ปัสกาครั้งยิ่งใหญ่ ๓๕-๑

2 พงศาวดาร 35:1-9

ครั้งล่าสุดที่ชนอิสราเอลได้อยู่ในเทศกาลปัสกาก็คือ สมัยราชาเฮเซคียาห์ … และครั้งนี้ราชาโยสิยาห์เป็นผู้ทรงบัญชาให้มีการทำเทศกาลปัสกาอีกครั้ง  มันมีความหมายยิ่งนัก  เพราะจะทำให้ชนอิสราเอลได้ระลึกถึงการที่พระเจ้าทรงนำพวกเขาออกมาจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์

ราชาโยสิยาห์ได้ทรงจัดตั้งคนทำงานอย่างมีระบบ  ทรงให้พวกเขาวางหีบพันธสัญญาของพระเจ้าไว้ ณ ที่เดิม  เนื่องจากก่อนหน้านี้  มีการนำหีบพันธสัญญาของพระเจ้าออกไปอยู่นอกพระวิหาร   กษัตริย์องค์ก่อนหน้านี้ได้วางหีบพันธสัญญาของพระเจ้ารวมไปกับเทวรูปต่าง ๆ ที่พวกเขาบูชา

พวกปุโรหิตและเลวีต้องทำงานหนักมาก เพราะว่า  งานหลักอย่างหนึ่งของเทศกาลปัสกาก็คือ ต้องถวายบูชาแกะหนึ่งตัวต่อหนึ่งครอบครัว ตามที่โมเสสบันทึกไว้ ลองคิดดูซิ   แค่ร้อยครอบครัวงานก็หนักหนาแล้ว!!   และพวกเขายังต้องชำระตัวให้บริสุทธิ์ก่อนที่จะทำหน้าที่ของพวกเขา กว่าจะได้ทำพิธีจริง ๆ ต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ มากมาย

พระราชายังได้ประทานแกะและลูกแพะส่วนพระองค์ให้กับประชาชนถึง  30,000 ตัว  ยังมีวัวผู้อีก 3000 ตัว และยังมีพระญาติของพระราชามอบสัตว์ให้ประชาชน ปุโรหิตและเลวี  ส่วนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพระวิหารก็ได้ให้ลูกแพะลูกแกะอีก 2,600 ตัว  วัวผู้ 300 ตัวแก่ปุโรหิต ยังมีกลุ่มหัวหน้าคนเลวีที่มอบแพะแกะ 5,000 ตัว  วัวผู้ 500 ตัวให้กับคนเลวีด้วย

ภาพโดย Giovan Battista Ruoppolo 1629 - 1693

พระราชาทรงมีน้ำใจ ทำให้พวกผู้ใหญ่และคนมั่งคั่งก็พลอยมีน้ำใจตามไปด้วย…มิฉะนั้น ประชาชนมากมายจะต้องไปหาแกะที่จะมาเป็นผู้รับบาปแทนคนในครอบครัวเอง  คงเป็นเรื่องที่โกลาหลไม่น้อย

ลองรวมดูซิ เป็นจำนวนเท่าไร  เมื่อนับดูจริง ๆ ก็มากมายกว่าครั้งที่กษัตริย์เฮเซคียาห์ได้ชักชวนให้ประชาชนร่วมเทศกาลปัสกามากนัก…

รื้อฟื้นพันธสัญญา ๓๔-๔

2 พงศาวดาร 34:29-33

เมื่อได้ยินคำของฮุลดาห์ สตรีผู้กล่าวคำของพระเจ้า  ราชาโยสิยาห์ก็ทรงตรึกตรองว่า จะทำอย่างไรดี เพื่อว่า ประชาชนทั้งหลายจะได้กลับมาหาพระเจ้า

แล้วเมื่อทรงอธิษฐานต่อพระเจ้า พระองค์ทรงรู้ว่าควรทำอย่างไรดีที่สุด

จึงทรงเชิญผู้ใหญ่ในยูดาห์ และนครเยรูซาเล็มมากันพร้อมหน้า    รวมไปถึงประชาชนในแผ่นดินยูดาห์และชาวเมืองหลวง ทั้งปุโรหิต และคนเลวี

เมื่อพวกเขามากันพร้อมหน้า  พระราชาทรงอ่านคำที่บันทึกไว้ในพันธสัญญาของพระเจ้าให้ทุกคนได้ฟัง   ประชาชนต่างนิ่งฟังอย่างตั้งใจ  พวกเขารู้สึกว่า พระเจ้าทรงกลับมาหาพวกเขาอีกครั้ง   เขาได้ยินคำที่พระองค์เคยตรัสไว้กับโมเสส

“ข้าไม่เคยได้ยินอะไรอย่างนี้มาก่อน”  คนหนึ่งกระซิบกับเพื่อน

“นั่นซิ   แต่มันสำคัญมากเลยนะ  พระราชาจึงเรียกเรามาฟังพร้อมกันอย่างนี้”  คำในพันธสัญญาถูกละเลยมานาน  ประชาชนรุ่นนี้จึงไม่ทราบว่า มีอะไรเขียนบันทึกไว้บ้าง

“ดูซิ  พระราชาทรงทำอะไรนั่น” คนหนึ่งชี้ให้เพื่อนดู  ราชาโยสิยาห์ทรงยกพระหัตถ์ขึ้น….

“ข้าแต่พระเจ้าแห่งอิสราเอลผู้สูงสุด  ข้าพระบาทขอทำพันธสัญญาเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์”  ประชาชนทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็นิ่งฟัง….

“ข้าพระบาทสัญญาว่า จะติดตามพระองค์  จะรักษาพระบัญญัติ  พระโอวาทและกฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของพระองค์  ด้วยสุดจิตสุดใจของข้าพระบาท    จะปฏิบัติตามทุกถ้อยคำที่เขียนบันทึกไว้”

แล้วราชาโยสิยาห์ก็หันมาหาประชาชน

“ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคน เข้ามามีส่วนในพันธสัญญานี้ด้วย”

“พวกเราจะทำตามนั้น”   …. ทุกคนพร้อมใจกันปฏิญาณตนตามพระราชาของพวกเขา

วันนั้น เป็นวันที่ทุกคนจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต

พวกเขาได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้าอีกครั้ง และได้น้อมใจที่จะดำเนินตามพระองค์อีกครั้ง หลังจากที่ถูกสอนผิด ๆ มานาน

 

ตลอดรัชสมัยของราชาโยสิยาห์ ประชาชนจึงกลับมาหาพระเจ้า  เทวรูป  แท่นบูชาต่าง ๆ ก็ถูกทำลายไปสิ้นจากแผ่นดิน

คำทำนายของฮุลดาห์ ๓๔-๓

2 พงศาวดาร 34:22-28

ในเมื่อพระราชาทรงบัญชาให้ไปหาวิธีการที่จะช่วยไม่ให้เกิดหายนะในประเทศ ปุโรหิต ฮิลคียาห์จึงรีบไปหาฮุลดาห์  เธอเป็นภรรยาของชัลลูมผู้ดูแลเสื้อคลุมในพระวิหาร   แต่สิ่งที่สำคัญคือ พระเจ้าทรงใช้เธอให้กล่าวพระดำรัสของพระองค์เสมอ ดังนั้น ใคร ๆ ก็จะมักไปหาฮุลดาห์เพื่อที่จะรู้พระทัยของพระเจ้าเฉพาะเรื่อง
“แม่นาง  พระราชาให้มาถามท่านว่า จะทำอย่างไรดี เพื่อไม่ให้พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเรา  เพราะว่า บรรพบุรุษของพวกเราละเลยพระองค์และไม่ปรนนิบัติพระองค์ กลับไปกราบไหว้บูชาพระอื่น ๆ “

ฮุลดาห์ไม่ยิ้มเลย  เธอรู้ว่า สิ่งที่เธอกำลังจะพูดออกไปนั้น มันน่ากลัว และถ้าพวกเขาไม่ฟังเธอ  สิ่งร้าย ๆ ก็จะเกิดขึ้นแน่นอน

“แม่นาง  อย่านิ่งเฉยอยู่ซิ  พวกเราร้อนใจกันมาก”

ภาพเอื้อเฟื้อจาก bibleartbooks.com วาดโดย Robert Flores

เธอถอนหายใจ  และหันมากล่าวว่า

“องค์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้…  พวกเจ้าจงไปแจ้งกับผู้ที่ใช้เจ้ามา  ว่า พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะนำความหายนะมาสู่สถานที่นี้   และมาสู่ประชาชนตามที่มีคำแช่งสาปเขียนไว้ในหนังสือที่อ่านกันต่อหน้าพระราชาแห่งยูดาห์แน่นอน”

พวกเขาที่ฟังอยู่ร้องพร้อม ๆ กันว่า “ฮ้า!!”   กลัวมาก  หันมองหน้ากันเลิกลัก

“เพราะพวกเขาได้ละทิ้งเรา ซึ่งเป็นพระเจ้าของเขา  และยังเผาเครื่องหอมให้กับพระอื่น ๆ    พวกเขาทำสิ่งที่ยั่วเย้าให้เราโกรธ ดังนั้น เราจะระบายความโกรธของเราเหนือสถานที่นี้   ไม่  ไม่มีใครจะระงับความโกรธของเราได้…”

บางคนถึงกับน้ำตาไหลพรากเมื่อได้ยินคำของฮุลดาห์

“จงกลับไปบอกพระราชาที่ทรงใช้เจ้ามานั้นว่า  องค์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสอย่างนี้”

เธอถอนหายใจอีกครั้ง

“ แต่เนื่องจากราชาโยสิยาห์ได้ตอบสนองเรา  ถ่อมใจลงต่อหน้าเราเมื่อได้ยินคำสาปแช่งเหล่านี้   ราชาโยสิยาห์ ฉีกเสื้อผ้าและร้องไห้ต่อเราอย่างจริงใจ  เราได้ยินเสียงของเขาแล้ว
เราจะให้เขาตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขาโดยสงบ  เขาจะไม่เห็นสิ่งร้ายที่จะเกิดขึ้นในสถานที่นี้ และกับคนที่อยู่ในนั้น “

เมื่อได้ฟังคำของฮุลดาห์จนหมดสิ้น  พวกเขาจึงนำความไปกราบทูลพระราชา ….

พระองค์จะทรงทำอย่างไรต่อไปดี?  ทรงรอดพ้นหายนะ  แต่ประชาชนล่ะ?

พระคำที่ค้นพบ ๓๔-๒

2 พงศาวดาร 34:8- 21
ในปีที่ 18 ของการครองราชย์  หลังจากที่ราชาโยสิยาห์ได้ชำระแผ่นดิน และบ้านเมือง รวมไปถึงพระวิหารของพระเจ้า  พระองค์ก็ส่งคนไปเพื่อซ่อมแซมพระวิหารของพระเจ้า

“ท่านฮิลคียาห์ ขอท่านโปรดรับเงินที่เรานำได้จากการถวายจากคนที่เหลือในอิสราเอล ชนเผ่ามนัสเสห์ และเอฟราอิม รวมไปถึง ยูดาห์  รวมทั้งคนนครเยรูซาเล็ม”   ปุโรหิตฮิลคียาห์จึงจัดการส่งเงินให้กับผู้ดูแลช่างต่าง ๆ  พวกเขาเต็มใจทำงานกันอย่างขมีขมัน

ระหว่างการซ่อมแซมพระวิหารนั้นเอง
“ท่านปุโรหิตขอรับ  ข้าพบหนังสือม้วนนี้ซ่อนอยู่ในพระวิหาร  จึงนำมาให้ท่าน  ข้าไม่ทราบว่ามันสำคัญมากไหม”  คนงานคนหนึ่งนำมาให้หัวหน้างาน และหัวหน้างานนำมาให้ปุโรหิต

ปุโรหิตเห็นหนังสือม้วนนั้น ก็รู้ทันทีว่า เป็นหนังสือบันทึกพระบัญชาของพระเจ้าที่ประทานแก่โมเสส  เขานำไปให้ท่านชาฟานซึ่งเป็นราชเลขา  พอเขาเห็นหนังสือม้วนนั้น ก็ตาโต

“ข้าต้องนำไปทูลพระราชาด่วน  ขอบใจท่านมากนะ ท่านปุโรหิต”  ชาฟานทราบดีว่า พระบัญญัติม้วนนี้แหละที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรหลาย ๆ อย่างในประเทศของเขาได้   เขานำเรื่องนี้ไปทูลพระราชา

“ข้าแต่พระราชา  ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาเกี่ยวกับการซ่อมแซมพระวิหารนั้น  พระองค์ไม่ต้องทรงกังวลพระทัยเลย พวกเราทุกคนตั้งใจทำ และอีกไม่นานก็จะสำเร็จ”

“ดีมาก ขอให้ท่านดูแลทุกอย่างให้ละเอียดละออ”

“พะยะค่ะ  แต่ที่สำคัญตอนนี้  เราได้พบเงินบางส่วนซ่อนอยู่  และนำเงินนั้นไปให้กับผู้ทำการซ่อมแซม  แต่มีเรื่องสำคัญจะทูลพะยะค่ะ”

“เรื่องอะไร เจ้ารีบบอกข้ามา”

“ท่านปุโรหิตมอบหนังสือม้วนนี้ให้กับข้าพระบาทเพื่อนำมาให้พระองค์พะยะค่ะ”

พระราชาทรงหยิบหนังสือม้วนนั้นมาดู  พระพักตร์ซีด  “นี่มันเป็นพระคำของพระเจ้านี่นา  ชาฟาน เจ้าอ่านให้เราฟังเดี๋ยวนี้!”

ภาพวาดโดย Leonaert Bramer (1596-1764)

เมื่อพระราชาได้ยินพระคำของพระเจ้า  พระองค์ทรงตัวสั่น และทรงฉีกฉลองของพระองค์ทันที…. พระองค์ทรงเรียกชาย 5 คนที่รับใช้พระองค์อย่างใกล้ชิดเข้ามา… ทำไม  เกิดอะไรขึ้นหรือ?

“ไป เจ้าจงไปถามคนของพระเจ้าให้เราและทุกคนที่ยังเหลืออยู่ในยูดาห์และอิสราเอลว่า เราควรจะทำอย่างไร  เมื่อเราฟังพระคำของพระเจ้าเรารู้ว่า พระพิโรธของพระเจ้าที่ลงมายังพวกเรานั้นรุนแรงมาก   เป็นเพราะบรรพบุรุษของเราไม่ได้รักษาพระคำของพระองค์ตามที่เขียนไว้เลย   เร็ว เจ้าอย่าช้า”

 

บทบาทโยสิยาห์ ๓๔-๑

2 พงศาวดาร 34:1-7

ตอนที่ราชาโยสิยาห์ขึ้นครองนั้น ทรงอายุเพียง 8 ปี  … โอรสของราชาอาโมนที่ถูกข้าราชการสมคบคิดสังหาร…
แต่ลูกชายคนนี้หล่นไกลต้น  … หมายความว่าอย่างไรหรือ
ราชาอาโมนเริ่มครองด้วยการหันหารูปเคารพ
แต่ราชาโยสิยาห์นั้น ขึ้นครองด้วยมีผู้สำเร็จราชการที่ซื่อสัตย์ช่วยดูแล ช่วยเป็นพี่เลี้ยงในการปกครอง  สิ่งดีที่เกิดขึ้นก็คือ พระองค์ทรงปกครองด้วยการปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเคารพในพระเจ้าสูงสุด พระองค์ทรงปกครองอย่างถูกต้องในสายพระเนตรพระเจ้า ให้ความยุติธรรมกับประชาชน  เดินในหนทางของบรรพบุรุษคือราชาดาวิด  ทรงแน่วแน่มาก ไม่หันไปทางซ้ายหรือขวา

แต่อย่าลืมว่า ความเสียหายที่ราชบิดาทำไว้ยังคงหลงเหลืออยู่  มีหลายสิ่งที่ต้องดูแล ต้องทำให้ถูกต้อง  ราชาโยสิยาห์ค่อย ๆ ทำไปทีละอย่างสองอย่าง

ปีที่ 8 แห่งการครองราชย์  ทรงอายุเพียง 16 ปี  ราชาโยสิยาห์ก็แสวงหาพระเจ้าแห่งอิสราเอล  และพระองค์ทรงเรียนรู้ทางของพระเจ้า จากพระบัญญัติ คำบัญชาต่าง ๆ ที่บันทึกไว้  พระองค์ทรงซึมซับ ซาบซึ้งในพระคำของพระเจ้า  ทรงมองเห็นว่า อะไรถูก อะไรผิดชัดเจน

 

จนเมื่อทรงอายุ 18 ปี พระองค์ก็ทรงสั่งให้คนออกไปชำระทั้งแผ่นดินยูดาห์ และนครเยรูซาเล็ม
“พระราชาโยสิยาห์ทรงทำเหมือนกับเสด็จปู่ของพระองค์เลย”
“ใช่แล้ว ดีจริงที่จะทรงนำพระพรมาเหนือบ้านเมืองของเรา”
พวกเขาทำลายเทวรูป สถายบูชาของบาอัล อาเชราห์ และอื่น ๆ จนแตกหักเสียหายไปสิ้น  ไม่พอ  … ยังทรงสั่งให้ทุบจนละเอียด

“ทุบให้เป็นฝุ่น  แล้วพวกเจ้าก็เอาฝุ่นเหล่านี้ไปโรยไว้ที่สุสานของคนที่ชอบกราบไหว้รูปเหล่านี้…” พระราชาทรงบัญชา

“ส่วนกระดูกของพวกที่เป็นผู้นำประชาชนให้หลงผิด ก็เอาไปเผาบนแท่นพวกนั้น ให้เราชำระยูดาห์และนครเยรูซาเล็มให้สะอาด”

ราชาโยสิยาห์ไม่ได้ทรงทำการเหล่านี้แค่ในยูดาห์ แต่ทรงเดินทางไปแผ่นดินอิสราเอล    ไปยังเมืองของเขตต่าง ๆ ของเผ่ามนัสเสห์  เผ่าเอฟราอิม    เผ่าสิเมโอน และนัฟทาลี  แม้ว่าตอนนั้นอิสราเอลทางเหนือนี่ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของอัสซีเรียไปแล้ว

พระองค์ทรงไปสั่งให้คนที่เหลือในแผ่นดิน ทำลายเทวรูป และแท่นบูชาทั้งสิ้น  เมื่อทรงเห็นว่า เสร็จหมดแล้วก็เสด็จกลับนครเยรูซาเล็ม

 

ผู้สืบทอดบัลลังก์ ๓๓-๕

2 พงศาวดาร 33:21-25
หลังจากที่ราชามนัสเสห์สิ้นพระชนม์ไป อาโมน ราชโอรสก็ขึ้นครองราชย์ต่อมา
ทรงเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับราชบิดาของพระองค์ทุกอย่าง การทำสิ่งชั่วร้าย การชักชวนให้ประชาชนทำผิดต่อพระเจ้า การถูกจับไปเป็นเชลยที่บาบิโลน และการกลับมาครองบัลลังก์…
ทรงรู้ว่า ราชามนัสเสห์ได้สั่งปรับเปลี่ยนโครงสร้างความเชื่อของประชาชน ทรงสนับสนุนให้ประชาชนกลับมาสารภาพบาปต่อพระเจ้า ให้พวกเขาปรนนิบัตินมัสการพระเจ้าแห่งอิสราเอล…
แต่ทั้งหมดนี้ ไม่ได้ทำให้ราชาอาโมนทำตาม พระองค์กลับทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า อย่างที่ราชบิดาเคยกระทำตอนต้นรัชกาล กลับเอาเทวรูปขึ้นมาอีก และถวายเครื่องบูชาแก่เทวรูปเหล่านั้น รูปไหนที่ราชบิดาเคยเคารพก็กลับเอาขึ้นมาใหม่ทั้งหมด.!!
นี่มันอะไรกัน? ดีไม่กี่ปีกลับมาร้ายอีกแล้ว

ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Amon_of_Judah
มีคนมาเตือนราชาอาโมน แต่พระองค์ไม่ทรงฟัง ไม่ทรงคิดจะทำตามอย่างราชบิดาที่ได้กลับใจใหม่
สิ่งที่ร้ายคือ ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ พระองค์ยิ่งทำสิ่งที่ชั่วร้ายมากขึ้นทุกวัน
แต่มีข้าราชการที่ไม่เห็นด้วย และวางแผนสังหารพระราชา ซึ่งก็ทำสำเร็จได้โดยง่าย ราชาอาโมนสิ้นพระชนม์ในราชวัง
เรื่องไม่ง่ายอย่างที่คิด!!
ประชาชนไม่พอใจที่ข้าราชการเหล่านี้ประหารพระราชา พวกเขาได้ร่วมมือกันจับคนเหล่านั้นมาสังหารเสียสิ้น
แล้วจะเอาใครครองต่อไปดี ราชาอาโมนครองเพียงแค่ 2 ปีก็มาสิ้นพระชนม์เสียแล้ว
ไม่ยาก… ประชาชนได้คืนบัลลังก์ให้กับโอรสของราชาอาโมน นั่นคือเจ้าชายโยสิยาห์ ซึ่งขณะนั้นทรงอายุเพียง 8 พรรษาเท่านั้นเอง
พระเจ้าทรงใช้ให้ประชาชนเหล่านี้ ได้ทำหน้าที่ปกป้องราชวงศ์ยูดาห์ให้สืบเนื่องต่อไป….

มั่นใจในพระสัญญา ๓๓-๔

2 พงศาวดาร 33:13-20
ราชามนัสเสห์ ผู้ไม่เคยมีพระเจ้าในสายตา… มาบัดนี้ ยามที่อยู่เป็นเชลยในบาบิโลน กลับทรงอธิษฐานสุดหัวใจ ขอพระเจ้าทรงยกโทษให้ …
และพระเจ้าทรงเห็น ทรงได้ยิน พระทัยของพระองค์ทรงสงสารราชามนัสเสห์ผู้ที่หัวใจแตกร้าว และสำนึกผิดอย่างแท้จริง
พระเจ้าจึงทรงนำให้ราชามนัสเสห์ได้มีโอกาสกลับมายังนครเยรูซาเล็มอีกครั้ง!
ไม่น่าเชื่อ!!

ราชามนัสเสห์เองทรงเห็นว่า พระองค์น่าจะสิ้นพระชนม์ในบาบิโลน แค่พระเจ้าทรงยกโทษให้ก็ดีที่สุดแล้ว
แต่พระเจ้าทรงปราณียิ่งกว่านั้น มากกว่าที่คิดหวัง
พระเจ้าทรงคืนบัลลังก์ให้แก่พระองค์
“พระเจ้าทรงมีอยู่จริง พระเจ้าเที่ยงแท้แน่นอน” ราชามนัสเสห์ยอมรับ “พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของข้าพระองค์ ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์”
แล้วต่อมา พระองค์จึงทรงสร้างกำแพงเมืองเพิ่มขึ้น พระองค์ทรงแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารในหัวเมืองต่าง ๆ ทั่วยูดาห์
สิ่งที่สำคัญคือ พระองค์ทรงสั่งรื้อเอาเทวรูปต่าง ๆ รูปเคารพสารพัดอย่างที่มีในพระวิหารนั้นออกไป ทรงสั่งให้เอาออกไปจากที่สูงซึ่งพระองค์เคยทรงสร้างเอาไว้ ทรงทำลายแท่นบูชาสำหรับพระอื่นในพระวิหารและในนครเยรูซาเล็ม เอาออกไปทิ้งนอกนครเยรูซาเล็มทั้งหมด
“พระราชามีคำบัญชาให้รื้อฟื้นแท่นบูชาของพระเจ้า และทรงถวายเครื่องศานติบูชา และเครื่องบูชาโมทนาพระคุณพระเจ้า”
ผู้คนต่างพูดกันทั่วนครเยรูซาเล็ม “และทรงสั่งให้พวกเรานมัสการปรนนิบัติพระเจ้าแห่งอิสราเอล”

ขอบคุณพระเจ้าที่ราชามนัสเสห์ได้ทรงสำนึกผิดและกลับพระทัย ไม่ทำตามทางเดิมที่เคยทำต่อไป
การที่ราชามนัสเสห์ได้ขออภัยโทษบาปต่อพระเจ้า ทั้ง ๆ ที่ความผิดต่อพระเจ้านั้นมากมาย เป็นเครื่องเตือนใจเราจริง ๆ ว่า เรามั่นใจในพระสัญญาของพระเจ้าได้เสมอ…. พระเจ้าทรงไม่เคยดูหมิ่นใจที่ชอกช้ำ…

พระเจ้าทรงชำระราชามนัสเสห์ … พระองค์ทรงให้ราชามนัสเสห์มีโอกาสที่จะกลับมาแก้ตัวใหม่ในสิ่งที่พลาดไปแล้ว
ขอบคุณพระเจ้า
ที่พระเจ้าไม่ทรงเหวี่ยงราชามนัสเสห์ออกไปในขณะที่ทรงทูลขอความกรุณาจากพระเจ้า แต่กลับทรงรับคำอธิษฐานจากใจที่แตกร้าว จากร่างกายที่ทุกข์ทรมานสาหัส…..
ราชามนัสเสห์ทรงครองยูดาห์รวม 55 ปีจึงสิ้นพระชนม์….

คำอธิษฐานของราชาร้าย ๓๓-๓

2 พงศาวดาร 33:10-13

จากการที่ราชามนัสเสห์ได้ทำสิ่งที่ดูหมิ่นต่อพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการเอาเทวรูปเข้าไปในพระวิหาร หรือการฆ่าลูกของพระองค์เองเพื่อบูชายัญ เหล่านี้ พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัย และพระองค์ก็ทรงใช้คนของพระองค์ มาเตือนพวกเขา แต่… ถึงเตือนเท่าไร พวกเขาก็ไม่ฟัง

สิ่งที่พระเจ้าทรงทำคือ พระองค์ทรงให้กองทัพอัสซีเรียเข้ามาบุกนครเยรูซาเล็ม !

และราชามนัสเสห์ก็ถูกจับตัวมัดด้วยโซ่ทองเหลืองและลากไปด้วยขอเหล็ก พวกเขาลากพระองค์ไปอย่างนั้นจนถึงบาบิโลน
ระยะทางระหว่างเยรูซาเล็มไปจนถึงบาบิโลนนั้น ใช้เวลานานมาก

มันเป็นเวลานานพอที่จะทรมานราชามนัสเสห์อย่างช้า ๆ และเจ็บปวด ทั้งจิตใจและร่างกาย พระองค์ถูกคนทั้งหลาย ถูกทหารชั้นผู้น้อยมองตามอย่างเหยียดหยาม


“พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ทำผิดต่อพระองค์ ผิดต่อพระองค์อย่างยิ่ง ข้าพระองค์ทำเหมือนกับว่า พระองค์ไม่มีในโลกนี้ ข้าพระองค์เป็นราชาแห่งยูดาห์ แต่บัดนี้ต้องมาเป็นเชลยที่ต่ำต้อย”
“ขอพระเจ้าทรงโปรดอภัยบาปทั้งสิ้นของข้าพระองค์
ข้าพระองค์ไม่สมควรที่จะได้รับพระเมตตาของพระองค์เลย…”

ราชามนัสเสห์ที่เคยเย่อหยิ่ง จองหองต่อพระเจ้า กลับกลายมาเป็นอีกคน!

บางครั้ง ความทุกข์ยากมันก็ดีสำหรับชีวิต เพราะทำให้ตระหนักว่า ตัวจริงของเรานั้น ไม่สำคัญอะไรเลย เราต้องการพระเจ้าเสมอ พระองค์เท่านั้น ที่จะทรงทำให้เราพ้นความยากลำบากไปได้

พระเจ้าจะทรงฟังคำอธิษฐานของคนที่สำนึกผิด ที่ทำความผิดบาปอย่างร้ายแรงยิ่งไหม?

พระเจ้าจะทรงตอบราชามนัสเสห์ไหม?

ถ้าเราทำบาปร้าย และสำนึกผิด เราใจแตกสลาย… พระเจ้าจะทรงฟังเราหรือเปล่า?

เริ่มต้นก็ร้ายแล้ว ๓๓-๒

2 พงศาวดาร 33:5-9

ยิ่งไปกว่าการสร้างแท่นเผาบูชาตามที่สูงต่าง ๆ ในเมือง ราชามนัสเสห์ยังได้สร้างเทวรูปใส่ไว้ในพระวิหารของพระเจ้าด้วย! มีแท่นบูชาสำหรับเทววัตถุแห่งท้องฟ้า  ในลานพระวิหาร

ที่ร้ายสุดนั่นก็คือ

เอาโอรสของพระองค์เองมาเป็นเครื่องเผาบูชา!

มันเกินความคิดของผู้คน  เราไม่เข้าใจถึงความคิดของราชามนัสเสห์  พระองค์ทรงประสงค์อะไรจึงต้องทำเช่นนั้น ?  พระองค์เชื่อว่าจะทำให้เจ้าพ่อ เจ้าแม่เหล่านั้นพอใจ หรือว่ากลัวเจ้าเหล่านั้นโกรธเอา  ….

ภาพจาก newworldencyclopedia.org

พอจะคิดออกไหม??… เพราะราชามนัสเสห์ยังใช้พวกโหรเพื่อบอกอนาคต  และไสยศาสตร์เวทมนต์ต่าง ๆ มากมาย แถมยังเลี้ยงเหล่าคนทรงแบบต่าง ๆ ไว้ด้วย  คนเหล่านี้ คงพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมให้มนัสเสห์ทำสิ่งที่ร้ายแรงถึงกับเอาโอรสที่จะเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป หรือที่จะเป็นเจ้าครองนครเมื่อโตขึ้นฆ่าบูชาเสีย

การเข้าไปเกี่ยวข้องกับหมอดู ไสยศาสตร์ มนต์ดำต่าง ๆ  จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่ง  มันทำเหมือนกับว่าจะช่วยให้ดีขึ้น แต่ความจริงแล้วมันทำให้เราเป็นทาสของมัน  ต้องรู้อนาคต  ต้องไปดูดวง ต้องไปทำของ…..

ราชามนัสเสห์ทำเช่นนี้ทำให้พระเจ้าพิโรธยิ่งนัก   พระวิหาร เป็นที่ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสกับราชาดาวิดและราชาซาโลมอน  เป็นที่ประจักษ์ของทั้งข้าราชการ ประชาชนว่า “เราจะใส่นามของเราในวิหารแห่งนี้ และในนครเยรูซาเล็มซึ่งเราได้เลือกออกมาจาก 12 เผ่าแห่งอิสราเอลตลอดไปเป็นนิตย์   และเราจะไม่ให้เท้าของคนอิสราเอลออกจากแผ่นดินที่เราได้ให้กับบรรพบุรุษของเจ้า ขอเพียงให้เจ้าระมัดระวังที่จะทำตามสิ่งที่เราสั่งเจ้าไว้  ทั้งตามกฏหมาย บัญญัติ   และกฎที่เราได้ให้เจ้าทางโมเสส “

แต่แล้ว มาถึงวันนี้  ราชามนัสเสห์กลับนำให้ชนเผ่ายูดาห์และชาวเมืองเยรูซาเล็มต้องหลงไปจากทางของพระเจ้า   ลงมือทำสิ่งที่ชั่วร้ายไปกว่าเหล่าชนชาติที่พระเจ้าได้ทรงทำลายต่อหน้าคนอิสราเอลเสียอีก

 

มนัสเสห์… ราชาองค์ใหม่ ๓๓-๑

2 พงศาวดาร 36:1-4

เมื่อราชบิดาคือเฮเซคียาห์สิ้นพระชนม์นั้น  เจ้าชายมนัสเสห์ทรงอายุเพียง 12 ปี เจ้าชายองค์นี้ทรงเติบโตมาท่ามกลางผู้ใหญ่ที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการบ้านการเมือง
ลองคิดดูว่า หากเราต้องมีหน้าที่ทำงานขณะที่ยังเล็กอยู่นั้น  เป็นสภาพกดดันเพียงใด  เจ้าชายน้อยต้องเรียนรู้กิจการบ้านเมือง  เล่นไม่ได้เหมือนเด็กอื่น ๆ

เมื่อทรงเติบโตเป็นชายหนุ่ม ราชามนัสเสห์กลายเป็นราชาแสนร้ายแห่งราชวงศ์ยูดาห์!   คนร้ายที่สุดกลายเป็นราชาแห่งยูดาห์แล้วใครจะทำอะไรได้?   ราชามนัสเสห์ทรงทำทุกอย่างตามแบบของชนชาติรอบข้าง  ไม่นมัสการพระเจ้าต่อไป แต่หันไปสร้างที่สูงเพื่อสร้างแท่นบูชาเทวรูปต่าง ๆ เหมือนกับชนชาติที่พระเจ้าทรงไล่ออกไปจากแผ่นดิน

ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้?  บางรัชสมัยก็มีพระราชาที่ช่วยให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ด้วยการติดตามพระเจ้า และตั้งใจทำงานเหมือนกับสมัยของราชาอาสา  เฮเซคียาห์ แต่แล้ว บางสมัยประชาชนก็ต้องเจอผู้นำที่พาเขาออกห่างจากพระเจ้าอีก วนเวียนกันอยู่อย่างนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

อะไรที่พระราชบิดาทรงทำลายไป  โอรสก็สร้างขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแท่นบูชาจ้าวบาอัล  เจ้าแม่อัชเชราห์ และดวงดาวต่าง ๆ บนท้องฟ้า

ภาพจาก no.wikipedia.org

ที่ร้ายไปกว่านั้น  ราชามนัสเสห์ได้สร้างแท่นบูชาในพระวิหารของพระเจ้า!  ช่างท้าทายพระเจ้าเหลือเกิน  พระเจ้าเคยตรัสว่า “พระนามของเราจะอยู่ในวิหารนั้นตลอดไป”  แต่มนัสเสห์กำลังพยายามให้พระนามของพระเจ้าออกไปจากพระวิหาร  กลายเป็นชื่อพระอื่นแทน

ราชามนัสเสห์ทำทุกอย่างเหล่านี้ทำไม?

ราชบิดาไม่เคยสอนพระองค์เลยหรือว่า อะไรควร และอะไรไม่ควร?  ช่วงที่ราชามนัสเสห์เกิดมานั้น เป็นช่วงเวลาของความรุ่งเรืองในอิสราเอล  เป็น 15 ปีสุดท้ายของราชาเฮเซคียาห์

เกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลานั้นที่ทำให้ราชามนัสเสห์ไม่ได้รู้จักพระเจ้าเลย?

 

กับดักจากความมั่งคั่ง ๓๒-๕

2 พงศาวดาร 32:27-33

ในเวลาต่อมา ราชาเฮเซคียาห์ทรงยิ่งเจริญและรุ่งเรืองทั้งราชทรัพย์ พระเกียรติ และพระองค์ได้สร้างพระคลังส่วนพระองค์

คลังส่วนพระองค์!

ไม่ใช่เล็กน้อย  เรื่องนี้เท่ากับราชาเฮเซคียาห์จะต้องลงทุน ลงแรง และเวลาสำหรับทรัพย์สมบัติที่ไม่ยั่งยืนเหล่านี้ … พระองค์ทรงเสียเวลาไปขนาดไหน ไม่มีบันทึกไว้ แต่พระคลังก็ไม่เหมือนพระวิหาร ที่ประโยชน์การใช้สอยนั้นแตกต่างกันสุดขั้ว  พระวิหารได้สร้างไว้เพื่อประชาชนจะได้มาสำนึกบาปและไถ่บาปของตน

ส่วนพระคลังล่ะ? เอาไว้สะสมทรัพย์สิน เงิน ทอง อัญมณี  โล่ อาวุธ รวมไปถึงยุ้งฉางส่วนพระองค์ประกอบด้วยเครื่องเทศ อาหารต่าง ๆ  เหล้าองุ่น น้ำมัน   แถมยังมีคอกสัตว์ส่วนพระองค์ที่มีทั้งวัวควาย และฝูงแพะ แกะ  พระองค์ยังทรงทำพระคลัง ยุ้งฉางปศุสัตว์เหล่านี้ในเมืองอื่น ๆ  เก็บอาหารไว้มากมาย เพราะว่า พระเจ้าได้ประทานอวยพระพรแด่พระองค์มากยิ่ง

ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำราชกิจอะไรก็เจริญไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการก่อสร้าง การปกครอง….

แต่แล้ว วันหนึ่ง กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ส่งทูตมาเยี่ยมชมนครดาวิด และพระเจ้าได้ทรงปล่อยราชาเฮเซคียาห์ให้ทำอะไรตามพระทัยของพระองค์เอง

พระเจ้าทรงต้องการที่จะทดสอบพระทัยของพระราชา  พระองค์ทรงคิดอะไรกันแน่ และจะตัดสินพระทัยอย่างไร !!

ถ้าเพื่อน ๆ อยากทราบว่า ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำอย่างไร ให้คลิกที่นี่

พระเจ้าทรงปล่อยเรา และทดสอบเราอย่างนี้บ้างหรือเปล่า? คงมีหลายครั้งแล้วล่ะ  แต่เราอาจไม่รู้ตัว  กว่าจะรู้ตัวก็ผิดต่อพระเจ้าไปแล้ว….

ไม่นานก็สิ้นรัชกาลเฮเซคียาห์  ราชกิจต่าง ๆ ของพระองค์นั้น ท่านอิสยาห์ก็ได้บันทึกไว้ไม่น้อย  พระศพของพระองค์ถูกเก็บไว้ในถ้ำเก็บพระศพของราชาแห่งยูดาห์  …. และราชโอรสคือ มนัสเสห์ก็ขึ้นครองต่อมา

 

เปลี่ยนใจไปมา ๓๒-๔

2 พงศาวดาร 32: 24-26

หลังจากที่ราชาเฮเซคียาห์ทรงได้มีความสุขกับการที่ได้รับชัยชนะกษัตริย์เซนนาเคอริบ  และการที่มีประชาชาติหลายชาติได้หันมาเกรงกลัวพระองค์

พระองค์ก็ทรงอยู่อย่างสบาย ลืมความทุกข์ยาก และลืมสิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้พระองค์

แล้วต่อมา พระราชาก็ทรงป่วย… ป่วยหนักมากจนแทบจะสิ้นพระชมม์

ไม่มีหมอคนใดรักษาได้  ทุกคนส่ายหัวเมื่อเห็นพระอาการของพระราชา

ขณะที่พระราชาอธิษฐานต่อพระเจ้า …. ก็มีคนหนึ่งมาเยี่ยม นั่นคือท่านอิสยาห์  และได้ทูลพระราชาว่า พระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างแน่นอน

ราชาเฮเซคียาห์ทรงเป็นทุกข์ยิ่งนัก

ทรงหันหาพระเจ้า  กราบลงทูลขอความเมตตาจากพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ  พระองค์ทรงร้องไห้ไม่หยุด คร่ำครวญต่อพระเจ้าไม่ยั้ง

ในที่สุด

พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของพระองค์  และตอบคำอธิษฐาน โดยทรงสัญญาจะให้ชีวิตอีก 15 ปีในการปกครอง

พระราชาทรงดีใจมาก  และพระองค์ทรงกลับใจ ดำเนินชีวิตใหม่ที่ถูกต้อง  จัดการบ้านเมืองอย่างเรียบร้อยตามที่พระเจ้าทรงเตือนไว้ และในที่สุด พระองค์ก็ทรงอยู่ต่อมาอีกหลายปีตามที่พระเจ้าตรัส

แต่… คนเรานี่ก็แปลก  ได้สิ่งดีจากพระเจ้า แล้ว ไป ๆ มา ๆ ก็อาจหลงลืม และระเริงไปตามความคิดเห็นของตัวเอง

ราชาเฮเซคียาห์ก็เช่นเดียวกัน

พระองค์ทรงกลับมาเย่อหยิ่งอีก

ไม่น่าแปลกใจที่ทุกวันนี้  เราเห็นผู้ปกครองดี ๆ หรือนายทหารชั้นดีที่สัตย์ซื่อ ต่อมา อาจกลายเป็นอีกคนที่น่ากลัวไปได้

เราต้องมาดูว่า พระองค์ทรงทำอะไรหรือ ที่ทำให้พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยอีกครั้ง

 

พระเจ้าทรงตอบ ๓๒-๓

2 พงศาวดาร 32:16-23

ไม่ใช่แค่ขู่พระราชา และขู่ประชาชนเท่านั้น  แต่ผู้นำสาส์นของเซนนาเคอริบยังได้กล่าวคำที่หมิ่นประมาทพระเจ้า และดูหมิ่นราชาเฮเซคียาห์อย่างโอหังเหลือที่จะกล่าว

“พระเจ้าของท่านก็เหมือนพระของประชาชาติต่าง ๆ นั่นแหละ ไม่สามารถจะช่วยผู้คนจากเงื้อมมือของเซนนาเคอริบได้   …. พวกท่านไม่เห็นหรือ พวกเขากลายเป็นเชลยของเราไปหมดแล้ว
พวกท่านไม่เห็นหรือว่า พวกเขาลำบากยากเข็ญเพียงไร  บังอาจมาสู้กับกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่จากอัสซีเรียเช่นนี้  ….

พระเจ้าของราชาเฮเซคียาห์   ยังไง ๆ ก็ไม่สามารถช่วยประชากรอิสราเอลให้พ้นมือเราไปได้”

“ฮะฮ้า  ครั้งนี้พวกเจ้าแพ้แน่นอน  ไอ้พวกขี้แพ้!”   เขาตะโกนเสียงก้องลานเมือง

… ยิ่งข้าส่งเสียงดังเท่าไร  ก็จะทำให้ชาวเมืองกลัวมากเท่านั้น โธ่เอ๋ย  ข้าเห็นสีหน้าของพวกเจ้าแล้วก็ขำ   แค่นี้ก็กลัวไปได้  ยังไม่ได้ส่งกองทัพมาเสียด้วยซ้ำ….  ผู้ส่งสาส์นคิดในใจ

แล้วเขาก็ร้องตะโกนด่าว่าพระเจ้าแห่งอิสราเอลราวกับว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยมือ… โดยไม่มีความกลัวเกรงพระองค์สักนิดเดียว

แต่ราชาเฮเซคียาห์จะไม่ยอมแพ้เพียงเพราะฟังคำขู่ของพวกเขา  และพระองค์ก็ไม่ทรงประมาทด้วยเช่นกัน   ราชาเฮเซคียาห์พร้อมกับข้าราชการ  ประชาชน  และท่านอามอส  ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอย่างรีบด่วน  อธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระองค์

“พระเจ้าข้า  โปรดทรงเมตตาข้าพระองค์ทั้งหลายด้วย…. เพราะว่า คนของเราตกใจกลัวกันยิ่งนัก  ขอพระเจ้าทรงให้ทุกคนได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์”

พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเฮเซคียาห์

ด้วยการส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาต่อสู้กับกองทัพของอัสซีเรีย  ทำให้กองทัพนั้นต้องยกทัพกลับไปด้วยความอับอายอย่างยิ่ง

สำหรับเซนนาเคอริบเอง ถูกโอรสองค์หนึ่งฆ่าอย่างเลือดเย็นขณะที่พระองค์กำลังถวายเครื่องบูชาให้กับเทวรูปแห่งอัสซีเรีย

 

พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของพระราชา และประชาชนอิสราเอลมากกว่าที่เขาขอ  พระองค์ทรงให้เขารอดพ้นจากศัตรู และยังทำให้คนมากมายได้นำของถวายมาบรรณาการแด่ราชาเฮเซคียาห์ที่นครเยรูซาเล็ม     และทำให้ประชาชาติรอบข้างเกรงกลัว  ยกย่องพระองค์มากยิ่งนัก

 

คำขู่จากเซนนาเคอริบ ๓๒-๒

2 พงศาวดาร 32:9-19

ขณะที่ราชาเฮเซคียาห์ทรงให้กำลังใจประชาชนของพระองค์  กษัตริย์เซนนาเคอริบแห่งอัสซีเรียกลับทำสิ่งที่ตรงกันข้าม
ขณะนั้นเอง เซนนาเคอริบใช้กองทหารทั้งหมดที่เดินทางมาจากอัสซีเรียทางเหนือนั้น  ตรึงกำลังล้อมเมืองลาคีชอยู่  โดยดูจากเหตุการณ์แล้ว  ก็มองเห็นว่า น่าจะตีเมืองโดยไม่ยากนัก

แต่ว่า…  พระองค์ทรงคิดว่า ก็น่าจะทำสงครามจิตวิทยากับราชาเฮเซคียาห์ไปพร้อม ๆ กัน  จะได้ไม่ต้องเสียกำลังพลมาก   ถ้าตีเมืองลาคีชได้ ก็จะได้เมืองอื่น ๆ จนไปถึงนครเยรูซาเล็ม  เอาให้แพ้แบบเกมโดมิโนไปเลย

พระองค์ทรงส่งสาส์นมายังราชาเฮเซคียาห์ รวมไปถึงคนที่อาศัยในนครเยรูซาเล็มว่า
“ชาวนครเยรูซาเล็มเอ๋ย…. เจ้าทั้งหลายกำลังหวังพึ่งอะไรอยู่  จึงยังตายใจอยู่ในนครเยรูซาเล็มท่ามกลางวงล้อมของพวกเรา  ราชาเฮเซคียาห์กำลังหลอกล่อพวกเจ้าให้อดอาหารอดน้ำจนตาย    พูดกับพวกเจ้าว่า …องค์พระเจ้าของเราจะช่วยเราให้พ้นมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย  ชะ ชะ ก็ราชาองค์นี้เป็นผู้ทำลายสถานบูชาในที่สูงทั่วไปในเยรูซาเล็ม  แถมยังบัญชาให้ประชาชนมานมัสการพระเจ้าที่พระวิหารในนครเยรูซาเล็มเพียงแห่งเดียวเท่านั้น”

กษัตริย์เซนนาเคอริบกำลังดูหมิ่นองค์พระเจ้าของอิสราเอลเห็น ๆ  พยายามให้คนเห็นว่า    ราชาเฮเซคียาห์ต่างหากที่ต้องปกป้องพระเจ้า….

“พวกเจ้าทั้งหลายไม่เห็นหรือว่า  เสด็จพ่อของเรา และตัวเราได้จัดการกับชนชาติต่าง ๆ อย่างไรบ้าง ?  แล้วดูซิว่า พระแห่งชนชาติเหล่านั้นสามารถช่วยพวกเขาให้พ้นมือของเราได้หรือไม่ โธ่เอ๋ย ล้วนแล้วแต่ขี้แพ้ทั้งสิ้น “

 

เมื่อประชาชนทั้งหลายฟังคำจากสาส์นของเซนนาเคอริบ  พวกเขาก็นิ่ง  บางคนกลัว  แต่หลายคนก็ไม่กลัว เขารู้ว่า พระเจ้าของเขาเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ ไม่เหมือนพระอื่น ๆ

“ขอให้ทุกคนจำใส่ใจไว้ว่า  มีพระองค์ไหนในชาติต่าง ๆ ที่ราชบิดาของข้าไปทำลาย สามารถช่วยผู้คนจากมือของข้าได้    แล้วพระเจ้าของเฮเซคียาห์จะช่วยได้หรือ  ไม่มีทาง  ไม่มีพระองค์ไหนจะมาต่อสู้เซนนาเคอริบแห่งอัสซีเรียได้…”

“ดังนั้นอย่า จงอย่าให้ราชาเฮเซคียาห์หลอกพวกเจ้า   และอย่าเชื่อฟังราชาของเจ้า  เพราะไม่มีพระของประเทศใดช่วยคนในชาตินั้นจากมือของข้า หรือราชบิดาของข้าได้    พระเจ้าของเจ้าก็ไม่มีวันที่จะช่วยเจ้าให้พ้นมือข้าเช่นกัน”

และที่พูดนี้ พวกเขาอ่านเป็นภาษาฮีบรูเพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าใจทุกคำที่กษัตริย์เซนนาเคริบต้องการแจ้ง

ราชาเฮเซคียาห์กับประชาชนฟังสาส์นขู่ไปพร้อม ๆ กัน

ทีนี้ พระราชาจะทำอย่างไรล่ะ ? อย่างน้อยประชาชนส่วนหนึ่งก็เริ่มกลัวแล้ว  พวกเขาบางคนยังไม่มีความมั่นคงในพระเจ้า….

 

 

ผู้ที่อยู่ฝ่ายเรา ๓๒-๑

2 พงศาวดาร 32:1-8

ต่อมาไม่นานนัก    กษัตริย์แห่งอัสซีเรียผู้เรืองพระนาม คือเซนนาเคอริบยกกองทัพใหญ่มาบุกยูดาห์  หวังจะยึดเอาเป็นเมืองขึ้น  เมื่อยกทัพมาแล้ว ก็สั่งให้ตั้งค่ายทหารล้อมหัวเมืองที่มีป้อมหลาย ๆ เมือง โดยกษัตริย์เซนนาเคอริบนี้ทรงมีพระทัยแน่วแน่จะยึดนครเยรูซาเล็มและเมืองอื่น ๆ ให้ได้

“ราชาแห่งอัสซีเรียเข้ามาบุกเราแบบโถมเข้ามาล้อมหลาย ๆ เมืองพร้อมกัน”  ราชาเฮเซคียาห์ตรัสกับเหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่

“พะยะค่ะ  และทรงตั้งพระทัยว่าจะยึดเอานครของเราด้วย  ข้าพระบาทได้ส่งคนไปสืบมาแล้ว”

“เอาอย่างนี้  พวกเขายังไม่ได้ล้อมเมืองเรา  เราต้องจัดการปิดตาน้ำนอกเมืองทุกแห่ง  มิฉะนั้น  เมื่อพวกเขามาล้อมเรา  ก็จะมีน้ำอุดมสมบูรณ์”

“เรายอมไม่ได้พะยะค่ะ  ถ้าพวกเขามีน้ำอย่างมากมายเช่นเรามี เขาก็จะเข้มแข็งและอาจตีพวกเรายับได้”

ทั้งพระราชาและข้าราชการได้วางแผนปิดตาน้ำรอบเมืองที่มีอยู่ บ่อน้ำเหล่านี้ มีไว้ให้ประชาชนได้ใช้ในการทำกสิกรรมนอกเมืองอยู่แล้ว

ดังนั้นทั้งทหาร  ข้าราชการ และประชาชนทั่วไปจึงเข้ามาช่วยกันถมลำธาร ปิดตาน้ำทั้งหมด ไม่ให้เป็นประโยชน์แก่กษัตริย์อัสซีเรีย  ทรงทำให้มีอุโมงค์น้ำเข้ามาในเมือง

อย่างไรประชาชนในเมืองยังจะมีน้ำใช้ตลอดเพราะมีอุโมงค์นำน้าเข้ามา

ภาพจาก  http://biblicalstudies.info/hezekiah/hezekiah.htm

พระราชาทรงรีบที่จะรวบรวมคนมาซ่อมกำแพงที่เคยปรักหักพัง และยังสร้างหอคอยขึ้นมา   สร้างกำแพงขึ้นมาอีกชั้น และทำให้ป้อมมิลโลของนครดาวิดแข็งแรงขึ้นอีก

เท่านั้นยังไม่พอ  ยังทรงสั่งสร้างอาวุธอีกหลายอย่าง รวมทั้งโล่มากมาย

“พวกเราต้องรีบทำอาวุธให้ทันก่อนที่ศัตรูจะมาบุกรุกเรา” นายทหารชั้นผู้ใหญ่คุยกับหัวหน้าช่างที่ทำอาวุธ

“ขอรับ  ข้าและเหล่าช่างเหล็กไม่ได้นิ่งนอนใจ  พวกเรารู้ว่า เรื่องนี้สำคัญมาก  ขอท่านวางใจพวกเราเถอะ”

พระราชายังทรงห่วงอีกเรื่อง

“ขอให้ท่านรวบรวมชาวเมืองมาที่ลานเมืองด่วน”   ราชาเฮเซคียาห์ตรัสสั่งคนที่พระองค์ทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการ

และเมื่อประชาชนมาพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วพระองค์ก็ทรงกล่าวคำที่ให้กำลังใจกับประชาชน …..

“ขอให้ท่านทุกคนเข้มแข็ง และกล้าหาญ  อย่ากลัว อย่าไปเกรงกษัตริย์แห่งอัสซีเรียหรือกองทัพใหญ่โตที่มาด้วยนั้น  เพราะว่า ผู้ที่อยู่ฝ่ายเรานั้น มีกำลังมากกว่าพวกเขายิ่งนัก

พวกเขาเป็นกำลังของร่างกาย เนื้อหนังที่เรามองเห็น  แต่กำลังของเรานั้นคือ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา  พระองค์จะทรงช่วยเรา และจะทรงต่อสู้ศัตรูนี้ให้เรา”

“แด่พระเจ้าจอมโยธา…..พวกเราน้อมนมัสการพระองค์!!”

เสียงประชาชนตอบพระราชาดังสนั่นเมือง

ประชาชนรู้แล้วว่า ผู้ที่ฝ่ายเขาคือองค์พระเจ้า  แล้วเขาจะกลัวศัตรูไปทำไม….

 

นมัสการอย่างจริงใจ ๓๑-๓

2 พงศาวดาร 31:11-21

มีการบันทึกไว้ว่า  ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำสิ่งที่ดี  ถูกต้อง และสัตย์ซื่อต่อพระพักตร์ของพระเจ้า  นั่นหมายความว่า พระองค์ทรงทำทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาอย่างซื่อตรง   และยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าจะทรงทำงานในเรื่องเกี่ยวกับการนมัสการพระเจ้า   ในการรักษากฎบัญญัติของพระเจ้า ในการแสวงหาพระเจ้า   ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำด้วยสุดพระทัย  ดังนั้น พระองค์จึงทรงยิ่งจำเริญขึ้นทั้งส่วนพระองค์  และในการปกครองประเทศ!

พระองค์ทรงสั่งให้คนของพระองค์นำสิ่งที่คนทั้งหลายนำมาถวายนั้น ส่วนหนึ่งเก็บไว้ในคลังพระวิหาร    ราชาเฮเซคียาห์ทรงมาควบคุมดูแลใกล้ชิด  โดยมีอาซาริยาห์ท่านปุโรหิตเป็นผู้ช่วย    โดยของถวายเหล่านี้ จะต้องมีการทั้งเก็บ และแจกไปให้กับปุโรหิตและเลวีตามสมควร  ไม่ใช่เฉพาะในนครเยรูซาเล็มเท่านั้น  แต่รวมไปถึงปุโรหิต และเลวีตามหัวเมืองต่าง ๆ  ด้วย

มีการขึ้นทะเบียนปุโรหิตและเลวีอย่างเป็นระบบระเบียบ  ทุกอย่างมีขั้นตอนและมีการบันทึกไว้เป็นอย่างดี  ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่า ครอบครัวใดบ้างที่เข้ามาทำงานในพระวิหาร มีคนกี่คนในครอบครัว  คนเหล่านี้ ต้องรักษาตัวให้บริสุทธิ์เสมอ

จะเห็นว่า ในการนมัสการพระเจ้าสมัยก่อน ไม่เหมือนสมัยนี้เลย     ในสมัยต่อมานั้น  พระเจ้าทรงให้เรานมัสการพระองค์ที่ไหนก็ได้  ไม่จำเป็นต้องไปที่นครเยรูซาเล็ม  ที่พระวิหาร…. แต่พระเจ้าทรงค้นหาคนที่จะนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณ  และด้วยความจริง

นั่นหมายถึงว่า เรานมัสการ ยกย่อง บูชาพระเจ้าจากหัวใจของเรา  จากชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้า  สิ่งที่ยังเหมือนกันในสมัยนี้กับสมัยก่อนคือ  พระเจ้าทรงขอให้ผู้ที่เข้ามานมัสการพระองค์นั้น   มีชีวิตที่บริสุทธิ์  ..เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์

 

 

ผลของการถวาย ๓๑-๒

2 พงศาวดาร 31:5-10

การจัดระเบียบเพื่อให้พระวิหารได้ทำหน้าที่ช่วยประชาชนในการนมัสการ สารภาพบาปในสมัยราชาเฮเซคียาห์นั้น  นอกจากพระราชาจะทรงลงมือทำด้วยพระองค์เอง ทรงถวายให้กับงานในพระวิหารอย่างมากมาย

และพระองค์ก็ทรงบัญชาให้ชาวนครเยรูซาเล็ม ถวายสิ่งที่สมควรเพื่อว่าเหล่าปุโรหิต และเลวี จะได้ไม่ต้องออกไปทำงานหาเลี้ยงชีพ  แต่ให้ตั้งใจทำงานในพระวิหารเต็มกำลัง  สุดใจตามพระบัญญัติของพระเจ้า

“พระราชาทรงชวนให้เราถวาย”

“นั่นซิ   และพระองค์ก็ทรงถวายเองมากด้วย”

“พวกเราน่าจะร่วมใจกันถวายนะ    จะได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน”

ผู้คนต่างพากันเอาของมาถวายในพระวิหาร เพื่อการนมัสการพระเจ้าจะได้สืบต่อเนื่องกันไป  พวกเขาเอาพวกข้าวต่าง ๆ  ผลไม้ น้ำมัน  น้ำผึ้ง ผักต่าง ๆ  และพวกเขาได้นำหนึ่งในสิบของผลผลิต ของรายได้เข้ามาถวายในพระวิหารนั้น

ไม่ใช่แต่เท่านั้น ยังมีสัตว์ต่าง ๆ เช่นวัว แกะ นก ที่ใช้เป็นเครื่องถวายบูชาด้วย

ดูซิ  สมัยก่อนนี้ การจะเข้าเฝ้าพระเจ้า  การจะนมัสการมันช่างเป็นเรื่องใหญ่โตเสียจริง ๆ   แต่พวกเขาไม่ได้คิดเช่นนั้น เขารู้ว่า กำลังทำเพื่อถวายพระเจ้า  เขานำมาถวายจนเป็นกองใหญ่โต

จากเดือนที่สามไปถึงเดือนเจ็ด  ของถวายนั้นเต็มไปหมดเป็นกอง ๆ  เมื่อพระราชาเสด็จมาเห็นเข้า
“ขอบคุณพระเจ้าจริง ๆ  ที่ประชาชนต่างมีน้ำใจเพื่อว่า แผ่นดินของพระเจ้าจะได้ขยายออกไป  ทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน จะได้มานมัสการพระเจ้าด้วยกัน  คนที่ไม่มีก็ได้รับแบ่งปันจากคนที่มีมากสรรเสริญพระเจ้าสูงสุด “

“แล้วพวกท่านจะจัดการอย่างไรกับสิ่งของที่กองมากมายเช่นนี้ “ พระราชาทรงถาม

“พวกเราแบ่งไปตามสัดส่วนของตำแหน่งปุโรหิต เลวีแล้ว ก็ยังเหลืออยู่อีกมากมายพะยะค่ะ ”   อาซาริยาห์ มหาปุโรหิตทูลตอบ

“ท่านลองบอกข้ามาซิว่า ท่านควรจะทำอย่างไรกับของมากมายเช่นนี้”  ราชาเฮเซคียาห์ เป็นพระราชานักจัดการ  ทรงรู้ว่าจะทำอย่างไรอยู่แล้ว….

 

ทำลายต่อ ๓๑-๑

2 พงศาวดาร 31:1-3

เมื่อประชาชน เลวี ปุโรหิต ข้าราชการ และราชารวมทั้งราชวงศ์ของพระองค์ได้ร่วมเทศกาลด้วยกันนั้น  พวกเขาอิ่มใจกันถ้วนหน้า และสิ่งที่พวกเขาทำเป็นอย่างแรกเมื่อจบเทศกาลก็คือ

เขาไปตามที่สูง ในเมืองต่าง ๆ   และทำลายเทวรูป  เสาหลัก และแท่นบูชาอย่างไม่ละเว้น  ก่อนหน้านั้น พวกเขาทำลายเทวรูปที่อยู่ในนครเยรูซาเล็ม


“อย่าให้เหลือ  อย่ายอมที่จะปล่อยเทวรูปเหล่านี้ไว้ เพราะมันเป็นสิ่งที่กั้นพระพรของพระเจ้าไปจากเรา”

พวกเขาเดินทางไปทั่วแผ่นดินยูดาห์  เบนยามิน เอฟราอิม และมานัสเสห์  เป็นพื้นที่กว้างขวางมาก  และเมื่อพวกเขาทำลายจนหมดสิ้นในเมืองเหล่านั้น

“ลาแล้วท่าน  ข้าจะกลับบ้าน ขอพระเจ้าทรงอวยพรท่าน”

“เช่นกัน ขอสันติสุขของพระเจ้าอยู่กับท่าน”

พวกเขาร่ำลากันอย่างชื่นบาน  และมองเห็นอนาคตอันสดใสของบ้านเมือง เพราะว่าพวกเขาได้ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรพระเจ้าแล้ว ….

ส่วนในนครเยรูซาเล็ม

ราชาเฮเซคียาห์ได้แต่งตั้งปุโรหิต และเลวีเพื่อทำงานในหน้าที่ต่าง ๆ  อย่างครบถ้วน
“ขอให้ทุกท่านทำหน้าที่อย่างตั้งใจ เพื่อว่า พระพรของพระเจ้าจะอยู่กับเราเสมอไป”

“พะยะค่ะ”  เสียงตอบขานรับจากกลุ่มปุโรหิตและเลวี
“เราจะเป็นผู้ส่งเครื่องเผาบูชา ศานติบูชา เพื่อที่จะได้รับใช้ปรนนิบัติ โมทนาขอบคุณพระเจ้า  และสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน

ราชาเฮเซคียาห์จึงทรงส่งเครื่องเผาบูชาส่วนพระองค์มาทั้งเช้าเย็น และสำหรับวันสะบาโต วันขึ้นค่ำ  และสำหรับการเลี้ยงที่กำหนดไว้ตามพระบัญญัติของพระเจ้า

แต่ถ้าเพียงพระราชาทำเท่านั้น เหล่าปุโรหิตและเลวีก็จะลำบาก เพราะพวกเขาต้องกินจากส่วนของเครื่องเผาบูชาเหล่านี้  จะทำอย่างไรกันล่ะ  ?

 

นครร่าเริง ๓๐-๖


2 พงศาวดาร 30:22-25

สิ่งดีที่เกิดขึ้นในการนมัสการนั้น นอกจากผู้คนจะได้สัมผัสองค์พระเจ้าแล้ว พวกเขายังเริ่มเข้าใจอะไร ๆ ที่ผ่านมา พวกเขาสำนึกในความบาปที่ได้ทำ …..
ราชาเฮเซคียาห์ทรงให้กำลังใจกับเหล่าคนเลวี เขาเหล่านี้ มีความเข้าใจในราชกิจของพระเจ้าเกี่ยวกับการนมัสการอย่างลึกซึ้ง
“ขอให้พวกท่านทำหน้าที่อันดีนี้ต่อไป ประเทศของเราจะเปลี่ยนแปลง รุ่งเรืองหากว่าท่านทั้งหลายยังสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า เช่นนี้”
เวลานั้น ผู้คนจึงได้กินอาหารในเทศกาลด้วยกัน 7 วัน ไม่ได้กินอย่างเดียว แต่ได้คุยกัน ได้สนทนาถึงสิ่งที่ผ่านมา และสิ่งที่จะมาในอนาคต
สิ่งที่สำคัญยิ่งคือ
พวกเขาสำนึกผิดต่อพระเจ้า ได้สารภาพบาปด้วยน้ำตาไหล หลายคนใช้เวลานานมากในการสารภาพบาป ยิ่งพวกเขาอยู่ใกล้พระเจ้ามากเท่าไร พวกเขาก็เห็นบาปของตัวเองมากมายเท่านั้น



“ขอบคุณพระเจ้าสูงสุด ที่พระองค์ไม่ทรงลงโทษเราทั้งหลายสมกับที่เราได้ทำบาปต่อพระองค์ มิอย่างนั้นแล้ว พวกเราคงไม่ได้มีชีวิตอยู่ในเวลานี้ เพราะบาปของเรานั้น โทษก็คือ เราควรตายไปจากโลก”
“ท่านขอรับ” คนหนึ่งเข้ามาเสนอกับปุโรหิต
“ทำไมเราไม่ทำการเลี้ยงต่ออีกสัก 7 วัน ยังมีหลายคนต้องใช้เวลาในการปรับชีวิตจิตใจของเขา และเขาจะได้สารภาพบาปกัน เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่”
ดังนั้นจึงมีการปรึกษาหารือกันเพื่อต่องานไปอีก 7 วัน ด้วยความยินดีในพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ราชาเฮเซคียาห์ได้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับประชาชนเพื่อมีส่วนในเทศกาลที่ประชาชนจะได้เปลี่ยนชีวิตให้ถูกต้องกับพระเจ้า
วัวผู้หนุ่ม 1,000 ตัว แกะ 7,000 ตัว
เจ้าชายในราชวงศ์ให้วัวผู้หนุ่มอีก 1,000 ตัว แกะอีก 10,000 ตัว และเหล่าปุโรหิตก็ได้ชำระตัวเพื่อเข้าร่วมงานในรอบสองนี้ด้วย
ทุกคนที่อยู่ในเทศกาลต่างพากันยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ทั้งนครเยรูซาเล็มมีแต่ความชื่นชมยินดี
หลายร้อยปีแล้ว …. ไม่เคยมีการฉลองที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาเลย นับแต่สมัยราชาซาโลมอน….
ใจของราษฎรต่างยินดี และเปลี่ยนแปลง
แน่นอน เราเห็นว่า ยิ่งพวกเขากลับมาหาพระเจ้า พวกเขาก็จะยิ่งสัตย์ซื่อต่อพระองค์มากขึ้น

บรรยากาศการนมัสการ ๓๐-๕

2 พงศาวดาร 30:18ก- 21

เกิดปัญหาที่ว่า คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในพิธีปัสกานั้น ไม่ได้เตรียมตัวมาอย่างที่สมควร  พวกเขาเป็นคนทางเหนือที่ไม่รู้ว่า ตัวเองต้องทำอย่างไร  เพราะราชาทางเหนือส่วนใหญ่จะให้คนกราบไหว้เทวรูป ซึ่งไม่ได้ต้องการความบริสุทธิ์ในชีวิตจิตใจ

พวกเขาต้องการแค่ความสนุกสนานในพิธีเหล่านั้น

แต่กับการที่จะนมัสการพระเจ้า  มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทุกคนต้องชำระตัวให้บริสุทธิ์ก่อน

พระราชาเฮเซคียาห์ทรงครุ่นคิดว่า จะทำอย่างไร?

ในที่สุด พระองค์ก็ทรงนึกออก….

พระองค์อธิษฐานขอเพื่อพวกเขา

“ข้าแต่พระเจ้าแห่งชนชาติอิสราเอลทั้งปวง   ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรมาที่พวกเรา    ขอพระองค์ทรงโปรดยกโทษบาปของเราด้วย   ขอพระเจ้าทรงโปรดยกความผิดบาปให้กับทุกคน

พระองค์เจ้าข้า  พวกเขาต้องการแสวงหาพระองค์  อยากจะได้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้า  ผู้ทรงเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา  พวกเขาไม่ได้ทำตามข้อบังคับต่าง ๆ ของพระวิหาร เพราะพวกเขาไม่รู้มาก่อน   ขอพระเจ้าทอดพระเนตรและเมตตาด้วยพระเจ้าข้า”

แล้วพระเจ้าทรงยินคำอธิษฐานของราชาเฮเซคียาห์   และพระองค์ทรงรักษาคนเหล่านั้น ทรงชำระพวกเขาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ดังนั้นพวกเขาจึงได้เข้าร่วมอยู่ในเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ 7 วัน ด้วยความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนปุโรหิต และเลวีก็ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  พร้อมกับเล่นดนตรีด้วยเสียงดังในเวลากลางวัน

“เพลงแบบนี้ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

“ยิ่งใหญ่จริง ๆ  ข้าขอบคุณพระเจ้าที่ข้ามีโอกาสมาที่นี่ ใจของข้าเปลี่ยนไป  ไม่เหมือนเดิมเลย”

“ที่แผ่นดินฝ่ายเหนือไม่เคยมีพระราชาที่รักพระเจ้าเลย   มีแต่พระราชาที่ชอบพิธีกราบไหว้วัวทองคำบ้าง  เทวรูปต่าง ๆ บ้าง และในงานเหล่านั้นก็มีการเลี้ยง การร่ายรำที่ยั่วยวน  มีการหยอกล้อกันระหว่างผู้หญิงผู้ชาย”

ภาพจากpastorerickson.com

แต่การนมัสการที่นี่ไม่เหมือนอย่างนั้น

พระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของการนมัสการ

พวกเขาร้องเพลงถวายพระเจ้า

เล่นดนตรีถวายพระองค์

พวกเขาอธิษฐาน

และถ่อมใจลงต่อพระเจ้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย