ดาวิดเป็นกษัตริย์ ๑๑-๑

1 พงศาวดาร 11:1-3

ราชาดาวิดได้ปกครองในเฮโบรนมาถึง 7  ปี   แต่ไม่มีใครมาหา  มาเชิญให้เป็นกษัตริย์เลย  ราชาดาวิดเองก็ไม่ได้ทรงแต่งตั้งพระองค์เองขึ้น  จนกระทั่งเมื่อไม่มีซาอูล  ชาวอิสราเอลจึงได้พากันมาเข้าเฝ้าราชาดาวิด

“พวกเราทั้งหลายเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกับพระราชา

เราเห็นว่า ตั้งแต่สมัยราชาซาอูล  พระองค์ก็ทรงเป็นนักรบที่กล้าหาญมาโดยตลอด ”

พวกเขาเห็นว่า ไม่มีใครดีไปกว่าราชาดาวิดแล้ว

“และพระเจ้าได้เคยตรัสกับพระราชาว่า  … เจ้าจะเป็นผู้เลี้ยงแกะ  และเป็นผู้ปกครองอิสราเอล  ประชากรของเรา…”

พระเจ้าเคยตรัสอย่างนั้นจริง ๆ   แต่ประชาชนไม่ใส่ใจ จนกระทั่งวันนี้

ในวันนั้นเอง พวกเขากับพระราชาได้ทำสัญญาต่อกัน ต่อพระพักตร์พระเจ้า

ภาพเอื้อเฟื้อจาก Henry Davenport Charming Bible Stories (Philadelphia: J.H. Moore Company, 1893)

ผู้ใหญ่จากกลุ่มคนได้เจิมตั้งราชาดาวิดเป็นกษัตริย์

เรื่องนี้ ก็เกิดขึ้นจริงตามที่พระเจ้าเคยตรัสไว้กับซามูเอล

อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมที่นี่

 

 

ราชาองค์แรกแห่งอิสราเอล

1 พงศาวดาร 10

เรื่องราวของประเทศอิสราเอลนั้น เริ่มต้นที่พวกเขาออกมาจากอียิปต์และมาตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินคานาอัน  พวกเขาแบ่งปันที่ดินกันอย่างเรียบร้อย    โดยที่ยังอาศัยปะปนไปกับชนชาติต่าง ๆ ที่อยู่กระจัดกระจายกันในแผ่นดินนั้น   ดังนั้นจึงมีสงครามเกิดขึ้นระหว่างชนชาติต่าง ๆ เช่นมีเดียน ฟิลิสเตีย  โมอับ  เอโดม  อัมโมน  อามาเลขอยู่เป็นประจำ  เหมือนเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้น

ชนชาติเหล่านั้นต่างมีกษัตริย์ปกครอง  ทำให้คนอิสราเอลร้องขอที่จะมีกษัตริย์ด้วย แล้วพระเจ้าก็ประทานกษัตริย์ให้เขาอย่างที่ต้องการ

พระเจ้าทรงเลือกซาอูล  จากเผ่าเบนยามิน   ราชาซาอูล จึงเป็นกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอล

ประชาชนชอบใจมาก เพราะราชาซาอูลนี้ เป็นคนร่างสูงและหน้าตาดีมาก ๆ  เหมือนเป็นพระเอกในหัวใจของประชาชนแต่คนที่เป็นกษัตริย์นั้น มีหน้าที่จะต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า  รักษาพระบัญชาต่าง ๆ ของพระองค์  แสวงหาการทรงนำของพระเจ้า

แรก ๆ  ราชาซาอูลก็ยังถ่อมตนและเชื่อฟังพระเจ้าเสมอ

แต่แล้วต่อมา ก็เปลี่ยนไป  พระราชาแสนดี กลายเป็นพระราชาที่หมกมุ่นงุ่นง่าน ขี้อิจฉา   โกรธเกรี้ยวอยู่เสมอ  อาฆาตมาดร้าย…. ถึงขนาดไปปรึกษาแม่มดเสียด้วย

น่าเสียใจจริง ๆ  เพราะมันนำไปสู่ความตายอันอัปยศของพระราชา

ท่านเอสราบันทึกไว้ว่า
“ราชาซาอูลได้สิ้นพระชนม์เพราะความไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า  ไม่ทรงรักษาพระบัญชาของพระเจ้า  และไปปรึกษาคนทรง ไม่ทรงแสวงหาการทรงนำของพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงสังหารพระองค์เสีย และยกอาณาจักรให้กับดาวิดบุตรเจสซี”

จัดบ้านเมืองและพระวิหาร ๙

1 พงศาวดาร 9

คนอิสราเอลเป็นเชลยที่บาบิโลนประมาณ 70 ปี  บางคนก็เกิดที่นั่น คนที่กลับมาบางคนก็ชรามากแล้ว  ใครที่อายุเกิน 70 ปี ก็จะได้รู้รสชาติของชีวิตหลาย ๆ แบบ จากคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าและต้องถูกไปเป็นเชลย  และกลับมาสร้างบ้านเมืองใหม่  โดยเริ่มต้นที่เมืองเยรูซาเล็ม

พวกแรกที่ได้กลับมาแล้วได้กรรมสิทธิ์ครองที่ดิน คือปุโรหิต เลวี และคนที่ทำงานในพระวิหาร  เพราะไม่ยากที่จะจัดที่ทางให้  มันลงตัวอยู่แล้วตามกฎซึ่งวางไว้มาแต่โบราณ คนอิสราเอลนั้นแบ่งเป็นปุโรหิต  เลวี   คนรับใช้ทั่วไปในพระวิหาร  และบุคคลธรรมดาที่เป็นประชาชนทั่วไป

และยังมีคนเผ่าอื่น ๆ เข้ามาผสมปนเปอาศัยในเยรูซาเล็มด้วย

คนที่เข้ามาทำงานในพระวิหารนั้น 1760 คน ไม่รวมผู้เฝ้าประตูทั้งสี่ด้าน 212 คน  นายประตูรั้วเหล่านี้คือคนเผ่าเลวี ต้องดูแลห้องและพระคลังแห่งพระวิหาร  พวกเขามีหน้าที่เปิดปิดประตูทุกวัน

เราอาจสงสัยว่า ทำไมจึงต้องมีคนมากมายนัก   เป็นเพราะพวกเขายังมีหน้าที่ดูแลเครื่องใช้ต่าง ๆ  การนำออกไปใช้ การนำกลับคืนมา มีการบันทึกอย่างเรียบร้อย  มีคนที่ต้องดูแลเรื่องยอดแป้ง เหล้าองุ่น น้ำมัน  เครื่องหอม เครื่องเทศ  ของปิ้งต่าง ๆ  ขนมตั้งถวาย และสารพัดที่ต้องทำให้ครบถ้วนกระบวนการถวายเครื่องบูชา

ในพระวิหารยังมีคนที่เป็นนักร้อง อยู่เวรทั้งกลางวันและกลางคืน คนเหล่านี้มาจากตระกูลเลวีเท่านั้น

ยาเบสอธิษฐาน ๔

1 พงศาวดาร 4:5-9

มีชายคนหนึ่ง ในตระกูลยูดาห์   เป็นคนที่เข้มแข็งมาก ใคร ๆ ก็นับถือเขา   แต่… สำหรับแม่ของเขาแล้ว  ตั้งชื่อเขาว่า ยาเบส

“ทำไมล่ะ?  ทำไมเธอตั้งชื่อลูกว่ายาเบส  ไม่ค่อยดีเลยนะ”

“ก็ตอนที่ฉันคลอดลูกคนนี้   มันเจ็บมากเลย “

“แต่ชื่อนี้แปลว่า ความเจ็บปวด ความเสียใจ เธอจะเปลี่ยนชื่อลูกไหม?”

“ไม่หรอก  ยังไงก็ชื่อนี้…”

ดังนั้น ทุกครั้งที่แม่เรียกชื่อของยาเบส  ทำให้ยาเบสระลึกเสมอว่า เขาทำให้แม่เจ็บปวดมากเพียงไร  มันเป็นแผลในใจของเขา

แต่เขาไม่ปล่อยให้แผลนั้นทำลายตัวเขาเอง

เขาหันมาหาพระเจ้า และทูลอธิษฐานเสมอว่า

“ข้าแต่พระเจ้า  ขอพระองค์ทรงอวยพระพรแก่ข้าพเจ้า….
ขอพระองค์ทรงขยายเขตแดนที่ข้าพเจ้าอาศัย ….
ขอพระเจ้าโปรดทรงอยู่ด้วยกับข้าพเจ้า
พระเจ้าข้า  ขอทางช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากสิ่งชั่วร้าย
เพื่อไม่ให้ข้าพเจ้าเจ็บปวดทั้งกายและใจ …. “

ยาเบสอธิษฐานอย่างจริงใจ  และเขาเชื่อว่า พระเจ้าจะประทานให้เขา

เขาอธิษฐานเพื่อไม่ให้เขาเจ็บปวดทั้งกายและใจ

และพระเจ้าก็ประทานให้ตามที่เขาทูลขอ…

พระเจ้าไม่ได้ทรงตอบคำอธิษฐานของยาเบสคนเดียว

แต่ทุกคนที่วางใจในพระองค์ และเชื่อ นับถือ ยอมรับพระนามพระเยซู

พระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานของเขาเช่นกัน

พระเจ้าทรงอยู่ด้วย ๔-๘

1 พงศาวดาร 4-8

ท่านเอสราเอลก็สนใจที่จะสืบเสาะ และเล่าเรื่องราวของเผ่าที่อยู่ในยูดาห์ ที่สำคัญยิ่งคือ   พระเจ้าไม่ได้ทรงละทิ้งเขาเลย  พระเจ้าทรงอยู่กับพวกเขาทุก ๆ ชั่วอายุคน  มีรายชื่อของบรรพบุรุษแห่งเผ่า บอกที่มา ที่ไปของพวกเขาอย่างชัดเจน    การเล่าถึงบรรพบุรุษนี้ จึงไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวของทุกเผ่าจนครบ

คนเหล่านี้ ถูกกวาดไปยังบาบิโลน  และเมื่อเขากลับมา ท่านเอสราก็ได้บันทึกลำดับวงศ์ตระกูลให้ซึ่งเป็นรายละเอียด ลำดับดังกล่าว ทำให้เราได้รู้ว่า พระเจ้าทรงมีแผนการให้กับชนชาตินี้  ทรงรู้จักทุกคน    ทรงลงโทษ  ตักเตือน ว่ากล่าวเมื่อเขาทำผิด   และพระองค์ทรงอวยพระพรมากมายเมื่อเขาทำสิ่งที่ถูกต้องต่อพระองค์

ราชวงศ์ดาวิด (๒ และ ๓)

1 พงศาวดาร 2-3

ยามที่คนอิสราเอลกำลังจะสร้างประเทศใหม่  เอสราจำเป็นที่จะต้องให้พวกเขาชัดเจนกับที่มาของตัวเอง  ดังนั้น  จากเผ่ายูดาห์ เราได้เห็นลูกหลานที่เกิดต่อ ๆ กันมาจนถึงกษัตริย์ดาวิด  ซึ่งดาวิดองค์นี้แหละที่เป็นคนสำคัญ

ยาโคบ หรืออิสราเอล มีลูกชาย 12 คน

รูเบน สิเมโอน เลวี     ยูดาห์ อิสสาคาร์ เศบูลุน       ดาน โยเซฟ เบนยามิน     นัฟทาลี กาด และอาเชอร์

จากลูกชายทั้ง 12 คน ท่านเอสราไปเน้นที่ยูดาห์คนเดียวเท่านั้น  มีลูกหลานหลายทาง แต่ที่สำคัญก็คือสายที่มีบันทึกชื่อของลูกหลานมาจนถึงชายคนที่ชื่อเจสซีเจสซีท่านนี้ มีลูกชายอีก 7 คนกับลูกสาว  2 คน โดยมีดาวิดเป็นลูกชายคนสุดท้อง

เมื่อดาวิดทรงครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ที่ 2   แห่งอิสราเอลนั้น พระองค์มีมเหสีหลายองค์  ทำให้มีลูกชายมากมายตามไปด้วย   คนที่เราอ่านเรื่องราวได้ก็มี อัมโนน   อับซาโลม  อาโดนิยาห์ และซาโลมอน ซึ่งได้ทรงกลายเป็นกษัตริย์ที่มีสติปัญญามากที่สุดในโลก

ส่วนหนึ่งของรูปปั้นกษัตริย์ในวงศ์วานของราชาดาวิด

ประเทศอิสราเอลเป็นแผ่นดินเดียวกันในรัชสมัยของ  ราชาซาอูล  ราชาดาวิด และราชาซาโลมอน

หลังจากนั้น ประเทศแบ่งออกเป็นสองแผ่นดิน อิสราเอลทางเหนือ และยูดาห์ทางใต้

สิ่งที่ท่านเอสราสนใจมากคือ ราชวงศ์ของยูดาห์

ท่านได้เล่าถึงผู้ที่ปกครองในยูดาห์มาจนถึง เศเดคียาห์ กษัตริย์องค์สุดท้ายที่ถูกบาบิโลนจับตัวไป

จากนั้นมา วงศ์ของดาวิดยังคงมีต่อไป  แต่พวกเขาไม่ได้เป็นกษัตริย์อีกต่อไปแล้ว  กลายเป็นคนธรรมดาต่อมาอีกหลายชั่วอายุคน …….

และที่พระเจ้าทรงใช้เอสราบันทึกสิ่งเหล่านี้ ก็เพื่อให้คนทั้งหลายได้รับรู้หลักฐานความเป็นจริงของวงศ์วานดาวิด….

เริ่มต้นประวัติศาสตร์ ๑

1 พงศาวดาร 1

พงศาวดาร บทแรก เล่าถึงเทือกเถาเหล่ากอของแต่ละตระกูล แต่ละเผ่าจากอิสราเอลทั้ง 12 เผ่า    ความเป็นมาสั้น ๆ   ให้ทราบว่า ใครเป็นใครที่สำคัญคือ กล่าวถึงชาย หญิงคนแรกที่พระเจ้าสร้าง อาดัมและเอวา

จนมาถึงโนอาห์และลูกชายทั้งสามคน เชม  ฮาม  ยาเฟท ซึ่งเป็นต้นตระกูลของชนที่แยกย้ายกันออกไปอยู่ในอัฟริกา  ยุโรปและเอเชีย

จากกูเกิ้ลแมบ

ลูก ๆ ของยาเฟทไปอยู่ทางยุโรป และเอเชียเหนือ

ลูก ๆ ของฮามไปทางเอเชียตะวันออก  และอัฟริกา

ลูก ๆ ของเชม  เป็นต้นตระกูลของคนชาวเปอร์เซีย  อัสซีเรีย  ผู้คนในเอเชียน้อย อาราเมียน ซีเรียน และ   อับราฮัมเป็นเชื้อสายของเชม  เขาเป็นต้นตอของชาวฮิบรู (หรือ อิสราเอลนั่นเอง)

เริ่มสนุกแล้ว

อับราฮัมท่านนี้ เรื่องราวมีอยู่ในหนังสือปฐมกาล   อับราฮัมมีลูกชายสองคนคือ อิสอัค และอิชมาเอล

อิชมาเอล ลูกชายคนแรกที่เกิดจากทาสหญิงฮาการ์  พระเจ้าทรงสัญญาให้เขาเป็นต้นตระกูลของชนชาติใหญ่ เขาได้รับพรเนื่องจากเป็นบุตรของอับราฮัม  และเชื้อสายของเขาสืบเนื่องมาจนปัจจุบันเป็นชาวอาหรับ

อิสอัคเป็นลูกชายที่แห่งพันธสัญญา  ลูกหลานของเขาจะมีมากมายดุจดาวบนท้องฟ้า   และจากสายของเขาพระบุตรของพระเจ้าจะมาบังเกิด

อิสอัค มีลูกชายสองคนคือ เอซาวและยาโคบ(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นอิสราเอล)  แม้ว่าลูกหลานของเอซาวจะไม่ได้อยู่ในพันธสัญญา แต่พวกเขาก็สำคัญในแผนการของพระเจ้า

ลูกหลานของยาโคบหรืออิสราเอล กลายเป็นเผ่าพันธุ์แห่งพันธสัญญาของพระเจ้าที่มีต่ออับราฮัม

เอซาวเองได้รับพระพรจากพระเจ้า เพราะลูกหลานของเขาได้สร้างเมือง กลายเป็นกษัตริย์แห่งเอโดม

มีการบันทึกชื่อคนมากมายหลายคนที่พวกเราอาจจะงุนงง   แต่คนเหล่านี้ เป็นคนที่มีชีวิตอยู่จริงในโลกโบราณ สืบเชื้อสายต่อ ๆ กันมา    พระเจ้าทรงให้เราเห็นว่า พระองค์ทรงสร้างเรามา  และทรงมีแผนการที่จะทรงช่วยให้เรารอดพ้นจากโทษบาปที่อาดัมได้ทำไว้

แนะนำพงศาวดาร

หนังสือเล่มต่อไปต่อจาก 2 พงศ์กษัตริย์นี้  เป็นหนังสือชื่อ พงศาวดาร มีสองเล่ม เดิมสองเล่มนี้เป็นเล่มเดียวกัน  แต่ได้มาแยกออกเป็นสองเล่มในเวลาต่อมา   หนังสือพงศาวดารได้ย้อนอดีตกลับไปตั้งแต่เริ่มต้น

เชื่อว่าคนที่เขียนหนังสือนี้ ชื่อท่านเอสราซึ่งเป็นครูที่สอนพระคำของพระเจ้าให้แก่คนอิสราเอลในขณะที่พวกเขาอยู่ในบาบิโลน  และเมื่อนำพวกเขากลับมาจากบาบิโลนเพื่อสร้างประเทศใหม่   ท่านเอสราก็เขียนเล่าประวัติศาสตร์ย้อนหลัง เริ่มเขียนตอนที่คนอิสราเอลกลับมาจากบาบิโลน
อาจจะมีเรื่องราวที่ซ้ำกับหนังสือซามูเอล และพงศ์กษัตริย์    แต่ก็เป็นมุมมองที่แตกต่างออกไปจากคนที่เขียนหนังสือสองเล่มดังกล่าว   แต่หนังสือนี้ เป็นการเขียนขึ้นจากหลักฐานต่าง ๆ การค้นคว้าจากร่องรอยเดิมที่มีบันทึกเอาไว้

บุคคลสำคัญที่ท่านเอสรากล่าวถึงนั้นก็คือ  ราชาดาวิดนั่นเอง  … ท่านก็จะเล่าเรื่องยาวไปถึงต้นตระกูลตั้งแต่สมัยพระเจ้าสร้างโลกเลย  เพื่อให้เราเห็นว่า ราชาดาวิดนั้นทรงมีความเป็นมาอย่างไรทางสายเลือด  
อาจสงสัยว่า ทำไมต้องมาย้อนประวัติศาสตร์ให้อ่านอีกนะ  …

ก็อย่างที่บอก  คนละมุมมอง  หนังสือเล่มที่ผ่านมา มองในแง่การเมืองและการทหารเป็นส่วนใหญ่  แต่หนังสือพงศาวดารจะมองลึกลงไปในฝ่ายวิญญาณของกษัตริย์และประชาชน

ดูภาพข้างล่างนี้หน่อย ทำให้เราเห็นว่า แผ่นดินเหนือและใต้ ต่างถูกกวาดไปคนละทิศละทาง

เรื่องราวใน 1 และ 2 พงศ์กษัตริย์  เล่าถึงเหตุการณ์ที่มีกษัตริย์ปกครองแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาให้คนในแผ่นดินอิสราเอลทางเหนือ  และยูดาห์ทางใต้    จบที่พวกเขาล้มเหลว ถูกกวาดไปยังอัสซีเรีย และบาบิโลนตามลำดับ

1 และ 2 พงศาวดาร เล่าเรื่องเดียวกัน แต่ผู้เขียนได้เน้นการสืบทอดเชื้อสายของคนเผ่าต่าง ๆ   และแผ่นดินยูดาห์ทางใต้   เพราะว่า สิ่งนี้จะทำให้คนอิสราเอล(ในที่นี้ เราจะหมายถึงคนยูดาห์ด้วย )  ได้เห็นว่า สัญญาใด ๆ ที่พระเจ้าทรงทำไว้กับคนอิสราเอลนั้น จะสำเร็จทั้งสิ้น   และผู้ที่สืบทอดเชื้อสายของราชาดาวิด  จะเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก  ท่านเอสราเขียนหนังสือนึ้ขึ้นเพื่อบันดาลใจให้คนอิสราเอลที่กลับมาจากบาบิโลน ได้ระลึกถึงพระสัญญาของพระเจ้า และจะเดินตามทางของพระองค์ ไม่ทำพลาดผิดไปเหมือนอย่างที่ผ่านมา