ทำลายต่อ ๓๑-๑

2 พงศาวดาร 31:1-3

เมื่อประชาชน เลวี ปุโรหิต ข้าราชการ และราชารวมทั้งราชวงศ์ของพระองค์ได้ร่วมเทศกาลด้วยกันนั้น  พวกเขาอิ่มใจกันถ้วนหน้า และสิ่งที่พวกเขาทำเป็นอย่างแรกเมื่อจบเทศกาลก็คือ

เขาไปตามที่สูง ในเมืองต่าง ๆ   และทำลายเทวรูป  เสาหลัก และแท่นบูชาอย่างไม่ละเว้น  ก่อนหน้านั้น พวกเขาทำลายเทวรูปที่อยู่ในนครเยรูซาเล็ม


“อย่าให้เหลือ  อย่ายอมที่จะปล่อยเทวรูปเหล่านี้ไว้ เพราะมันเป็นสิ่งที่กั้นพระพรของพระเจ้าไปจากเรา”

พวกเขาเดินทางไปทั่วแผ่นดินยูดาห์  เบนยามิน เอฟราอิม และมานัสเสห์  เป็นพื้นที่กว้างขวางมาก  และเมื่อพวกเขาทำลายจนหมดสิ้นในเมืองเหล่านั้น

“ลาแล้วท่าน  ข้าจะกลับบ้าน ขอพระเจ้าทรงอวยพรท่าน”

“เช่นกัน ขอสันติสุขของพระเจ้าอยู่กับท่าน”

พวกเขาร่ำลากันอย่างชื่นบาน  และมองเห็นอนาคตอันสดใสของบ้านเมือง เพราะว่าพวกเขาได้ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรพระเจ้าแล้ว ….

ส่วนในนครเยรูซาเล็ม

ราชาเฮเซคียาห์ได้แต่งตั้งปุโรหิต และเลวีเพื่อทำงานในหน้าที่ต่าง ๆ  อย่างครบถ้วน
“ขอให้ทุกท่านทำหน้าที่อย่างตั้งใจ เพื่อว่า พระพรของพระเจ้าจะอยู่กับเราเสมอไป”

“พะยะค่ะ”  เสียงตอบขานรับจากกลุ่มปุโรหิตและเลวี
“เราจะเป็นผู้ส่งเครื่องเผาบูชา ศานติบูชา เพื่อที่จะได้รับใช้ปรนนิบัติ โมทนาขอบคุณพระเจ้า  และสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน

ราชาเฮเซคียาห์จึงทรงส่งเครื่องเผาบูชาส่วนพระองค์มาทั้งเช้าเย็น และสำหรับวันสะบาโต วันขึ้นค่ำ  และสำหรับการเลี้ยงที่กำหนดไว้ตามพระบัญญัติของพระเจ้า

แต่ถ้าเพียงพระราชาทำเท่านั้น เหล่าปุโรหิตและเลวีก็จะลำบาก เพราะพวกเขาต้องกินจากส่วนของเครื่องเผาบูชาเหล่านี้  จะทำอย่างไรกันล่ะ  ?

 

นครร่าเริง ๓๐-๖


2 พงศาวดาร 30:22-25

สิ่งดีที่เกิดขึ้นในการนมัสการนั้น นอกจากผู้คนจะได้สัมผัสองค์พระเจ้าแล้ว พวกเขายังเริ่มเข้าใจอะไร ๆ ที่ผ่านมา พวกเขาสำนึกในความบาปที่ได้ทำ …..
ราชาเฮเซคียาห์ทรงให้กำลังใจกับเหล่าคนเลวี เขาเหล่านี้ มีความเข้าใจในราชกิจของพระเจ้าเกี่ยวกับการนมัสการอย่างลึกซึ้ง
“ขอให้พวกท่านทำหน้าที่อันดีนี้ต่อไป ประเทศของเราจะเปลี่ยนแปลง รุ่งเรืองหากว่าท่านทั้งหลายยังสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า เช่นนี้”
เวลานั้น ผู้คนจึงได้กินอาหารในเทศกาลด้วยกัน 7 วัน ไม่ได้กินอย่างเดียว แต่ได้คุยกัน ได้สนทนาถึงสิ่งที่ผ่านมา และสิ่งที่จะมาในอนาคต
สิ่งที่สำคัญยิ่งคือ
พวกเขาสำนึกผิดต่อพระเจ้า ได้สารภาพบาปด้วยน้ำตาไหล หลายคนใช้เวลานานมากในการสารภาพบาป ยิ่งพวกเขาอยู่ใกล้พระเจ้ามากเท่าไร พวกเขาก็เห็นบาปของตัวเองมากมายเท่านั้น



“ขอบคุณพระเจ้าสูงสุด ที่พระองค์ไม่ทรงลงโทษเราทั้งหลายสมกับที่เราได้ทำบาปต่อพระองค์ มิอย่างนั้นแล้ว พวกเราคงไม่ได้มีชีวิตอยู่ในเวลานี้ เพราะบาปของเรานั้น โทษก็คือ เราควรตายไปจากโลก”
“ท่านขอรับ” คนหนึ่งเข้ามาเสนอกับปุโรหิต
“ทำไมเราไม่ทำการเลี้ยงต่ออีกสัก 7 วัน ยังมีหลายคนต้องใช้เวลาในการปรับชีวิตจิตใจของเขา และเขาจะได้สารภาพบาปกัน เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่”
ดังนั้นจึงมีการปรึกษาหารือกันเพื่อต่องานไปอีก 7 วัน ด้วยความยินดีในพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ราชาเฮเซคียาห์ได้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับประชาชนเพื่อมีส่วนในเทศกาลที่ประชาชนจะได้เปลี่ยนชีวิตให้ถูกต้องกับพระเจ้า
วัวผู้หนุ่ม 1,000 ตัว แกะ 7,000 ตัว
เจ้าชายในราชวงศ์ให้วัวผู้หนุ่มอีก 1,000 ตัว แกะอีก 10,000 ตัว และเหล่าปุโรหิตก็ได้ชำระตัวเพื่อเข้าร่วมงานในรอบสองนี้ด้วย
ทุกคนที่อยู่ในเทศกาลต่างพากันยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ทั้งนครเยรูซาเล็มมีแต่ความชื่นชมยินดี
หลายร้อยปีแล้ว …. ไม่เคยมีการฉลองที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาเลย นับแต่สมัยราชาซาโลมอน….
ใจของราษฎรต่างยินดี และเปลี่ยนแปลง
แน่นอน เราเห็นว่า ยิ่งพวกเขากลับมาหาพระเจ้า พวกเขาก็จะยิ่งสัตย์ซื่อต่อพระองค์มากขึ้น

บรรยากาศการนมัสการ ๓๐-๕

2 พงศาวดาร 30:18ก- 21

เกิดปัญหาที่ว่า คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในพิธีปัสกานั้น ไม่ได้เตรียมตัวมาอย่างที่สมควร  พวกเขาเป็นคนทางเหนือที่ไม่รู้ว่า ตัวเองต้องทำอย่างไร  เพราะราชาทางเหนือส่วนใหญ่จะให้คนกราบไหว้เทวรูป ซึ่งไม่ได้ต้องการความบริสุทธิ์ในชีวิตจิตใจ

พวกเขาต้องการแค่ความสนุกสนานในพิธีเหล่านั้น

แต่กับการที่จะนมัสการพระเจ้า  มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทุกคนต้องชำระตัวให้บริสุทธิ์ก่อน

พระราชาเฮเซคียาห์ทรงครุ่นคิดว่า จะทำอย่างไร?

ในที่สุด พระองค์ก็ทรงนึกออก….

พระองค์อธิษฐานขอเพื่อพวกเขา

“ข้าแต่พระเจ้าแห่งชนชาติอิสราเอลทั้งปวง   ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรมาที่พวกเรา    ขอพระองค์ทรงโปรดยกโทษบาปของเราด้วย   ขอพระเจ้าทรงโปรดยกความผิดบาปให้กับทุกคน

พระองค์เจ้าข้า  พวกเขาต้องการแสวงหาพระองค์  อยากจะได้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้า  ผู้ทรงเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา  พวกเขาไม่ได้ทำตามข้อบังคับต่าง ๆ ของพระวิหาร เพราะพวกเขาไม่รู้มาก่อน   ขอพระเจ้าทอดพระเนตรและเมตตาด้วยพระเจ้าข้า”

แล้วพระเจ้าทรงยินคำอธิษฐานของราชาเฮเซคียาห์   และพระองค์ทรงรักษาคนเหล่านั้น ทรงชำระพวกเขาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ดังนั้นพวกเขาจึงได้เข้าร่วมอยู่ในเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ 7 วัน ด้วยความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนปุโรหิต และเลวีก็ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  พร้อมกับเล่นดนตรีด้วยเสียงดังในเวลากลางวัน

“เพลงแบบนี้ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

“ยิ่งใหญ่จริง ๆ  ข้าขอบคุณพระเจ้าที่ข้ามีโอกาสมาที่นี่ ใจของข้าเปลี่ยนไป  ไม่เหมือนเดิมเลย”

“ที่แผ่นดินฝ่ายเหนือไม่เคยมีพระราชาที่รักพระเจ้าเลย   มีแต่พระราชาที่ชอบพิธีกราบไหว้วัวทองคำบ้าง  เทวรูปต่าง ๆ บ้าง และในงานเหล่านั้นก็มีการเลี้ยง การร่ายรำที่ยั่วยวน  มีการหยอกล้อกันระหว่างผู้หญิงผู้ชาย”

ภาพจากpastorerickson.com

แต่การนมัสการที่นี่ไม่เหมือนอย่างนั้น

พระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของการนมัสการ

พวกเขาร้องเพลงถวายพระเจ้า

เล่นดนตรีถวายพระองค์

พวกเขาอธิษฐาน

และถ่อมใจลงต่อพระเจ้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย

 

 

พวกที่ยังไม่ชำระตัว ๓๐-๔

2 พงศาวดาร 30:16-18ก
ในพิธีฉลองเทศกาลนั้น เหล่าปุโรหิตก็ยืนอยู่ตามที่กำหนดไว้สำหรับตน พวกเขาจะรับเลือดมาจากคนเลวี และสาดเลือดนั้นไปที่แท่นบูชา
โอ…. แท่นบูชาเต็มไปด้วยเลือด และกลิ่นคาวเลือดสัตว์
“มันน่ากลัวจริง ๆ ข้าสยองเหลือเกิน”
“ถ้าเป็นเลือดพวกเรากันเองนี่มันสยดสยองกว่านะนาย”

มีการประกาศออกมาในเวลานั้นว่า
“หลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้ ยังไม่ได้ชำระตัวเองให้สะอาด ปราศจากบาป ขอท่านทั้งหลายรออยู่ก่อน เพราะเราต้องสังหารลูกแกะปัสการสำหรับบุคคลเหล่านี้ เพื่อว่าจะชำระให้พวกเขาบริสุทธิ์จำเพาะพระเจ้า”
พวกเขามองหน้ากันกระซิบว่า
“เจ้าดูซิ คนที่ไม่ชำระตัวยังบังอาจเข้ามา เห็นไหมว่า ท่านปุโรหิตไม่ยอม พวกเขาต้องชำระตัวเองก่อน”
“จะเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ทั้งทีนี่มันยากเย็นจริงนะ”
“ก็ใช่… เป็นเพราะพระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยที่มนุษย์หาพระองค์ทั้งที่ยังสกปรกอยู่ เราต้องรับการชำระก่อนจึงจะเข้าเฝ้าพระองค์ได้อย่างถูกต้อง”
ในสมัยโบราณนั้น ก่อนที่พระเยซูจะมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
การเข้าเฝ้าพระเจ้าก็ยากเช่นนี้
มันเป็นภาระหนักที่ต้องเตรียมตัวก่อนล่วงหน้านานพอควร
ต้องเตรียมทั้งใจและกายให้พร้อม
คนจำนวนมากมายจากเอฟราอิม มานัสเสห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุน ก็มาด้วย
และปัญหาคือ พวกเขาไม่ได้ชำระตัวให้สะอาด แต่จะมากินปัสกา ไม่ทำตามอย่างที่ท่านโมเสสได้กำหนดไว้

ทำอย่างไรดี….
คนมากมายเช่นนี้ ไม่ชำระตัว จะไปหาแกะที่ไหนมาเป็นผู้รับบาปแทนพวกเขา??
คนที่เข้ามาก่อนหน้านี้ เราก็หาแกะให้ครบแล้ว
แต่ประชาชนจากทางเหนือนี้เล่า…. พวกเขาลืมคำสอนของโมเสสไปหมดแล้ว
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จะชำระตัวอย่างไร
แล้วจะทำอย่างไรดีนี่……??

ความละอายใจของปุโรหิต ๓๐-๓

2 พงศาวดาร 30:12-15

นอกจากจะมีคนทางเหนือเตรียมตัวเข้ามาร่วมนมัสการพระเจ้าแล้ว  คนชนเผ่ายูดาห์เองก็มีหัวใจที่จะทำตามคำเชิญชวนของพระราชารวมทั้งเจ้าชายตามเมืองต่าง ๆ อย่างเต็มใจ

เป็นความเต็มใจจากส่วนลึกที่พระเจ้าประทานให้พวกเขา

ดังนั้น เดือนที่สอง  ใกล้ถึงเวลากำหนด  จึงมีคนเดินทางเข้ามายังนครเยรูซาเล็มมากมาย เพื่อจะร่วมในเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ

“โอ้ย  ทำไมคนมากมายเช่นนี้?”
“นั่นซิ  พวกเราไม่เคยมีคนเข้ามาในเมืองหลวงจำนวนมหาศาลอย่างนี้มาก่อน  ต้องคอยดูแลความปลอดภัย และความสะอาดให้มาก ๆ นะท่าน”

เมื่อถึงวันนัดหมาย  พวกเขาก็อยู่ร่วมนมัสการพระเจ้า และยังทำสิ่งที่ไม่คาดฝัน
พวกเขาไปเอาแท่นบูชาเทวรูปต่าง ๆ ที่ยังคงค้างอยู่ในนครเยรูซาเล็มออกมา

คนทั้งเมืองมาช่วยกันทำลายเทวรูปต่าง ๆ

“ท่านแน่ใจหรือว่าจะทำลายมัน  ไม่เกรงใจคนอื่นเลยหรือ”

“ยิ่งกว่าแน่ใจ  จะมีเวลาไหนที่เรามีโอกาสทำลายเทวรูปซึ่งพระเจ้าทรงชังได้ดีกว่าเวลานี้อีก   ท่านก็รู้นี่นาว่า เทวรูปเหล่านี้แหละ นำให้คนหลงผิด  และทำให้พระเจ้าเองทรงเมินพระพักตร์จากพวกเรา”

“เราต้องเตรียมนครนี้ให้สะอาด  ไม่มีสิ่งโสโครกอย่างนี้ เพื่อว่า การนมัสการของเรานั้น จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า”

“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะช่วยท่านด้วยแล้วกัน  ส่งเสานั่นมา!”

พวกเขายังขนเครื่องใช้สำหรับเผาเครื่องหอมของสถานบูชาเหล่านี้ออกมาและพากันไปทิ้งที่หุบเขาขิดโรน  ซึ่งเป็นที่ ๆ  รับขยะ ขี้เถ้าของสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังของนครเยรูซาเล็ม

“ข้ารู้สึกโล่งใจ”

“ข้าก็เหมือนกัน  ไปเถอะ  เราไปร่วมพิธีปัสกากัน”

 

 

วันนั้น เป็นวันที่สิบสี่ของเดือนที่สอง   เมื่อพวกเขาเข้าไปในลานพระวิหาร  ก็เห็นเหล่าเจ้าหน้าที่กำลังฆ่าเจ้าแกะน้อยที่น่าสงสารจำนวนไม่น้อย

 

วันนั้นเอง  ทั้งปุโรหิตและเลวีต่างมีเกิดความรู้สึกละอายใจมาก
พวกเขาหัวใจเต้นด้วยความทุกข์   “ทำไมข้าจึงสกปรกในใจ? ไม่มีใครมองเห็นใจของข้าก็จริง  แต่พระเจ้าทรงเห็นทุกอย่าง”

“ดูซิว่า ผู้คนธรรมดากลับมีความกระตือรือร้นในพระเจ้ายิ่งกว่าพวกเรา  นำของโสโครกทั้งหลายในเมืองออกไปทิ้งจนหมด”

 

การที่แกะถูกฆ่าเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปพวกเขา…. ทำให้เขาเข้าใจแล้วว่า บาปในชีวิตของพวกเขานั้น มันมีโทษร้ายแรงเพียงใด

 

การตอบรับของคนทางเหนือ ๓๐-๒

2 พงศาวดาร 30:7-12

ในสารที่พระราชาส่งให้กับประชาชนนั้นเขียนว่า

“ประชาชนอิสราเอล  ขอท่านกลับมาหาพระเจ้า  พระเจ้าแห่งท่านอับราฮัม  อิสอัค และยาโคบ  เพื่อว่า พระเจ้าจะทรงกลับมาเยี่ยมเยียนท่านผู้ยังหลงเหลืออยู่ในแผ่นดิน   ท่านผู้หนีพ้นจากเอื้อมมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย”

“ขอท่านอย่าเป็นเหมือนบรรพบุรุษ  พี่น้องของท่านที่ไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า   เป็นเหตุให้พระองค์ต้องสอนเขา ด้วยกันทำให้เขาต้องถูกบังคับให้ทิ้งแผ่นดินไป  อย่างที่พวกท่านเห็นแล้ว….”

“ขอท่านอย่าเป็นคนคอแข็งเหมือนบรรพบุรุษของท่าน  แต่ยอมตนให้กับพระเจ้า  และกลับมาหาพระองค์ที่พระวิหารซึ่งพระองค์ทรงทำให้บริสุทธิ์… ขอให้ท่านกลับมารับใช้พระองค์  เพื่อว่าความโกรธกริ้วของพระองค์จะได้หันไปจากพวกท่าน “

“เพราะหากว่า ท่านหันกลับมาหาพระเจ้า  พี่น้องของท่าน ลูกหลานของท่าน จะได้รับความเอ็นดูจากผู้ที่จับพวกเขาไปเป็นเชลย  และจะได้กลับมายังแผ่นดินนี้อีก   เพราะว่า พระเจ้าของเราทรงพระคุณ และทรงเมตตา  พระองค์จะไม่ทรงหันพระพักตร์ไปจากท่าน  หากท่านกลับมาหาพระองค์ “

ดังนั้น คนของพระราชาได้นำสารนี้ ไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วแผ่นดินเอฟราอิม และมนัสเสห์ทางเหนือ  เข้าไปในแผ่นดินชนเผ่าเศบูลุนด้วย

“ฮะฮ้า  ราชาเฮเซคียาห์นี่ทรงโอหังเสียเหลือเกิน… คิดจะช่วยพวกเราให้พระเจ้าพอพระทัยรึ   เมินเสียเถอะ  เราทำเองได้  ไม่ต้องให้พระราชาทางใต้มาช่วยหรอก”

ถึงแผ่นดินอิสราเอลจะมีคนยะโสมากมาย   แต่ก็มีคนที่ใจถ่อมด้วยอยู่ผสมปนเปกัน   จึงมีคนจากเผ่าอาเชอร์ มนัสเสห์ และเศบูลุน ฟังสุรเสียงของพระราชา

“ช่างเป็นพระราชาที่ดีเหลือเกิน  พวกเราก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรสำหรับพระองค์  แต่กลับทรงห่วงใย ประสงค์ให้พวกเราได้มีโอกาสกลับมายังแผ่นดินของเราอีกด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า  ขอทรงพระเจริญ …. พวกเราจะไปร่วมนมัสการพระเจ้ากับพระราชาองค์นี้ที่นครเยรูซาเล็ม”  เป็นความเห็นของคนที่เห็นด้วยกับการที่จะกลับมาหาพระเจ้า

เริ่มต้นที่ลูกวัวทองคำ  หลายร้อยปีต่อมาจบด้วยการเป็นเชลย ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้กลับมาแผ่นดินตัวเองอีกเลย

แผ่นดินทางเหนือ เริ่มต้นด้วยราชาเยโรโบอัมที่ไม่เอาพระเจ้า และสร้างรูปวัวทองคำ  และมีกษัตริย์ชั่วร้ายปกครองมาโดยตลอด แม้ว่าพระเจ้าจะทรงส่งคนของพระองค์มาตักเตือน  แต่คนเหล่านี้ก็ไม่ได้ฟัง   มีคนจำนวนไม่มากที่ยังสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า  แต่พวกเขาก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ  อดมื้อกินมื้อ เพราะราชาทางเหนือนั้นหากจับได้ว่า ประชาชนคนใดนมัสการพระเจ้า  ก็จะถูกประหารเป็นส่วนใหญ่!

 

น้ำพระทัยพระราชา ๓๐-๑

2 พงศาวดาร 30:1-6

ช่วงเวลาก่อนหน้านั้น อิสราเอลถูกพระราชาแห่งอัสซีเรียโจมตี และจับไปเป็นเชลยมากมาย   อิสราเอลจะต้องส่งส่วยให้กับอัสซีเรีย ทำให้ประชาชนทำงานหนัก และผลผลิตที่ได้ ก็ต้องกลายเป็นของประเทศที่เข้ามาครองพวกเขา

มีหลายคนร้องทูลต่อพระเจ้าให้ช่วย

หลายคนไม่สนใจที่จะกลับมาหาพระเจ้าสักนิด

แม้ว่าพระเจ้าจะทรงส่งคนของพระองค์ไปหาพวกเขา  แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็ยังไม่กลับมาหาพระเจ้า

ชนอิสราเอลส่วนหนึ่งถูกกวาดไปเป็นเชลย

คนอิสราเอลทางเหนือกลายเป็นเมืองขึ้นของอัสซีเรีย

แต่ยูดาห์ทางใต้ยังคงเป็นอิสระอยู่

ดังนั้นพระราชาเฮเซคียาห์ทรงเห็นว่า    ควรที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อขอให้พระเจ้าทรงช่วยพวกเขาให้ดีขึ้นอีกครั้ง

เมื่อพระราชาเห็นว่า การนมัสการพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดียิ่ง  พระองค์จึงทรงส่งสารไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ทั้งแผ่นดินอิสราเอลทางเหนือ และยูดาห์   รวมทั้งไปที่ดินแดนเอฟราอิม และมนัสเสห์  โดยพระองค์ทรงเชิญให้พวกเขาที่ไม่ได้ถูกกวาดไปเป็นเชลย ให้มารวมกันนมัสการพระเจ้าในพิธีปัสกา ที่พระวิหารในนครเยรูซาเล็ม

 

พระราชา ราชโอรส และขุนนางทั้งหลายในเยรูซาเล็มได้ปรึกษากันแล้วว่า พวกเขาจะฉลองเทศกาลปัสกาในเดือนที่สอง  ซึ่งปกติแล้วพวกเขาจะฉลองกันในเดือนที่หนึ่ง  แต่ทำในเดือนที่หนึ่งไม่ได้เพราะเหล่าปุโรหิตนั้น ไม่สามารถชำระตัวเสร็จทันครบจำนวนที่ต้องการได้   อีกอย่าง ผู้คนก็ยังไม่ได้เข้ามารวมกันพร้อมเพรียง

 

ราชาเฮเซคียาห์ทรงหวังดี จึงออกประกาศตั้งแต่เบเออร์เชบา ไปจรดทางเหนือคือเมืองดาน  เชิญให้ประชาชนที่ยังอยู่ได้เดินทางมาฉลองปัสกาเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งอิสราเอลในนครเยรูซาเล็มกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา    พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งนี้มานานแสนนานแล้ว

ตั้งแต่ที่ทางใต้กับเหนือแยกแผ่นดิน  แยกกษัตริย์กันนั้น  คนทางเหนือไม่ได้มีโอกาสเข้ามานมัสการพระเจ้าในนครเยรูซาเล็ม

ดูซิ  พระองค์ทรงเป็นราชาที่ห่วงใยประชาชน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนทางใต้   แต่ไม่ได้ทรงถือเขาถือเรา  แต่พร้อมที่จะให้พวกเขากลับมาหาพระเจ้า โดยพระองค์ตั้งพระทัยที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้พวกเขากลับมาหาพระเจ้า

 

ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย

แต่… จะมีคนร่วมมือไหมนะ?

 

ความร่วมมือร่วมใจ ๒๙-๖

2 พงศาวดาร 29:31-36

เมื่อเขาได้กราบนมัสการพระเจ้าพร้อมกับบทเพลงอันอลังการ…. พระราชาตรัสว่า

“ตอนนี้ พวกท่านก็ได้ถวายตัวแด่พระเจ้าแล้ว  ขอให้ท่านเข้ามาใกล้ ๆ และนำเครื่องบูชา   และเครื่องถวายโมทนาพระคุณพระเจ้ามายังพระวิหารของพระเจ้า”

ดังนั้น ทุกคนจึงทำตามคำของพระราชา

พวกเขาได้นำสัตว์มาถวายบูชา
นำเครื่องบูชาที่จะขอบคุณพระเจ้ามาด้วย

มากมายจริง ๆ

มีวัวผู้      70 ตัว

แกะผู้    100 ตัว

ลูกแกะ  200 ตัว

และยังมีเครื่องบูชาเพิ่มเติมเป็นวัวผู้อีก 600 ตัว !

และแกะอีก  3000 ตัว!

มันเป็นการถวายเครื่องบูชาที่โกลาหลเป็นอย่างมาก   เพราะสัตว์มีมาก ในขณะที่ปุโรหิตมีไม่พอ    พวกเขาไม่สามาถฆ่า และถลกหนังสัตว์เหล่านี้ได้ทัน

“ไป ท่านไปเรียกคนเลวีเข้ามาช่วย  เดี๋ยวงานจะไม่สำเร็จ”  หัวหน้าปุโรหิตท่านหนึ่งสั่ง

ดังนั้น จึงมีคนเลวีเข้ามาช่วยอย่างขมีขมัน    ปรากฏว่า คนเลวีนั้น มีหัวใจที่อุทิศถวาย และชำระตัวอย่างจริงจังมากกว่าเหล่าปุโรหิตเสียอีก  นี่แสดงว่า ผู้นำในพระวิหารยังสู้ผู้ตามไม่ได้เลย

นอกจากจะมีเครื่องเผาบูชาที่มากมายแล้ว

ยังมีเครื่องศานติบูชา เป็นไขมันอีกมามาย ที่ต้องเผา รวมทั้งมีเครื่องดื่มบูชาอีกที่ถวายคู่ไปกับเครื่องเผาบูชา

เวลาคนสมัยก่อนจะกลับมาคืนดีกับพระเจ้านั้น

มันยากเย็น

และเต็มไปด้วยกองเลือดของสัตว์

เต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนของสัตว์เหล่านั้นที่มาตายเป็นเครื่องบูชาแทนความบาปของคน….

บรรยากาศมันดูน่ากลัวยิ่งนัก

 

อย่างไรก็ดี  การรับใช้ในพระวิหารของพระเจ้าได้รับการดูแล จัดระบบระเบียบขึ้นมาใหม่อย่างเรียบร้อง และราชาเฮเซคียาห์รวมทั้งประชาชนต่างชื่นชมยินดี  เพราะพระเจ้าได้จัดเตรียมทุกอย่างให้เพียงพอ

ถ้าเป็นพวกเขาทำกันเอง โดยไม่ได้การช่วยเหลือจากพระเจ้า จะทำไม่สำเร็จ  เพราะว่า เรื่องนี้ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำทุกอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบทีเดียว

 

บทเพลงโบราณ ๒๙-๕

2 พงศาวดาร 29:25-30

เมื่อสมัยราชาดาวิดนั้น  พระราชาได้ทรงกำหนดวิธีการที่จะนมัสการพระเจ้าด้วยนักร้อง และเครื่องดนตรีไว้  …. ไม่ว่าพระเจ้าทรงบัญชาอย่างไร ผ่านท่านกาด หรือท่านนาธัน  พระราชาก็จะทรงทำตามทุกอย่าง  และประชาชนก็ได้นมัสการพระเจ้าตามแบบที่พระเจ้าพอพระทัย

ดังนั้น ราชาเฮเซคียาห์จึงทรงตามรอยพระบาทของราชาดาวิด  ทรงสั่งให้คนเลวีประจำพระวิหาร ถือฉาบ  พิณใหญ่ และพิณเขาคู่ พร้อมที่จะบรรเลงเพลงเมื่อมีการนมัสการพระเจ้า

คนเลวีถือเครื่องดนตรีแบบพระราชาดาวิด

คนปุโรหิตถือแตร  พร้อมที่จะเป่า

เมื่อมีการถวายเครื่องบูชาทั้งตัวนั้นเอง…. พวกนักดนตรีก็บรรเลงเพลงไปพร้อมกัน  ทำให้ประชาชนที่อยู่ข้างนอกไกล ๆ  ได้รู้ว่า ตอนนี้ กำลังทำอะไร และพวกเขาก็จะร่วมใจการนมัสการพระเจ้าด้วยบทเพลงนั้น

สำคัญมาก  เพราะว่า สมัยนั้น ไม่มีกล้อง ไม่มีจอใหญ่ให้ดูว่า เกิดอะไรขึ้น

พวกเขาต้องคอยฟังเสียงเพลง   เมื่อนักร้องฟังดนตรีเริ่ม พวกเขาก็รอจนถึงที่ๆ เขาจะต้องร้อง และพวกเขาก็ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าเสียงดังมาก

“เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่  และทรงทำการอัศจรรย์

พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า   พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

เราทั้งหลายจะเดินในทางแห่งความจริงของพระองค์

ขอพระเจ้าทรงให้เรายำเกรงพระองค์

เราจะถวายสรรเสริญพระเจ้าด้วยสุดใจ

เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์”

เมื่อประชาชนได้ยินเสียงร้อง  เขาก็ก้มลงนมัสการพระเจ้า   พวกเขาทำอย่างนี้ซ้ำ ๆ กันจนถวายเครื่องบูชาเสร็จทั้งตัว

เมื่อถวายเครื่องบูชาเสร็จ

พระราชาก็กราบนมัสการพระเจ้า  แล้วพระราชาก็ทรงบัญชาให้เลวีร้องเพลงอีก  ร้องสรรเสริญพระเจ้าด้วยเพลงสดุดีของพระราชาดาวิดและท่านอาสาฟ   …..

ร้องสรรเสริญพระเจ้า

แล้วกราบนมัสการ

สัตว์ที่ต้องตายแทนคน ๒๙-๔

2 พงศาวดาร 29:20-24

เช้าวันต่อมา ราชาเฮเซคียาห์ทรงตื่นตั้งแต่ยังมืดอยู่ พระองค์ทรงเรียกให้ข้าราชการในเมืองเข้ามารวมตัวกัน
ทุกคนรีบแต่งตัวออกมากันให้ทันที่พระราชวัง
บางคนก็มารอตั้งแต่ที่พระราชายังไม่ทรงตื่นบรรทม
บางคนก็มาพอดีกับพระราชา
แต่ไม่มีใครทำให้พระราชาต้องรอเลย….
มีการเตรียมวัวผู้ 7 ตัว แกะผู้ 7 ตัว ลูกแกะผู้ 7 ตัว แพะผู้ 7 ตัว เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับราชอาณาจักร พระวิหาร และเพื่อชนยูดาห์

พวกปุโรหิตซึ่งเป็นลูกหลานของท่านอาโรน ได้ฆ่าสัตว์ทั้งหมด เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปต่อพระเจ้า ตามคำบัญชาของพระราชา
เขาประพรมเลือดของสัตว์เหล่านั้น บนแท่นบูชา เลือดแดงฉานบนแท่นนั้น ดูน่ากลัวยิ่งนัก เขาฆ่าสัตว์และประพรมเลือดโดยเริ่มจากวัวผู้ทั้งเจ็ด แล้วก็ฆ่าแกะ ลูกแกะ ตามลำดับ
ส่วนแพะนั้น เขานำมายังพระราชาและที่ประชุม จากนั้นก็วางมือลงบนหัวของแพะ แล้วจึงสังหารมันทำเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ถวายเป็นเครื่องบูชาพร้อมกับเลือดของมัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการไถ่บาปสำหรับคนอิสราเอลทั้งหมด ตามคำบัญชาที่พระราชาขอให้ทำการถวายเครื่องเผาบูชาเพื่อไถ่บาปของประชาชนทั้งสิ้น

ดูซิ สมัยก่อนนี้ กว่าจะได้รับการอภัยบาปจากพระเจ้าได้นั้น
ต้องทำพิธีที่คาวเลือดยิ่งนัก
ต้องเจอกับความตายของสัตว์ที่ไม่รู้ประสีประสา มันไม่ได้ทำบาปอย่างเราเลย แต่มันก็ต้องมาตายเพราะบาปของคน
พระเจ้าทรงให้คนอิสราเอลเห็นว่า พระองค์ทรงเกลียดความบาปมากเพียงไร
พวกเขาเข้าใจกันหรือไม่นะ?

น้ำหนึ่งใจเดียว ๒๙-๓

2 พงศาวดาร 29:12-19

เพื่อทำให้น้ำพระทัยดีในการซ่อมแซมพระวิหารสำเร็จ

เหล่าเลวี ก็ร่วมมือกันเป็นอย่างดี  พวกเขามาจากพงศ์พันธุ์ต่าง ๆ  รวมตัวกันโดยไม่มีการเกี่ยงงาน  ไม่ก้าวล้ำกัน  แต่ต่างช่วยกันที่จะทำให้พระวิหารนั้นกลับมาบริสุทธิ์สะอาดอีกครั้ง

พวกเขาชำระตัวเองให้บริสุทธิ์เป็นประการแรก

แล้วจากนั้นก็เข้าไปในพระวิหาร เพื่อชำระพระวิหารให้บริสุทธิ์

คนที่เป็นปุโรหิต ได้เข้าไปในห้องด้านใน  และนำสิ่งที่เป็นมลทินทุกอย่างออกมาจากพระวิหาร

“เอาหยากไย่ออกไป   เช็ดฝุ่นออกไปให้หมด

อะไรที่เป็นของใช้ที่ยังหลงเหลืออยู่  ก็เอาออกมา  เพราะทุกอันมันแตกหักหมดแล้ว ไม่มีของดีเหลืออยู่เลย”

“อ้าว ทำไมมีเทวรูปมาอยู่ในนี้  เอาออกไป ด่วน”

พวกเขาเอาของที่แตกหักเหล่านั้นมากองไว้ข้างนอก  ที่ลาน

จากนั้นคนเลวีทั้งหลายก็ขนกันไปที่ลำธารขิดโรน

ในที่สุดวันที่ 16  ก็ทำสำเร็จหมด

“ไชโย  สำเร็จแล้ว  พวกเราทำให้พระวิหารสะอาดเอี่ยม ”   หลายคนดีใจ

“ใช่  แต่เป็นพระวิหารโล่ง ๆ   ข้าอยากเห็นพระวิหารที่งดงามเหมือนเก่า ”  อีกคนหนึ่งตอบโต้

 

พวกเขาไปรายงานพระราชาว่า ทำทุกอย่างสำเร็จตามที่พระองค์ทรงสั่งแล้ว
“พวกข้าพระบาทได้ชำระพระวิหารของพระเจ้าสำเร็จแล้วพะยะค่ะ
และได้นำเครื่องใช้ทุกอย่างมาใหม่  ทดแทนที่ราชาอาหัสได้นำไปทิ้งตอนที่พระองค์ไม่สัตย์ซื่อต่อองค์พระเจ้า”

“ดีมาก  ข้าขอบใจท่านทุกคน” พระราชาตรัส

“ตอนนี้ขอพระราชาทรงเตรียมพร้อมสำหรับการนมัสการพะยะค่ะ”

พวกเขาได้นำแท่นเครื่องบูชาเผา  เครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด  รวมไปถึงเครื่องใช้อื่น ๆ   ชิ้นเล็ก ๆ  ซึ่งมีรายละเอียดมากมาย กลับคืนมาให้มากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้

ทุกคนดีใจกันถ้วนหน้า  หวังว่า จะได้นมัสการพระเจ้าเหมือนอย่างที่เคย….

 

ทางแก้ผิดของบรรพบุรุษ ๒๙-๒

2 พงศาวดาร 29:7-11

ราชาเฮเซคียาห์ทรงมองไปรอบ ๆ พระวิหาร  พระองค์ตรัสว่า  “ดูซิ  บรรพบุรุษของเราไม่ได้สัตย์ซื่อต่อองค์พระเจ้า  และยังทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระองค์    ได้ละทิ้งพระเจ้า ……”

“เท่านั้นยังไม่พอ  ได้ปิดประตูประวิหาร และดับตะเกียง ดับมดยอบ และเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้าก็ห้ามไม่ให้ทำในวิหารอันบริสุทธิ์ของพระเจ้าแห่งอิสราเอลด้วย    แล้วเห็นไหมล่ะ … พระเจ้าทรงกริ้วทั้งยูดาห์และอิสราเอล  พระองค์ทรงทำให้พวกเราเจอสิ่งที่น่าหวาดกลัว  เราเจอสิ่งที่ไม่คาดคิด  เรากลายเป็นคนที่ใคร ๆ ก็นินทา เยาะเย้ย”

 

ทุกคนที่ฟังพระราชาตรัส รู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก

“พวกท่านก็เห็นด้วยตาแล้ว   ภาพที่คนของเรา ทั้งพ่อก็ถูกฆ่าฟันอย่างทารุณ เลือดนองแผ่นดิน  ลูกชาย ลูกสาว ภรรยาของพวกเราต้องตกไปเป็นเชลย… “

“พระราชาทรงทราบทุกสิ่ง   ขอพระองค์ทรงบอกเราด้วยว่า จะทำอย่างไร” คนหนึ่งทูล

“นี่ไง..  เราอยากทูลขอพระเจ้า ขอทำพันธสัญญากับพระองค์  พระเจ้าแห่งอิสราเอล  เพื่อว่า ความกริ้วของพระองค์จะได้หันไปจากเรา  ลูกชายของเราเอ๋ย….”  พระราชาทรงหันมามองรอบ ๆ ข้างพระองค์

“ตอนนี้ พวกเจ้าก็อย่าทำเฉย  เพราะพระเจ้าทรงเลือกให้พวกเจ้ายืนต่อพระพักตร์ของพระองค์  เพื่อจะปรนนิบัติพระองค์  เพื่อที่จะรับใช้พระองค์  เพื่อเผาเครื่องหอมถวายพระองค์”

พระราชาทรงหาทางที่จะให้ความกริ้วของพระเจ้าหายไป

พวกเขาจะตอบสนองพระประสงค์ของพระราชาอย่างไรกันดี ?

 

ราชาองค์ใหม่.. ๒๙-๑

2 พงศาวดาร 29:1-6

ราชาเฮเซคียาห์ทรงอายุ 25 ปี เมื่อขึ้นครองประเทศ ทรงครองอยู่ถึง 29 ปีทีเดียว  แต่เฮเซคียาห์ไม่ทรงเหมือนราชบิดาสักนิด  พระองค์กลับกลายเป็นคนที่ติดตามพระเจ้าอย่างบรรบุรุษ คือ ราชาดาวิด

ทำไมเป็นอย่างนั้น  พ่อเลวร้าย ลูกกลับดี มันเป็นไปได้อย่างไร

เชื่อว่าเป็นเพราะราชมารดาของพระองค์ที่นามว่า อาบียาห์  ซึ่งเป็นธิดาของเศคาริยาห์   พระนางคงจะดูแลเจ้าชายเฮเซคียาห์ให้เป็นเด็กที่ติดตามพระเจ้ามาตั้งแต่ยังเยาว์  และในสมัยของพระองค์นั้น  ทรงเห็นการที่อัสซีเรียได้กวาดคนอิสราเอลทางเหนือไปเป็นเชลย… พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ยูดาห์ต้องเจอเหตุการณ์อันเลวร้ายเหมือนกับคนอิสราเอล

พระวิหารถูกปิดมาตั้งแต่สมัยของราชาอาหัส  แต่เมื่อราชาเฮเซคียาห์เริ่มขึ้นครองนั้นเอง พระองค์ก็ทรงเปิดประตูพระวิหาร  ทรงนำปุโรหิต และนายช่าง และคนงานเข้าไปดูในพระวิหารนั้น

“ไม่น่าเชื่อเลย!”  คนหนึ่งอุทาน
“หยากไย่เต็มไปหมด …. ไม่มีเครื่องใช้เหลืออยู่เลย”  อีกคนเสริม
“ท่านพ่อของข้า ส่งข้าวของเครื่องใช้ไปให้ราชาอัสซีเรียเสียหมด  ท่านพ่อไม่น่าทำเลย”   ราชาอุสซียาห์ทรงกล่าวเบา ๆ
“ทำไมมันทรุดโทรมเช่นนี้?”

พระราชาทรงมองไปรอบ ๆ ด้วยความเศร้าพระทัย  “ไม่น่าเลย ท่านพ่อไม่น่าทำกับพระวิหารเช่นนี้… ขอพระเจ้าทรงโปรดอภัยโทษแก่ท่านพ่อ และข้าพระบาทด้วยเถิด”    ราชาเฮเซคียาห์ทรงคิดในใจ
แล้วพระราชาก็ทรงสั่งให้ปุโรหิต  นายช่างเข้ามาประชุมกันเพื่อวางแผนซ่อมแซมพระวิหาร
“เหล่าเลวี  ขอท่านฟังข้าฯ   บัดนี้ ขอให้ท่านท้งหลายชำระตัวให้สะอาด และชำระพระวิหารของพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษ   ขอให้ท่านช่วยกันกำจัดสิ่งที่เป็นมลทิน ความสกปรกทุกอย่างออกจากพระวิหารอันบริสุทธิ์นี้”

“ขอพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติ….ขอพระราชาจงทรงพระเจริญ…. “เหล่าเลวีน้อมรับคำของพระราชา

“ดูซิว่า ปู่ย่าตายายของเราไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า  และทำสิ่งที่เลวร้ายในสายพระเนตรพระเจ้าของเรา    ได้ละทิ้งพระองค์ และหันหน้าของพวกเขาออกไปจากที่ประทับของพระเจ้า  หันหลังให้พระองค์  …”

ขณะที่พระราชาตรัสนั้น

ในพระทัยปวดร้าวยิ่งนัก

 

อาหัสผู้นี้….๒๘-๖

2 พงศาวดาร 28:22-27

ยิ่งถูกศัตรูรุกทำร้ายมากเท่าไร  ราชาอาหัสก็ยิ่งห่างไกลจากพระเจ้าไปเพียงนั้น  ราชาอาหัสทรงหันหลังให้กับพระเจ้า  และคิดหาทางที่จะรอดพ้นด้วยวิธีของพระองค์เอง

มีอย่างที่ไหน  แพ้ซีเรียแล้ว แทนที่จะซมซานมาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า กลับนำเอาเทวรูปของซีเรียมาตั้งในเยรูซาเล็ม  …ทรงกล่าวว่า “เพราะว่าชาวซีเรียมีพระของเขาช่วยเหลืออยู่   เดี๋ยวเราจะกราบไหว้ บูชา ถวายเครื่องสักการะพระเหล่านั้น   เผื่อว่า พระของซีเรียจะช่วยเราได้”

ราชาอาหัสตัวจริงคือผู้นี้…

คิดเอง ทำเองตามใจ  ไม่เกรงใจใครทั้งสิ้นแม้แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่บรรพบุรุษของพระองค์ได้วางใจมาโดยตลอด

อาหัสทรงตั้งใจว่า พระของซีเรียนี่แหละ  จะเป็นพระที่พระองค์นับถือ

ไปกันใหญ่….  เพราะว่า ยิ่งอาหัสทำอย่างนั้น  ความหายนะก็ยิ่งโถมเข้ามาในยูดาห์    ราชาอาหัสทรงรวบรวมภาชนะต่าง ๆ ที่ใช้ในพระวิหารออกมา  เอาออกมาทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และปิดประตูพระวิหาร

ยิ่งกว่านั้น ก็สร้างแท่นบูชาตามเมืองต่าง ๆ  สร้างที่สูงขึ้นมาเพื่อถวายเครื่องบูชากับเทวรูปสารพัดแบบ    ราชาอาหัสทรงทำให้พระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพระองค์ทรงกริ้วยิ่งนัก

ยังมีหลายอย่างที่ราชาอาหัสได้กระทำ และบันทึกไว้ในหนังสือของกษัตริย์แห่งยูดาห์และอิสราเอล

เมื่อราชาอาหัสสิ้นพระชนม์   เฮเซคียาห์ โอรสก็ขึ้นครองแทน

 

 

ศึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ๒๘-๕

2 พงศาวดาร 28:16-21
ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์กวาดเชลยไปสะมาเรีย  แล้วนำกลับมายังเมืองเยรีโคนั้นเอง  ราชาอาหัส ก็ได้ส่งสาส์นขอความช่วยเหลือไปยังราชาแห่งอัสซีเรีย

ไม่แต่อิสราเอลมาโจมตีจากทางเหนือเท่านั้น  แต่ยังมีชาวเอโดมทางใต้เข้ามาบุกและชนะศึก  กวาดคนยูดาห์ไปด้วยมากมาย

ส่วนทางตะวันตกเฉียงใต้   นักรบตัวใหญ่ผู้กล้าจากฟิลิสเตียก็จู่โจมเข้ามาใกล้เคียงกัน ไม่มีทางที่ยูดาห์จะเงยหน้าอ้าปากได้เลย

ฟิลิสเตียปล้นหัวเมืองเชเฟลาห์  เบธเชเมธ  อัยยาโลน  เกเกโรธ  โสโค และเมืองเล็ก ๆ รอบ ๆ    มิหนำซ้ำ ยังพาคนของพวกเขาเข้ามาตั้งถิ่นฐานแทรกไปกับชาวเมืองด้วย  …. ขืนเป็นอย่างนี้นาน ๆ ไป จะไม่มีคนยูดาห์เหลือ เพราะพวกเขาจะต้องพยายามเปลี่ยนเชื้อชาติด้วยการบังคับการแต่งงานระหว่างสองชนชาติ

ยูดาห์โดนโจมตีรอบด้าน

ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?

พระเจ้าทรงกระทำให้ยูดาห์ตกต่ำสุด ๆ เพราะว่า ตัวพระราชาเองนั่นแหละ   ราชาอาหัสได้ทำผิดต่อพระเจ้าอย่างร้ายแรง… และไม่ได้คิดแม้จะปรับเปลี่ยนพระองค์เพื่อความอยู่รอดของชาติ….  ราชาอาหัสนำให้ประชาชนจำนวนมากมายร่าเริงไปกับการกราบไหว้เทวรูป   พาพวกเขาไปนมัสการสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้า แต่ยกย่องมันเป็นพระ

ราชาอาหัสไม่ได้หันมาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า  ไม่กลับใจ  แต่ ทรงซ้ำเติมชนชาติยูดาห์ด้วยการไปขอความช่วยเหลือจากราชาอัสซีเรียผู้อหังการ!

ราชาอาหัสขนของในพระวิหารของพระเจ้า ทั้งเงิน ทอง และโลหะต่าง ๆ รวมทั้งอัญมณีที่มีค่า ไปเป็นเครื่องบรรณาการแก่ทิกลัสปิเลเสอร์….ซึ่งเป็นราชาแห่งอัสซีเรีย

เมื่อได้ของบรรณาการ แทนที่จะมาช่วยราชาอาหัส

กลับโจมตีทั้งอิสราเอลทางเหนืออย่างย่อยยับ (ประมาณ 722 ปีก่อนคริสตศักราช)   และรุกรานยูดาห์ซ้ำเติมเข้าไปอีก…  คราวนี้ยูดาห์แทบสิ้นชาติ  สิ้นเนื้อประดาตัว

ประชาชนรู้สึกโกรธแค้นพระราชา  และศัตรูยิ่งนัก  แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้  จำต้องรับเคราะห์กรรมจากสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   แล้วจะทำอย่างไรต่อไปกันดี ??

 

ราชาอาหัสครองประมาณ    735-719   ปี ก่อนคริสตศักราช

ทหารเหนือเปลี่ยนใจ ๒๘-๔

2 พงศาวดาร  28:12-15

คำเตือนของโอเดดนั้น จำเป็นสำหรับอิสราเอล แผ่นดินทางเหนือมาก  พวกเขาไม่ควรที่จะต้องเจอกับหายนะ  และตกต่ำไปกว่านี้

ช่วงเวลานั้นเอง  ผู้นำของทหารเผ่าเอฟราอิมหลายคนคือ อาซาริยาห์   เบเรคิยาห์ เยอิสคียาห์ อามาสา  ได้คุยกันและรู้ว่า พวกเขาต้องทำอะไรจึงจะถูกต้อง

ดังนั้น จึงออกไปรับคนที่กลับมาจากสงคราม  และป้องกันไม่ให้เขาทำอย่างที่ตั้งใจ คือการจับคนยูดาห์มาเป็นเชลย…

“พวกเจ้า  อย่านำคนยูดาห์เข้ามาเป็นเชลยของเรา   เพราะถ้าเจ้าทำอย่างนั้น เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว  ทำให้พระเจ้าทรงกริ้วยิ่งขึ้น   พวกนายก็รู้อยู่แล้วว่า ตอนนี้ พระเจ้าไม่พอพระทัยเราหลายเรื่อง”

ผู้นำทั้งสี่อธิบายให้เห็นว่า การที่พวกเขาได้ชัยชนะ ไม่ได้หมายความว่า เขาจะเอาพี่น้องร่วมบรรพบุรุษเหล่านี้มาบังคับเป็นทาสใช้แรงงานได้

“จริงซิ”  ทหารที่คุมเชลย และรู้สึกฮึกเหิมกลับเริ่มเข้าใจสิ่งที่ผู้นำทั้งสี่เตือน  “พวกเรา… ให้ปล่อยเชลย และใครถูกมัดเชือกไว้ก็ให้แก้เชือก”

“ท่านผู้นำขอรับ”  นายทหารคนหนึ่งกล่าวต่อผู้นำทั้งสี่   “พวกเราจะทิ้งของที่ริบมา  และจะปล่อยเชลยกลับไปตามที่ท่านตักเตือน   ขอบคุณที่ท่านช่วยให้เราไม่ต้องรับโทษจากพระเจ้าไปกว่านี้”

เสียงดังมาจากกลุ่มเชลยว่า “ขอบคุณพระเจ้า”     “ขอบคุณพระเจ้า”    “ขอบคุณพระเจ้า”  พวกเขาดีใจที่ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป  แต่ยังมีคนที่เดินเปลือยมาด้วยดังนั้น  จึงมีคนเอาเสื้อผ้าจากของที่ริบไปสวมให้เขา

พวกเขาจัดหารองเท้าให้เชลยเหล่านั้น

หาอาหาร และน้ำดื่ม  น้ำองุ่นให้พวกเขา

คนไหนมีบาดแผลก็ขโลมด้วยน้ำมันซึ่งเป็นยา

ยิ่งกว่านั้น บางคนถึงกับเดินไม่ได้  พวกเขาก็ช่วยเอาขึ้นลา พากลับมายังเมืองเยรีโคทางใต้อีกด้วย

“ท่านขอรับ  เราขอบคุณท่านมาก  ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรท่าน”  เชลยคนหนึ่งกล่าวแก่ทหารอิสราเอล

“ไม่เป็นไรหรอก  ข้าก็เสียใจนะ ที่ทำกับพวกเจ้าอย่างนั้น จริง ๆ แล้วอย่างไร เราก็สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน  ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรพวกเจ้ามาก ๆ “

จากนั้น พวกเขาก็เดินทางไปทางเหนือ มุ่งสู่เมืองสะมาเรีย

 

ผู้มาเตือน ๒๘_๓

2 พงศาวดาร  28:7-11

ทหารยูดาห์ถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก  แสนกว่าคน  เพื่อน ๆ คิดดูซิว่า แผ่นดินจะโกลาหลขนาดไหน  ประชาชนต้องมาช่วยกันฝังศพทหารเหล่านั้น  แค่ฝังคนเดียวยังเหน็ดเหนื่อย  แต่ครั้งนี้กลับเป็นแสนศพ!

เสียงร่ำไห้ของลูกเมียทหารเหล่านั้น ดังไปทั่ว …..

เด็กชายวัยรุ่นคิดแก้แค้นให้พ่อ  ความเจ็บปวดที่พ่อต้องมาตายทำให้พวกเขากลายเป็นคนเก็บกด… ตั้งใจว่า เมื่อโตขึ้นจะต้องทำลายทหารอิสราเอลทางเหนือให้ได้    เด็กมากมายที่ร้องทูลต่อพระเจ้าด้วยน้ำตาว่า ขอพระเจ้าทรงโปรดแก้แค้นให้เขาด้วย  ……

นี่เป็นผลของสงคราม!!

แล้วศครี  ซึ่งเป็นทหารกล้าของเผ่าเอฟราอิม ก็ได้สังหารโอรสของราชาอาหัส  อธิบดีกรมวัง และอุปราชด้วย  แต่พระราชารอดชีวิต

จากนั้นคนอิสราเอลก็ได้กวาดคนยูดาห์ไป 200,000 กว่าคน   ทั้งชายหญิง เด็ก ผู้ใหญ่

“อย่าทำเป็นอ้อยสร้อย  พวกเจ้านะรีบหน่อย ของทั้งหมดที่มีอยู่เอาไปด้วย  เงิน ทอง เพชร พลอย พวกข้าจะช่วยเก็บให้  ฮะ ฮ้า!!”

“ท่านจะกวาดเราไปที่ไหนกัน  ทำไมไม่ให้เราอยู่บ้านเมืองเรา  ท่านอยากได้อะไรก็เอาไปเถิด”

“ไปอยู่กับพวกข้าที่เมืองสะมาเรียดีกว่า… พวกเจ้านะ จะได้รับใช้่ข้าไง… สบายออก ไม่ต้องคิดอะไร  วัน ๆ ก็ทำงานให้พวกข้า”

มีผู้มาเตือนทหารอิสราเอล

แต่มีผู้กล่าวคำของพระเจ้าท่านหนึ่ง  เข้ามาพบผู้บัญชาการทหารอิสราเอล ขณะที่กำลังกวาดต้อนผู้คนไป
“ท่านดูซิ   พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราทรงกริ้วยูดาห์    และพระองค์ทรงให้พวกเขาอยู่ในกำมือของท่าน ”

“ข้าก็ว่าอย่างนั้นแหละ   ครั้งนี้เป็นการสู้รบที่ง่ายเหลือหลาย”  แม่ทัพตอบกลับมา   พร้อมกับยิ้มกว้าง

“แต่… พวกท่านกลับสังหารพวกเขาอย่างโหดร้าย  ท่านไม่ควรทำอย่างนั้น   ดูซิ  เรื่องราวนี้ไปถึงฟ้าสวรรค์แล้ว “

“หา… พระเจ้าไม่พอพระทัยหรือ?”

“ใช่แล้ว  ท่านพยายามกดขี่ทั้งคนยูดาห์ และคนในนครเยรูซาเล็ม  ทั้งชายหญิง พยายามจะเอาพวกเขาไปเป็นทาสของท่าน  … ท่านไม่คิดหรือว่า บาปของท่านเองก็อยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้า? “

แม่ทัพเริ่มกระสับกระส่าย

“ขอท่านฟังข้าหน่อย  ขอท่านส่งคนเหล่านี้กลับคืนบ้านเมืองของพวกเขา   เพราะว่า ตอนนี้ พระเจ้าทรงกริ้วพวกท่านมาก”

 

 

 

ผลของการทำชั่ว ๒๘-๒

 

ราชาอาหัส โดย  Guillaume Rouille (1518?-1589)

2  พงศาวดาร 28:5-7

ในเมื่ออาหัสไม่ยอมติดตามพระเจ้า แต่กลับไปถวายลูกชายเป็นเครื่องบูชาเทวรูปต่าง ๆ  พระเจ้าจึงทรงมอบราชาอาหัสไว้ให้ตกอยู่ใต้ราชาแห่งซีเรีย และราชาแห่งอิสราเอลที่ชื่อเปคาห์ บุตรเรามาลิยาห์

ไม่ไหวแล้ว  ประชาชนแตกตื่น และกลัวลานกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา

“ข้าว่าเราต้องอพยพไปแล้ว  อยู่ไม่ได้”

“ท่านไปได้เพราะท่านมีเงิน  แต่ข้าเป็นคนจน ยังไงก็ต้องเจอกับสิ่งร้าย ๆ เหมือนกับคนอื่น”

 

ช่วงเวลานั้น  ไม่มีความปลอดภัยในอิสราเอลเลย

ราชาเปคาห์แห่งอิสราเอลเข้ามาโจมตี และฆ่าทหารยูดาห์เก่ง ๆ  ตายไปถึง 120,000  คน  ภายในวันเดียว!!

วันเดียวเท่านั้น คนตายเป็นแสน

นี่มันน่ากลัวยิ่งกว่าอะไร  แล้วราชาอาหัสทรงคิดบ้างไหมว่า…. ที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ เป็นเพราะพระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น??

ยิ่งเกิดเหตุการณ์เช่นนี้  ประชาชนต่างขวัญหนีดีฝ่อไปตาม ๆ กัน   คนที่หนีได้ก็อพยพไป   ส่วนคนที่ยากจนก็หนีไม่พ้น

พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า

“ที่เกิดเหตุเช่นนี้ เป็นเพราะเขาทั้งหลายได้ทอดทิ้งพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย”

คราวนี้ ยูดาห์ซึ่งเคยเก่งกล้า ใคร ๆ ก็ยำเกรงสมัยราชาโยธาม กลับกลายเป็นยูดาห์ที่ใคร ๆ หัวเราะเยาะ

พวกเขาไม่ได้ทำตัวให้ถูกต้อง  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า อะไรดีไม่ดี….

พรุ่งนี้เราจะมาดูว่า พวกเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง

ผู้ตามรอยกษัตริย์ที่ชั่วร้าย ๒๘-๑

2 พงศาวดาร 28:1-4

อายุเพียง 20 ปี  ราชาอาหัสก็ขึ้นครองต่อจากราชบิดาโยธาม  แต่ราชาอาหัส ได้ทรงหักมุมจากความดีงามของเสด็จพ่อ และเสด็จปู่

และพระองค์ไม่ทรงทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าเลย แต่กลับทรงกระทำทุกอย่างตามแบบของกษัตริย์อิสราเอลทางภาคเหนือ

นอกจากไม่เข้าในพระวิหารของพระเจ้า ไม่นมัสการพระเจ้าแล้ว  ราชาอาหัสยังสร้างเทวรูปจ้าวบาอัลจากโลหะ  และถวายเครื่องสักการะที่หุบเขาแห่งบุตรฮินนอม และที่ร้ายไปกว่านั้น…

“ฮ้า พระราชาทำอย่างนี้ได้ไง?”

“มันโหดเหี้ยมมาก  ข้ากลัวจริง พระเจ้าจะทรงลงโทษพวกเรานะเนี่ย”

“เราจะไปห้ามพระองค์อย่างไรกัน  กับลูกชายของพระองค์ยังทำลงได้”

 

ไม่ใช่โอรสคนเดียว   แต่ราชาอาหับได้เอาโอรสจากมเหสี จากสนม มาเผาเป็นเครื่องบูชา !!

การบูชาแบบนี้ ทำให้เราประมาณการได้ว่า ราชาอาหัสบูชาจ้าวโมเลคด้วย  ซึ่งพวกเขาจะทำให้เทวรูปนั้นร้อนจัด  จากนั้นก็เอาเด็กตัวเล็ก ๆ  วางบนมือโลหะร้อนที่ยื่นออกมา

พวกเขาจะตีกลองเสียงดังจนกระทั่งเด็กคนนั้นร้องจนหมดลมหายใจ

น่าขยะแขยงจริง ๆ กับการทำเช่นนี้

ขณะที่ประชาชนต่างกลัวกันลนลาน

“ข้ากลัวว่า พระราชาจะบังคับให้ข้าบูชายัญลูกชายของข้า”

“เจ้าควรจะเอาลูกหลบไปให้ไกล  ไปอยู่เมืองอื่นก็ได้นะ”

แต่สำหรับราชาอาหัส  กลับทรงคิดอีกอย่าง

“ดูซิ  นี่ข้าทำเหมือน ๆ  ชาติต่าง ๆ ที่อยู่ล้อมรอบข้าแล้ว  ตอนนี้ ก็อยู่ในกระแสแล้วล่ะ   เหมือนกัน จะได้เป็นเพื่อนบ้านกัน”

ไม่เท่านั้น

ราชาอาหัสยังถวายเครื่องบูชามากมายตามที่สูง  ตามเนินเขา  ตามใต้ต้นไม้ต่าง ๆ  อย่างสม่ำเสมอ…..

 

ราชาโยธาม ๒๗

2 พงศาวดาร 27:1-9

ตอนที่ราชาอุสซียาห์สิ้นพระชนม์ไปพร้อมกับการเป็นโรคเรื้อน  ราชโอรสคือราชาโยธาม ขึ้นครองราชย์เมื่อทรงอายุได้ 25 ปี   พระมารดาคือ พระนางเยรูชาซึ่งเป็นธิดาของท่านศาโดก

สิ่งที่ดีจากราชาโยธามคือ ตลอด 16 ปีที่ครองราชย์นั้น พระองค์ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้าเสมอ  ทำสิ่งดีเหมือนกับราชบิดา  แต่พระองค์ไม่เสด็จเข้าไปในพระวิหารของพระเจ้า

ทำไมหรือ??

อาจเป็นเพราะว่า เห็นราชบิดาเป็นโรคเรื้อนเพราะได้ก้าวล้ำหน้าที่ของปุโรหิต พระองค์ก็ทรงหลีกเลี่ยงที่จะไม่เจอเหตุการณ์อย่างนั้นอีก ก็เป็นได้

แม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นพระราชาที่ดี  แต่ประชาชนส่วนหนึ่งยังคงติดตามสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  และพระองค์ก็ไม่ได้ทำอะไรพวกเขา

แต่สำหรับเรื่องของพระวิหารแล้ว  พระราชาได้ทรงดูแลให้พระวิหารงดงาม และทรงสร้างประตูบนเพิ่มเติมที่พระวิหาร และยังสร้างกำแพงของตำบลโอเฟล  ทรงสร้างเมืองในเขตเนินเขา  สร้างหอและป้อมในเขตที่เป็นป่าด้วย

ส่วนการทหารนั้น พระองค์ก็ไม่ได้น้อยหน้ากษัตริย์องค์ใด   ทรงต่อสู้กับราชาแห่งอัมโมน  ได้ชัยชนะ  และได้รับของบรรณาการมากมายทั้งแร่เงิน และอาหาร  ทำให้ประเทศแข็งแรงขึ้นอีก

พระคัมภีร์บันทึกว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ราชาโยธามดำเนินตามน้ำพระทัยของพระเจ้า   พระองค์ทรงทำเช่นนั้นตลอดมา สม่ำเสมอ ไม่หันเหไปไหน….

น่าดีใจที่อย่างน้อย ราชาองค์นี้ไม่มีอะไรที่ทำให้พระเจ้าต้องทรงกริ้วเหมือนกับราชบิดา   ดีใจที่พระองค์ทรงติดตามพระเจ้าตลอดชีวิตของพระองค์

พระองค์ทรงครอง 16 ปี  ก็สิ้นพระชนม์   ราชโอรสจึงขึ้นครอง