮานัน ลูกชายของคาเรอาห์และเหล่าผู้นำของกองทหารได้มาหาเกเดลิยาห์ที่มิสปาห์
กล่าวแก่เขาว่า “ท่านรู้ไหมว่า บาอาลิส กษัตริย์ของชาวอัมโมน
ส่งอิชมาเอลลูกชายเนธานิยาห์   มาเพื่อจะสังหารท่าน
(เขาเป็นกลุ่มคนที่เดินทางกลับมาอยู่ใต้ปกครองเกดาลิยาห์)

แต่เกดาลิยาห์ไม่เชื่อเขา
ดังนั้นโยฮานันลูกชายคาเรอาห์ผู้นี้จึงพูดเป็นการลับกับเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ว่า
“ขอให้ข้าไปสังหารอิชมาเอลลูกชายเนธานิยาห์ และจะไม่มีใครล่วงรู้เรื่องนี้
เหตุใดจะปล่อยให้เขาเอาชีวิตของท่าน
แล้วจะทำให้ชาวยิวที่ท่านได้รวบรวมเข้ามาแล้ว กระจัดกระจายไปอีก
กลายเป็นว่าคนที่หลงเหลืออยู่ในแผ่นดินจะพินาศไป”

แต่เกดาลิยาห์ลูกชายอาหิคัมกล่าวกับโยฮานันลูกชายคาเรอาห์
“ท่านอย่าไปทำอย่างนั้นเลย  เพราะท่านกำลังให้ร้ายอิชมาเอลอยู่”

เยเรมีย์ 40-2 ใช่ว่าจะหมดตัว

เยเรมีย์ 40:7-12

เมื่อเหล่าผู้บังคับบัญชาทั้งหลายพร้อมกับทหารแต่ละกองซึ่งอยู่ไกลออกไป
ได้ยินว่า กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ตั้งเกดาลิยาห์ลูกชายอาหิคัมให้เป็นผู้ว่าราชการแผ่นดิน
รวมทั้งได้มอบทั้งชาย หญิง และเด็ก คนที่ยากจนที่สุดซึ่งไม่ได้กวาดไปบาบิโลนให้เขาปกครอง

พวกเขาจึงพากันไปหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์
อิชมาเอลลูกชายเนธานิยาห์
โยฮานันลูกชายคาเรอาห์
เสไรอาห์ลูกชายทันหุเมท
บรรดาลูกชายของเอฟายชาวเนโทฟาห์
เยซันยาห์ลูกชายชาวมาอาคาห์ ทั้งตัวเขาและคนของเขา

เกดาลิยาห์ลูกชายอาหิคัม ลูกชายชาฟานได้ให้ปฏิญาณกับพวกเขาและคนของเขาว่า
“อย่ากลัวที่จะรับใช้คนเคลเดีย
ให้เจ้าอาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ และรับใช้กษัตริย์แห่งบาบิโลน
และทุกอย่างจะไปได้ด้วยดี
ข้าเองจะอาศัยในมิสปาห์ เพื่อเป็นตัวแทนของท่านต่อคนเคลเดียที่จะมาติดต่อกับเรา
ส่วนท่านนั้นให้รวบรวมเหล้าองุ่นและผลไม้ฤดูร้อนและน้ำมัน
ให้สะสมไว้ในภาชนะต่าง ๆ และอาศัยในเมืองที่ท่านยึดได้”

mizpahผู้คนเดินทางมายังมิสปาห์

เช่นเดียวกัน  เมื่อคนยูดาห์ซึ่งอยู่ในโมอับ และคนที่อยู่ท่ามกลางชาวอัมโมน และในเอโดม
ได้ยินว่า กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ทิ้งคนไว้บ้างในยูดาห์
และแต่งตั้งเกดาลิยาห์ลูกชายอาหิคัม ลูกชายชาฟานเป็นผู้ปกครองพวกเขา
ดังนั้นเหล่าคนยูดาห์ซึ่งถูกไล่ออกไปอยู่ที่ไกล ๆ เหล่านั้นจึงกลับมายังแผ่นดินยูดาห์
กลับมาหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์
พวกเขาได้รวบรวมเหล้าองุ่นและผลไม้ฤดูร้อนได้มากมาย

เยเรมีย์ 40-1 การเลือกของเยเรมีย์

เยเรมีย์ 40:1-6

พระดำรัสของพระเจ้ามายังเยเรมีย์หลังจากที่เนบู-ซาระดานซึ่งเป็นผู้บัญชากองทหารรักษาพระองค์
ยอมให้เขาออกมาจากรามาห์ ตอนที่เขาตรวนเขาด้วยโซ่
พร้อมกับเหล่าเชลยจากนครเยรูซาเล็ม และยูดาห์ ที่ถูกพามายังบาบิโลน

ผู้บัญชากองทหารรักษาพระองค์ นำเยเรมีย์เข้ามาและกล่าวว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้ทรงประกาศความหายนะให้กับที่นี้
พระองค์ทรงให้มันเกิดขึ้นจริง และพระองค์ทรงทำอย่างที่ตรัสไว้่
ทั้งนี้เป็นเพราะพวกท่านได้ทำบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
และไม่ได้ฟังพระสุรเสียงของพระองค์
สิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้นกับพวกท่าน
บัดนี้ ดูเถอะ  ข้าจะปล่อยไม่ตรวนมือท่านไว้อีกต่อไป
หากท่านคิดว่าควรจะไปบาบิโลนกับข้า  ก็ไปได้
และข้าจะดูแลท่านเป็นอย่างดี
แต่หากท่านเห็นว่าเป็นการผิดที่จะไปบาบิโลน
ก็ไ่ม่ต้องมา
ขอให้ท่านมองแผ่นดินตรงหน้าท่าน
ให้ท่านไปในที่ ๆ ท่านเห็นสมควรว่าดีและถูกต้อง
หากท่านจะอยู่ที่นี่  ก็ขอให้กลับไปหาเกดาลิยาห์ลูกชายอาหิคัมลูกชายชาฟาน
ราชาแห่งบาบิโลนได้แต่ตั้งท่านนี้ให้เป็นผู้ปกครองเมืองต่าง ๆ ในแผ่นดินยูดาห์
ขอให้ท่านไปอยู่กับเขาท่ามกลางประชาชนที่เหลือ
หรือว่า ท่านจะไปไหนก็ได้ตามใจท่าน

 

แล้วผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ก็ได้ให้เสบียงอาหาร และของกำนัลแก่เยเรมีย์
จากนั้น เยเรมีย์จึงกลับไปหาเกดาลิยาห์ลูกชายอาหิคัมที่มิสปาห์
เยเรมีย์พักอยู่ท่ามกลางประชาชนที่เหลืออยู่บนแผ่นดิน

เยเรมีย์ 39-2 รางวัลแห่งสงคราม

เยเรมีย์ 39:11-18

เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลน ได้บัญชาเนบู-ซาระดานซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์
เรื่องเยเรมีย์ว่า “เอาตัวเขาไป และดูแลเขาให้ดี อย่าทำร้ายเขา
แต่ให้ปฏิบัติต่อเขาตามที่เขาบอก”
ดังนั้น เนบู-ซาระดาน ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์
เนบู-ชัสบานแม่ทัพ
เนอร์กัลซาเรเซอร์ ขุนนางชั้นผู้ใหญ๋ และข้าราชการของกษัตริ์แห่งบาบิโลน
จึงให้คนนำตัวเยเรมีย์ออกมาจากลานทหารรักษาพระองค์
พวกเขาให้เกดาลิยาห์ลูกชายอาหิคัมซึ่งเป็นลูกชายชาฟาน นำเยเรมีย์ไปที่บ้านje
ดังนั้นเยเรมีย์จึงได้อาศัยอยู่กับประชากรของเขา

 มีพระดำรัสของพระเจ้ามายังเยเรมีย์ตอนที่เขายังอยู่ในลานทหารรักษาพระองค์
“จงไปบอกเอเบด-เมเลคชาวเอธิโอเปียว่า ..

องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า
“เรากำลังจะทำตามคำของเราที่ได้กล่าวต่อสู้เมืองนี้ไว้ เป็นหายนะ ไม่ใช่สวัสดิภาพ
และมันจะสำเร็จต่อหน้าต่อตาเจ้าในวันนั้น
แต่เราจะช่วยเจ้าในวันนั้น … องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศ
และเจ้าจะไม่ถูกมอบไว้่ในมือของคนที่เจ้ากลัว
เพราะเราจะช่วยเจ้าแน่นอน เจ้าจะไม่ตายด้วยดาบ
แต่เจ้าจะมีชีิวิตอยู่  เป็นรางวัลแห่งสงคราม เพราะว่า เจ้าได้วางใจในเรา
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศ”

  declares the Lord, and you shall not be given into the hand of the men oof whom you are afraid. 18 For I will surely save you, and you shall not fall by the sword, but you shall have your plife as a prize of war, qbecause you have put your trust in me, declares the Lord.’”

เยเรมีย์ 39-1 ในที่สุด..ความจริงก็มาถึง

เยเรมีย์ 39:1-10
ในปีที่เก้า เดือนที่สิบแห่งรัชสมัยของราชาเศเดคียาห์ ราชาแห่งยูดาห์
เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนและกองทัพได้เ้ข้ามาโจมตีนครเยรูซาเล็ม และล้อมนครนั้น

ในปีที่สิบเอ็ด เดือนที่สี่ วันที่เก้าแ่ห่งรัชสมัยของราชาเศเดคียาห์ นครถูกยึด
เหล่าข้าราชการของกษัตริย์บาบิโลนได้เข้ามาและนั่งอยู่ที่ประตูกลาง
เนอร์กัล-ชาเลเซอร์จากสัมการ์
เนบู-ซาร์เสคิมตำแหน่งรับสารีส์
เนอร์กัล-ซาเลเซอร์ตำแหน่งรับมัก
พร้อมกับข้าราชการคนอื่น ๆ ของกษัตริย์แห่งบาบิโลน

เมื่อราชาเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และทหารเห็นพวกเขา
ก็พากันหนีออกจากเมืองในตอนกลางคืน
โดยไปทางสวนของพระราชาผ่านประตูระหว่างกำแพงทั้งสอง พวกเขามุ่งหน้าไปยังอารบา
แต่กองทัพของเคลเดียได้ติดตามพวกเขาไป และจับตัวราชาเศเดคียาห์ได้ที่ทุ่งราบเยรีโค
เมื่อพวกเขาจับตัวมาแล้วก็นำมาเฝ้าเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ริบลาห์ ในแผ่นดินฮามัท
กษัตริย์แห่งบาบิโลนก็ได้พิพากษาเศเดคียาห์ที่นั่นp.319.d.Sargon.puts.out.eyes.of.Zedekiah
โดยสั่งประหารเหล่าโอรสของเศเดคียาห์ที่ริบลาห์ต่อหน้าต่อตา
ยิ่งกว่านั้นก็สั่งประหารเหล่าชนชั้นสูงของยูดาห์ด้วย

จากนั้นก็ควักดวงตาของราชาเศเดคียาห์ และตีตรวนเพื่อนำไปยังบาบิโลน
พวกเคลเดียได้เผาราชวังและบ้านเรือน ทำลายกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม
แล้วเนบู-ซาราดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ก็ได้นำประชาชนที่เหลืออยู่ในเมือง
และคนที่หนีไปหาเขา รวมทั้งคนที่ยังเหลืออยู่กลับไปยังบาบิโลนทั้งหมด
เนบู-ซาราดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์
ทิ้งแผ่นดินยูดาห์ไว้กับเหล่าคนยากจนที่ไม่มีอะไรเลย
โดยมอบสวนองุ่นและไร่นาไว้ให้พวกเขา

เยเรมีย์ 38-4 ความจริงจากสตรี

เยเรมีย์ 38:20-28
เยเรมีย์กล่าวว่า
“พระองค์จะไม่ถูกส่งให้พวกเขา ขอทรงเชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ที่ข้าพระบาททูล และทุกอย่างที่เกิดขึ้น จะเป็นผลดีต่อพระองค์
พระองค์จะทรงถูกละเว้น ไม่เอาชีวิตไป
แต่หากพระองค์ไม่ทรงยอมต่อราชาบาบิโลน นิมิตที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้กับข้าพระบาทเป็นดังนั้น
ดูเถิด.. เหล่าสตรีที่ถูกทิ้งไว้ในราชวังของราชาแห่งยูดาห์
ถูกนำออกไปให้กับเหล่าข้าราชการของราชาบาบิโลน พวกเธอต่างพูดว่า

“เพื่อนที่ท่านไว้ใจ ก็หลอกลวงท่าน
และมีชัยชนะเหนือท่าน
ตอนนี้ เท้าของท่านจมโคลน
พวกเขาก็หนีหน้าท่านไป

jerusalem-burning
ทั้งเหล่าภรรยา และเหล่าโอรสของพระองค์จะถูกนำไปให้คนเคลเดีย
และพระองค์ไม่อาจจะหนีเงื้อมมือพวกเขาไปได้
จะถูกราชาบาบิโลนจับไว้ นครนี้ก็จะถูกเผาด้วยไฟ”

แล้วราชาเศเดคียาตรัสกับเยเรมีย์ว่า “อย่าให้ใครรู้คำเหล่านี้ แล้วเจ้าจะไม่ตาย
หากพวกข้าราชการรู้ว่า ข้าคุยอะไรกับเจ้า มาถามเจ้าว่า
..ไหน บอกมาซิว่า สนทนาอะไรกับพระราชา และพระองค์ตรัสอะไรกับเจ้า
อย่าซ่อนอะไรไว้จากเรา แล้วเราจะไม่สังหารเจ้า..
เจ้าก็จงกล่าวว่า ..ข้าทูลขอพระราชาไม่ให้ส่งข้าให้ไปตายที่บ้านของโยนาธาน..

แล้วเหล่าข้าราชการก็มาหาเยเรมีย์ ถามเขาอย่างนั้นจริง ๆ
เยเรมีย์จึงตอบพวกเขาไปตามที่พระราชาทรงบัญชา
พวกเขาจึงหยุดพูดกับเขา เพราะคำสนทนาของเขากับพระราชานั้น ไม่มีใครได้ยิน
และเยเรมีย์ยังคงอยู่ในลานทหารรักษาพระองค์จนถึงวันที่นครเยรูซาเล็มถูกยึด

เยเรมีย์ 38-3 ความกลัวของพระราชา

เยเรมีย์ 38:14-19

ราชาเศเดคียาห์ ได้ส่งคนไปนำเยเรมีย์ผู้กล่าวคำมาเฝ้า
พระองค์ทรงพบเขาที่ทางเข้าที่สามของพระวิหาร
พระราชาตรัสแก่เยเรมีย์ว่า …”เราจะถามเจ้า และขออย่าซ่อนอะไรจากเรา”
เยเรมีย์ทูลว่า “หากข้าพระบาทบอกพระองค์  พระองค์จะไม่ทรงประหารข้าพระองค์หรือ?
และหากข้าพระบาทถวายคำปรึกษา พระองค์จะไม่ทรงฟังข้าพระบาท”

แล้วราชาเศเดคียาห์จึงทรงสาบานลับกับเยเรมีย์
“ตราบเท่าที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ผู้ทรงสร้างจิตใจของเรา
เราจะไม่ประหารเจ้า จะไม่ส่งตัวเจ้าให้คนที่พยายามเอาชีวิตเจ้า”

jeremiah-zedekiah

แล้วเยเรมีย์จึงทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเป็นจอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้
หากเจ้าจะยอมแพ้เหล่าข้าราชการของราชาบาบิโลน ชีวิตของเจ้าจะปลอดภัย
นครแห่งนี้จะถูกเผาด้วยไฟ  เจ้าและครอบครัวของเจ้าจะรอดชีวิต
แต่หากเจ้าไม่ยอมต่อข้าราชการของราชาบาบิโลน
นครแห่งนี้จะถูกมอบให้อยู่ในมือของชาวเคลเีดีย
พวกเขาจะเผานครด้วยไป และเจ้าจะไม่อาจหนีพ้นมือพวกเขาได้”

ราชาเศเดคียาห์ตรัสกับเยเรมีย์ว่า
“เรากลัวพวกยิวที่หนีไปอยู่กับคนเคลเดีย  กลัวว่าพวกเขาจะมอบข้าไว้ให้พวกเข
และพวกเขาก็จะทรมานข้าอย่างโหดร้าย”….

เยเรมีย์ 38-2 ช่วยชีวิต!

เยเรมีย์ 38:7-13
เมื่อเอเบดเมเลค ขันทีชาวเอธิโอเปีย ซึ่งอยู่ในราชวังของพระราชาได้ยินว่า
พวกเขาได้จับเยเรมีย์หย่อนลงไปในที่ขังน้ำ
เวลานั้น พระราชาอยู่ที่ประตูเบนยามิน
เอเบดเมเลคจึงเดินมาจากราชวัง เพื่อเข้าเฝ้า ทูลว่า
“ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาท
คนเหล่านี้ได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายต่อท่านเยเรมีย์ผู้กล่าวคำของพระเจ้า
พวกเขาหย่อนท่านลงไปในที่ขังน้ำ
ท่านเยเรมีย์จะต้องตายเพราะความหิวเป็นแน่แท้
เพราะตอนนี้ ไม่มีขนมปังเหลืออยู่ในเมืองเลย

ดังนั้น พระราชาจึงทรงบัญชาเอเบดเมเลคชาวเอธิโอเปีย
“เจ้าจงเอาคนจากที่นี่ไป 30 คน และช่วยกันยกท่านขึ้นมาจากที่ขังน้ำ
ก่อนที่ท่านจะตายไป”

rescues-jeremiah

ดังนั้น เอเบดเมเลคจึงนำชายเหล่านั้นไปกับเขา
เข้าไปในพระราชวัง และไปค้นตู้เสื้อผ้าในคลังพัสดุ
ได้ผ้าเก่าๆ และเสื้อขาดมาหลายตัว
ผูกกับเชือกยาว หย่อนลงไปให้เยเรมีย์ในที่ขังน้ำ
แล้วเอเบดเมเลคบอกเยเรมีย์ว่า
ให้ท่านคล้องผ้าและเสื้อเก่าไว้ใต้รักแร้และเชือก”
เยเรมีย์ก็ทำตามนั้น
แล้วพวกเขาก็ดึงเยเรมีย์ขึ้นมาพร้อมกับเชือก
ยกเขาขึ้นมาจากที่ขังน้ำได้สำเร็จ

หลังจากนั้น เยเรมีย์ก็ยังคงค้างอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์

เยเรมีย์ 38-1 โทษของเยเรมีย์

เยเรมีย์ 38:1-6

เชฟาทิยาห์ ลูกชายของมัทธาน
เกดาลิยาห์ ลูกชายปาชเฮอร์  และ
ยูคาล ลูกชายเชเลมียาห์  และ
ปาชเฮอร์ ลูกชายมัลคียาห์  ได้ยินคำที่เยเรมีย์กล่าวแก่ประชาชนว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า ..
คนที่อยู่ในนครเยรูซาเล็มจะต้องตายด้วยดาบ ความอดอยากและโรคระบาด
แต่คนที่ออกไปหาคนเคลเดียจะมีชีวิตอยู่
เขาจะได้มีชีวิตเป็นบำเหน็จแห่งสงคราม และยังมีชีวิตอยู่ได้…

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า
“นครนี้จะถูกมอบให้อยู่ในมือของกองทัพแห่งราชาแห่งบาบิโลน และจะถูกยึดไว้..

บรรดาข้าราชการจึงทูลพระราชาว่า
“ขอทรงสั่งประหารชายคนนี้ เพราะเขาทำให้ทหารอ่อนกำลังลง
ทั้งมือของประชาชนทั้งหมดด้วย
สิ่งที่เขาพูดแสดงว่า เขาไม่ได้หาสวัสดิภาพให้แก่ประชาชน
แต่กลับจะนำหายนะมาให้เรา”

ราชาเศเดคียาห์ตรัสว่า
“นี่ไง… ชีวิตของเขาอยู่ในมือของพวกท่านแล้ว
เพราะเราไม่อาจขัดใจท่านได้”

Jeremiah-in-the-well

พวกเขาจึงหย่อนเยเรมีย์ลงไปในที่ขังน้ำของมัลคียาห์ โอรสองค์หนึ่งของพระราชา
บ่อน้ำนั้นอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์  โดยเอาเชือกหย่อนเขาลงไป
ในที่ขังน้ำนั้น ไม่มีน้ำ มีแต่โคลน…

และเยเรมีย์ก็จมโคลนลงไป!

เยเรมีย์ 37-2 คำสนทนาลับในวัง

เยเรมีย์ 37:11-21

เมื่อกองทัพเคลเดียถอนออกไปจากนครเยรูซาเล็ม
เนื่องจากกองทัพของฟาโรห์กำลังมุ่งมายังนครนี้
เยเรมีย์ก็ออกจากนครเยรูซาเล็ม  มุ่งหน้าไปยังแผ่นดินเบนยามิน
เพื่อไปรับส่วนแบ่งที่ดินของเขาจากประชาชนที่นั่น

เมื่อเขาไปถึงประตูเบนยามิน
หัวหน้ายามชื่ออิรียาห์ ลูกชายเชเลมิยาห์ ลูกชายฮานันยาห์
ก็เข้ามาจับกุมเขากล่าวว่า
“ท่านกำลังแปรพักตร์ หนีไปหาชาวเคลเดีย”

เยเรมีย์กล่าวว่า “ไม่เป็นความจริง เราไม่ได้ไปหาชาวเคลเดีย”
แต่อิรียาห์ก็ไม่ฟังเขา จับกุมเยเรมีย์และนำเขาพบเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่โกรธเยเรมีย์มาก จึงโบยตีเขา และจองจำเขาไว้ในบ้านของโยนาธานซึ่งเป็นเลขานุการ
บ้านนั้นเป็นบ้านที่ดัดแปลงให้เป็นเรือนจำ

เมื่อเยเรมีย์มาถึงคุกมืด.. เขาก็ถูกจองจำไว้ในนั้นหลายวัน
ราชาเศเดคียาห์ส่งคนมาหา และรับเขาไป
พระราชาได้ถามเยเรมีย์อย่างลับ ๆ ในราชวัง กล่าวว่า
“มีพระดำรัสมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าบ้างไหม? ”
“มี พะยะค่ะ”  เยเรมีย์ตอบ
“ฝ่าพระบาทจะถูกส่งไปถึงมือของราชาแห่งบาบิโลน”
และเยเรมีย์ยังทูลต่อไปด้วยว่า
“ข้าพระบาทได้ทำผิดอย่างใดต่อฝ่าพระบาท หรือข้าราชบริพารของพระองค์
หรือได้ทำผิดสิ่งใดต่อประชาชนจึงได้จองจำข้าพระบาทไว้ในคุก?
เหล่าผู้กล่าวคำที่ทำนายต่อฝ่าพระบาทว่า .. ราชาแห่งบาบิโลนจะไม่เข้ามา
ต่อสู้พระองค์หรือแผ่นดินนี้… พวกเขาไปอยู่ที่ไหนกัน ?
ขอฝ่าพระบาทโปรดฟัง ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาท
ข้าพระบาททูลขอต่อพระองค์ว่า อย่าส่งข้าพระบาทกลับไปยังบ้านของโยนาธานผู้เป็นเลขานุการเลย
เพราะว่าข้าพระบาทอาจจะตายที่นั่น”

breads5

ดังนั้นราชาเศเดคียาห์จึงทรงบัญชาให้นำเยเรมีย์ไปไว้ที่ลานทหารรักษาพระองค์
และให้ส่งขนมปังจากคนทำขนมปังตามถนน ให้เขาทุกวัน
จนกระทั่งไม่มีขนมปังเหลือในเมือง
ดังนั้นเยเรมีย์จึงถูกคุมตัวอยู่ที่นั่น

เยเรมีย์ 37-1 เตือนเศเดคียาห์

เยเรมีย์ 37:1-10

เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ตั้งให้ราชาเศเดคียาห์ โอรสราชาโยสิยาห์
เป็นกษัตริย์ครองแผ่นดินยูดาห์ แทนที่โคนิยาห์ซึ่งเป็นโอรสของราชาเยโฮยาคิม
แต่ทั้งเศเดคียาห์ และเหล่าข้าราชการ รวมไปถึงประชาชนต่างก็ไม่สนใจที่จะฟัง
พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้ตรัสผ่านเยเรมีย์ผู้มีหน้าที่กล่าวคำของพระองค์

ราชาเศเดคียาห์ได้ส่งเยฮูคัล ลูกชายเชเลมิยาห์
และปุโรหิตเศฟันยาห์ ลูกชายมาอาเสอาห์มาหาเยเรมีย์ และขอร้องว่า
“ขอท่านโปรดอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราเพื่อพวกเรา”

ตอนนี้เยเรมีย์ยังคงไปมาท่ามกลางประชาชน เพราะเขายังไม่ถูกจำจอง

เมื่อกองทัพของฟาโรห์ออกมาจากอียิปต์ และเมื่อชาวเคลเีดียซึ่งกำลังล้อมนครเยรูซาเล็มได้ข่าว
พวกเขาจึงถอนทัพออกไปจากนครเยรูซาเล็มjeremiah37

แล้วพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ผู้กล่าวคำ
“องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้
เจ้าจงทูลต่อราชาแห่งยูดาห์ที่ได้ส่งคนมาและให้ขอร้องเราว่า
..ดูเถิด กองทัพฟาโรห์ที่ออกมาเพื่อช่วยเจ้านั้น กำลังจะกลับไปยังอียิปต์ บ้านเมืองของพวกเขา
และชาวเคลเดียจะกลับมาต่อสู้กับนครนี้อีก
พวกเขาจะยึดเราได้ และเผาเสียด้วยไฟ

ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า .. อย่าหลอกตัวเองด้วยการกล่าวว่า
.. คนเคลเดียจะถอยออกจากเราไปเป็นแน่  เพราะพวกเขาจะไม่ไป
เพราะถึงแม้เจ้าจะสามารถทำลายกองทัพเคลเดียที่มาต่อสู้เจ้า
และพวกเขาจะเหลือแค่ทหารที่บาดเจ็บ
ทุกคนจะลุกขึ้นมาจากกระโจมของเขา พวกเขาจะลุกขึ้น
และเผานครนี้เสียด้วยไฟ!”

เยเรมีย์ 36-4 เผาได้ก็เขียนใหม่ได้

เยเรมีย์ 36:27-32
แล้วหลังจากที่พระราชาได้ทรงสั่งเผาหนังสือม้วนที่บารุคเขียนตามคำบอกของเยเรมีห์แล้ว
พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มายังเยเรมีย์ว่า
จงไปเอาหนังสือม้วนใหม่มา และเขียนคำที่อยู่ในหนังสือม้วนแรกที่ราชาเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้เผาไปนั้น
และในส่วนที่เกี่ยวข้องกับราชาเยโฮยาคิม กษัตริย์แห่งยูดาห์นั้น ให้เจ้าเขียนว่า
.. องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้.. เจ้าได้เผาหนังสือม้วน และยังกล่าวว่า
.. เหตุใดเจ้าจึงเขียนว่า ราชาแห่งบาบิโลนจะมาและทำลายแผ่นดินนี้ และจะไม่ให้มีทั้งสัตว์หรือมนุษย์อาศัยอยู่?..
baruch
ภาพแกะสลักไม้โดย กุสตาฟ ดอเร่ (1832-1883)

ดังนั้น… องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเยโฮยาคิม กษัตริย์แห่งยูดาห์..
นั่นคือ เขาจะไม่มีใครในลูกหลานที่จะมานั่งบนบัลลังก์ของดาวิด
ศพของเขาจะถูกโยนลงไปในที่โล่ง เจอกับความร้อนของวัน และความหนาวของคืน
และเราจะลงโทษเขา ลูกหลานของเขา เหล่าข้าราชบริพารทั้งหลาย เพราะความผิดบาปของเขา
เราจะนำหายนะมาสู่ตัวเขา คนที่อาศัยในนครเยรูซาเล็ม และคนชาวยูดาห์ทั้งปวง
ตามที่เราเคยบอกเตือนไว้ แต่ก็ไม่มีใครสนใจที่จะัฟัง

แล้วเยเรมีย์จึงไปเอาหนังสือม้วนมาอีกม้วน และมอบให้บารุคผู้เป็นอาลักษณ์ ลูกชายของเนรียาห์
ผู้ที่เขียนหนังสือม้ิวนซึ่งราชาเยโฮยาคิมได้เผาไฟไปเสีย
จึงได้มีการเขียนบันทึกลงไปอีกครั้งเหมือนกับที่เคยเขียนนั้น

เยเรมีย์ 36-3 ไม่เห็นจะกลัว!

เยเรมีย์ 36:20-26
ดังนั้น พวกเขาจึงพากันไปยังท้องพระโรงของพระราชา
โดยเก็บหนังสือม้วนนั้นไว้ในห้องของเลขานุการ คือ เอลีชามา
พวกเขารายงานคำที่อยู่ในหนังสือม้วนแก่พระราชา
ดังนั้น พระราชาจึงส่งเยฮูดีใ้ห้ไปเอาหนังสือม้วนนั้นมาถวาย
เยฮูดีไปเอาหนังสือม้วนออกมาจากห้องของเอลีชามา ผู้เป็นเลขานุการ

จากนั้น เยฮูดีก็ได้อ่านคำจากหนังสือม้วนถวายพระราชา และข้าราชการที่อยู่ข้าง ๆ พระองค์ได้ฟังด้วย
เวลานั้นเป็นเดือนที่เก้า พระราชาประทับในวังฤดูหนาว
จึงมีกองไฟที่ลุกอยู่ในหม้อไฟด้านหน้าพระราชา
cut_it_with_the_penknife

ขณะที่เยฮูดีอ่านไปได้สามสี่ตอน พระราชาก็จะตัดหนังสือนั้นออกด้วยมีดและโยนลงในกองไฟในหม้อไฟนั้น
จนกระทั่งหนังสือม้วนทั้งเล่มถูกไฟในหม้อไฟเผาจนหมด!

ไม่ว่าจะเป็นพระราชา มหาดเล็กที่ได้ยินคำเหล่านี้จะรู้สึกกลัว หรือเสียใจกับความบาป หลั่งน้ำตา หรือฉีกเสื้อผ้าของตน
แม้เวลาที่เอลนาธัน เดไลยาห์ และเกมาริยาห์ ได้ขอให้พระราชาไม่เผาหนังสือม้วน
พระราชาก็ไม่ฟังพวกเขาเลย

และพระราชาทรงบัญชาให้โอรสคือ เยราเมเอล
และเชเลมิยาห์ลูกชายอัสรีเอล กับเชเลมิยาห์ลูกชายอับเดเอลไปจับกุมตัวบารุคผู้บันทึก
และเยเรมีย์ผู้กล่าวคำของพระเจ้ามาลงโทษ
แต่พระเจ้าทรงซ่อนพวกเขาไว้!

เยเรมีย์ 36-2 เพราะหนังสือนี้..ต้องหนี

เยเรมีย์ 36:11-19

เมื่อมีคายาห์ลูกชายเกมาริยาห์ซึ่งเป็นลูกชายของชาฟาน ได้ยินพระดำรัสของพระเจ้าจากหนังสือม้วน  เขาจึงไปยังราชวังของกษัตริย์ เข้าไปในห้องของเลขานุการ  มีข้าราชการหลายคนนั่งอยู่ในนั้น

คือเอลีชามา ราชเลขา
เดไลยาห์ ลูกชายเชไมอาห์
เอลนาธัน  ลูกชายอัคโบร
เกมาริยาห์ ลูกชายชาฟาน
เศเดคียาห์ ลูกชายฮานันยาห์รวมไปถึงข้าราชการคนอื่น ๆ   และมีคายาห์ก็เล่าสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินมาจากการอ่านหนังสือม้วนของบารุค ซึ่งอ่านต่อหน้าประชาชนคนอื่น ๆ ด้วย
แล้วจากนั้น เหล่าข้าราชการก็ส่งเยฮูดี ลูกชายเนธานิยาห์  ลูกชายเชเลมิยาห์ ลูกชายคูชี ให้ไปพูดกับบารุคว่า.. “จงถือหนังสือที่เจ้าอ่านต่อหน้าประชาชน และมากับข้า”… ดังนั้นบารุค ลูกชายเนริยาห์จึงหอบหนังสือมาหาพวกเขา
พวกเขาพูดกับบารุคว่า … “นั่งลง และอ่านให้เราฟัง”  ดังนั้นบารุคจึงอ่านหนังสือนั้นให้พวกเขาฟัง

nungsuemuan
เมื่อพวกเขาได้ยินคำทั้งหมด ก็มองหน้ากันไปมาด้วยความกลัว พวกเขากล่าวกับบารุคว่า  ”เราจะต้องรายงานเรื่องนี้ให้กับพระราชา”.
แล้วพวกเขาก็ถามบารุคว่า   ”ไหนบอกมาซิว่า เจ้าเขียนหนังสือนี้ออกมาได้อย่างไร  เขียนตามคำบอกของเขาใช่ไหม?”
บารุคจึงตอบว่า  ”เขาได้บอกทุกถ้อยคำแก่ข้าพเจ้า ในขณะที่ข้าพเจ้าก็เขียนด้วยน้ำหมึกลงบนหนังสือม้วน ”

ดังนั้น ข้าราชการจึงกล่าวว่า “เจ้าจงไปและซ่อนตัวเสีย ทั้งเจ้าและท่านเยเรมีย์ อย่าให้ใครรู้ว่า เจ้าทั้งสองอยู่ที่ไหน”

เยเรมีย์ 36-1 สื่อที่พระเจ้าทรงใช้

เยเรมีย์ 36:1-10

ในปีที่สี่ ของรัชสมัยเยโฮยาคิม โอรสราชาโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์
มีพระดำรัสของพระองค์พระผู้เป็นเจ้ามายังเยเรมีย์ว่า

“จงเอาหนังสือม้วนมาบันทึกคำที่เรากล่าวต่อต้านอิสราเอล ยูดาห์ และประชาชาติทั้งปวง
บันทึกตั้งแต่วันที่เราพูดกับเจ้าจากสมัยของโยสิยาห์จนทุกวันนี้
เผื่อว่าวงศ์วานของยูดาห์จะได้ยินเรื่องของหายนะที่เราจะทำกับพวกเขา
แล้วจะได้หันจากความบาปชั่ว และเพื่อว่าเราจะได้ยกโทษความผิดและบาปของพวกเขา
แล้วเยเรมีห์จึงเรียกบารุคลูกชายเนริยาห์
และบารุคก็ได้บันทึกพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ตามที่เยเรมีย์บอกลงในหนังสือม้วน
และเยเรมีย์สั่งบารุคว่า
“ข้าถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ดังนั้นเจ้าจงไป และในวันถืออด เจ้าจงอ่านพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จากหนังสือม้วนที่เจ้าได้บันทึกตามคำบอกของข้าให้กับประชาชนได้รับฟัง
เจ้าจะอ่านให้คนยูดาห์ที่มาจากหัวเมืองต่าง ๆ ให้พวกเขาได้รับรู้ ได้ยินด้วย
เผื่อว่าคำทูลขอความเมตตาของพวกเขาจะได้มาถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า
และทุกคนจะหันจากบาป  เพราะความกริ้ว พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ที่ทรงประกาศเหนือคนเหล่านี้ มันใหญ่ยิ่งน่ากลัวนัก “

ภาพวาดโดยกุสตาฟ ดอเร่
ภาพวาดโดยกุสตาฟ ดอเร่

และบารุคลูกชายเนริยาห์ก็ได้ทำทุกอย่างตามที่เยเรมีย์ผู้กล่าวคำของพระเจ้าได้สั่งไว้
ในเรื่องการอ่านพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า  จากหนังสือม้วนให้ประชาชนในพระวิหารฟัง
ในปีที่ห้า รัชสมัยของเยโฮยาคิม โอรสราชาโยสิยาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์
ตอนนั้นเป็นเดือนที่เก้า เหล่าคนที่มายังนครเยรูซาเล็มจากหัวเมืองต่าง ๆ ในยูดาห์
ก็ได้เข้ามาร่วมในพิธีถืออดอาหารต่อพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

และบารุคก็ได้อ่านคำที่บันทึกจากปากของเยเรมีย์
ให้ประชาชนทั้งหลายฟังในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ในห้องของเกมาริยาห์ลูกชายชาฟานซึ่งเป็นเลขานุการ
ห้องนั้นอยู่ในลานวิหาร บนทางเข้าประตูใหม่แห่งพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า

เยเรมีย์ 35-2 พรสำหรับตระกูลเรคาบ

เยเรมีย์ 35:12-19

แล้วพระดำรัสของพระเจ้าก็มาถึงเยเรมีย์

“องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้..
จงไปและกล่าวแก่ประชาชนยูดาห์และคนที่อาศัยในเยรูซาเล็ม ว่า
เจ้าจะไม่รับคำสอนและจะไม่ฟังคำของเราหรือ?..
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศ
คำสั่งของโยนาดับ ลูกชายเรคาบที่สั่งลูกๆ ของเขาไว้ว่าไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่น
ลูก ๆ เขายังเชื่อฟัง ไม่ดื่มเหล้าองุ่นจนทุกวันนี้

rechabites
ที่เป็นอย่างนั้นเพราะพวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของพ่อ
เราเองได้พูดกับเจ้าไม่หยุดหย่อน แต่เจ้าก็ไม่ฟังเสียงของเรา
เราส่งคนรับใช้ของเรา ทั้งผู้กล่าวคำ ส่งไปหาเจ้าอยู่เรื่อย ๆ  เตือนเจ้าว่า ..
ให้เจ้าทุกคนหันจากทางแห่งความชั่ว และแก้ไขการกระทำของตน
และไม่ให้วิ่งตามไปปรนนิบัติพระอื่น
เพื่อว่าเจ้าจะได้อาศัยในแผ่นดินที่เรามอบให้เจ้าและบรรพบุรุษของเจ้า
แต่เจ้าก็ไม่เอียงหูของเจ้าเพื่อฟังเรา
พวกลูกชายของโยนาดับ ลูกเราคาบได้รักษาคำสั่งที่พ่อสั่งไว้ แต่ประชาชนเหล่านี้ไม่เชื่อฟังเรา

ดังนั้น … องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า
ดูเถอะ เราจะนำหายนะมายังยูดาห์และคนที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม
เป็นหายนะที่เราได้บอกล่วงหน้าไว้ เพราะเราพูดกับพวกเขา แต่เขาก็ไม่ฟัง
เราเรียกเขา แต่ก็ไม่มีใครตอบ”

แต่สำหรับตระกูลเรคาบนั้น เยเรมีย์กล่าวว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า
เพราะเจ้าได้เชื่อฟังคำสั่งของพ่อเจ้า และรักษากฎเกณฑ์ทั้งกลาย
รวมทั้งยังได่ทำทุกสิ่งที่พ่อสั่งไว้ ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพ
พระเจ้าแห่งอิสราเอลจึงได้ตรัสว่า โยนาดับ ลูกชายของเรคาบ
จะไม่ขาดชายที่จะยืนอยู่ต่อหน้าเราเลย

เยเรมีย์ 35-1 ก็จะเชื่อฟัง..

เยเรมีย์ 35:1-11

ความเชื่อฟังของคนตระกูลเรคาบ

พระดำรัสของพระเจ้ามายังเยเรมีย์ ในรัชสมัยของราชาเยโฮยาคิม
โอรสราชาโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์
“เจ้าจงไปที่บ้านของคนตระกูลเรคาบและพูดกับเขา

และนำเขามายังพระวิหารของพระเจ้า  มายังห้อง ๆ หนึ่ง
และให้พวกเขาดื่มเหล้าองุ่น

ดังนั้น ข้าจึงนำยาอาซันยาห์ บุตรเยเรมีย์ซึ่งเป็นบุตรฮาบาซินยาห์กับพี่น้องชาย รวมกับลูกชายทุกคน และคนทั้งตระกูลเรคาบ
ข้านำเข้าไปยังพระวิหารของพระเจ้า
เข้าไปในห้องของลูกชายฮานันซึ่งเป็นลูกชายของอิกดาลิยาห์คนของพระเจ้า
ห้องนี้อยู่ใกล้ห้องของเจ้าหน้าที่
อยู่เหนือห้องของมาอาเสอาห์ลูกชายของชัลลูมคนที่มีหน้าที่ดูแลธรณีประตู

เมื่อข้าวางไหซึ่งมีเหล้าองุ่นบรรจุอยู่เต็ม รวมทั้งถ้วยอีกหลายใบ กล่าวกับพวกเขาว่า
..ดื่มเหล้าองุ่นซิขอรับ..

 

ภาพเอื้อเฟื้อจาก http://www.visualbiblealive.com/
ภาพเอื้อเฟื้อจาก http://www.visualbiblealive.com/

แต่พวกเขาตอบว่า ..เราไม่ดื่มเหล้าองุ่น
เพราะท่านพ่อของเราคือโยนาดับบุตรเรคาบได้สั่งเราไว้ว่า..
เจ้าจะต้องไม่ดื่มเหล้าองุ่น ทั้งตัวเจ้าและลูกหลานของเจ้าตลอดไป
พวกเจ้าจะต้องไม่สร้างบ้าน หรือหว่านเมล็ดพืช ปลูกหรือมีสวนองุ่น
แต่เจ้าจะต้องอาศัยในกระโจมตลอดไป
เพื่อว่าเจ้าจะได้มีชีวิตยืนนานในแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่

เราได้เชื่อฟังคำสั่งของท่านพ่อ คือโยนาดับ ลูกชายของเรคาบ
ที่ท่านพ่อสั่งเรื่องไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่นตลอดชีวิตของเรา
ทั้งตัวเรา ภรรยา ลูกชาย ลูกสาวของเราด้วย
และเราจะต้องไม่สร้างบ้านเรือนเพื่ออาศัย เราจะไม่มีส่วนองุ่นหรือท้องนา หรือเมล็ดพันธุ์
แต่เราได้อาศัยในกระโจม และได้เชื่อฟังทุกอย่างที่พ่อของเราบัญชาเรา
แต่เมื่อราชาเนบูคัดเนสซาร์ได้เข้ามาโจมตีแผ่นดิน เรากล่าวว่า
”มาเถอะ ให้เราเข้าไปที่เยรูซาเล็ม
เพราะเรากลัวกองทัพของคนเคลเดียและคนซีเรีย”
ดังนั้นตอนนี้เราจึงอาศัยในนครเยรูซาเล็ม

เยเรมีย์ 34-3 เมื่อละเมิดสัญญา

เยเรมีย์ 34:17-22

“ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
เจ้าไม่ได้เชื่อฟังเรา  เจ้าไม่ประกาศอิสรภาพให้กับพี่น้องและเพื่อนบ้านของเจ้า
ดูเถิด เราจะประกาศให้เจ้าพบกับดาบ โรคระบาดและความอดอยาก
เราจะทำให้เจ้าเป็นที่หวาดหวั่นต่อเหล่าอาณาจักรทั้งหลายในโลก

และคนที่ได้ล่วงละเมิดพันธสัญญาของเรา และไม่รักษาสัญญา
ตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ได้ทำต่อหน้าเรา
เราจะทำให้เขาเป็นเหมือนวัวที่ถูกตัดเป็นสองท่อน
และมีคนเดินผ่านท่อนเหล่านั้น
เหล่าข้าราชการของยูดาห์  ขันที ปุโรหิต
และประชาชนทั้งหลายในแผ่นดินคือคนที่เดินผ่านท่อนวัวนั้น

และเราจะมอบเขาไว้ในมือของศัตรู  ให้ไปอยู่ในมือของคนที่พยายามเอาชีวิตของเขา

ซากศพของพวกเขาจะกลายเป็นอาหารของนกในอากาศ และสัตว์ป่าบนแผ่นดิน

zedekiah (2)

และเศเดคียาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์พร้อมกับข้าราชการของเขานั้น
เราจะมอบให้ไว้ในมือของศัตรู  ของคนที่พยายามจะเอาชีวิตของเขา
ให้ไว้ในมือของกองทัพแห่งกษัตริย์แห่งบาบิโลนซึ่งตอนนี้ได้ถอยทัพไปจากเจ้า
ดูเถิด… องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศ …
เราจะบัญชา และเราจะนำพวกเขากลับมายังนครนี้
พวกเขาจะสู้และสามารถยึดเมืองได้ จะเผาเมืองเสียด้วยไฟ
เราจะทำให้เมืองต่าง ๆ ในยูดาห์กลายเป็นเมืองรกร้าง ไม่มีคน

เยเรมีย์ 34-2 เอาทาสของข้าคืนมา

เยเรมีย์ 34:8-16

พระวจนะของพระเจ้าที่มาถึงเยเรมีย์จากองค์พระผู้เป็นเจ้า
หลังจากที่ราชาเศเดคียาห์ได้ทำพันธสัญญากับประชาชนทั้งปวงในนครเยรูซาเล็ม
เพื่อประกาศอิสรภาพให้กับพวกเขา
นั่นคือ ทุกคนควรจะปล่อยทาสที่เป็นชาวฮิบรู ทั้งชายและหญิง
เพื่อว่าจะไม่มีใครทำให้ยิวซึ่งเป็นพี่น้องของเขาต้องเป็นทาสเลย

พวกเขาเชื่อฟัง ทั้งข้าราชการและคนที่ได้เข้ามาทำพันธสัญญาปลดปล่อยทาสทั้งชายหญิง
เพื่อว่าพวกเขาจะไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป  พวกเขาเชื่อฟัง และปล่อยให้ทาสเป็นอิสระ

แต่หลังจากนั้นมา พวกเขาก็หันกลับ และเอาทั้งชายหญิงที่เคยเป็นทาสนั้น ให้กลับมาเป็นทาสอีกครั้ง

พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงมายังเยเรมีห์ว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า
เราเองได้ทำสัญญากับบรรพบุรุษของพวกเจ้า
เมื่อเรานำเขาออกมาจากอียิปต์ ซึ่งเป็นดั่งเรือนทาสกล่าวด้วยว่า
.. ทุก ๆ ปีที่เจ็ดเจ้าจะต้องปล่อยเพื่อนชาวฮิบรูด้วยกันที่ถูกขายมาให้เจ้า
และได้รับใช้เจ้ามาหกปี  เจ้าจะต้องปล่อยเขาให้เป็นอิสระ
แต่บรรพบุรุษของเจ้าไม่ได้ฟังเสียงของเรา ไม่เอียงหูฟังเรา  freeslave

ไม่นานมานี้ พวกเจ้าก็ได้กลับใจ และทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา
โดยการประกาศอิสรภาพให้เพื่อนบ้านของตน
และเจ้าก็ได้ทำพันธสัญญาต่อหน้าเรา ในวิหารที่เรียกตามชื่อของเรา
แต่แล้วเจ้ากลับหันหลังและทำให้นามของเราเป็นที่เสื่อมเสีย
เมื่อเจ้าได้นำชายและหญิงเหล่านั้นกลับมาเป็นทาสตามใจของเจ้า
และเจ้าทำให้พวกเขาต้องยอมเป็นทาสใต้บังคับของเจ้าอีก