แนะนำมีคาห์

มีคาห์  กล่าวคำของพระเจ้าในสมัยราชาโยธาม อาหัส และเฮเซคียาห์แห่งยูดาห์    เขาจดจ่อไปที่เรื่องอาณาจักรอัสซีเรีย  ซึ่งนับเป็นศัตรูสำคัญในสมัยของกษัตริย์ทั้งสาม  ประมาณปี 730 ก่อนคริสตศักราช อัสซีเรียมุ่งมาที่อิสราเอล  ส่วนช่วงปี 700 ปีก่อนคริสศักราชนั้น ก็หวนมาที่ยูดาห์ด้วย

มีคาห์จะกล่าวย้ำเตือนให้กลับใจ บอกล่วงหน้าว่า ประเทศชาติจะวิบัติอย่างไร  แต่ดูเหมือนเหล่าปุโรหิต ผู้นำทางจิตวิญญาณกลับไม่สนใจ คิดว่า ไม่มีภัยใดจะเกิดขึ้นได้  ถึงอย่างนั้นมีคาห์ยังยืนกรานถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น แม้กระทั่งภูเขาศิโยนที่พวกเขาคิดว่า ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ก็ไม่อาจต้านทานศัตรูได้

ใครจะรู้ ที่มีคาห์ได้มีโอกาสนานมากถึงสามรัชกาลนั้น อาจเป็นเพราะพระเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเขากลับใจ  แม้ว่าพระองค์จะทรงนำวิบัติเหล่านั้นมาเอง  และถึงแม้ว่า ในช่วงมีคาห์ ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับยูดาห์ แต่ในที่สุด ประมาณ 586 ปีก่อนคริสตศักราช ยูดาห์ก็ล่มสลายจากการโจมตีของบาบิโลน

หนังสือมีคาห์มีการกล่าวถึงทั้งพระเมตตา และพระพิโรธของพระเจ้าสลับกันไป  แม้ว่าพระองค์จะทรงกริ้วยิ่งนัก  แต่ก็ทรงระลึกถึงพระเมตตาของพระองค์เสมอ
อีกอย่างที่เราน่าจะรู้คือ มีคาห์กับอิสยาห์พูดสิ่งที่คล้ายกันมาก

 

โยนาห์ 4-2

แต่ตอนเช้าของวันถัดมา  พระเจ้าทรงให้หนอนตัวหนึ่งมาแทะกินต้นไม้จนเหี่ยวแห้งไป  เมื่ออาทิตย์ขึ้น  พระเจ้าก็ทรงให้ลมร้อนทางตะวันออกพัดมา และแสงอาทิตย์ก็แผดเผาศีรษะโยนาห์จนเป็นลม

เขาจึงขอตายอีก  และกล่าวว่า “ ที่ข้าพเจ้าจะตายก็ดีกว่ามีชีวิตอยู่”
แต่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ว่า “เจ้าทำดีแล้วหรือที่มาโกรธต้นไม้?”

“ใช่แล้วพระเจ้าข้า  ข้าพเจ้าทำดีแล้วที่จะโกรธ  โกรธมากพอที่จะตายไปเลย”


และพระเจ้าตรัสว่า “เจ้าเสียดายเถาไม้ที่เจ้าเองไม่ได้ปลูก เจ้าไม่ได้ทำให้มันโต มันงอกขึ้นตอนกลางคืน และเหี่ยวแห้งไปชั่วคืนเดียว   คนชาวเมืองนีนะเวห์ที่มีคนตั้ง 120,000  คน  พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก แล้วสัตว์เลี้ยงอีกมากมายนั้นเล่า?  โยนาห์ เราไม่ควรจะสงสารพวกเขารึ?”

หลายคนรู้สึกสมน้ำหน้าโยนาห์ที่ต้นไม้เลื้อยนั้นกลับเหี่ยวแห้งตายไป

พระเจ้าทรงดีต่อเขา แต่เขาไม่เห็นน้ำพระทัยนั้น กลับปั่นป่วนในใจที่ชาวนีนะเวห์จะรอดพ้นภัยพิบัติ  โยนาห์ทำให้เราเห็นลึก ๆ ในใจของตัวเราเองไหม     โยนาห์หลงคิดว่า เขาไม่ควรจะช่วยให้คนที่หลงผิดรอดตาย  เขาคิดได้อย่างไรนะนี่  เขาสนใจต้นไม้ตายยิ่งกว่าคนจะต้องตายเสียอีก

พระเจ้าทรงทำให้เราเห็นว่า

พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของมนุษย์ทุก ๆ คนจริง ๆ

 

โยนาห์ 4-1

ที่พระเจ้าไม่ทรงทำลายเมืองนีนะเวห์…. โยนาห์กลับไม่พอใจอย่างยิ่ง
เขาโกรธ   ดังนั้นจึงทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า  ตอนที่ข้าพเจ้ายังอยู่ที่บ้านเกิดนั้น  ข้าพเจ้าก็ได้พูดแล้วนี่นา  ข้าพเจ้าจึงหนีไปยังเมืองทารชิช

ข้าพเจ้ารู้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เต็มด้วยพระคุณ และทรงเมตตายิ่งนัก  พระองค์ทรงโกรธช้า และในพระทัยเต็มด้วยความรักมั่นคง

ดังนั้น บัดนี้ พระเจ้าข้า  ขอทรงโปรดเอาชีวิตของข้าพเจ้าไป  สำหรับข้าพเจ้าแล้วที่จะตายก็ดีกว่ามีชีวิตอยู่”  พระเจ้าตรัสกับเขาว่า  “เจ้าทำดีแล้วหรือที่มาโกรธเกรี้ยวอย่างนี้?”

โยนาห์เดินทางออกจากเมืองนีนะเวห์ และนั่งอยู่ทางตะวันออกของเมือง  แล้วเขาก็ทำเพิงเล็ก ๆ เพื่อว่าจะได้นั่งหลบแดด   เขาจะนั่งตรงนั้นจนกว่าจะเห็นว่า เกิดอะไรขึ้นกับเมือง

แล้วพระเจ้าก็ทรงให้มีต้นพืชเกิดขึ้นมา เลื้อยขึ้นไปบนเพิงเพื่อว่ามันจะได้เป็นที่หลบแดดให้กับเขา  จะได้สบายตัว  โยนาห์ดีใจมากที่มีต้นไม้เลื้อยนี้ขึ้นมา

จากคำพูดของโยนาห์นั้น แสดงว่า ที่เขาไม่อยากไปเมืองนีนะเวห์เพราะเขาเชื่อว่า พระเจ้าจะไม่ทรงทำลายเมืองนี้แน่   ก็ทรงห่วงใย และส่งเขาไป  แน่นอน พระองค์ทรงมีแผนที่จะให้ชาวนีนะเวห์ได้รอดพ้น  เขารู้พระทัยของพระเจ้าดีว่า พระองค์ทรงเมตตาขนาดไหน

แถมยังย้ำเหมือนกับเด็กดื้อด้วยว่า  ที่หนีไปก็เพราะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

โยนาห์นี่เป็นคนอย่างไรกัน  มีโอกาสทำสิ่งที่ดี ไม่อยากทำ  แล้วเมื่อต้องทำ ได้ช่วยเหลือคนมากมาย ก็ยังมาโกรธแล้วอยากตายไปให้พ้น ๆ เสียอีก

แต่เวลานั้นเอง พระเจ้าทรงเห็นว่า เขาจะร้อน จึงทรงส่งต้นไม้มาให้…

จะเกิดอะไรต่อไป…

 

โยนาห์ 3-2

โยนาห์ 3:6-10

เมื่อราชาแห่งนีนะเวห์ได้ยินเรื่องของโยนาห์  ก็ทรงลุกจากบัลลังก์ ถอดฉลองพระองค์อันงดงามออก และทรงสวมเสื้อที่ทำจากผ้ากระสอบ  และทรงนั่งลงในขี้เถ้า   พระองค์ทรงบัญชาออกไปจนทั่วเมืองว่า

“โดยคำสั่งจากพระราชาและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่   อย่าให้คน สัตว์ สัตว์เลี้ยง กินอะไรเลย  ไม่ต้องกินอาหาร หรือดื่มน้ำ  ให้ทั้งคนและสัตว์สวมผ้ากระสอบ  และร้องทูล เรียกหาพระเจ้าอย่างสุดใจ

ให้ทุกคนหันจากความบาปชั่วและความโหดร้ายที่มือของพวกเขากระทำ

ใครจะรู้บ้างว่า พระเจ้าอาจทรงเปลี่ยนพระทัย และไม่โกรธเรา เพื่อว่าเราจะไม่พินาศ”

เมื่อพระเจ้าทรงเห็นสิ่งที่พวกเขาทำ  การหันจากความบาป  พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ส่งความหายนะมายังเมืองนีนะเวห์   ตามที่พระองค์ทรงคาดโทษเขาไว้

 

 

 

ดูซิ  เมื่อโยนาห์เชื่อฟังพระเจ้า    สิ่งที่ตอบแทนมันยิ่งใหญ่เหลือเกิน

คนเป็นอันมากไม่ต้องถูกลงโทษเพราะความผิด  เนื่องจากว่า เขากลับใจทัน  กลับใจอย่างจริงใจ ลึกซึ้ง

พระราชาของนีนะเวห์ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ช่วยให้ภัยพิบัติไม่ต้องมาถึง   คำสั่งจากพระราชาย่อมไปถึงคนทุกคน

ที่น่าแปลกคือ ถึงทั้งสัตว์เลี้ยงด้วย  พวกเขาคิดอะไรกันนะ?


โยนาห์ 3-1

โยนาห์ 3:1-5

และพระเจ้าได้ตรัสกับโยนาห์อีกเป็นครั้งที่สอง “จงลุกขึ้น ไปยังเมืองนีนะเวห์ เมืองยิ่งใหญ่ และประกาศ ร้องบอกสิ่งที่เราบอกเจ้าไปนั้น”
ดังนั้นโยนาห์จึงลุกขึ้น เดินมุ่งหน้าไปยังเมืองนีนะเวห์ตามที่พระเจ้าตรัสสั่ง นีนะเวห์ เป็นเมืองใหญ่มากต้องใช้เวลา 3 วันเดินกว่าจะทั่วเมือง (เมืองนั้นกว้างยาวประมาณ 60 ไมล์)
ส่วนโยนาห์เองก็เริ่มเดินทางเข้าไปในเมือง วันนั้น เขาร้องว่า

“ท่านทั้งหลาย โปรดฟังทางนี้ อีก 40 วัน เมืองนีนะเวห์จะถึงหายนะ!”
เขาพูดอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
น่าแปลกมาก ชาวเมืองนีนะเวห์ฟังเสียงของเขา และพวกเขาก็เชื่อพระเจ้า ประกาศให้ชาวเมืองอดอาหาร ใส่เสื้อผ้ากระสอบเพื่อจะคร่ำครวญ พวกเขาสำนึกในความผิดต่าง ๆ ที่ได้ทำลงไป ชาวเมืองที่มาอดอาหารกันนั้น ตั้งแต่คนชั้นสูงจนถึงคนยากจนค่นแค้นที่สุด

ภาพเขียนโดย กุสตาฟ ดอเร่ (1832-1883)

โยนาห์ ซึ่งเป็นคนที่ดื้อดึงกับพระเจ้า เปลี่ยนนิสัยใจคอไปเสียแล้ว พอพระเจ้าตรัสสั่งเขาอีกครั้ง เขาก็ไม่โอ้เอ้อีก แต่มุ่งหน้าไปยังเมืองนีนะเวห์ทันที
การเดินทางเท้าครั้งนี้ น่าจะนานโขอยู่ เพราะต้องเดินเท้า ใช้เวลานานเท่าไรไม่ทราบ แต่ระหว่างทางนั้น โยนาห์คงมีโอกาสคิดอะไรอีกมากมาย …..
ที่จริง โยนาห์ไม่ใช่คนใหญ่โตอะไรเลย การเดินทางเข้าไปในเมืองนีนะเวห์ครั้งนี้ เปรียบเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง และยังต้องไปประกาศให้คนเหล่านั้นกลับใจใหม่ ไม่ดำเนินชีวิตชั่วร้ายอีกต่อไป คราวนี้เขาจะโดนหินขว้างหรือเปล่านะ?
แต่เหตุการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิด โยนาห์ร้องบอกให้คนกลับใจ
และผู้คนก็หันมาฟังเขา เมื่อเขาบอกว่า ภัยพิบัติกำลังจะมา ชาวนีนะเวห์ก็กลัว
และเขาก็เชื่อ! นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์มาก โยนาห์ไม่ได้ทำให้เขาเชื่อ แต่พระเจ้าทรงบันดาลใจพวกเขา เมื่อได้ยินข่าวสารจากพระเจ้า เขาก็ถ่อมใจ ไม่ยะโสอีกต่อไป และเชื่อในพระองค์
ทั้งนี้ เกิดขึ้นเพราะโยนาห์ที่เคยดื้อ เปลี่ยนใจเป็นเชื่อฟังพระเจ้า และทำทุกสิ่งตามที่พระองค์ทรงสั่ง…..

โยนาห์ 2-2

โยนาห์ 2: 6-10
ที่ฐานรากของภูเขา ข้าพระองค์ ลงไปยังดินแดนที่มีกรงเหล็กกั้นข้าพเจ้าไว้ตลอดไป แต่พระเจ้ายังทรงนำชีวิตของข้าพระองค์ ออกมาจากหลุมลึก
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ เมื่อชีวิตของข้าพระองค์ กำลังจะหมดลมไป ข้าพระองค์ระลึกถึงพระเจ้า และคำอธิษฐานก็มาถึงพระองค์ ยังพระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์
ผู้ที่กราบไหว้รูปเคารพอันอนิจจัง ได้ละทิ้งความหวังที่มีต่อความรักมั่นคงของพระเจ้า แต่ข้าพระองค์จะถวายคำโมทนาพระคุณเป็นเครื่องบูชาแด่พระองค์
สิ่งที่ข้าพระองค์ปฏิญาณไว้ ข้าพระองค์จะทำตามนั้น ความรอดพ้นเป็นของพระเจ้า “

ภาพเขียนโดย Jan Brueghel the Elder, ca. 1600, Oil on Panel

และพระเจ้าได้ตรัสกับสัตว์มหึมา และมันก็คายโยนาห์บนหาดทรายแห้ง

โยนาห์กล่าวถึงฐานรากของภูเขาและหลุมลึก มันหมายถึงแดนคนตายนั่นเอง เขาเกือบจะตายอยู่แล้ว แต่เมื่อเขาระลึกถึงพระเจ้า เขาก็มีความหวังขึ้นมา อธิษฐานต่อพระองค์ และมั่นใจว่า คำอธิษฐานนั้นขึ้นไปถึงพระเจ้าโดยตรง
ที่เขากล่าวอ้างถึงรูปเคารพนั้น เพราะเขาเห็นความแตกต่างของรูปเคารพที่ไร้ชีวิตกับพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่อย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวออกมาตรง ๆ ด้วยความเต็มใจแล้วว่า เขาจะทำตามสิ่งที่เขาปฏิญาณเอาไว้
โธ่ ท่านโยนาห์ ต้องลงไปอยู่ในทะเลลึก … หวาดหวั่น น่ากลัว ..จึงจะมั่นใจว่า ตนเองจะทำอะไร …. แต่ถ้าท่านไม่ดื้อต่อพระเจ้า พวกเราคงไม่ได้ยินเรื่องราวที่ตื่นเต้นเช่นนี้เหมือนกัน …
แล้วโยนาห์ก็ถูกปล่อยออกมาจากท้องปลาใหญ่…. ตามคำสั่งของพระเจ้า
พระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ….. สรรเสริญพระองค์

โยนาห์ 2-1

จากท้องเจ้าสัตว์ทะเลตัวมหึมา โยนาห์ได้ทูลอธิษฐานต่อพระเจ้า กล่าวว่า
“ข้าพระองค์ร้องทูลต่อพระเจ้า จากความทุกข์ยาก และพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์
จากที่ลึกแห่งแดนคนตาย ข้าพระองค์ร้องหาพระองค์ และพระองค์ทรงยินเสียงของข้าพระองค์
เพราะพระองค์ทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ลงมาในที่ลึก ลงมายังก้นบึ้งของทะเล
และน้ำก็ท่วมข้าพระองค์ ทั้งคลื่น และคลื่นลมผ่านข้าพระองค์ไป
และข้าพระองค์กล่าวว่า ข้าพระองค์ถูกไล่ออกมาจากสายพระเนตรของพระองค์
แต่ข้าพเจ้าจะยังมองไปยังพระวิหารบริสุทธิ์ของพะรองค์
น้ำก็ท่วมทับข้าพระองค์ เพื่อจะเอาชีวิตของข้าพระองค์ไป ที่ลึกล้อมรอบข้าพระองค์
สาหร่ายก็พันศีรษะของข้าพระองค์

โยนาห์คร่ำครวญร้องหาพระเจ้าจากที่ลึกของทะเล เขามีอากาศหายใจจากท้องเจ้าสัตว์ยักษ์.
นี่มันเรือดำน้ำโบราณของแท้เลยนะ!

ที่เขากล่าวว่าจากแดทนคนตายนั้น. หมายความว่ามัันเหมือนกับตายไปแล้ว!
เขารู้ชัดว่า การที่เขาอยู่ในสภาพเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่พระเจ้าทรงให้เกิดขึ้น. โยนาห์เข้าใจแล้วว่า ไม่มีทางหนีพระเจ้าพ้น

โยนาห์ 1-4

โยนาห์1:11-17

ดังนั้น พวกเขาจึงกล่าวกับโยนาห์ว่า “แล้วเราจะทำอย่างไรกับเจ้าดี เพื่อว่าทะเลจะได้สงบ ฮึ?” ตอนนั้น ทะเลยังคงปั่นป่วน และลมแรงมากขึ้น     เขาจึงว่า “ขอพวกท่านโยนข้าพเจ้าลงไปในทะเล  แล้วทะเลจะสงบ เพราะว่าที่ท้องทะเลมีพายุเช่นนี้เป็นเพราะข้าพเจ้าเอง”

แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็พยายามที่จะพายเรือกลับไปยังแผ่นดิน  แต่ทำไม่ได้  เพราะบัดนี้ทั้งคลื่นลมในท้องทะเลและพายุยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น   ดังนั้นพวกเขาจึงร้องต่อพระเจ้า  “ข้าแต่พระเจ้าผู้สูงสุด  ขอพระเจ้าอย่าให้เราต้องพินาศเพราะชีวิตของชายคนนี้  ขอพระเจ้าอย่าเอาผิดกับพวกเราหากเขาไม่มีความผิด  ข้าแต่พระเจ้า … พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่พระองค์เห็นพอพระทัย”

แล้วพวกเขาจึงจับโยนาห์โยนลงไปในทะเล….”โครม!”  ทันใดนั้นเอง ลมพายุรอบ ๆ นั้นก็สงบลงทันที

ภาพเขียนโดย Carlo-Antonio-Tavella

เขาเหล่านั้นกลัวพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง  และพวกเขาได้ถวายเครื่องบูชาแด่พระองค์ ทั้งยังปฏิญาณตนไว้ด้วย

แล้วดูซิ พระเจ้าทรงสั่งให้ปลาใหญ่ตัวหนึ่งกลืนโยนาห์เข้าไป   โยนาห์จึงอยู่ในท้องปลา สามวันสามคืน

 

อัศจรรย์แรก … พระเจ้าทรงส่งลมพายุมายังเรือที่โดยสารโยนาห์   ต่อมา สลากก็ตกที่โยนาห์  แล้วเมื่อโยนโยนาห์ลงทะเล  พายุก็หยุดทันที  แถมยังมีสัตว์น้ำตัวใหญ่ที่สามารถอ้าปากรับโยนาห์ลงไปในท้องของมันแบบเป็น ๆ  …. โยนาห์ไม่ได้ตาย ทั้ง ๆ ที่เขาพร้อมจะตายเพราะรู้ตัวดีว่า ได้ทำผิดต่อพระเจ้าแล้ว   แค่นี้นับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติได้ตั้ง  5 อย่าง!

ดูซิ   โยนาห์ยอมจมน้ำตาย  ดีกว่าไปนีนะเวห์   แต่พระเจ้าไม่ทรงตามใจเขาสักนิด….

ก่อนที่จะถูกโยนลงน้ำ  เขาน่าจะได้พูดเรื่องของพระเจ้าให้กับคนบนเรือ  พวกเขาน่าจะสงสัยว่า โยนาห์จะไปเมืองนีนะเวห์ทำไมกัน   …  จากนั้นดูเหมือนว่า พวกเขาก็ได้ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า  ….  พวกเขาร้องทูลต่อพระเจ้า และขอให้ทุกสิ่งที่พระองค์ปรารถนาประสบความสำเร็จตามพระทัยของพระองค์   เขาหันกลับมาเชื่อพระเจ้าไหมนะ?   ที่เราอ่านบันทึก … บอกไว้ว่า พวกเขากลัวพระเจ้ามากจริง ๆ


 

 

โยนาห์ 1-3

โยนาห์ 1:7-10

แล้วพวกเขาก็พูดกันว่า  “เอาอย่างนี้  เรามาจับฉลากกัน  เราจะได้รู้ว่าเหตุการณ์ร้ายครั้งนี้  ใครเป็นต้นเหตุ”  ดังนั้นพวกเขาจึงจับฉลากกัน  และปรากฏว่า โยนาห์ได้ฉลากนั้น

“เจ้าบอกเรามาซิว่า ใครเป็นต้นเหตุให้ความชั่วร้ายครั้งนี้ตกมาที่พวกเรา ? ฮึ  เจ้ามีอาชีพอะไร?  เจ้ามาจากไหน? เจ้าเป็นคนชาติไหน?  เชื้อชาติอะไร?”    โยนาห์ตอบเขาว่า “ข้าเป็นคนเชื้อชาติฮิบรู   เป็นคนที่เกรงกลัวพระเจ้า  พระเจ้าแห่งสวรรค์ผู้ทรงสร้างทะเลและแผ่นดิน”

“ฮ้า!!”  พวกเขาตกใจกลัวกันมาก โยนาห์ได้เล่าให้พวกเขาฟังว่า เขาได้พยายามหนีจากพระเจ้ามา   “แล้วนี่เจ้าทำอะไรลงไป?!!”

ภาพได้รับความเอื้อเฟื่อจาก dsmedia.org

ลองคิดถึงเรือที่กำลังโคลงเคลงโยนตัวขึ้นไปบนยอดคลื่น  แล้วก็หล่นลงมา  มีคลื่นอีกลูกซัดน้ำเข้ามาเต็มลำเรือ  …  … พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว เพราะว่า ทำอย่างไร ร้องขอพระของตัวเองเท่าไร  คลื่นก็ไม่สงบ  และไม่มีท่าทีว่าจะสงบด้วย

คนในสมัยนั้น เมื่อต้องการคำตอบของพระที่เขาเชื่อ  ก็จะใช้วิธีทอยสลากกัน  มันเป็นวิธีง่าย  ตัดสินได้เลย  แต่ครั้งนี้ พระเจ้าทรงตอบพวกเขา  พระเจ้าทรงให้โยนาห์รู้ว่า ทรงเอาจริงแน่คราวนี้

คำถามที่โยนาห์ต้องตอบนั้น มากมายเป็นชุด

แค่บอกว่าเป็นฮิบรู พวกเขาก็รู้ว่า โยนาห์ไม่ได้เชื่อเทวรูปเหมือนอย่างพวกเขา แถมโยนาห์ยังบอกด้วยว่า พระเจ้าของเขาคือพระผู้สร้างทะเลและแผ่นดิน  โอโฮ…  ขณะที่พายุกำลังพัดกล้านี่นะ  โยนาห์ยังบอกว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหนือทะเลนี้

โยนาห์หนีพระเจ้าด้วยความเข้าใจว่า เขาอาจจะหนีพระองค์ได้  แต่จากคำพูดของเขา ทำให้เราเห็นแล้วว่า โยนาห์รู้ว่า พระเจ้ากำลังทรงจัดการกับเขาตรงไปตรงมา

เมื่อพวกเขารู้ว่า หน้าที่ของโยนาห์คือการกล่าวคำของพระเจ้า เป็นคนเกรงกลัวพระเจ้า  แต่กลายเป็นผู้นำภัยพิบัติมาให้พวกเขา     พวกเขากลัวมาก  กลัวจริง ๆ  ทั้งกลัวตาย  และกลัวพระเจ้า …..พระองค์ผู้ทรงกำลังตามติดโยนาห์มา

 

โยนาห์ 1-2

โยนาห์ 1:4-6

แต่พระเจ้าบันดาลให้เกิดลมพัดแรงในทะเล  และมันกลายเป็นพายุปั่นป่วนท้องทะเล ทำให้เรือเกือบจะแตกอยู่แล้ว   เหล่าลูกเรือต่างตกใจกลัว  ทุกคนเรียกร้องพระเจ้าของตน   พวกเขาช่วยกันเอาข้าวของ สินค้าโยนลงไปในทะเลเพื่อจะทำให้เรือเบาขึ้น

แต่โยนานั้น ได้เข้าไปในเรือ นอนหลับไป

กัปตันเรือได้เข้ามาหาและกล่าวกับเขาว่า “ผู้โดยสารขี้เซา  นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ลุกขึ้น เร็ว ทูลขอพระเจ้าของท่านให้ช่วยพวกเรา  บางทีพระองค์จะทรงคิดถึงเราบ้าง เราจะได้ไม่ต้องพินาศ”

ครั้งนี้ พระเจ้าทรงเป็นผู้ส่งพายุมาให้โยนาห์โดยเฉพาะ  เขาคิดว่าจะหนีพระองค์ไปได้  ขนาดมีพายุยังอุตส่าห์ลงไปนอนเสียอีก  เขาปิดหูปิดตากับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่า พระเจ้าทรงเตือนเขาแล้ว

พายุครั้งนี้ต้องไม่ธรรมดาเหมือนลมพายุที่มักจะเกิดขึ้นในทะเล  เพราะว่า เหล่ากลาสีเรือนั้น ไม่คาดคิดว่าจะมีลมแรงขนาดนี้  และพวกเขาก็กลัวกันมากด้วย

แต่ความแรงของพายุ

เสียงร้องทูลต่อพระเจ้าของเหล่ากลาสี !

เสียงโวยวาย เร่งช่วยกันเอาของโยนลงทะเล….

ไม่ได้ทำให้โยนาห์สนใจอะไรได้เลย…. เขาหลับสนิท….

อี๋ย… เราเคยเป็นอย่างโยนาห์ไหมนี่… มีอะไรเกิดขึ้นเตือนเราตั้งมากมาย  แต่เรายังไม่สนใจ ไม่คิดว่า พระเจ้าทรงเตือน กลับอยู่เฉย ไม่ใส่ใจ  สิ่งที่ใครพูด ก็ไม่สน  รอบตัวเป็นอย่างไรก็ช่าง ฉันจะเป็นของฉันอย่างนี้…..

แล้วดูซิ  กัปตันเรือ ซึ่งน่าจะเป็นเรือของชาวฟินิเชียซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการเดินเรือในทะเลเมดิเตอเรเนียน  ได้บอกให้โยนาห์อธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งอิสราเอล …. เขารู้ว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์ ถ้าพระองค์ทรงฟัง พระองค์ก็จะทรงช่วยพวกเขาได้

คนที่ไม่ได้เชื่อในพระองค์ยังรู้เลยว่า พระองค์ทรงฤทธิ์มากยิ่ง

แล้วยังไงกันนี่  โยนาห์อุตส่าห์หนีพระเจ้ามา  แล้วตอนนี้มีคนมาบังคับให้อธิษฐานต่อพระองค์ที่เขาพยายามหนี…. เป็นอย่างไรล่ะ ท่านโยนาห์

 

โยนาห์ 1-1

โยนาห์ 1:1-3

คำของพระเจ้ามายังโยนาห์ ลูกชายอามิททัย

“เจ้าจงลุกขึ้น เดินทางไปยังเมืองนีนะเวห์ เมืองใหญ่  และร้องตักเตือนพวกเขา  เพราะว่า ความชั่วช้าของพวกเขานั้นมาถึงเรา”

แต่เมื่อโยนาห์ได้ยินดังนั้น เขากลับลุกขึ้นเพื่อจะหนีไปยังเมืองทารชิช  คิดว่าจะหนีไปให้พ้นพระพักตร์ของพระเจ้า  เขาเดินทางไปยังเมืองยัฟฟา และที่นั่นก็พบเรือโดยสารที่จะไปยังทารชิช เมืองเป้าหมายปลายทางของเขา

ภาพเอื้อเฟื้อจาก http://www.dsmedia.org

เขาไปที่ท่าเรือและจ่ายค่าโดยสาร  เมื่อลงเรือก็พร้อมที่จะหนีไปจากพระพักตร์ของพระเจ้า

โยนาห์เป็นผู้กล่าวคำของพระเจ้าในอิสราเอล  และทั้ง ๆ ที่นีนะเวห์ เป็นเมืองของอัสซีเรีย ซึ่งเป็นศัตรูของอิสราเอล  พระเจ้ากลับทรงให้โยนาห์ไปช่วยให้ศัตรูกลับใจ  นี่มันยังไงกัน… โยนาห์รับความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เลย  เขาเองเป็นผู้กล่าวคำของพระเจ้าคอยตักเตือนคนอิสราเอลที่ทำบาป ให้มาหาพระเจ้า  เขาไม่ได้รู้สึกอะไร รู้สึกดีเสียด้วยซ้ำ

แต่ที่พระเจ้าทรงใช้เขาอย่างนี้  ไม่สมเหตุสมผลเลย…

หนีดีกว่า

โยนาห์เข้าใจผิดไปอีกอย่าง  เขาคิดว่า เขาจะหนีให้พ้นสายพระเนตรของพระเจ้าได้ด้วย

เอ ยังไงกัน

ก็พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าทรงฤทธิ์  ทรงเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลก  ทำไม โยนาห์จึงสามารถคิดอย่างนั้นได้.

 

แนะนำโยนาห์

เรื่องราวของโยนาห์นั้น เกิดในราว ศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตศักราช คือ ประมาณ 785-760 ปีก่อนคริสตศักราชนั่นเอง ดูเหมือนว่า เขามาก่อนท่านอาโมส ในสมัยของราชาเยโรโบอัมที่สอง ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่มากกว่ากษัตริย์องค์ใดในอาณาจักรอิสราเอลทางเหนือ
ช่วงเวลานั้น อัสซีเรียเป็นผู้ที่ทำร้ายอิสราเอลอย่างมากมาย ในปี 722 ก่อนคริสตศักราช ก็ได้โจมตีอิสราเอลและนำคนไปเป็นเชลยเกือบหมด
จากหนังสือโยนาห์ทำให้เราเห็นความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างเขามา ดูซิ พระเจ้าทรงห่วงใยคนในนีนะเวห์เป็นอย่างยิ่ง ทรงห่วงจนใช้โยนาห์ไปหาพวกเขา แม้โยนาห์จะรู้ว่า พระเจ้าทรงสร้างทุกคนมา แต่เขามองเห็นว่า พระเจ้าทรงรักอิสราเอลเท่านั้น
โยนาห์คิดว่า พระเจ้าทรงอดทนต่ออิสราเอลเท่านั้น เขาลืมไปว่า พระองค์มีสิทธิจะรักใคร ห่วงใยใครก็ได้ ไม่ใช่คนอิสราเอลแต่อย่างเดียว และเรื่องราวของโยนาห์ทำให้เราเห็นพระเจ้าในอีกด้านหนึ่ง …. พระองค์ทรงมีสิทธิเสรีภาพของพระองค์เอง ทรงยิ่งใหญ่เหนือความคิดของมนุษย์ ทรงฤทธานุภาพใหญ่หลวง พระองค์ไม่ได้ทรงอยู่ภายใต้กรอบที่มนุษย์วางไว้ว่า พระเจ้าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

เหตุการณ์ในโยนาห์ เกิดขึ้นแถบนี้

นี่เป็นเหตุผลที่หลายคนไม่ได้พบพระเจ้า เขาวางกรอบเอาไว้ว่า พระเจ้าต้อง หนึ่ง… สอง….สาม….สี่ แล้วแต่จะคิดกัน แต่หนังสือโยนาห์ทำให้เราเห็นถึงความจริงที่ว่า ในพระเจ้าแล้ว ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ พระองค์ทรงทำอะไร คิดอะไร รักใคร ห่วงใครก็ได้….ทั้งสิ้น
พรุ่งนี้ เราจะได้อ่านเรื่องของโยนาห์กัน และติดตามเขาไปให้พบว่า เขาทำอะไรบ้าง

โอบาดีห์ 1-3

เพราะว่าวันของพระเจ้าสำหรับทุกชนชาตินั้นใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าทำอะไรไว้ สิ่งนั้นเจ้าจะได้รับเช่นกัน การกระทำของเจ้าจะกลับมาที่หัวของเจ้าเอง
เพราะที่เจ้าได้เข้ามาเมาเหล้าบนภูเขาบริสุทธิ์ของเรานั้น ประชาชาติอื่น ๆ ก็จะดื่มอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะดื่ม และกลืนลงไป เหมือนกับว่า พวกเขาไม่เคยดื่มมาก่อน
แต่ที่ภูเขาศิโยนนั้น จะมีคนที่เขาหนีได้ และมันจะเป็นที่บริสุทธิ์ วงศ์วานของยาโคบจะครอบครองสมบัติของเขา

วงศ์วานของยาโคบจะเป็นไฟ วงศ์วานของโยเซฟจะเป็นเปลวเพลิง วงศ์วานของเอซาวจะกลายเป็นแค่ตอ เพราะจะถูกเผาผลาญจนสิ้น จะไม่มีคนเหลือจากวงศ์วานของเอซาวเลย เพราะพระเจ้าได้ตรัสไว้
แผ่นดินของพระเจ้า
คนที่อยู่ในเนเกบจะครอบครองภูเขาแห่งเอซาว และคนที่เชพเพลา จะครอบครองดินแดนของฟิลิสเตีย เขาจะครองดินแดนของเอฟราอิม และสะมาเรีย เบนจามินจะครองกิเลอาด
การถูกเนรเทศของคนอิสราเอลนั้น จะทำให้เขาได้ครอบครองดินแดนไปจนถึง เศราฟัท และคนที่ถูกเนรเทศจากเมืองเยรูซาเล็มไปถึงเสฟาราด จะกลับมาครอบครองเมืองต่าง ๆ ของเนเกบ
พระผู้ช่วยให้รอดจะเสด็จขึ้นไปยังภูเขาศิโยน เพื่อครอบครองภูเขาแห่งเอซาว และอาณาจักรนั้นจะเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า

เพื่อน ๆ ครับ พระเจ้าทรงมองเห็นคนทุกคน ทรงรู้ทุกสิ่งที่เกิดในแต่ละชาติ แต่ละกลุ่มคน พระเจ้าทรงประสงค์ความเมตตาที่มนุษย์จะมีต่อกัน แต่คนเอโดมนี่ก็แปลก ไม่ว่าใครไปบุกใคร เขาก็จะเข้าร่วมเป็นพรรคพวกด้วยเสมอ และพระเจ้าจะทรงทำลายคนที่ยะโสและชั่วช้า … เอโดมจึงเป็นประเทศหนึ่งที่จะโดนพระเจ้าทรงทำลายเอง และทุกวันนี้ แม้จะมีคนอิสราเอลอยู่ในโลก แต่ก็ไม่มีคนเอโดมอยู่จ้า พวกเขาสาบสูญไปเลย…

โอบาดีห์ 1-2

เพราะความโหดร้ายที่ทำต่อน้องชายยาโคบ สิ่งที่จะมาคลุมเจ้าก็คือ ความอับอาย และเจ้าจะถูกตัดออกไปนิรันดร์

ในวันที่เจ้ายืนอยู่อย่างยะโสนั้น วันที่คนแปลกหน้าขนความมั่งคั่ง และวันที่คนต่างชาติเดินผ่านประตูเมืองเข้ามา แล้วยังจับสลากเพื่อเยรูซาเล็ม เจ้าก็เหมือนเป็นคนหนึ่งในนั้น
แต่อย่าคุยโวถึงวันที่พี่น้องของเจ้าประสบเคราะห์กรรม อย่ายินดีในวันที่ยูดาห์เผชิญหายนะ อย่าอวดในวันแห่งความโศกเศร้า
อย่าเดินเข้าไปในประตูเมืองของคนของเราในวันที่พวกเขาพบภัยพิบัติ

อย่าคุยโวเรื่องความเสียหายของพวกเขา ในวันแห่งภัยพิบัติ อย่าปล้นเขา ในวันที่เขาต้องพบความหายนะ อย่ายืนอยู่ที่สี่แยกเพื่อจะจับกุมผู้ที่พยายามหนี อย่าส่งตัวคนที่รอดชีวิตให้กับศัตรูในวันอันตราย

คำที่กล่าวมานี้เข้าใจง่ายๆ. พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยที่เราจะคอยสมน้ำหน้าผู้อื่น. แม้ว่าขณะนั้นพระเจ้าทรงกำลังเตือนสอนเขา

โอบาดีห์ 1

นี่เป็นสิ่งที่โอบาดีห์เห็น
พระเจ้าตรัสถึงเอโดมว่า  :  เราได้ยินรายงานจากพระเจ้า  และมีผู้สื่อสารถูกส่งออกไปตามชาติต่าง ๆ  กล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด  ให้เราลุกขึ้นทำสงครามต่อต้านเอโดม”

“ดูเถิด เราจะทำให้เจ้าเป็นประเทศเล็ก ท่ามกลางชาติทั้งหลาย  เจ้าจะถูกดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างที่สุด  เอโดมกำลังพองตัว  แต่พระเจ้าจะทรงทำให้เขากลายเป็นคนเล็กน้อย  ท่ามกลางชาติในแถบอัฟริกาเหนือ และทางเอเชียตะวันตก…ซึ่งเป็นชาติที่อยู่ใกล้เคียง

ความยะโสในใจของเจ้า หลอกเจ้าเอง  เจ้าซึ่งอาศัยอยู่ตามหลืบหิน ที่อาศัยของเจ้านั้นสูงส่ง  เจ้ากล่าวในใจของตัวว่า “ใครจะมากระชากเราลงไปยังพื้นดินได้?”

ภาพจาก http://ancientneareast.tripod.com/Edomites.html

แม้ว่าเจ้าจะบินทะยานสูงยิ่งดั่งนกอินทรี  แม้ที่พักของเจ้าจะอยู่บนดวงดาว  แต่เราจะนำเจ้าลงมาจากที่นั่น   พระเจ้าประกาศดังนั้น  ที่อาศัยบางแห่งในเอโดมสูงถึง 600 ฟุตเหนือน้ำทะเล   เขาจึงคิดว่า ไม่มีใครอาจมาโจมตีพวกเขาได้แน่นอน    แต่พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าว่า เขาจะต้องลงมาแน่นอน

หากโจรเข้ามาหาเจ้า  และปล้นในเวลากลางคืน  เจ้าจะถูกทำลายขนาดไหน พวกเขาจะไม่ปล้นจนพอใจหรือ?   เมื่อใดก็ตามที่เอโดมจะถูกปล้น  พวกเขาจะโดนริบข้าวของไปจนไม่เหลืออะไรเลย

หากคนเก็บองุ่นมาหาเจ้า  พวกเขาจะไม่ทิ้งองุ่นไว้บ้างหรือ?

จำได้ไหมว่า เอซาวถูกช่วงชิงทรัพย์สมบัติของเขาไปอย่างไร

พันธมิตรของเจ้าก็ขับไล่เจ้าไปจนถึงเขตแดน   ผู้ที่มีสันติกับเจ้าก็หลอกลวงเจ้า และพวกเขาก็ชนะเจ้า   คนที่กินอาหารของเจ้าได้วางกับดักไว้ใต้เจ้า  เจ้าไม่รู้ตัวเลย

และในวันนั้น เราจะไม่ทำลายคนมีปัญญาของเอโดมหรือ?  พระเจ้าทรงประกาศ

เทมานเอ๋ย  คนกล้าของเจ้าจะขวัญหนีดีฝ่อ  จนกว่าทุกคนจากภูเขาแห่งเอซาวจะถูกสังหารสิ้น

แนะนำโอบาดีห์

หนังสือโอบาดีห์เล่มนี้ ไม่เหมือนกับโยเอล อาโมสและโฮเชยาที่ผ่านมา เพราะพระเจ้ากำลังตรัสกับชาวเอโดม …
เรื่องที่พูดถึงนั้น เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับเอโดม
ย้อนอดีตกลับไปสมัยยาโคบกับเอซาว สองพี่น้องฝาแฝด ยาโคบมีลูกหลานเป็นอิสราเอล แต่เอซาวนั้นมีลูกหลานเป็นเอโดม ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ทางใต้ของแผ่นดินอิสราเอล แทนที่พวกเขาจะช่วยให้อิสราเอลได้ผ่านวิกฤติได้ พวกเขากลับคุยทับเมื่อชนชาติอิสราเอลกำลังต้องการน้ำใจจากพวกเขา

คำว่า “โอบาดีห์ “ ชื่อของผู้กล่าวคำคนนี้ แปลว่า “ผู้รับใช้ของพระเจ้า เราไม่ทราบแน่ชัดว่าหนังสือนี้อยู่ในยุคใด แต่จากเนื้อหา คงเป็นหลังจากการกลับมาจากการเป็นเชลยในบาบิโลน

ในยามที่เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้เข้ามาบุกยูดาห์ ทำลายเมืองเยรูซาเล็ม รวมทั้งพระวิหารของพระเจ้านั้น แทนที่เอโดมจะช่วยเหลือคนอิสราเอลซึ่งก็เป็นญาติพี่น้องกันมาตั้งแต่ต้น พวกเขากลับส่งคนที่พยายามหนีไปให้เนบูคัดเนสซาร์ แถมยังได้สังหารอีกหลายคนที่กำลังเดือดร้อน
การกระทำเช่นนี้พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง การไม่ช่วยเหลือคนที่กำลังทุกข์ยาก แต่แถมยังซ้ำเติม เป็นการกระทำที่พระเจ้าจะทรงแก้คืน
พระเจ้าทรงพอพระทัยที่เราจะช่วยเหลือเพื่อนบ้าน และพี่น้องที่เผชิญความยากลำบาก…..นี่เป็นสิ่งที่พระองค์ทำให้เราเห็นชัดเจนจากหนังสือโอบาดีห์เล่มนี้

โฮเชยา 14-2

โฮเชยา 14:8-9

โอ  เอฟราอิม  แล้วเราจะทำอย่างไรกับรูปเคารพของเจ้าล่ะ? เรานี่แหละเป็นผู้ตอบคำทูลของเจ้า  เราเป็นผู้ดูแลปกป้องเจ้า  เราเป็นเหมือนต้นไซเปรสที่เขียวสดเสมอ  ผลของเจ้านั้นมาจากเรา

บัดนี้ พวกเขาเป็นอิสราเอลใหม่แล้ว ที่จะไม่เดินตามรูปเคารพอีกต่อไป   จิตใจของเขามุ่งมั่นที่องค์พระผู้เป็นเจ้า  ไม่หันเหไปที่อื่น…. เวลามีใครมาพบพระเจ้าอย่างแท้จริง มันจะเป็นเช่นนี้ ต้นไซเปรสจะให้ความร่มรื่น ปกป้องจากแดดที่เผดเผา  พระเจ้าจะทรงปกป้องเราจากสิ่งชั่วร้าย ผลในชีวิตของพวกเขาจะมาจากพระเจ้าเท่านั้น  พระองค์เป็นผู้ประทานให้จากการที่เขาใกล้ชิดพระองค์ ยิ่งใกล้พระองค์มากเท่าไร ผลที่ออกมาก็เหมือนได้อาหารดี ปุ๋ยดี จะเป็นผลโต น่ากิน…

ต้นไซเปรสที่สูงใหญ่    ภาพจาก  genomena.com

คนที่ฉลาด ก็ให้เขาเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ใครที่มองออก มองทะลุ  ก็ให้เขารู้   เพราะทางของพระเจ้านั้นถูกต้อง   และคนที่เที่ยงตรงจะเดินในทางนั้น  แต่คนที่ล่วงละเมิดกลับสะดุดในทางนั้นเอง

คนที่ฉลาดเป็นใครนะ?   เมื่อเราอ่านโฮเชยา เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงปรารถนาให้คนของพระองค์กลับใจใหม่  ไม่ทำบาปที่เป็นผลร้ายกับตัวเขาเอง กับครอบครัว และชุมชน  อย่าลืมว่า บาปทุกอย่างส่งผลร้ายให้ชีวิตของเราทั้งนั้น  มันดูเหมือนสนุก แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้น ไม่คุ้มความสนุกเลย คนฉลาดจึงจะรีบกลับใจ  น้อมนอบต่อพระองค์ เพื่อว่า ชีวิตจะได้เปลี่ยนแปลง ทางของพระเจ้านั้นดีเสมอ คนฉลาด คือคนที่เลือกจะเชื่อฟัง ….นำไปสู่ชีวิตที่พระเจ้าทรงสัญญา

โฮเชยา 14-1

บทสุดท้ายของโฮเชยานั้น ไม่น่าเชื่อ แม้ว่าความบาปจะมากมาย  แต่พระคุณของพระเจ้านั้นมากกว่า  ไม่มีบทใดในพระคัมภีร์จะทำให้เห็นพระกรุณาของพระเจ้าที่เหลือล้นมากไปกว่าบทสุดท้ายของโฮเชยานี้แล้ว   และก็ไม่มีบทใดที่จะทำให้เราเห็นความน่ากลัวของการพิพากษา  ในขณะที่เรามองเห็นความดำมิดของความมืด  เราก็ได้เห็นแสงสว่างเริ่มทอแสง  ชาร์ลส์ เสปอร์เจียน

โฮเชยา 14:1-7

อิสราเอลเอ๋ย  กลับมาเถิด กลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า  เจ้าสะดุดเพราะการล่วงละเมิดของเจ้าเอง

กลับมาหาพระเจ้าพร้อมกับคำของเจ้า   ทูลพระองค์ว่า “ขอพระองค์ทรงโปรดเอาการล่วงละเมิดทั้งสิ้นออกไป  ขอทรงรับข้าพระองค์ด้วยพระคุณของพระองค์  แล้วเหล่าข้าพระองค์จะถวายคำปฏิญาณจากริมฝีปากของเรา

พระเจ้าทร งประสงค์ให้คนอิสราเอลกลับมาหาพระองค์ด้วยคำพูดที่ถูกต้องอันออกมาจากส่วนลึกของใจจริง

อัสซีเรียจะไม่ช่วยพวกเรา  เหล่าข้าพระองค์จะไม่ขี่ม้า จะไม่กล่าวกับสิ่งที่ สร้างขึ้นมาด้วยมือของพวกเรา   ว่า “พระเจ้าของเรา”   แม้ลูกกำพร้าก็ได้พบพระเมตตากรุณาของพระองค์   คราวนี้ คนอิสราเอลจะเข้าใจแล้วว่า เขาควรทำสิ่งใด   อะไรเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่ทำตามใจตัวเองอีกต่อไป

 

เราจะรักษาให้หายจากการที่เจ้าละทิ้งเรา   เราจะรักพวกเขาโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้นได้   เราหันความกริ้วออกไปจากพวกเขาแล้ว

เราจะเป็นดั่งน้ำค้างแก่อิสราเอล   พวกเขาจะบานออกอย่างดอกพลับพลึง  และเขาจะหยั่งรากลึกดั่งต้นไม้แห่งเลบานอน

หน่อของเขาจะขยายออกไป ความงามของเขาเป็นเหมือนต้นมะกอกเทศ  กลิ่นหอมดั่งเลบานอน

พวกเขาจะกลับมาและอาศัยใต้ร่มเงาของเรา   จะออกดอกงดงามแกว่งไกวเหมือนรวงข้าว และบานอย่างเถาองุ่น   เขาจะมีชื่อเสียงขจรขจายอย่างเหล้าองุ่นแห่งเลบานอน

เวลาที่พระเจ้าจะทรงรื้อฟื้นคนของพระองค์ที่กลับใจนั้น มหัศจรรย์มาก พระองค์จะทรงเป็นผู้ให้น้ำ  พวกเขาจะเจริญขึ้น  มีรากลึกลงไปคือความเข้าใจพระเจ้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เขาจะขยายขอบเขตชีวิตไปสัมผัสคนอื่น ๆ ช่วยเหลือคนอื่นได้ด้วย     จะมีความงดงาม มีชื่อเสียงดี ได้กลับมาอยู่ในพระเจ้าอีก  และเขาจะรุ่งโรจน์ เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป….

 

ทำไมพระเจ้าจึงทรงรักพวกเขามากขนาดนี้?

 

โฮเชยา 13-2

ท่านโฮเชยาได้พูดคำเหล่านี้กับคนอิสราเอลซึ่งอยู่ในอาณาจักรทางเหนือ โดยมีเอฟราอิมเป็นชนเผ่าที่ใหญ่สุด

โฮเชยา 13:10-16

เวลานี้ กษัตริย์ที่จะช่วยเจ้าในเมืองต่าง ๆ  อยู่ที่ไหน?   ผู้ปกครองที่เจ้าเรียกร้องหา อยู่ที่ไหน?… เจ้าพูดว่า “ขอให้เรามีกษัตริย์ มีเจ้าชาย” นี่นา 

เราได้ให้กษัตริย์กับเจ้าทั้งที่เราโกรธ   และเราเอาพวกเขาออกไปด้วยความกริ้ว

ตอนที่เริ่มต้นประเทศใหม่ ๆ  ประชาชนต่างพากันมาหาท่านซามูเอลเพื่อให้แต่งตั้งกษัตริย์ ระเจ้าทรงรู้ว่า ที่เขาต้องการกษัตริย์นั้น เพราะเขาปฏิเสธการปกครองของพระองค์   เมื่อพระเจ้าทรงให้กษัตริย์ตามที่เขาขอร้อง ในเวลาต่อมา พวกเขาก็รับรู้ว่า กษัตริย์ที่ปกครองเขานั้น ไม่สามารถช่วยพวกเขาได้ แถมยังเป็นผู้นำความบาปผิดมายังประชาชนด้วย

 

ความผิดของเอฟราอิมนั้น ถูกห่อเอาไว้  และความบาปของเขาก็เก็บสะสมไว้ในคลัง  เมื่อทำบาป บาปนั้นถูกบันทึกเอาไว้  ถ้าเป็นสมัยนี้เราก็จะเก็บบันทึกข้อมูลต่าง  ๆไว้ในฮาร์ดดิสก์ หรือในไอคลาวด์  แต่เรื่องของการบันทึกบาปและความถูกต้องของมนุษย์นั้น พระเจ้าได้ทรงทำเอาไว้นานแล้ว ข้อมูลทั้งสิ้น ที่มนุษย์ลืมและจำได้ มีอยู่ในบันทึกของพระเจ้า    ดูซิ ห่อเอาไว้ เก็บเอาไว้…….และวันที่พระเจ้าพิพากษามนุษย์  ทุกสิ่งก็จะถูกเปิดเผย

ตรงนี้น่ากลัวจัง


เราไม่อยากให้บาปของเราเปิดเผยเลยล่ะ   มันน่าอายจริง ๆ   คนที่ทำบาปบ่อย ๆ  และไม่ได้สำนึกในเวลานี้  วันของพระเจ้า จะเป็นวันที่น่ากลัวเหลือเกิน

และเราก็ช่วยตัวเราเองไม่ได้…. เราอยากให้บาปนั้นถูกลบล้างไปให้หมด….มีทางเดียว  เป็นทางของพระเจ้า   มีคนเดียว คือ พระบุตรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์เท่านั้นที่จะช่วยเราได้….

 

ความเจ็บปวดเหมือนคลอดลูกนั้น ก็เกิดขึ้นกับเขา  แต่เขาเป็นลูกชายที่ไม่ฉลาด เพราะในเวลาที่เหมาะสม เขาก็ไม่คลอดออกมา  เป็นเรื่องเปรียบเทียบว่า  เมื่อการพิพากษาของพระเจ้ากำลังจะลงมายังพวกเขา  พวกเขาก็ยังไม่รู้สึกตัวอีก … ดังนั้น ผลของมันคือความตาย

เราจะไถ่ให้เขาพ้นจากอำนาจแห่งแดนคนตายไหม?  เราจะไถ่เขาให้พ้นจากความตายดีไหม?  โอความตาย  หายนะของเจ้าอยู่ที่ไหน?   โอ แดนคนตาย  เหล็กไนของเจ้าอยู่ที่ไหน?   ความสงสารนั้นซ่อนไปจากสายตาของเรา   พระเจ้ากำลังตรัสว่า  ถึงความตายก็ไม่สามารถเอาชนะพระเจ้าได้  ถ้าพระเจ้าจะทรงไถ่ใครก็ตาม

 

แม้ว่าเขาจะรุ่งเรืองท่ามกลางพี่น้อง   ลมตะวันออก  ลมจากพระเจ้าจะมา ก่อตัวขึ้นจากถิ่นกันดาร และแหล่งน้ำทั้งหลายของเขาจะแห้งเหือด  น้ำพุจะแห้งผาก  ลมจะกวาดสิ่งมีค่าของเขาไปจากคลัง

สะมาเรียจะต้องรับความผิดของตน เพราะว่า เธอได้ดื้อดึงและกบฎต่อพระเจ้า  พวกเขาจะล้มลงด้วยดาบ  ลูกเล็กเด็กแดงจะถูกสับเป็นชิ้น ๆ  ศัตรูจะผ่าท้องเหล่าหญิงมีครรภ์!  พระเจ้ากำลังตรัสว่า ลมตะวันออกนั้น คือ อัสซีเรียที่จะมาโจมตีพวกเขาอย่างรวดเร็ว โหดร้าย ทารุณ

 

 

โฮเชยา 13-1

ท่านโฮเชยาได้พูดคำเหล่านี้กับคนอิสราเอลซึ่งอยู่ในอาณาจักรทางเหนือ โดยมีเอฟราอิมเป็นชนเผ่าที่ใหญ่สุด

โฮเชยา 13:1-9

เมื่อเอฟราอิมพูดขึ้นมา  ผู้คนก็สะท้าน เขาได้รับการยกย่องในอิสราเอล แต่เขามีความผิด  และตายเพราะจ้าวบาอัล เผ่าเอฟราอิม เป็นเผ่าที่ยิ่งใหญ่สุดในบรรดาเผ่าต่าง ๆ ทางภาคเหนือ  สามารถทำให้คนในเผ่าอื่น ๆ กลัวลนลานไปได้  … นับว่าน่ากลัวจริง ๆ   แต่เขายิ่งใหญ่แค่ไหนก็ยังตายเพราะความผิดของตน

แต่มาบัดนี้ พวกเขาทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่า  สร้างรูปเคารพจากโลหะ สร้างขึ้นมาจากเงินด้วยฝีมือชั้นเยี่ยม  ทั้งหมดเป็นผลงานของช่างที่ชำนาญ     การกราบไหว้สิ่งที่ทำขึ้นมาด้วยมือของตัวเองนั้น  เปรียบไม่ได้กับการนมัสการ บูชาพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง  ผู้ทรงพระชนม์อยู่  แต่พวกเขาก็ยังมีความสุข รู้สึกดีกับการทำเช่นนั้น

คนกล่าวกันว่า  คนที่ถวายมนุษย์เป็นเครื่องบูชานั้น จูปรูปปั้นลูกวัว   การจูบรูปปั้น เป็นการแสดงความเคารพ รัก บูชาอย่างยิ่ง   ดูเหมือนว่า การบูชารูปลูกวัวเป็นปัญหาใหญ่ของคนอิสราเอลมาโดยตลอด!

ดังนั้น พวกเขาจะเป็นเหมือนหมอกยามเช้า หรือเหมือนน้ำค้างที่ระเหยไปอย่างรวดเร็ว   เป็นเหมือนแกลบที่ปลิวว่อนบนลานนวดข้าว  หรือเหมือนควันที่ออกมาจากหน้าต่าง  เวลาพระเจ้าจะทรงลงโทษเอฟราอิมนั้น จะรวดเร็วเหมือนหมอกยามเช้าที่หายไป…..

แต่ เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า ตั้งแต่จากดินแดนอียิปต์ เจ้าไม่ได้รู้จักพระเจ้าอื่นนอกจากเรา  และ นอกเหนือจากเราแล้ว ก็ไม่มีพระผู้ช่วยให้รอดเลย

เรานี่แหละ รู้จักเจ้าในถิ่นกันดาร ในผืนดินแห่งความแห้งแล้ง

แต่เมื่อพวกเขาได้รับการเลี้ยงดู  พวกเขาอิ่มหมีพีมัน  เมื่ออิ่มแล้ว ใจก็ผยอง ดังนั้น พวกเขาจึงลืมเรา  พระเจ้าทรงเตือนเขาให้รู้ว่า พระองค์ได้ทรงดูแล ปกป้อง เลี้ยงดูพวกเขามาอย่างไร  สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการจากเขาคือ ความจงรักภักดี  แต่สิ่งนั้นไม่มีอยู่ในใจของพวกเขาเลย

เราจึงจะขยุ้มเขาเหมือนสิงโต เราจะซุ่มอยู่เหมือนเสือดาว

เราจะล้มลงใส่เขาเหมือนกับแม่หมีที่ถูกขโมยลูกไป

เราจะฉีกอกพวกเขา และที่นั่นเราจะเขมือบเขาเหมือนสิงโต

เราจะฉีกเขาออกเป็นชิ้น ๆ อย่างที่สัตว์ป่าขยุ้มเหยื่อของมัน

พระเจ้าทรงทำลายเจ้า อิสราเอล  เพราะว่าเจ้าต่อต้านเรา  ต่อต้านผู้ที่ช่วยเจ้า จากความสัมพันธ์อย่างผู้เลี้ยง และลูกแกะ  ความสัมพันธ์นั้นจะกลายเป็นสัตว์ร้ายกับลูกแกะ    ดูซิ ความดื้อดึงของอิสราเอลทำให้พระผู้เลี้ยงทรงกลายเป็นผู้ที่จะทำลาย โฮเชยาทำให้คนฟังเห็นภาพชัดเจนว่า มันน่ากลัวเพียงไร