เอเสเคียล 16-2 การขายตัวของเยรูซาเล็ม

เอเสเคียล 16:15-22

แต่เจ้ากลับวางใจในความงามของตนเอง และทำตัวเป็นหญิงขายตัว
เพราะความที่เจ้ามีชื่อเสียง เจ้าจึงขายตัวกับทุกคนที่ผ่านมา และเจ้าก็เป็นของคน ๆ นั้น

เจ้าเอาเสื้อผ้าของเจ้ามาส่วนหนึ่ง และทำเป็นแท่นบูชาที่มีสีสัน
แล้วเจ้าก็ขายตัวอยู่บนนั้น
ซึ่งไม่เคยมีใครทำเช่นนั้น  และก็ไม่ควรทำอย่างนั้นด้วย

ยิ่งกว่านั้นเจ้ายังเอาอัญมณี ทั้งจากทองคำและเงินซึ่งเราให้แก่เจ้า
ไปสร้างเป็นรูปมนุษย์ผู้ชาย และเจ้าก็เล่นชู้กับรูปเหล่านั้น

เจ้ายังเอาเสื้อผ้าปักของเจ้าคลุมมันไว้  วางน้ำมันและเครื่องหอมของเราไว้ต่อหน้ามัน
รวมไปถึงอาหารที่เราได้ให้แก่เจ้า เราได้เลี้ยงเจ้าด้วยแป้งอย่างดี และน้ำมันและน้ำผึ้ง
เจ้าได้วางสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องหอมที่พอใจ และก็เป็นอย่างนั้น
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศ

คนหลายชาติก็ทำการบูชายัญเด็กอย่างที่คนสมัยเอเสเคียลได้ทำเช่นกัน
คนหลายชาติก็ทำการบูชายัญเด็กอย่างที่คนสมัยเอเสเคียลได้ทำเช่นกัน

และเจ้าก็เอาลูกชายลูกสาวทั้งหลายที่เจ้าคลอดให้แก่เรา

นำไปเซ่นไหว้มันเพื่อให้มันผลาญชีวิตพวกเขา
การขายตัวของเจ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างนั้นหรือ
ที่เจ้าได้สังหารหมู่พวกเด็ก ๆ และยังเอาไปเป็นเครื่องเผาบูชาให้กับรูปเคารพเหล่านั้น
ที่เจ้าทำสิ่งน่ารังเกียจและขายตัวเช่นนี้ เจ้ายังไม่จำวันที่เจ้ายังเด็ก
ที่เจ้ายังตัวเปล่าเล่าเปลือยนอนดิ้นอยู่ในกองเลือด

22 And in all your abominations and your whorings you did not remember fthe days of your youth, gwhen you were naked and bare, wallowing in your blood.

เอเสเคียล 16-1 ความงามของอิสราเอล

เอเสเคียล 16:1-8
พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าดังนี้
“ลูกชายของมนุษย์เอ๋ย จงบอกให้เยรูซาเล็มได้รู้ถึงการกระทำอันน่าชังของเธอ
และกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เยรูซาเล็มดังนี้
บรรพบุรุษและกำเนิดของเจ้านั้น มาจากแผ่นดินของชาวคานาอัน
พ่อของเจ้าเป็นชาวอาโมไรต์ ส่วนแม่เป็นชาวฮิทไทต์
วันที่เจ้าเกิดมานั้น สายสะดือก็ไม่มีใครตัดให้ ไม่มีใครทำความสะอาดตัวเจ้า
ไม่มีใครเอาเกลือมาถูตัวเจ้า ไม่มีใครพันผ้าอ้อมให้ด้วย
ไม่มีใครสงสารเจ้าเลย ไม่ได้ทำอะไรเพื่อเจ้าเพราะใจสงสาร
แต่เจ้ากลับถูกทิ้งไว้กลางทุ่ง เจ้าเป็นที่รังเกียจตั้งแต่วันที่เจ้าเกิด
jeru

และเมื่อเราเดินผ่านเจ้าไป และเห็นเจ้าดิ้นอยู่ในกองเลือดนั้น
เราได้พูดกับเจ้ากลางกองเลือดของเจ้าว่า “จงมีชีวิต”
ใช่ เราได้พูดกับเจ้ากลางกองเลือดของเจ้าว่า “จงมีชีวิต”
เราได้ทำให้เจ้าเติบโตงดงามเหมือนต้นไม้ในทุ่ง
และเจ้าก็เติบโตขึ้น สูง และเป็นสาวเต็มตัว
เจ้ามีหน้าอก และมีขนขึ้นมา แต่ตัวเจ้าก็ยังเปลือยเปล่า

เมื่อเราผ่านไปเห็นเจ้าอีกครั้ง ดูเถิด เจ้าอยู่ในวัยมีความรัก
และเราได้เอาชายเสื้อของเราปกคลุมเจ้าเพื่อไม่ให้เจ้าต้องเปลือย
เราได้ปฏิญาณ และทำสัญญากับเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศ…. และเจ้าก็เป็นของเรา
จากนั้น เราได้ใช้น้ำอาบเจ้าทั้งตัว ชำระเลือดออกจากตัวของเจ้า
และเจิมเจ้าด้วยน้ำมัน
เราให้เจ้าสวมเสื้อผ้าปัก และให้เจ้าสวมรองเท้าหนังอย่างดี
เราพันห่อเจ้าไว้ด้วยผ้าลินินอย่างดี และคลุมเจ้าด้วยผ้าไหม

เราตกแต่งเจ้าด้วยเครื่องประดับ และใส่กำไลข้อมือ และสร้อยคอ
เราสวมแหวนจมูกให้เจ้า รวมทั้งต่างหู รวมทั้งมงกุฎบนศีรษะเจ้า
ดังนั้น เจ้าจึงถูกตกแต่งด้วยทองและเงิน
และเสื้อผ้าของเจ้าก็ทำจากผ้าป่านลินินอย่างดี จากไหม และผ้าปัก
เจ้าได้กินแป้งอย่างดี น้ำผึ้ง และน้ำมัน
เจ้าเจริญขึ้น สวยงามมาก และเลื่อนเป็นชนชั้นราชวงศ์
และชื่อเสียงของเจ้าก็เลื่องลือไปเพราะความงามของเจ้า
ที่เป็นเช่นนี้เพราะความงามอันเพียบพร้อมที่เราให้แก่เจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศ

เอเสเคียล 15 เผาจนหมด

เอเสเคียล 15:1-8

และพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้า
“ลูกชายของมนุษย์เอ๋ย  ไม้องุ่นนั้นดีกว่าไม้อื่น ๆ อย่างไร?
หมายถึงเหล่ากิ่งองุ่นที่อยู่ท่ามกลางต้นไม้ในป่า
เขานำไม้องุ่นไปทำอะไรได้บ้างเล่า?
คนเขาเอาไม้นั้นไปทำที่แขวนหม้อไหอย่างนั้นหรือ?

ดูเถิด เขาทิ้งไม้เพื่อเอาไปทำเป็นฟืน
เมื่อไฟเผาไหม้ปลายกิ่งทั้งหมดแล้ว
ตรงกลางของมันก็เป็นถ่าน  แล้วเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้อีก?

thann

ดูเถิด เมื่อมันยังดีอยู่  ก็เอาไปทำอะไรไม่ได้
ยิ่งกว่านั้น เมื่อไฟเผาไหม้มันจนกลายเป็นถ่าน
ยังเอาไปทำสิ่งของอะไรได้อีกหรือ ?

ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
ไม้องุ่นท่ามกลางไม้ในป่านั้น ถูกโยนเข้าไปเป็นเชื้อเพลิงฉันใด
เราก็จะทิ้งคนที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มฉันนั้น
เราจะตั้งหน้าต่อสู่พวกเขา
แม้ว่าพวกเขาจะหนีออกจากไฟไปได้  แต่ไฟก็จะตามไปเผาเขา
แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเราตั้งหน้าของเราสู้เขา
เราจะทำให้แผ่นดินเป็นที่ทิ้งร้าง
เพราะพวกเขาทำตัวไร้ความสัตย์
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้

 

เอเสเคียล 14-3 แม้เยรูซาเล็มก็ไม่เว้น

 

เอเสเคียล 14:12-

และพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าว่า
“ลูกชายของมนุษย์เอ๋ย เมื่อแผ่นดินได้ทำผิดต่อเรา
ทำสิ่งที่ไร้ความสัตย์  และเรายื่นมือของเราต่อต้านเมืองนั้น
และจะทำลายเสบียงอาหาร และส่งความอดอยากเข้ามา
และเราจะตัดทั้งมนุษย์และสัตว์ออกจากเมือง​
แม้หากบุรุษทั้งสามคือ โนอาห์ ดาเนียล และโยบ อยู่ในเมืองนั้น
พวกเขาจะพ้นภัยแค่เอาชีวิตตัวเองรอดเพราะความชอบธรรมของพวกเขา”
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศ

 “หากเราปล่อยให้สัตว์ป่าผ่านเข้าไปในเมือง  และมันทำลายเมือง
ทำให้เมืองกลายเป็นที่ร้าง ไม่มีใครกล้าผ่านเข้ามาเพราะสัตว์ป่าเหล่านั้น
แม้บุรุษทั้งสามจะอยู่ในเมืองนั้น พวกเขาก็ไม่อาจจะช่วยลูกชายลูกสาวของพวกเขาได้
ตราบเท่าที่เรามีชีวิตอยู่    ชีวิตทั้งสามจะรอด
ส่วนแผ่นดินจะกลายเป็นที่ร้าง “

famine

“หรือหากว่าเราส่งโรคระบาดเข้ามา และเทความกริ้วของเราออกมาเป็นเลือด
ไม่ให้มีคนหรือสัตว์หลงเหลืออยู่ในเมือง
แม้ว่าโนอาห์  ดาเนียล และโยบจะอยู่ในเมืองนั้น
ตราบเท่าที่เรามีชีวิต พวกเขาก็ไม่อาจจะช่วยลูกชายลูกสาวของเขาได้
พวกเขาจะแค่เอาชีวิตของตนรอดได้ด้วยความชอบธรรมของพวกเขา ”

“เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
ตอนที่เราส่งการพิพากษาแห่งหายนะมาเหนือกรุงเยรูซาเล็มสี่ประการคือ
ดาบสังหาร  ความอดอยาก สัตว์ป่า และโรคระบาด เพื่อให้ทั้งคนและสัตว์ไม่เหลืออยู่เลยนั้น จะยิ่งหนักหนาสักเท่าใด

แต่ดูเถิดจะมีคนรอดชีวิตเหลือ ลูกชาย ลูกสาวจะถูกนำออกไป
ดูเถิด เมื่อพวกเขาออกมาหาเจ้า
และเจ้าได้เห็นหนทางและการกระทำของเขา
เจ้าจะรับการปลอบใจเนื่องจากหายนะที่เรานำมาเหนือเยรูซาเล็ม
เพราะทุกสิ่งที่เราได้นำมาเหนือนครนั้น

พวกเขาจะปลอบใจเจ้า เมื่อเจ้าเห็นหนทางและการกระทำของพวกเขา
เจ้าจะได้รู้ว่า ที่เราลงโทษพวกเขานั้น ไม่ใช่ไร้เหตุผลเลย…”

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศ

 

เอเสเคียล 14-2 วางหินสะดุด

เอเสเคียล 14: 7-11

ใครก็ตามจากวงศ์วานอิสราเอล
หรือคนที่เป็นคนแปลกหน้าที่เดินทางผ่านเข้ามาในแผ่นดินอิสราเอล
คนที่แยกตัวออกไปจากเรา และนับถือรูปเคารพนั้นไว้ในใจ
และวางหินสะดุดแห่งความบาปของเขาต่อหน้าต่อตาตัวเอง
และยังเข้ามาปรึกษาเราโดยผ่านผู้กล่าวคำของเรา
เรา…องค์พระผู้เป็นเจ้า จะตอบพวกเขาเอง

hin

เราจะตั้งหน้าของเราต่อสู้คนนั้น
เราจะทำให้เขาเป็นสัญลักษณ์และสุภาษิต
และตัดเขาออกจากท่ามกลางประชากรของเรา
และเจ้าจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า
และหากผู้กล่าวคำถูกล่อลวง และกล่าวคำใดออกมา
ถือว่า เรา องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ล่อลวงผู้กล่าวคำคนนั้น
และเราจะยื่นมือของเราออกต่อต้านเขา
และทำลายเขาจากท่ามกลางประชากรของเรา
และพวกเขาจะต้องรับโทษของพวกเขานั่นคือ
ทั้งโทษของผู้กล่าวคำ และโทษของคนที่มาถามจะเป็นโทษอย่างเดียวกัน
เพื่อว่า วงศ์วานอิสราเอลจะไม่หลงทางจากเราอีกต่อไป
จะไม่ทำตัวให้เป็นมลทินด้วยการล่วงละเมิดของพวกเขา
แต่เพื่อว่าเขาจะได้เป็นคนของเรา
และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา..

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศ

เอเสเคียล 14-1 ใจที่เต็มด้วยรูปเคารพ

เอเสเคียล 1: 1-6

มีผู้ใหญ่บางคนของอิสราเอลมาหาข้า และนั่งลงต่อหน้าข้า
แล้วพระดำรัสของพระเจ้าก็มาถึงข้า
“ลูกชายของมนุษย์เอ๋ย คนเหล่านี้ มีรูปเคารพของพวกเขาอยู่ในใจ
และความผิดของพวกเขานั้นเป็นหินสะดุดต่อหน้าพวกเขาเอง
เราควรจะยอมให้พวกเขาปรึกษาอย่างนั้นหรือ?

bull_idols
ดังนั้นจงพูดกับพวกเขาว่า
..องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
ใครก็ตามในวงศ์วานอิสราเอลที่เก็บรูปเคารพไว้ในใจ
ตั้งหินสะดุดไว้ต่อหน้าต่อตาตัวเอง
และยังมาหาผู้กล่าวคำของพระเจ้า
เราเอง จะตอบพวกเขาเมื่อเขาเข้ามาหาเราพร้อมกับรูปเหล่านั้น
เพื่อว่าเราจะได้ยึดใจของคนอิสราเอลที่หันไปจากเราเพราะรูปเคารพเหล่านั้น
ดังนั้น จงกล่าวแก่วงศ์วานอิสราเอลว่า
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
จงกลับใจ และหันจากรูปเคารพทั้งหลายเสีย
หันหน้าของเจ้าทั้งหลายออกจากสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน

เอเสเคียล 13-3 อนาคตของหมอมนต์

เอเสเคียล 13 :17-23

“และเจ้า ลูกชายของมนุษย์ จงตั้งหน้าของเจ้าสู้ลูกสาวของประชากรของเจ้า
เธอเหล่านั้นต่างทำนายตามใจของตนเอง
ให้เจ้ากล่าวคำต่อต้านพวกเขา
กล่าวว่า ..องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้

..วิบัติแก่ผู้หญิงที่เย็บสายข้อมือมนต์ให้กับข้อมือคนทั้งหลาย
และทำผ้าคลุมหน้าให้กับคนทุกรูปร่าง เพื่อตามล่าวิญญาณ!
เจ้าจะมาตามล่าวิญญาณที่เป็นของประชากรของเรา
เพื่อให้วิญญาณของเจ้ามีชีวิตอย่างนั้นหรือ?
พวกเจ้าได้ทำให้เราเป็นมลทินท่ามกลางคนของเรา
เพียงเพื่อแลกกับข้าวบาร์เลย์กระหยิบมือ และขนมปังไม่กี่ชิ้น
เจ้าได้ทำให้คนที่ไม่สมควรตายได้ตาย
และทำให้คนที่สมควรตายมีชีวิตอยู่
เจ้าทำด้วยการมุสาต่อคนของเราที่ฟังเสียงมุสาของเจ้า

จาก http://www.shootingexpeditions.com/
จาก http://www.shootingexpeditions.com/

“ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
ดูเถิด เราต่อสู้กับสายข้อมือมนต์ที่เจ้าใช้ล่าวิญญาณอย่างกับล่านก
และเราจะฉีกมันออกจากแขนของเจ้า
และเราจะปล่อยให้วิญญาณที่เจ้าล่านั้น เป็นอิสระ วิญญาณที่เหมือนนก
เราจะฉีกผ้าคลุมหน้าของเจ้าเช่นกัน
เราจะฉีกมันออก และช่วยคนของเราให้รอดจากเงื้อมมือของเจ้า
พวกเขาจะไม่เป็นเหยื่อของเจ้าอีกต่อไป
และเจ้าจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า

เพราะเจ้าได้หลอกลวงทำให้คนชอบธรรมท้อแท้ใจ
ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ทำให้พวกเขาต้องเสียใจเลย
และเจ้าได้สนับสนุนคนชั่วร้าย
ไม่ช่วยให้พวกเขาทิ้งความชั่วร้าย เพื่อจะได้รักษาชีวิตของตนไว้
ดังนั้น เจ้าจะไม่เห็นนิมิตหลอกลวงอีกต่อไป
เจ้าจะไม่ได้ทำวิทยาคมอีกต่อไป
เราจะช่วยคนของเราให้พ้นมือของพวกเจ้า
และเจ้าจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า

เอเสเคียล 13-2 สิ่งตอบแทนการทำนายเท็จ

เอเสเคียล 13 :8-16
ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสซ๋า
“เพราะเจ้าได้กล่าวคำลวงและเห็นนิมิตเท็จ
ดังนั้น … ดูเถิด เราต่อต้านเจ้า .. องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศ
มือของเราต่อต้านผู้ทำนายที่เห็นนิมิตปลอม และกล่าวคำทำนายเท็จ
พวกเขาจะไม่ได้อยู่ในที่ประชุมของประชากรของเรา
จะไม่ได้เข้าไปร่วมเป็นประชากรอยู่ในวงศ์วานของอิสราเอล
จะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินอิสราเอล
และเจ้าจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า…พระเจ้า

เพราะพวกเขาได้นำคนของเราให้หลงไป โดยกล่าวเป็นมั่นเหมาะว่า
“สันติสุข” ทั้ง ๆ ที่ไม่มีสันติสุข

และเป็นเพราะเมื่อประชากรของเราสร้างกำแพง
พวกผู้ทำนายเหล่านี้กลับฉาบปูนขาวลงไป
จงบอกคนที่ฉาบปูนลงไปว่า มันจะล้มทลายลง
จะเกิดฝนตกหนัก และจะมีลูกเห็บใหญ่ตกลงมา
จะมีลมพายุกรรโชกรุนแรง
และเมื่อกำแพงนั้นพังลง ประชาชนจะไม่พูดกับเจ้าหรือว่า
..ไหนล่ะ สีที่เจ้าฉาบลงไป?

ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
เราจะให้เกิดพายุใหญ่เพราะความโกรธของเรา
และจะมีฝนตกหนักเพราะความกริ้วของเรา
แล้วลูกเห็บใหญ่จะตกลงมาให้สมกับความโกรธเกรี้ยวที่เกิดขึ้น
ให้ทุกอย่างจบลง…

kampang
และเราจะทำลายกำแพงที่เจ้าฉาบไว้
จะทำให้มันกลายเป็นซากปรักหักพังจมดิน
จะได้เห็นรากฐานของมันต่อหน้าต่อตา
เมื่อมันล้มลง เจ้าก็จะพินาศท่ามกลางกำแพงเหล่านั้น
และเจ้าจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า
ดังนี้แหละ ที่เราจะเทความกริ้วของเราบนกำแพง
บนคนที่ฉาบปูนขาวบนกำแพงนั้น
และเราจะกล่าวกับเจ้าว่า จะไม่มีทั้งกำแพงและคนที่ฉาบปูนลงไป
คือเหล่าผู้ทำนายแห่งอิสราเอลที่ทำนายถึงสันติสุขของเยรูซาเล็ม
ในขณะที่ไม่มีสันติสุขสักนิด”
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศ

เอเสเคียล 13-1 ลักษณะผู้ทำนายเท็จ

เอเสเคียล 13 :1-7
พระดำรัสของพระเจ้ามาถึงข้าว่า
“ลูกชายของมนุษย์เอ๋ย จงกล่าวคำต่อสู้กับเหล่าผู้ทำนายของอิสราเอล
พวกเขากำลังทำนาย และเป็นคำทำนายจากความคิดของพวกเขาเอง
พวกเขากล่าว…..จงฟังคำของพระเจ้า!.. องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า
วิบัติแก่ผู้ทำนายโง่เขลาที่เดินตามวิญญาณของตน ไม่ได้เห็นอะไรเลย
พวกเขาเป็นเหมือนหมาไนที่เดินอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง
OLYMPUS DIGITAL CAMERA
โอ อิสราเอล พวกเจ้าไม่ได้เดินไปตามรอยแตก
หรือสร้างกำแพงให้แก่บ้านอิสราเอล
เพื่อว่ามันจะได้ยืนมั่นแข็งแรงได้ในวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า
พวกเขาได้เห็นนิมิตปลอม และการทำนายเป็นเท็จ
กล่าวว่า..องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศดังนี้…
ทั้ง ๆ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ส่งพวกเขาไป
แต่เขากลับคิดไปว่า พระองค์จะต้องทรงทำตามคำของพวกเขา
เจ้าไม่เคยเห็นนิมิตปลอม และได้กล่าวคำทำนายเท็จหรือ?…
ก็เมื่อใดที่เจ้ากล่าวว่า..องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส…ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้พูดสักนิด

เอเสเคียล 12-3 คำที่จะสำเร็จ

เอเสเคียล 12:17-28

และพระดำรัสของพระเจ้ามาถึงข้า
“ลูกชายของมนุษย์เอ๋ย  จงตัวสั่นกินขนมปัง
ดื่มน้ำด้วยตัวสั่นเทา ด้วยความกระวนกระวาย
และกล่าวกับประชาชนในแผ่นดิน “
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้นเกี่ยวกับคนที่อาศัยในเยรูซาเล็ม
ในแผ่นดินอิสราเอลconscience



พวกเขาจะกินขนมปังด้วยความกระวนกระวาย
และดื่มน้ำพร้อมไปกับความกลัว
ด้วยวิธีนี้  แผ่นดินจะถูกลอกทิ้ง ทุกสิ่งที่มีอยู่ในแผ่นดินจะหมดไป
เป็นเพราะความชั่วร้ายรุนแรงของคนที่อาศัยในนั้น
และเมืองต่าง ๆ ที่มีคนอาศัยอยู่จะกลายเป็นเมืองร้าง
และ แผ่นดินจะกลายเป็นที่ร้างเปล่า
และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า

และพระดำรัสของพระเจ้ามาถึงข้า
“ลูกชายของมนุษย์เอ๋ย
สุภาษิตของพวกเจ้าเกี่ยวกับแผ่นดินอิสราเอลว่าอย่างนี้ใช่ไหม…
“วันเวลาก็นานเหลือเกิน และนิมิตทั้งหลายก็กลายเป็นศูนย์”?

 

ดังนั้น จงบอกพวกเขาว่า
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“เราจะทำให้สุภาษิตนี้สิ้นสุดไปเลย
และเขาจะไม่ใช้คำพูดนี้เป็นสุภาษิตในอิสราเอลอีกต่อไป”
แต่เจ้าจงกล่าวแก่พวกเขาว่า
วันเวลาใกล้เข้ามา นิมิตทุกเรื่องนั้นจะสำเร็จทุกประการ
เพราะว่า จะไม่มีนิมิตปลอมแปลง หรือคำทำนายเพื่อสอพลอในหมู่อิสราเอลอีกต่อไป
เพราะเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า
เราจะกล่าวคำที่เราจะพูด  และคำพูดนั้นจะเป็นจริงโดยไม่มีการรั้งรอ จะเกิดในขึ้นในสมัยของพวกเจ้า
โอ เจ้าคนดื้อด้าน  เราจะพูด และแสดงให้เจ้าเห็น… องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศ

และคำขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้า
“บุตรของมนุษย์เอ๋ย  ดูเถิด.. คนที่มาจากวงศ์วานอิสราเอลกล่าวว่า
..นิมิตที่เขาเห็นนั้น กว่าจะเกิดอีกนาน และเขาทำนายถึงสิ่งที่อยู่ในอนาคตไกลๆ..

ดังนั้น เจ้าจะพูดกับพวกเขาว่า
คำของเราจะไม่มีการเนิ่นช้าอีกต้องไป
แต่คำที่เรากล่าวจะเกิดขึ้นแน่นอน”องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศ

เอเสเคียล 12-2 ทุกคน..ผ่านช่องกำแพง

เอเสเคียล 12:8-16

ในเวลาเช้า พระดำรัสของพระเจ้ามายังข้า
“ลูกชายของมนุษย์เอ๋ย  วงศ์วานอิสราเอลที่ดื้อดึงได้พูดกับเจ้าไหมว่า
..ทำอะไรอยู่นั่นนะ?..
จงกล่าวกับพวกเขาว่า

..องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เป็นคำที่เกี่ยวข้องกับ
เหล่าเจ้าชายในนครเยรูซาเล็ม และวงศ์วานอิสราเอลที่อาศัยในนั้น
กล่าวว่า .. เราเป็นสัญลักษณ์ให้กับเจ้า อย่างที่เราได้ทำ
ก็จะเกิดขึ้นกับพวกเขาอย่างนั้นเหมือนกัน
พวกเขาจะต้องถูกเนรเทศ และกลายไปเป็นเชลย
เหล่าเจ้านายก็จะต้องหอบห่อผ้าเชลยบนบ่าในยามโพล้เพล้
และพวกเขาจะออกไป

ruukampang
พวกเขาจะต้องขุดกำแพงให้ตัวเองลอดออกไปได้
เขาจะคลุมหน้าของเขาไว้ เพื่อเขาจะไม่ได้เห็นแผ่นดินด้วยตาของเขาเอง
เราจะเหวี่ยงตาข่ายของเราออกไปเหนือเขา
เขาจะถูกจับเข้ามาด้วยกับดักของเรา
เราจะนำเขาไปถึงบาบิโลน แผ่นดินของชาวเคลเดีย
แต่กระนั้นเขาจะไม่เห็นมัน เขาจะตายที่นั่น
และเราจะทำให้คนที่อยู่รอบข้างเขากระจัดกระจายไปทุกทิศทางลม
ไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วย และกองทัพของเขา
และเราจะชักดาบออกจากฝักตามเขาไป
และพวกเขาจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า
เมื่อเราทำให้เขาระหกระเหินไปตามชาติต่าง ๆ
เมื่อเราทำให้เขากระจัดกระจายไปตามหัวเมืองต่าง ๆ
แต่เราจะให้บางคนหนีคมดาบ ความอดอยากปละภัยพิบัติไปได้
เพื่อว่าเขาจะได้ประกาศสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของเขาตามประชาชาติที่เขาไป
และเขาจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า

เอเสเคียล 12-1 สัญลักษณ์จากพระเจ้า

เอเสเคียล 12:1-7

พระดำรัสของพระเจ้ามาถึงข้า
“ลูกชายของมนุษย์เอ๋ย  เจ้าอาศัยอยู่ท่ามกลางชนชาติที่กบฎ
คนที่มีตา  แต่มองไม่เห็น คนที่มีหู แต่ไม่ได้ยิน
เพราะว่าพวกเขาเป็นวงศ์วานที่ดื้อดึง
สำหรับเจ้าแล้ว ลูกชายของมนุษย์.. จงเตรียมห่อผ้าสำหรับคนที่ถูกเนรเทศ
และเดินออกไปดั่งคนถูกเนรเทศต่อหน้าต่อตาพวกเขา
บางที พวกเขาจะเข้าใจได้บ้าง แม้ว่าจะเป็นคนที่ดื้อดึงก็ตาม
เจ้าจะเอาห่อผ้าเชลยของเจ้าออกมาตอนกลางวันให้พวกเขาเห็น
เป็นผ้าห่อสำหรับเชลย และเจ้าจะออกไปตอนเย็นต่อหน้าต่อตาพวหเขา
เดินออกไปดั่งคนที่จะต้องออกไปเป็นเชลย

Eze12
และให้เจ้าขุดกำแพงให้เขาเห็น ลากห่อผ้าเชลยของเจ้าออกไปผ่านช่องนั้น
และเจ้าจะต้องแบกห่อผ้าของเจ้าบนบ่า  เดินออกไปยามโพล้เพล้ให้เขาเห็น
เจ้าจะปิดหน้าปิดตาของเจ้า เพื่อว่า เจ้าจะไม่เห็นแผ่นดิน
เราให้เจ้าทำดังนี้เพื่อเป็นเครื่องหมายแก่วงศ์วานอิสราเอล”

และข้าก็ทำตามอย่างที่พระองค์ทรงบัญชา
ข้าแบกห่อผ้าเชลยของข้าออกไปตอนกลางวัน
และกลางคืนข้าก็ขุดช่องกำแพงด้วยมือเปล่า
ข้าแบกห่อผ้าเชลยของข้าออกไปยามโพล้เพล้ ต่อหน้าต่อตาพวกเขา

เอเสเคียล 11-2

เอเสเคียล 11:13-25

แล้วในเวลาต่อมา ขณะที่ข้ากำลังกล่าวคำของพระเจ้า
ปาลิติยาห์ ลูกชายเบไนยาห์ก็เสียชีวิต
ข้าก็คุกเข่าซบหน้าถึงดิน ร้องเสียงดังว่า
“โอ.. องค์พระผู้เป็นเจ้า
พระองค์จะทรงทำให้คนที่หลงเหลืออยู่นั้นหมดไปด้วยหรือพระเจ้าข้า?”

และพระดำรัสของพระเจ้ามาถึงข้าว่า “ลูกชายของมนุษย์เอ๋ย
พี่น้องของเจ้า พี่น้องที่ตามการมา ทั้งญาติพี่น้อง วงศ์วานทั้งสิ้นของอิสราเอล
พวกเขาทั้งหมด คือคนที่อาศัยในนครเยรูซาเล็มเคยกล่าวว่า
..พวกเขาออกห่างพระเจ้า  เราจึงได้รับแผ่นดินนี้มาครอบครอง..
ดังนั้น เจ้าจงกล่าวว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้
..แม้ว่าเราจะเคลื่อนย้ายพวกเขาไปอยู่ตามประชาชาติต่างๆ
และแม้ว่าเราจะกระจายพวกเขาไปตามประเทศต่างๆ
แต่เราก็จะเป็นวิหารของพวกเขาในช่วงเวลาที่พวกเขาออกไปอยู่ตามดินแดนเหล่านั้น
ดังนั้นจงกล่าวว่า..องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้
เราจะรวบรวมพวกเจ้าออกมาจากชนชาติทั้งหลาย
จะรวมพวกเจ้าจากประเทศต่างๆ ที่เจ้ากระจัดกระจายไปอยู่นั้น
และเราจะมอบแผ่นดินอิสราเอลให้แก่เจ้า ..
และเมื่อพวกเขาไปอยู่ที่นั่น
พวกเขาจะเอาสิ่งที่น่าชัง และสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนออกไปจากพวกเขา

และเราจะให้พวกเขามีใจเดียว
เราจะใส่วิญญาณใหม่เข้าไปในเขา
เราจะนำเอาใจแข็งดั่งหินของเขาออกจากเนื้อของเขา
และใส่ใจเนื้อเข้าไปให้

unite
เพื่อว่า พวกเขาจะได้เดินตามกฎเกณฑ์ของเรา  รักษาและเชื่อฟังกฎหมายของเรา
และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา
แต่สำหรับเหล่าคนที่หัวใจไปติดตามที่น่าชัง น่าสะอิดสะเอียนนั้น
เราจะนำสิ่งที่เขาทำเทลงมาบนหัวของพวกเขา…
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

แล้วเครูบก็ยกปีกของพวกเขาขึ้น โดยมีวงล้ออยู่ข้าง ๆ
พระสิริของพระเจ้าอยู่เหนือพวกเขา
และพระสิริของพระเจ้าก็เสด็จขึ้นจากท่ามกลางนครนั้น และ
ไปประทับบนภูเขาที่อยู่ทางตะวันออกของนคร
และพระวิญญาณทรงยกข้าขึ้น
ในนิมิต ทรงนำข้าด้วยพระวิญญาณของพระองค์ไปยังเคลเดีย
ไปหาคนที่ถูกเนรเทศออกมา
แล้วนิมิตที่ข้าเห็นก็ลุกไปจากข้า
จากนั้น ข้าจึงเล่าให้ผู้ถูกเนรเทศถึงทุกสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้แสดงให้ข้าเห็น

เอเสเคียล 11-1

เอเสเคียล 11:1-12

พระวิญญาณทรงยกข้าขึ้น
และทรงนำข้ามายังประตูทางตะวันออกของพระวิหารที่หันหน้าไปทางตะวันออก
และดูเถิด ที่ทางเข้านั้น มีชาย 25 คน
ในนั้นมียาอาซันยาห์ ลูกชายของอัสซูร์
และเปลาที่ยาห์ลูกชายเปไนยาห์
แล้วพระองค์ตรัสกับข้าว่า “ลูกชายของมนุษย์เอ๋ย
เหล่านี้ คือคนที่คิดการชั่ว และให้คำปรึกษาโหดร้ายแก่เมืองนี้
พวกเขากลาวว่า .. ยังไม่ถึงเวลาที่จะสร้างบ้าน
เมืองเป็นเหมือนหม้อตุ๋นใหญ่ พวกเราเป็นเนื้อ…
ดังนั้นเจ้าจงกล่าวคำต่อต้านพวกเขา จงกล่าวคำพยากรณ์
ลูกชายของมนุษย์”

ภาพจากthemaskofgod.blogspot.com
ภาพจากthemaskofgod.blogspot.com

แล้วพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็อยู่เหนือข้า
ตรัสกับข้าว่า “จงพูดว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้….
พวกเจ้าคิดอย่างนี้ โอ้วงศ์วานอิสราเอล
เรารู้ว่าเจ้าคิดอะไร  เจ้าได้สังหารคนมากมายเพิ่มขึ้น
ทำให้ตามถนนมีแต่ศพกลาดเกลื่อน
ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าตรัสว่า
เจ้าได้สังหารคนที่เจ้าทิ้งไว้ท่ามกลางคนทั้งหลาย
คิดว่าพวกเขาเป็นเนื้อ และเมืองนี้เป็นหม้อตุ๋น
แต่เจ้าจะถูกนำออกจากกลางเมืองนี้
พวกเจ้ากลัวดาบใช่ไหม.. เราจะส่งดาบมาให้เจ้า
และเราจะเอาเจ้าออกมา และมอบให้กับมือของชาวต่างชาติ
พวกเขาจะพิพากษาโทษเจ้าเอง
พวกเจ้าจะตายด้วยดาบ เราจะพิพากษาเจ้าจากชายแดนอิสราเอล
และเจ้าจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า!
เมืองนี้ไม่ใช่หม้อตุ๋น และเจ้าก็ไม่ใช่เนื้อในหม้อนั้น
เราจะพิพากษาเจ้าจากชายแดนอิสราเอล
และเจ้าจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า!
เพราะว่าเจ้าไม่ได้เดินตามกฎเกณฑ์ของเรา
ไม่เชื่อฟังกฎหมายของเรา
แต่เจ้าได้ทำตามกฎของประชาชาติที่อยู่ล้อมรอบเจ้า”

เอเสเคียล 10-3 เครูบที่เคยเห็น

เอเสเคียล 10:15-22

แล้วเหล่าเครูบก็ขึ้นไป … พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ข้าเห็นที่แม่น้ำเคบาร์
และเมื่อเครูบเคลื่อนไป  ล้อก็ตามไปข้าง ๆ
เมื่อเครูบยกปีกขึ้นเพื่อบินขึ้นจากพื้นโลก
ล้อเหล่านั้น ก็ไม่หันไปจากข้าง ๆ พวกเขาเลย

เมื่อพวกเขายืนนิ่ง มันก็หยุดนิ่งด้วย
เมื่อเขาบินขึ้นไป มันก็ลอยตามขึ้นไปด้วย
เพราะวิญญาณของสิ่งมีชีวิตนั้นอยู่ในวงล้อ

และแล้ว พระสิริของพระเจ้าก็ออกมาจากธรณีประตูพระวิหาร
และหยุดนิ่งอยู่เหนือเครูบ
และเครูบก็บินขึ้นไปจากพื้นโลกต่อหน้าต่อตาข้า
วงล้อก็ตามไปด้วยข้าง ๆ
และเมื่อพวกเขายืนอยู่ที่ทางของประตูตะวันออกของพระวิหารนั้น
พระสิริของพระเจ้าแห่งอิสราเอลก็สถิตอยู่เหนือพวกเขา

สิ่งมีชีวิตที่กล่าวมานี้  ข้าเห็นว่าพวกเขาอยู่ภายใต้พระเจ้าแห่งอิสราเอล
ที่ริมแม่น้ำเคบาร์  และข้าก็รู้ว่า พวกเขาคือเครูบ
แต่ละตนมีสี่หน้า และสี่ปีก ใต้ปีกของพวกเขามีเหมือนมือของมนุษย์
สำหรับลักษณ์หน้าตาของพวกเขา
เป็นหน้าตาแบบเดียวกับที่ข้าเห็นริมแม่น้ำเคบาร์
แต่ละตนเคลื่อนตัวไปข้างหน้า….

 

 

 

 

เอเสเคียล 10-2 ภาพที่เห็น

เอเสเคียล 10:6-14

และเมื่อพระองค์ทรงบัญชาชายคนที่สวมเสื้อผ้าป่าน
“จงนำไฟจากระหว่างวงล้อที่กำลังหมุนระหว่างเครูป”
เขาก็เข้าไป และยืนอยู่ข้างวงล้อวงหนึ่ง
และเครูบตนหนึ่งก็ได้ยื่นมือออกมาจากเหล่าเครูบมายังไฟที่อยู่ระหว่างเครูบนั้น
เขาเอาไฟบางส่วนออกมาและใส่เข้าในมือของชายที่สวมเสื้อป่านลินิน
ชายนั้นรับไฟมาและออกไป
ดูเหมือนว่าเครูบมีมือเหมือนมือมนุษย์อยู่ใต้ปิก
cherubim
และเมื่อข้ามองไป ดูเถิด มีล้อสี่ล้ออยู่ข้างเครูบ หนึ่งล้อต่อหนึ่งเครูบ
และล้อนั้นเป็นเหมือนเบริลที่เป็นประกายจ้า
รูปร่างของมันนั้น เป็นเหมือนกันทั้งหมด เป็นล้อหมุนอยู่ในวงล้ออีกที
เมื่อเคลื่อนที่ เครูบสามารถหันหน้าไปด้านใดก็ได้โดยไม่ต้องหันตัวตามไป
ไม่ว่าวงล้อแรกหันไปทางไหน พวกเขาก็จะตามไปโดยไม่ต้องหัน
ร่างกายของเขา ทั้งปีกและหลัง มืปีก และวงล้อคือวงล้อทั้งสี่ต่างมีดวงตาอยู่รอบ ๆ
สำหรับวงล้อเหล่านั้น ข้าได้ยินเขาเรียกว่า วงล้อหมุน
และเครูบต่างมีหน้าสี่หน้า หน้าแรกเป็นหน้าเครูบ
หน้าที่สองเป็นหน้ามนุษย์ หน้าที่สามเป็นหน้าสิงโต และหน้าที่สี่เป็นหน้าอินทรี

เอเสเคียล 10-1

 

เอเสเคียล 10:1-5

เมื่อข้ามองไป ดูเถิด บนความกว้างใหญ่ที่อยู่เหนือเครูบ มีสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้น
เป็นบัลลังก์ที่ทำจากอัญมณีไพฑูรย์
พระองค์ตรัสกับชายที่สวมเสื้อป่านลินินว่า
“จงเข้าไปอยู่ท่ามกลางวงล้อซึ่งอยู่ใต้เครูบ
ให้เจ้ากอบเอาถ่านที่กำลังไหม้จากที่ระหว่างเครูบ และให้โปรยเหนือนครนั้น”
เขาก็ออกไปต่อหน้าต่อตา

ezequiel
และเหล่าเครูบยืนอยู่ทางใต้ของพระวิหาร
เมื่อเขาเข้าไปในนั้น ก็มีเมฆปกคลุมลานด้านใน
และพระสิริของพระเจ้าก็ขึ้นมาจากเครูบสู่ธรณีประตู
เมฆลอยอยู่เต็มพระวิหาร
และลานนั้น ก็เต็มไปด้วยความเจิดจ้าแห่งพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า
และเสียงขยับปีกของเครูบ ดังไปถึงลานชั้นนอก
เหมือนกับสุรเสียงของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ยามที่พระองค์ตรัส

เอเสเคียล 9-2 ทำผิดแต่โทษพระเจ้า

เอเสเคียล 9:7-11

แล้วพระองค์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “จงทำให้พระวิหารของเราเป็นมลทิน
ให้มีแต่ศพที่ถูกฆ่าตาย  ไปได้”
ดังนั้นพวกเขาจึงออกไป และสังหารคนในเมือง
ในขณะที่พวกเขากำลังตามล่าสังหารนั้น
ข้าถูกทิ้งไว้คนเดียว ข้าจึงล้มตัวลงร้องว่า
“อา..องค์พระผู้เป็นเจ้า
พระองค์จะทรงทำลายคนที่หลงเหลือในอิสราเอล
ด้วยพระพิโรธที่ทรงเทลงมาเหนือเยรูซาเล็มอย่างนั้นหรือพระเจ้าข้า?”

แล้วพระองค์ตรัสกับข้าว่า
“ความผิดของวงศ์วานอิสราเอลและยูดาห์ใหญ่หลวงนัก
แผ่นดินเต็มด้วยเลือด   ความอยุติธรรมท่วมท้นในเมือง
พวกเขากล่าวกันว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทิ้งแผ่นดินนี้ไปแล้ว
และพระองค์ไม่ทรงเห็นอะไรทั้งนั้น”..eze9-22

สำหรับเราแล้ว  ตาของเราจะไม่ทิ้งใครให้เหลือรอดไป
และเราจะไม่สงสาร
เราจะนำการกระทำของเขามาตกเหนือหัวของเขาเอง”

และดูเถิด ชายคนที่สวมเสื้อป่านลินินที่มีกล่องเครื่องเขียนติดเอว
กลับมาและกล่าวว่า
“ข้าพระองค์ได้ทำตามอย่างที่พระองค์ทรงสั่งทุกประการ พระเจ้าข้า”

เอเสเคียล 9-1 เรียกตัวเพชฌฆาต

เอเสเคียล9:1-6

แล้วพระองค์ตรัสเสียงดังเข้าหูข้าว่า

“จงนำเหล่าเพชฌฆาตของเมืองมาใกล้ๆ
ให้เขามาพร้อมกับอาวุธประหารของตน”
และดูเถิด มีชาย6 คนมาจากประตูบนซึ่งหันไปทางเหนือ
แต่ละคนมีอาวุธสังหารในมือ
มีชายผู้หนึ่งสวมเสื้อป่านลินิน พร้อมกล่องเครื่องเขียนอยู่ที่เอว
พวกเขาเข้ามาข้างในและยืนอยู่ข้างแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์

และพระสิริของพระเจ้าแห่งอิสราเอลก็ขึ้นไปจากเครูบจากที่เคยดำรงอยู่
ไปยังธรณีประตูพระวิหาร
และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกชายที่สวมเสื้อป่านลินินผู้ที่มีกล่องเครื่องเขียนที่เอว
ตรัสสั่งเขาว่า “จงผ่านเข้าไปในนครเยรูซาเล็ม
และทำเครื่องหมายบนหน้าผากของคนที่ถอนหายใจ
และคร่ำครวญเพราะความน่าสะอิดนะเอียนที่ผู้คนทำกันอยู่”

eze9-11

และพระองค์ตรัสกับคนอื่น ๆ ซึ่งข้าได้ยินด้วย
“จงผ่านเข้าไปในนคร ตามเขาไป และจัดการสังหารคนเสีย
ตาของเจ้าไม่ต้องปรานีใคร เจ้าไม่ต้องมีใจสงสารใครด้วย
จงสังหารคนแก่ คนหนุ่ม หญิงสาว เด็กและผู้หญิง
แต่อย่าแตะต้องคนที่มีเครื่องหมายบนหน้าผาก
ให้เริ่มต้นจากพระวิหารของเรา”
ดังนั้น พวกเขาจึงเริ่มต้นสังหารตั้งแต่คนแก่ที่อยู่หน้าพระวิหารนั้น

เอเสเคียล 8-3 เราจะไม่ฟัง

เอเสเคียล8:14-18

แล้วพระองค์ทรงนำข้าไปยังประตูเข้าพระวิหารทางประตูเหนือ
และดูเถิด ที่นั่นมีหญิงคนหนึ่ง ร้องไห้เพื่อเทพทัมมุส
และพระองค์ตรัสกับข้าว่า
“เจ้าเห็นสิ่งนี้ไหม..บุตรของมนุษย์เอ๋ย?
แล้วเจ้าจะเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่านี้อีก”

และพระองค์ทรงนำข้าไปยังลานชั้นในของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า
และดูเถิด ที่ทางเข้าพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ระหว่างเฉลียงกับแท่นบูชา
มีผู้ชายประมาณ 25 คน หันหลังให้กับพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ทั้งหมดหันหน้าไปทางตะวันออก และก็นมัสการดวงอาทิตย์ทางตะวันออกนั้น
แล้วพระองค์ตรัสกับข้าว่า

eze8-3
“เจ้าเห็นสิ่งนี้ไหม  บุตรของมนุษย์เอ๋ย?
ไม่พอรึ ที่วงศ์วานอิสราเอลได้ทำสิ่งน่าสะอิดสะเอียนขนาดนี้
ที่พวกเขาทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยความรุนแรง
และยั่วยุให้เราต้องกริ้วต่อไปอีก?
ดูเถิด พวกเขาได้เอากิ่งไม้มาแตะจมูกของพวกเขา
ดังนั้น เราจะกระทำกับเขาด้วยความโกรธ
ตาของเราจะไม่มีความปรานี
เราจะไม่สงสาร
แม้ว่าพวกเขาจะร้องไห้เสียงดังลั่นใส่หูของเรา
เราก็จะไม่ฟัง”