สรุปย่อ โยนาห์

ข้าพระบาททูลขอความช่วยเหลือ

จากที่ลึกแห่งแดนความตาย

และพระองค์ทรงฟังเสียงร้องทูลของข้าพระบาท

ถอดความจาก โยนาห์ 2:2

33-Jonah-Thai

 

บทสรุปย่อ  โยนาห์

เพื่อให้เพื่อน ๆ ได้อ่านพระคัมภีร์โดยมองเห็นภาพรวมโดยฟังจากดร.ทิม แมคกี

พร้อมกับดูโปสเตอร์ จะเข้าใจความหมายได้อย่างสมบูรณ์ ดูยูทูบที่

เลือกซับไตเติ้ลภาษาไทยได้ ให้คลิกที่เครื่องหมาย setting

บทสรุปที่เป็นโปสเตอร์นี้ เราได้รับอนุญาตการแปลจาก ไบเบิลโปรเจกต์
โดยสามารถนำไปใช้เพื่อการศึกษาในคริสตจักร กลุ่มเซลต่าง ๆ ในชั้นเรียนรวีฯ
หรือการเรียนพระคัมภีร์ส่วนตัวได้โดยไม่ให้ใช้เพื่อการค้า

[email protected]

ขอบคุณสำหรับฟอนต์ไทยจาก ฟอนต์.คอม

โยนาห์ 4-2

แต่ตอนเช้าของวันถัดมา  พระเจ้าทรงให้หนอนตัวหนึ่งมาแทะกินต้นไม้จนเหี่ยวแห้งไป  เมื่ออาทิตย์ขึ้น  พระเจ้าก็ทรงให้ลมร้อนทางตะวันออกพัดมา และแสงอาทิตย์ก็แผดเผาศีรษะโยนาห์จนเป็นลม

เขาจึงขอตายอีก  และกล่าวว่า “ ที่ข้าพเจ้าจะตายก็ดีกว่ามีชีวิตอยู่”
แต่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ว่า “เจ้าทำดีแล้วหรือที่มาโกรธต้นไม้?”

“ใช่แล้วพระเจ้าข้า  ข้าพเจ้าทำดีแล้วที่จะโกรธ  โกรธมากพอที่จะตายไปเลย”


และพระเจ้าตรัสว่า “เจ้าเสียดายเถาไม้ที่เจ้าเองไม่ได้ปลูก เจ้าไม่ได้ทำให้มันโต มันงอกขึ้นตอนกลางคืน และเหี่ยวแห้งไปชั่วคืนเดียว   คนชาวเมืองนีนะเวห์ที่มีคนตั้ง 120,000  คน  พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก แล้วสัตว์เลี้ยงอีกมากมายนั้นเล่า?  โยนาห์ เราไม่ควรจะสงสารพวกเขารึ?”

หลายคนรู้สึกสมน้ำหน้าโยนาห์ที่ต้นไม้เลื้อยนั้นกลับเหี่ยวแห้งตายไป

พระเจ้าทรงดีต่อเขา แต่เขาไม่เห็นน้ำพระทัยนั้น กลับปั่นป่วนในใจที่ชาวนีนะเวห์จะรอดพ้นภัยพิบัติ  โยนาห์ทำให้เราเห็นลึก ๆ ในใจของตัวเราเองไหม     โยนาห์หลงคิดว่า เขาไม่ควรจะช่วยให้คนที่หลงผิดรอดตาย  เขาคิดได้อย่างไรนะนี่  เขาสนใจต้นไม้ตายยิ่งกว่าคนจะต้องตายเสียอีก

พระเจ้าทรงทำให้เราเห็นว่า

พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของมนุษย์ทุก ๆ คนจริง ๆ

 

โยนาห์ 4-1

ที่พระเจ้าไม่ทรงทำลายเมืองนีนะเวห์…. โยนาห์กลับไม่พอใจอย่างยิ่ง
เขาโกรธ   ดังนั้นจึงทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า  ตอนที่ข้าพเจ้ายังอยู่ที่บ้านเกิดนั้น  ข้าพเจ้าก็ได้พูดแล้วนี่นา  ข้าพเจ้าจึงหนีไปยังเมืองทารชิช

ข้าพเจ้ารู้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เต็มด้วยพระคุณ และทรงเมตตายิ่งนัก  พระองค์ทรงโกรธช้า และในพระทัยเต็มด้วยความรักมั่นคง

ดังนั้น บัดนี้ พระเจ้าข้า  ขอทรงโปรดเอาชีวิตของข้าพเจ้าไป  สำหรับข้าพเจ้าแล้วที่จะตายก็ดีกว่ามีชีวิตอยู่”  พระเจ้าตรัสกับเขาว่า  “เจ้าทำดีแล้วหรือที่มาโกรธเกรี้ยวอย่างนี้?”

โยนาห์เดินทางออกจากเมืองนีนะเวห์ และนั่งอยู่ทางตะวันออกของเมือง  แล้วเขาก็ทำเพิงเล็ก ๆ เพื่อว่าจะได้นั่งหลบแดด   เขาจะนั่งตรงนั้นจนกว่าจะเห็นว่า เกิดอะไรขึ้นกับเมือง

แล้วพระเจ้าก็ทรงให้มีต้นพืชเกิดขึ้นมา เลื้อยขึ้นไปบนเพิงเพื่อว่ามันจะได้เป็นที่หลบแดดให้กับเขา  จะได้สบายตัว  โยนาห์ดีใจมากที่มีต้นไม้เลื้อยนี้ขึ้นมา

จากคำพูดของโยนาห์นั้น แสดงว่า ที่เขาไม่อยากไปเมืองนีนะเวห์เพราะเขาเชื่อว่า พระเจ้าจะไม่ทรงทำลายเมืองนี้แน่   ก็ทรงห่วงใย และส่งเขาไป  แน่นอน พระองค์ทรงมีแผนที่จะให้ชาวนีนะเวห์ได้รอดพ้น  เขารู้พระทัยของพระเจ้าดีว่า พระองค์ทรงเมตตาขนาดไหน

แถมยังย้ำเหมือนกับเด็กดื้อด้วยว่า  ที่หนีไปก็เพราะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

โยนาห์นี่เป็นคนอย่างไรกัน  มีโอกาสทำสิ่งที่ดี ไม่อยากทำ  แล้วเมื่อต้องทำ ได้ช่วยเหลือคนมากมาย ก็ยังมาโกรธแล้วอยากตายไปให้พ้น ๆ เสียอีก

แต่เวลานั้นเอง พระเจ้าทรงเห็นว่า เขาจะร้อน จึงทรงส่งต้นไม้มาให้…

จะเกิดอะไรต่อไป…

 

โยนาห์ 3-2

โยนาห์ 3:6-10

เมื่อราชาแห่งนีนะเวห์ได้ยินเรื่องของโยนาห์  ก็ทรงลุกจากบัลลังก์ ถอดฉลองพระองค์อันงดงามออก และทรงสวมเสื้อที่ทำจากผ้ากระสอบ  และทรงนั่งลงในขี้เถ้า   พระองค์ทรงบัญชาออกไปจนทั่วเมืองว่า

“โดยคำสั่งจากพระราชาและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่   อย่าให้คน สัตว์ สัตว์เลี้ยง กินอะไรเลย  ไม่ต้องกินอาหาร หรือดื่มน้ำ  ให้ทั้งคนและสัตว์สวมผ้ากระสอบ  และร้องทูล เรียกหาพระเจ้าอย่างสุดใจ

ให้ทุกคนหันจากความบาปชั่วและความโหดร้ายที่มือของพวกเขากระทำ

ใครจะรู้บ้างว่า พระเจ้าอาจทรงเปลี่ยนพระทัย และไม่โกรธเรา เพื่อว่าเราจะไม่พินาศ”

เมื่อพระเจ้าทรงเห็นสิ่งที่พวกเขาทำ  การหันจากความบาป  พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ส่งความหายนะมายังเมืองนีนะเวห์   ตามที่พระองค์ทรงคาดโทษเขาไว้

 

 

 

ดูซิ  เมื่อโยนาห์เชื่อฟังพระเจ้า    สิ่งที่ตอบแทนมันยิ่งใหญ่เหลือเกิน

คนเป็นอันมากไม่ต้องถูกลงโทษเพราะความผิด  เนื่องจากว่า เขากลับใจทัน  กลับใจอย่างจริงใจ ลึกซึ้ง

พระราชาของนีนะเวห์ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ช่วยให้ภัยพิบัติไม่ต้องมาถึง   คำสั่งจากพระราชาย่อมไปถึงคนทุกคน

ที่น่าแปลกคือ ถึงทั้งสัตว์เลี้ยงด้วย  พวกเขาคิดอะไรกันนะ?


โยนาห์ 3-1

โยนาห์ 3:1-5

และพระเจ้าได้ตรัสกับโยนาห์อีกเป็นครั้งที่สอง “จงลุกขึ้น ไปยังเมืองนีนะเวห์ เมืองยิ่งใหญ่ และประกาศ ร้องบอกสิ่งที่เราบอกเจ้าไปนั้น”
ดังนั้นโยนาห์จึงลุกขึ้น เดินมุ่งหน้าไปยังเมืองนีนะเวห์ตามที่พระเจ้าตรัสสั่ง นีนะเวห์ เป็นเมืองใหญ่มากต้องใช้เวลา 3 วันเดินกว่าจะทั่วเมือง (เมืองนั้นกว้างยาวประมาณ 60 ไมล์)
ส่วนโยนาห์เองก็เริ่มเดินทางเข้าไปในเมือง วันนั้น เขาร้องว่า

“ท่านทั้งหลาย โปรดฟังทางนี้ อีก 40 วัน เมืองนีนะเวห์จะถึงหายนะ!”
เขาพูดอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
น่าแปลกมาก ชาวเมืองนีนะเวห์ฟังเสียงของเขา และพวกเขาก็เชื่อพระเจ้า ประกาศให้ชาวเมืองอดอาหาร ใส่เสื้อผ้ากระสอบเพื่อจะคร่ำครวญ พวกเขาสำนึกในความผิดต่าง ๆ ที่ได้ทำลงไป ชาวเมืองที่มาอดอาหารกันนั้น ตั้งแต่คนชั้นสูงจนถึงคนยากจนค่นแค้นที่สุด

ภาพเขียนโดย กุสตาฟ ดอเร่ (1832-1883)

โยนาห์ ซึ่งเป็นคนที่ดื้อดึงกับพระเจ้า เปลี่ยนนิสัยใจคอไปเสียแล้ว พอพระเจ้าตรัสสั่งเขาอีกครั้ง เขาก็ไม่โอ้เอ้อีก แต่มุ่งหน้าไปยังเมืองนีนะเวห์ทันที
การเดินทางเท้าครั้งนี้ น่าจะนานโขอยู่ เพราะต้องเดินเท้า ใช้เวลานานเท่าไรไม่ทราบ แต่ระหว่างทางนั้น โยนาห์คงมีโอกาสคิดอะไรอีกมากมาย …..
ที่จริง โยนาห์ไม่ใช่คนใหญ่โตอะไรเลย การเดินทางเข้าไปในเมืองนีนะเวห์ครั้งนี้ เปรียบเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง และยังต้องไปประกาศให้คนเหล่านั้นกลับใจใหม่ ไม่ดำเนินชีวิตชั่วร้ายอีกต่อไป คราวนี้เขาจะโดนหินขว้างหรือเปล่านะ?
แต่เหตุการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิด โยนาห์ร้องบอกให้คนกลับใจ
และผู้คนก็หันมาฟังเขา เมื่อเขาบอกว่า ภัยพิบัติกำลังจะมา ชาวนีนะเวห์ก็กลัว
และเขาก็เชื่อ! นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์มาก โยนาห์ไม่ได้ทำให้เขาเชื่อ แต่พระเจ้าทรงบันดาลใจพวกเขา เมื่อได้ยินข่าวสารจากพระเจ้า เขาก็ถ่อมใจ ไม่ยะโสอีกต่อไป และเชื่อในพระองค์
ทั้งนี้ เกิดขึ้นเพราะโยนาห์ที่เคยดื้อ เปลี่ยนใจเป็นเชื่อฟังพระเจ้า และทำทุกสิ่งตามที่พระองค์ทรงสั่ง…..

โยนาห์ 2-2

โยนาห์ 2: 6-10
ที่ฐานรากของภูเขา ข้าพระองค์ ลงไปยังดินแดนที่มีกรงเหล็กกั้นข้าพเจ้าไว้ตลอดไป แต่พระเจ้ายังทรงนำชีวิตของข้าพระองค์ ออกมาจากหลุมลึก
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ เมื่อชีวิตของข้าพระองค์ กำลังจะหมดลมไป ข้าพระองค์ระลึกถึงพระเจ้า และคำอธิษฐานก็มาถึงพระองค์ ยังพระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์
ผู้ที่กราบไหว้รูปเคารพอันอนิจจัง ได้ละทิ้งความหวังที่มีต่อความรักมั่นคงของพระเจ้า แต่ข้าพระองค์จะถวายคำโมทนาพระคุณเป็นเครื่องบูชาแด่พระองค์
สิ่งที่ข้าพระองค์ปฏิญาณไว้ ข้าพระองค์จะทำตามนั้น ความรอดพ้นเป็นของพระเจ้า “

ภาพเขียนโดย Jan Brueghel the Elder, ca. 1600, Oil on Panel

และพระเจ้าได้ตรัสกับสัตว์มหึมา และมันก็คายโยนาห์บนหาดทรายแห้ง

โยนาห์กล่าวถึงฐานรากของภูเขาและหลุมลึก มันหมายถึงแดนคนตายนั่นเอง เขาเกือบจะตายอยู่แล้ว แต่เมื่อเขาระลึกถึงพระเจ้า เขาก็มีความหวังขึ้นมา อธิษฐานต่อพระองค์ และมั่นใจว่า คำอธิษฐานนั้นขึ้นไปถึงพระเจ้าโดยตรง
ที่เขากล่าวอ้างถึงรูปเคารพนั้น เพราะเขาเห็นความแตกต่างของรูปเคารพที่ไร้ชีวิตกับพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่อย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวออกมาตรง ๆ ด้วยความเต็มใจแล้วว่า เขาจะทำตามสิ่งที่เขาปฏิญาณเอาไว้
โธ่ ท่านโยนาห์ ต้องลงไปอยู่ในทะเลลึก … หวาดหวั่น น่ากลัว ..จึงจะมั่นใจว่า ตนเองจะทำอะไร …. แต่ถ้าท่านไม่ดื้อต่อพระเจ้า พวกเราคงไม่ได้ยินเรื่องราวที่ตื่นเต้นเช่นนี้เหมือนกัน …
แล้วโยนาห์ก็ถูกปล่อยออกมาจากท้องปลาใหญ่…. ตามคำสั่งของพระเจ้า
พระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ….. สรรเสริญพระองค์

โยนาห์ 2-1

จากท้องเจ้าสัตว์ทะเลตัวมหึมา โยนาห์ได้ทูลอธิษฐานต่อพระเจ้า กล่าวว่า
“ข้าพระองค์ร้องทูลต่อพระเจ้า จากความทุกข์ยาก และพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์
จากที่ลึกแห่งแดนคนตาย ข้าพระองค์ร้องหาพระองค์ และพระองค์ทรงยินเสียงของข้าพระองค์
เพราะพระองค์ทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ลงมาในที่ลึก ลงมายังก้นบึ้งของทะเล
และน้ำก็ท่วมข้าพระองค์ ทั้งคลื่น และคลื่นลมผ่านข้าพระองค์ไป
และข้าพระองค์กล่าวว่า ข้าพระองค์ถูกไล่ออกมาจากสายพระเนตรของพระองค์
แต่ข้าพเจ้าจะยังมองไปยังพระวิหารบริสุทธิ์ของพะรองค์
น้ำก็ท่วมทับข้าพระองค์ เพื่อจะเอาชีวิตของข้าพระองค์ไป ที่ลึกล้อมรอบข้าพระองค์
สาหร่ายก็พันศีรษะของข้าพระองค์

โยนาห์คร่ำครวญร้องหาพระเจ้าจากที่ลึกของทะเล เขามีอากาศหายใจจากท้องเจ้าสัตว์ยักษ์.
นี่มันเรือดำน้ำโบราณของแท้เลยนะ!

ที่เขากล่าวว่าจากแดทนคนตายนั้น. หมายความว่ามัันเหมือนกับตายไปแล้ว!
เขารู้ชัดว่า การที่เขาอยู่ในสภาพเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่พระเจ้าทรงให้เกิดขึ้น. โยนาห์เข้าใจแล้วว่า ไม่มีทางหนีพระเจ้าพ้น

โยนาห์ 1-4

โยนาห์1:11-17

ดังนั้น พวกเขาจึงกล่าวกับโยนาห์ว่า “แล้วเราจะทำอย่างไรกับเจ้าดี เพื่อว่าทะเลจะได้สงบ ฮึ?” ตอนนั้น ทะเลยังคงปั่นป่วน และลมแรงมากขึ้น     เขาจึงว่า “ขอพวกท่านโยนข้าพเจ้าลงไปในทะเล  แล้วทะเลจะสงบ เพราะว่าที่ท้องทะเลมีพายุเช่นนี้เป็นเพราะข้าพเจ้าเอง”

แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็พยายามที่จะพายเรือกลับไปยังแผ่นดิน  แต่ทำไม่ได้  เพราะบัดนี้ทั้งคลื่นลมในท้องทะเลและพายุยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น   ดังนั้นพวกเขาจึงร้องต่อพระเจ้า  “ข้าแต่พระเจ้าผู้สูงสุด  ขอพระเจ้าอย่าให้เราต้องพินาศเพราะชีวิตของชายคนนี้  ขอพระเจ้าอย่าเอาผิดกับพวกเราหากเขาไม่มีความผิด  ข้าแต่พระเจ้า … พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่พระองค์เห็นพอพระทัย”

แล้วพวกเขาจึงจับโยนาห์โยนลงไปในทะเล….”โครม!”  ทันใดนั้นเอง ลมพายุรอบ ๆ นั้นก็สงบลงทันที

ภาพเขียนโดย Carlo-Antonio-Tavella

เขาเหล่านั้นกลัวพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง  และพวกเขาได้ถวายเครื่องบูชาแด่พระองค์ ทั้งยังปฏิญาณตนไว้ด้วย

แล้วดูซิ พระเจ้าทรงสั่งให้ปลาใหญ่ตัวหนึ่งกลืนโยนาห์เข้าไป   โยนาห์จึงอยู่ในท้องปลา สามวันสามคืน

 

อัศจรรย์แรก … พระเจ้าทรงส่งลมพายุมายังเรือที่โดยสารโยนาห์   ต่อมา สลากก็ตกที่โยนาห์  แล้วเมื่อโยนโยนาห์ลงทะเล  พายุก็หยุดทันที  แถมยังมีสัตว์น้ำตัวใหญ่ที่สามารถอ้าปากรับโยนาห์ลงไปในท้องของมันแบบเป็น ๆ  …. โยนาห์ไม่ได้ตาย ทั้ง ๆ ที่เขาพร้อมจะตายเพราะรู้ตัวดีว่า ได้ทำผิดต่อพระเจ้าแล้ว   แค่นี้นับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติได้ตั้ง  5 อย่าง!

ดูซิ   โยนาห์ยอมจมน้ำตาย  ดีกว่าไปนีนะเวห์   แต่พระเจ้าไม่ทรงตามใจเขาสักนิด….

ก่อนที่จะถูกโยนลงน้ำ  เขาน่าจะได้พูดเรื่องของพระเจ้าให้กับคนบนเรือ  พวกเขาน่าจะสงสัยว่า โยนาห์จะไปเมืองนีนะเวห์ทำไมกัน   …  จากนั้นดูเหมือนว่า พวกเขาก็ได้ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า  ….  พวกเขาร้องทูลต่อพระเจ้า และขอให้ทุกสิ่งที่พระองค์ปรารถนาประสบความสำเร็จตามพระทัยของพระองค์   เขาหันกลับมาเชื่อพระเจ้าไหมนะ?   ที่เราอ่านบันทึก … บอกไว้ว่า พวกเขากลัวพระเจ้ามากจริง ๆ


 

 

โยนาห์ 1-3

โยนาห์ 1:7-10

แล้วพวกเขาก็พูดกันว่า  “เอาอย่างนี้  เรามาจับฉลากกัน  เราจะได้รู้ว่าเหตุการณ์ร้ายครั้งนี้  ใครเป็นต้นเหตุ”  ดังนั้นพวกเขาจึงจับฉลากกัน  และปรากฏว่า โยนาห์ได้ฉลากนั้น

“เจ้าบอกเรามาซิว่า ใครเป็นต้นเหตุให้ความชั่วร้ายครั้งนี้ตกมาที่พวกเรา ? ฮึ  เจ้ามีอาชีพอะไร?  เจ้ามาจากไหน? เจ้าเป็นคนชาติไหน?  เชื้อชาติอะไร?”    โยนาห์ตอบเขาว่า “ข้าเป็นคนเชื้อชาติฮิบรู   เป็นคนที่เกรงกลัวพระเจ้า  พระเจ้าแห่งสวรรค์ผู้ทรงสร้างทะเลและแผ่นดิน”

“ฮ้า!!”  พวกเขาตกใจกลัวกันมาก โยนาห์ได้เล่าให้พวกเขาฟังว่า เขาได้พยายามหนีจากพระเจ้ามา   “แล้วนี่เจ้าทำอะไรลงไป?!!”

ภาพได้รับความเอื้อเฟื่อจาก dsmedia.org

ลองคิดถึงเรือที่กำลังโคลงเคลงโยนตัวขึ้นไปบนยอดคลื่น  แล้วก็หล่นลงมา  มีคลื่นอีกลูกซัดน้ำเข้ามาเต็มลำเรือ  …  … พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว เพราะว่า ทำอย่างไร ร้องขอพระของตัวเองเท่าไร  คลื่นก็ไม่สงบ  และไม่มีท่าทีว่าจะสงบด้วย

คนในสมัยนั้น เมื่อต้องการคำตอบของพระที่เขาเชื่อ  ก็จะใช้วิธีทอยสลากกัน  มันเป็นวิธีง่าย  ตัดสินได้เลย  แต่ครั้งนี้ พระเจ้าทรงตอบพวกเขา  พระเจ้าทรงให้โยนาห์รู้ว่า ทรงเอาจริงแน่คราวนี้

คำถามที่โยนาห์ต้องตอบนั้น มากมายเป็นชุด

แค่บอกว่าเป็นฮิบรู พวกเขาก็รู้ว่า โยนาห์ไม่ได้เชื่อเทวรูปเหมือนอย่างพวกเขา แถมโยนาห์ยังบอกด้วยว่า พระเจ้าของเขาคือพระผู้สร้างทะเลและแผ่นดิน  โอโฮ…  ขณะที่พายุกำลังพัดกล้านี่นะ  โยนาห์ยังบอกว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหนือทะเลนี้

โยนาห์หนีพระเจ้าด้วยความเข้าใจว่า เขาอาจจะหนีพระองค์ได้  แต่จากคำพูดของเขา ทำให้เราเห็นแล้วว่า โยนาห์รู้ว่า พระเจ้ากำลังทรงจัดการกับเขาตรงไปตรงมา

เมื่อพวกเขารู้ว่า หน้าที่ของโยนาห์คือการกล่าวคำของพระเจ้า เป็นคนเกรงกลัวพระเจ้า  แต่กลายเป็นผู้นำภัยพิบัติมาให้พวกเขา     พวกเขากลัวมาก  กลัวจริง ๆ  ทั้งกลัวตาย  และกลัวพระเจ้า …..พระองค์ผู้ทรงกำลังตามติดโยนาห์มา

 

โยนาห์ 1-2

โยนาห์ 1:4-6

แต่พระเจ้าบันดาลให้เกิดลมพัดแรงในทะเล  และมันกลายเป็นพายุปั่นป่วนท้องทะเล ทำให้เรือเกือบจะแตกอยู่แล้ว   เหล่าลูกเรือต่างตกใจกลัว  ทุกคนเรียกร้องพระเจ้าของตน   พวกเขาช่วยกันเอาข้าวของ สินค้าโยนลงไปในทะเลเพื่อจะทำให้เรือเบาขึ้น

แต่โยนานั้น ได้เข้าไปในเรือ นอนหลับไป

กัปตันเรือได้เข้ามาหาและกล่าวกับเขาว่า “ผู้โดยสารขี้เซา  นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ลุกขึ้น เร็ว ทูลขอพระเจ้าของท่านให้ช่วยพวกเรา  บางทีพระองค์จะทรงคิดถึงเราบ้าง เราจะได้ไม่ต้องพินาศ”

ครั้งนี้ พระเจ้าทรงเป็นผู้ส่งพายุมาให้โยนาห์โดยเฉพาะ  เขาคิดว่าจะหนีพระองค์ไปได้  ขนาดมีพายุยังอุตส่าห์ลงไปนอนเสียอีก  เขาปิดหูปิดตากับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่า พระเจ้าทรงเตือนเขาแล้ว

พายุครั้งนี้ต้องไม่ธรรมดาเหมือนลมพายุที่มักจะเกิดขึ้นในทะเล  เพราะว่า เหล่ากลาสีเรือนั้น ไม่คาดคิดว่าจะมีลมแรงขนาดนี้  และพวกเขาก็กลัวกันมากด้วย

แต่ความแรงของพายุ

เสียงร้องทูลต่อพระเจ้าของเหล่ากลาสี !

เสียงโวยวาย เร่งช่วยกันเอาของโยนลงทะเล….

ไม่ได้ทำให้โยนาห์สนใจอะไรได้เลย…. เขาหลับสนิท….

อี๋ย… เราเคยเป็นอย่างโยนาห์ไหมนี่… มีอะไรเกิดขึ้นเตือนเราตั้งมากมาย  แต่เรายังไม่สนใจ ไม่คิดว่า พระเจ้าทรงเตือน กลับอยู่เฉย ไม่ใส่ใจ  สิ่งที่ใครพูด ก็ไม่สน  รอบตัวเป็นอย่างไรก็ช่าง ฉันจะเป็นของฉันอย่างนี้…..

แล้วดูซิ  กัปตันเรือ ซึ่งน่าจะเป็นเรือของชาวฟินิเชียซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการเดินเรือในทะเลเมดิเตอเรเนียน  ได้บอกให้โยนาห์อธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งอิสราเอล …. เขารู้ว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์ ถ้าพระองค์ทรงฟัง พระองค์ก็จะทรงช่วยพวกเขาได้

คนที่ไม่ได้เชื่อในพระองค์ยังรู้เลยว่า พระองค์ทรงฤทธิ์มากยิ่ง

แล้วยังไงกันนี่  โยนาห์อุตส่าห์หนีพระเจ้ามา  แล้วตอนนี้มีคนมาบังคับให้อธิษฐานต่อพระองค์ที่เขาพยายามหนี…. เป็นอย่างไรล่ะ ท่านโยนาห์

 

โยนาห์ 1-1

โยนาห์ 1:1-3

คำของพระเจ้ามายังโยนาห์ ลูกชายอามิททัย

“เจ้าจงลุกขึ้น เดินทางไปยังเมืองนีนะเวห์ เมืองใหญ่  และร้องตักเตือนพวกเขา  เพราะว่า ความชั่วช้าของพวกเขานั้นมาถึงเรา”

แต่เมื่อโยนาห์ได้ยินดังนั้น เขากลับลุกขึ้นเพื่อจะหนีไปยังเมืองทารชิช  คิดว่าจะหนีไปให้พ้นพระพักตร์ของพระเจ้า  เขาเดินทางไปยังเมืองยัฟฟา และที่นั่นก็พบเรือโดยสารที่จะไปยังทารชิช เมืองเป้าหมายปลายทางของเขา

ภาพเอื้อเฟื้อจาก http://www.dsmedia.org

เขาไปที่ท่าเรือและจ่ายค่าโดยสาร  เมื่อลงเรือก็พร้อมที่จะหนีไปจากพระพักตร์ของพระเจ้า

โยนาห์เป็นผู้กล่าวคำของพระเจ้าในอิสราเอล  และทั้ง ๆ ที่นีนะเวห์ เป็นเมืองของอัสซีเรีย ซึ่งเป็นศัตรูของอิสราเอล  พระเจ้ากลับทรงให้โยนาห์ไปช่วยให้ศัตรูกลับใจ  นี่มันยังไงกัน… โยนาห์รับความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เลย  เขาเองเป็นผู้กล่าวคำของพระเจ้าคอยตักเตือนคนอิสราเอลที่ทำบาป ให้มาหาพระเจ้า  เขาไม่ได้รู้สึกอะไร รู้สึกดีเสียด้วยซ้ำ

แต่ที่พระเจ้าทรงใช้เขาอย่างนี้  ไม่สมเหตุสมผลเลย…

หนีดีกว่า

โยนาห์เข้าใจผิดไปอีกอย่าง  เขาคิดว่า เขาจะหนีให้พ้นสายพระเนตรของพระเจ้าได้ด้วย

เอ ยังไงกัน

ก็พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าทรงฤทธิ์  ทรงเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลก  ทำไม โยนาห์จึงสามารถคิดอย่างนั้นได้.

 

แนะนำโยนาห์

เรื่องราวของโยนาห์นั้น เกิดในราว ศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตศักราช คือ ประมาณ 785-760 ปีก่อนคริสตศักราชนั่นเอง ดูเหมือนว่า เขามาก่อนท่านอาโมส ในสมัยของราชาเยโรโบอัมที่สอง ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่มากกว่ากษัตริย์องค์ใดในอาณาจักรอิสราเอลทางเหนือ
ช่วงเวลานั้น อัสซีเรียเป็นผู้ที่ทำร้ายอิสราเอลอย่างมากมาย ในปี 722 ก่อนคริสตศักราช ก็ได้โจมตีอิสราเอลและนำคนไปเป็นเชลยเกือบหมด
จากหนังสือโยนาห์ทำให้เราเห็นความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างเขามา ดูซิ พระเจ้าทรงห่วงใยคนในนีนะเวห์เป็นอย่างยิ่ง ทรงห่วงจนใช้โยนาห์ไปหาพวกเขา แม้โยนาห์จะรู้ว่า พระเจ้าทรงสร้างทุกคนมา แต่เขามองเห็นว่า พระเจ้าทรงรักอิสราเอลเท่านั้น
โยนาห์คิดว่า พระเจ้าทรงอดทนต่ออิสราเอลเท่านั้น เขาลืมไปว่า พระองค์มีสิทธิจะรักใคร ห่วงใยใครก็ได้ ไม่ใช่คนอิสราเอลแต่อย่างเดียว และเรื่องราวของโยนาห์ทำให้เราเห็นพระเจ้าในอีกด้านหนึ่ง …. พระองค์ทรงมีสิทธิเสรีภาพของพระองค์เอง ทรงยิ่งใหญ่เหนือความคิดของมนุษย์ ทรงฤทธานุภาพใหญ่หลวง พระองค์ไม่ได้ทรงอยู่ภายใต้กรอบที่มนุษย์วางไว้ว่า พระเจ้าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

เหตุการณ์ในโยนาห์ เกิดขึ้นแถบนี้

นี่เป็นเหตุผลที่หลายคนไม่ได้พบพระเจ้า เขาวางกรอบเอาไว้ว่า พระเจ้าต้อง หนึ่ง… สอง….สาม….สี่ แล้วแต่จะคิดกัน แต่หนังสือโยนาห์ทำให้เราเห็นถึงความจริงที่ว่า ในพระเจ้าแล้ว ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ พระองค์ทรงทำอะไร คิดอะไร รักใคร ห่วงใครก็ได้….ทั้งสิ้น
พรุ่งนี้ เราจะได้อ่านเรื่องของโยนาห์กัน และติดตามเขาไปให้พบว่า เขาทำอะไรบ้าง