อิสยาห์ 2-1 พระเจ้าทรงครอบครอง

อิสยาห์ 2:1-5
อิสยาห์ ลูกชายของอามอส กล่าวคำบอกเล่าสิ่งที่ได้เห็นเกี่ยวข้องกับยูดาห์ และเยรูซาเล็ม
ในวันเวลาสุดท้ายสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นสำเร็จผล….
ภูเขาแห่งพระวิหารของพระเจ้าจะได้รับการสถาปนาเป็นภูเขาที่สูงส่งกว่าภูเขาใด ๆ ถูกยกย่องเหนือเนินเขาทั้งหลาย
ประชาชาติทั้งหลายจะหลั่งไหลเข้ามายังภูเขานี้

pukhaoภาพจาก  ilikethemorning.blogspot.com

หลายคนจะมา และกล่าวว่า “มาเถอะ พวกเราไปยังภูเขาของพระเจ้าด้วยกัน ไปยังพระนิเวศของพระเจ้าของยาโคบ
เพื่อว่าพระองค์จะทรงสอนทางของพระองค์ให้กับเรา และเพื่อว่าเราจะได้เดินในทางของพระองค์”

เพราะว่า บทบัญญัติของพระเจ้าจะออกมาจากศิโยน และพระดำรัสของพระเจ้าจะออกมาจากเยรูซาเล็ม
พระเจ้าจะทรงตัดสินคดีระหว่างประชาชาติ พระเจ้าจะทรงตัดสินคดีพิพาทของคนจำนวนมาก

และพวกเขาจะตีดาบของพวกเขาให้กลายเป็นผาลไถนา จะตีหอกของเขาเป็นขอลิดกิ่ง

ประชาชาติทั้งปวดจะไม่ยกดาบสู้กันอีกต่อไป จะไม่มีการเรียนวิชาเกี่ยวข้องกับการสงครามอีกต่อไป
โอ… บ้านแห่งยาโคบ มาให้เราเดินในแสงสว่างของพระเจ้า

อิสยาห์ 1-3 เมืองที่เสื่อมทราม

อิสยาห์ 1:21-31

พระเจ้าทรงกล่าวต่อต้านเหล่าผู้ปกครองที่โกงกิน และทำร้ายประชาชน

เป็นไปได้อย่างไรนะ…นครที่ซื่อสัตย์กลับกลายเป็นเมืองขายตัว

เมืองนี้เคยมีความยุติธรรมทั่วไปหมด  เมืองนี้เคยมีความชอบธรรมอาศัยอยู่

แต่บัดนี้กลายเป็นฆาตกร!

เงินของเจ้า กลายเป็นขี้เงิน   เหล้าองุ่นของเจ้ากลับมีน้ำผสมอยู่  พระเจ้ากำลังกล่าวถึงผู้ปกครองที่ไร้ความยุติธรรม

เจ้านายในหมู่พวกเจ้าก็ดื้อดึง  เป็นสหายคู่หูกับโจร   ทุกคนรักสินบน และตามติดของกำนัล

พวกเขาไม่ช่วยปกป้องคนที่ไร้พ่อ   และคดีความของหญิงม่ายก็ไม่เคยดูแล

ดังนั้น พระเจ้าจึงตรัสว่า   พระเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพ… พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์แห่งอิสราเอล

“อา… เราจะระบายความโกรธลงที่ศัตรู และแก้แค้นข้าศึกด้วยตัวของเราเอง
เราจะหันมือของเรามาสู้กับเจ้า  และจะถลุงขี้เงินออกจากเจ้าด้วยน้ำด่าง    เอาสิ่งสกปรกที่เจือปนอยู่ในเจ้าออกให้หมด

จริง ๆ แล้วตอนนี้ คนที่เคยเป็นประชากรของพระเจ้ากลับมาเป็นศัตรูของพระองค์

เราจะคืนผู้พิพากษาของเจ้าให้เหมือนครั้งแรก ๆ
เราจะคืนผู้ให้คำปรึกษาของเจ้าให้เหมือนอย่างเมื่อเริ่มต้น
หลังจากนั้น เจ้าจะถูกเรียกขานว่า เมืองแห่งความชอบธรรม  เมืองที่ซื่อสัตย์ พระเจ้าทรงประสงค์ให้เยรูซาเล็มเป็นเมืองแห่งความดีงาม  ไม่ใช่เลวร้ายอย่างที่เป็นอยู่


ศิโยนจะถูกไถ่คืนด้วยความยุติธรรม  และบรรดาผู้ที่กลับใจซึ่งอยู่ในเมืองจะถูกไถ่คืนด้วยความชอบธรรม
แต่คนที่ดื้อดึงและทำบาป จะแตกยับไปพร้อม ๆ กัน และคนที่ละทิ้งพระเจ้าก็จะถูกล้างผลาญ

เพราะว่า เขาจะต้องอายเรื่องต้นโอ๊กที่เจ้ารักนักหนา
และเจ้าจะหน้าแดงเพราะสวนที่เจ้าได้เลือก

หลายครั้งที่พวกเขาหันไปพึ่งต้นโอ๊ก คิดว่ามันเป็นเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์และกราบไหว้มัน


เพราะเจ้าจะเป็นเหมือนต้นโอ๊กที่ใบแห้งเหี่ยว และเป็นเหมือนสวนที่ไร้น้ำ
คนที่แข็งแรงจะกลายเป็นดั่งเชื้อไฟ  การงานของเขาเป็นเหมือนประกายไฟ
และมันจะไหม้ไปพร้อม ๆ กันโดยไม่มีใครดับมันได้เลย

ต้นโอ๊กเป็นต้นไม้ที่แข็งแรง มีความหมายถึงเหล่าผู้ปกครองของยูดาห์   แต่หากพวกเขายังเป็นทรราชย์  เขาเองจะเป็นเหมือนเชื้อไฟที่ลุกไหม้เผาตัวเอง ไม่มีใครอาจช่วยได้   และสังเกตไหมว่า ทั้งหมดข้างบนนี้ สื่อให้รู้สึกถึงความแห้งผากของชีวิต  พวกเขาแห้ง….จริง ๆ

 

อิสยาห์ 1-2

อิสยาห์ 1:10-20

จงฟังพระดำรัสของพระเจ้า  ผู้ปกครองเมืองโสโดม
จงเงี่ยฟังกฎเกณฑ์ของพระเจ้าของเรา  ผู้ปกครองเมืองโกโมราห์
“เจ้าถวายเครื่องบูชาให้เรามากมายล้นเหลือเพื่ออะไร?”   พระเจ้าตรัส
“เรามีแกะตัวผู้ที่มีคนถวายเป็นเครื่องบูชาพอแล้ว รวมทั้งไขมันของสัตว์ที่เจ้าขุนจนอ้วน  เราไม่ได้พึงใจในเลือดของวัวตัวผู้ ของลูกแกะหรือลูกแพะ

เมื่อเจ้ามาเพื่อเฝ้าต่อหน้าเรา  ใครที่ขอให้เจ้าทำแบบนี้… มาเหยียบย่ำในบริเวณลานวิหารของเรา?
ขอให้หยุดนำเครื่องบูชาไร้สาระมาถวาย  เครื่องหอมของเจ้านั้นทำให้เราสะอิดสะเอียน    เราจะไม่ทนต่อการทำชั่วช้าไปพร้อม ๆ กับการมาประชุมร่วมกันทำทีว่าศักดิ์สิทธิ์   ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลข้างขึ้น  วันสะบาโต  และการเรียกประชุม

ใจของเราเกลียดชังงานเลี้ยงข้างขึ้น และการเลี้ยงที่เจ้ากำหนดขึ้นมา  มันเป็นภาระหนักอึ้งสำหรับเรา  เราแบกมันจนอ่อนแรงไปหมดแล้ว

พระเจ้าทรงชังความไม่จริงใจ และการหลอกลวงหน้าซื่อใจคด  และพระองค์ทรงบอกไว้ล่วงหน้าเลยว่า คนประเภทนี้จะไม่มีวันได้เข้าเฝ้าพระเจ้าจริง ๆ  แม้จากการกระทำภายนอกดูเหมือนจริงจังในการนมัสการพระองค์  อธิษฐานต่อพระองค์   คนอื่นเห็น  และอาจชืนชม  แต่พระเจ้าไม่ได้ฟังเขา

เมื่อเจ้ากางแขนของเจ้าออกมา  เราจะซ่อนสายตาของเราจากเจ้า   แม้ว่าเจ้าจะอธิษฐานยืดยาวมากมาย เราก็จะไม่ฟัง เพราะมือของเจ้านั้นเปื้อนเลือด

จงล้างตัวของเจ้า  จงทำให้ตัวเองสะอาด  เอาการกระทำชั่วของเจ้าออกจากสายตาของเรา หยุดที่จะทำสิ่งชั่วร้าย

เรียนรู้ที่จะทำสิ่งดี  แสวงหาความยุติธรรม  จงจัดการกับคนที่กดขี่ผู้อื่น   จงป้องกันผู้ที่เป็นลูกกำพร้าพ่อ  จงเรียกร้องเพื่อหญิงม่าย

“จงมาเดี๋ยวนี้  และให้เรามาสู้ความกัน” … พระเจ้าตรัส

แม้ว่าบาปของเจ้าจะเป็นสีแดงเข้ม  มันจะกลายเป็นสีขาวดั่งหิมะ
แม้ว่ามันจะแดงดั่ง สีเลือดนก   มันจะกลายเป็นสีขาวดั่งขนแกะ

ถ้าเจ้าทั้งเต็มใจและเชื่อฟัง  เจ้าจะได้กินสิ่งดี ๆ จากแผ่นดิน

แต่หากเจ้าปฏิเสธและดื้อดึง   เจ้าจะถูกคมดาบกลืนกินเจ้า

เพราะว่า พระเจ้าได้ตรัสโดยพระโอษฐ์ของพระองค์แล้ว

 

 

อิสยาห์ 1-1

อิสยาห์ 1:1-9

นี่เป็นนิมิตของอิสยาห์ ลูกชายของอามอส
เขาเห็นนิมิตเรื่องเกี่ยวข้องกับยูดาห์ และเยรูซาเล็มในสมัย ราชาอุสซียาห์ ราชาโยธาม ราชาอาหัส และราชาเฮเซคียาห์  ซึ่งเป็นกษัตริย์ปกครองยูดาห์

ความชั่วร้ายของยูดาห์

จงฟังเถิด สวรรค์  จงเงี่ยหูฟังเถอะ แผ่นดิน  เพราะพระเจ้าได้ตรัส
เราได้เลี้ยงดูลูก ๆ จนกระทั่งเขาเติบโต  แต่เขากลับดื้อดึงต่อเรา
แม้แต่วัวผู้ยังรู้จักเจ้าของ   ลายังรู้จักรางหญ้าของนาย
แต่อิสราเอลซิ  กลับไม่รู้จัก  กลับไม่ยอมเข้าใจ

พระเจ้าทรงเรียกให้ทั้งสวรรค์ และบรรดาชาติต่าง ๆ ได้ฟังเรื่องราวที่กำลังจะตรัส  …

โอ้… ชาติที่บาปหนา  ประชาชนที่ตัวหนักไปด้วยการล่วงละเมิด   ทายาทของคนที่ทำชั่ว
ลูกหลานที่เป็นคนคดโกง  พวกเขาได้ละทิ้งพระเจ้า ได้ทำให้พระองค์ผู้ทรงวิสุทธิ์แห่งอิสราเอลพิโรธ
พวกเขาหันหลังไปเสีย

ทำไมเจ้าจะต้องถูกเฆี่ยนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ?  เจ้าดื้อด้านมากขึ้นเรื่อย ๆ  หัวของเจ้าก็บอบช้ำ  ใจของเจ้าก็อ่อนแรง
จากฝ่าเท้าไล่ไปจนถึงหัวของเจ้า  ไม่มีตรงไหนดีเป็นปกติเลย
มีแต่บาดแผล รอยช้ำ และแผลเน่า  แผลไม่หาย ไม่ปิดสนิท ไม่มีการพันเอาไว้  ไม่มีการใส่น้ำมันรักษา

ดูซิ บ้านเมืองของเจ้ากลายเป็นที่ร้างเปล่า เมืองก็ถูกไฟเผา  คนแปลกหน้าได้เข้ามาเขมือบที่ดินของเจ้าต่อหน้าต่อตา
มันถูกคนแปลกหน้าเหล่านั้นคว่ำจนกลายเป็นที่รกร้าง
ดังนั้น ธิดาแห่งศิโยนจึงถูกทิ้งไว้แค่เป็นเพิงในสวนองุ่น  เป็นกระท่อมในสวนแตงกวา  เป็นเมืองที่ถูกล้อมเอาไว้
นี่ถ้าพระเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพไม่ทรงทิ้งคนไว้บ้าง  เราก็จะเป็นเหมือนเมืองโสโดม  และเราจะถูกทำลายเหมือนเมืองโกโมราห์

 

ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์

13/12/12

ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์
กษัตริย์ทั้ง 4
ที่อิสยาห์รับใช้   คือ ราชาอุสซียาห์  ราชาโยธาม  ราชาอาหัส  และราชาเฮเซคียาห์

ท่านอิสยาห์เริ่มกล่าวคำของพระเจ้าในสมัยราชาอุสซียาห์  ซึ่งได้ครองราชย์เป็นเวลา 52 ปี  (ประมาณปี 790-739  ก่อนคริสตศักราช)  ช่วงรัชสมัยของพระองค์นั้น บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองมาก   มากจริง ๆ  พระเจ้าทรงอวยพระพรยูดาห์ด้วยกษัตริย์ที่ฉลาด และปรีชาสามารถหลายทาง   การค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านทำให้เศรษฐกิจเข้มแข็ง   การทหารก็ไม่ได้แพ้กัน มีกองทหารที่เข้มแข็ง มีการสร้างป้อมเมืองหลายแห่ง

และแล้วในสมัยของพระองค์เองที่ความเชื่อในพระเจ้าเริ่มเสื่อมลง  เพราะพระราชาเองทรงคิดว่า พระองค์ทรงทำได้ทุกอย่าง จึงได้ทรงก้าวไปทำหน้าที่ของปุโรหิต  ทรงไปเผาเครื่องหอมที่แท่นบูชา     พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ต้องปกครองประเทศ แต่กลับไปทำสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้สำหรับปุโรหิตเท่านั้น  ราชาอุสซียาห์จึงกลายเป็นโรคเรื้อนจนสิ้นพระชนม์  เป็นที่น่าเสียดายยิ่ง…

ดังนั้นราชาโยธามราชโอรสก็ขึ้นครองแทน(ปี 750-731 ก่อนคริสตศักราช)   ช่วงนั้นเอง กษัตริย์ปูล แห่งอัสซิเรีย (คือทิกลัส ปิเลเสอร์ ปี 745-727 ก่อนคริสตศักราช) กำลังเรืองอำนาจ  ทำให้สภาพทางการเมืองนั้นไม่ค่อยจะมั่นคงนัก      แม้ว่าราชาโยธามเป็นกษัตริย์ที่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า  เป็นนักรบ และนักปกครองที่ดี  แต่ประชาชนกลับหันไปหารูปเคารพมากมาย เพราะองค์โยธามเองก็ไม่ได้กำจัดสถานศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ถูกสร้างขึ้นมาก่อนหน้านั้น    โยธามครองอยู่ 16 ปี

เมื่อสิ้นราชาโยธาม   ราชาอาหัสขึ้นครองเมื่ออายุยี่สิบกว่า กำลังหนุ่มแน่น เชื่อมั่นในตัวเอง  เป็นช่วงเวลาเดียวกับราชาเปคาห์แห่งอิสราเอล   อาหัสนี้เป็นราชาที่ร้ายมาก นอกจากจะไม่ได้เดินตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้สำหรับผู้ปกครอง ยังเลิกที่จะติดตามพระเจ้า   หันไปกราบไหว้รูปเคารพเหมือนอย่างราชาทางเหนือ  และยิ่งกว่านั้นยังเอาโอรสไปบูชายัญด้วย!

อาหัสนี้ต้องเจอศึกกับเปคาห์ ราชาอิสราเอลทางเหนือซึ่งยกมาพร้อมกับราชาเซรีนแห่งซีเรีย ดังนั้นจึงขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์ทิกลัสปิเลเสอร์แห่งอัสซีเรีย   ให้มาตีซีเรีย และอิสราเอล …. สิ่งที่อาหัสตอบแทนราชาอัสซีเรียก็คือ ยกสมบัติในพระวิหารของพระเจ้าที่ทำจากทอง เงิน มากมายให้  และยังขึ้นไปเยี่ยมคำนับ พอกลับมาก็เอาศาสนา ความเชื่อของอัสซีเรียเข้ามาเผยแพร่ให้ประชาชนในยูดาห์หลงผิดตามไปอีก ช่วงของอาหัสนี้เองที่อัสซีเรียกวาดคนอิสราเอลไปเป็นเชลยมากมาย     อาหัสครองอยู่ 16 ปี

ต่อมาเป็นราชาเฮเซคียาห์ ซึ่งครองตั้งแต่ทรงอายุ 25 พรรษา   ทรงครองนานมากคือ 29 ปี  และท่านอิสยาห์ก็ได้กล่าวคำของพระเจ้าในสมัยของพระองค์ด้วย   ราชาเฮเซคียาห์เป็นราชาที่ดีติดตามพระเจ้า  ทรงทำลายรูปเคารพต่าง ๆ ในเมือง ตามสถานที่สูงทั้งหลายเสีย  พระองค์ได้ชื่อว่า ติดตามพระเจ้าแนบแน่นมาก จนไม่มีกษัตริย์องค์ใดเสมอเหมือน  ไม่ว่าพระองค์จะทำอะไรก็สำเร็จไปเสียหมด เพราะพระเจ้าทรงอยู่กับพระองค์

แต่แล้วเซนนาเคอริบ กษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ยกทัพมาตี  ทำให้ต้องยอมเสียเงินทั้งหมดในพระวิหาร และในพระคลังให้แก่เซนนาเคอริบ   มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายในตอนนี้ ที่เพื่อน ๆ หาอ่านได้ในบู้บี้.เน็ท นี่อีกนั่นแหละ   ในที่สุดพระเจ้าได้ทรงช่วยกู้ให้พ้นเซนนาเคอริบ  จากการที่ราชาเฮเซคียาห์เชื่อฟังพระเจ้าผ่านท่านอิสยาห์   ถึงกระนั้นวันสุดท้ายของชีวิตราชาเฮเซคียาห์นั้นก็มาถึง และมนัสเสห์ราชโอรสขึ้นครองแทน….. และท่านอิสยาห์ก็ได้เสียชีวิตในสมัยของมนัสเสห์องค์นี้

 

 

แนะนำท่านอิสยาห์

มารู้จักท่านอิสยาห์

ชื่อของท่านอิสยาห์ มีความหมายดีมาก คือ  องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นความรอด   เป็นชื่อที่มีความหมายเหมือนกับชื่อ โยชูวา  เอลีชาห์  และพระเยซู

หนังสืออิสยาห์ซึ่งเพื่อน ๆ จะได้สัมผัสต่อไปมีถึง 66 บท  ดังนั้น เราจะอยู่กับท่านอิสยาห์นานพอควรทีเดียว   ไม่เหมือนผู้กล่าวคำของพระเจ้าที่เราเคยอ่านมา เป็นสามบทบ้าง สิบกว่าบทบ้าง   เราคงจะได้เข้าใจเหตุการณ์ ความคิดของบุคคลในประวัติศาสตร์ช่วงนี้  และจะได้เห็นว่า พระเจ้าทรงเป็นความรอดอย่างไร ….

การที่ท่านอิสยาห์สามารถเข้าไปเฝ้ากษัตริย์ได้ง่ายกว่าท่านอื่น ๆ   แสดงว่า ท่านต้องเป็นลูกหลานของผู้ปกครองหรือข้าราชการที่ใกล้ชิดกษัตริย์  ยิ่งกว่านั้นยังมีความสนิทสนมกับปุโรหิตด้วย

ท่านมีครอบครัว และมีลูกชาย  2 คนที่มีชื่อซึ่งมีความหมายสำคัญ

คนแรกคือ เช อารยาชูบ  แปลว่า  คนที่เหลืออยู่จะได้กลับมา
อีกคนชื่อ  มาเฮอร์ ชาลาล หัชบัส  แปลว่า เร่งไปหาของที่ถูกริบ    รีบไปหาของที่ถูกปล้น

การเขียนของท่านอิสยาห์นั้น มีลีลาในการแสดงความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพทันที  และท่านยังมีคำศัพท์ที่สวยงาม และมากมายด้วย   ท่านได้เขียนประวัติชีวิตของกษัตริย์เฮเซคียาห์ด้วย

ท่านอิสยาห์อยู่จนถึงตอนที่อิสราเอลทางเหนือถูกทำลาย    คงจะมีชีวิตอยู่จนถึงปี 680 ก่อนคริสตศักราช   ในประวัติศาสตร์ของศาสนายิวเชื่อว่า ท่านเสียชีวิตในสมัยของราชามนัสเสห์ที่ชั่วร้าย โดยถูกหั่นเป็นสองท่อนด้วยเลื่อยที่ทำจากไม้  ต้องไปอ่านฮิบรู 11:37

 

แนะนำหนังสืออิสยาห์

สภาพทางการเมืองโดยรวมในสมัยท่านอิสยาห์

ปี 739-686 ก่อนคริสตศักราชนั้น เป็นช่วงเวลาของกษัตริย์หลายองค์ทั้งของอาณาจักรเหนือและใต้  (ผู้อธิบายบางท่านให้ความเห็นว่า ประมาณปี 740-680  ก่อนคริสตศักราช  …ก็คือประมาณปีแถว ๆ นั้น)  ท่านอิสยาห์เป็นผู้กล่าวคำของพระเจ้าคนสำคัญ  ท่านอิสยาห์ ซึ่งเป็นบุตรของอาโมส  (คนละคนกับที่เขียนหนังสืออาโมส)  ได้เป็นผู้กล่าวคำของพระเจ้าเพื่อตักเตือนทั้งกษัตริย์และผู้นำ รวมไปถึงประชาชนทั่วไป่

อาณาจักรทางใต้มีกษัตริย์ที่ดี และเลวสลับกันไป  ในสมัยของท่านอิสยาห์ก็คือ   ราชาอุสซียาห์ (หรืออาซาริยาห์),  ราชาโยธาม,   ราชาอาหัส และราชาเฮเซคียาห์  

ส่วนทางเหนือซึ่งกษัตริย์ทุกองค์นั้นเป็นผู้ที่ทำผิดต่อพระเจ้า นำให้ประชาชนหลงผิดตลอดเวลา อิสยาหก็อยู่ในช่วงท้าย ๆ ตอนที่กำลังถูกโจมตี และกวาดไปเป็นเชลย  ปี 740 ก่อนคริสตศักราช อัสซีเรียเข้ามาโจมตี และอีกสิบแปดปีต่อมา คือปี 722 ก่อนคริสตศักราช  กษัตริย์แชลมาเนเซอร์ แห่งอัสซีเรียก็ตีอิสราเอลยับเยินไม่เกิดขึ้นมาใหม่อีกเลย

ผู้กล่าวคำของพระเจ้าก่อนหน้าท่านอิสยาห์นั้น ก็คือ ท่านเอลียาห์ เอลีชา โอบาดีห์ โยเอล  โยนาห์ และอาโมส ซึ่งเพื่อน ๆ จะเข้าไปค้นหาอ่านสิ่งที่ท่านเหล่านี้ได้ทำและกล่าวได้ในบู้บี้ดอตเนทนี่แหละ

ส่วนผู้กล่าวคำของพระเจ้ารุ่นเดียวกับท่านก็คือ  โฮเชยา และมีคาห์   ซึ่งก็หาอ่านได้เช่นกัน

ตอนที่อิสยาห์อยู่นั้น อิสราเอลกับยูดาห์ต้องเผชิญกับมหาอำนาจสามแห่ง ….

อียิปต์จากทางใต้ …. อัสซีเรีย จากทางเหนือ  และบาบิโลนจากตะวันออก โอ้… จะสู้พวกเขาได้ไหมนี่??  ตอนนั้นอัสซีเรียกำลังโจมตีอิสราเอลทางเหนือไม่หยุดหย่อน  กะจะเอาให้อยู่มือ    ส่วนยูดาห์ทางใต้ก็ถูกแหย่จากประเทศมหาอำนาจมาโดยตลอดเช่นกัน

 

 

เศฟันยาห์ 3-4

เศฟันยาห์ 3:18-20

พระเจ้าทรงสัญญาจะให้มีการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ  ดูเหมือนว่าเรื่องที่เราอ่านกันเมื่อวาน และวันนี้ เป็นเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในวันสุดท้ายของโลก ….สำหรับคนที่เป็นคนของพระเจ้าอย่างแท้จริง

เราจะรวบรวมพวกเจ้าที่โศกเศร้าเฝ้าหาวันเทศกาล     เพื่อว่าเจ้าจะไม่ต้องถูกตำหนิ ด่าว่าอีกต่อไป
ดูเหมือนยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดถึงเทศกาลอย่างเช่นวันปัสกาซึ่งเป็นวันระลึกถึงการที่พระเจ้าทรงช่วยให้เขาพ้นการเป็นทาส คนเหล่านั้นไม่มีโอกาสได้ร่วมในเทศกาลเลย ….  พระเจ้าจะทรงให้โอกาสเขาได้ร่วมในเทศกาลนี้

ดูเถิด ในเวลานั้น เราจะจัดการกับทุกคนที่มากดขี่เจ้า  เราจะช่วยคนที่เป็นง่อย และรวมคนที่ถูกเนรเทศออกไป
พระเจ้าทรงสัญญาจะช่วยคนที่ถูกจับไปเป็นเชลย  จะทรงช่วยเขาเหมือนกับผู้เลี้ยงช่วยลูกแกะ   พวกเขาเป็นเหมือนสัตว์ในฝูงที่กระจัดกระจายออกไป

เราจะเปลี่ยนความอับอายของเขาให้เป็นการยกย่อง เป็นที่รู้จักทั่วแผ่นดินโลก
ในเวลานั้นเราจะนำเจ้าเข้ามา  ในเวลาที่เราจะรวบรวมเจ้าเขาด้วยกัน  เราจะทำให้เจ้าเป็นที่รู้จัก และยกย่องในหมู่คนทั่วโลก

เมื่อเราได้นำความมั่งคั่งของเจ้ากลับคืนมาให้เห็นกับตา” พระเจ้าตรัสดังนั้น

พระเจ้าจะทรงช่วยเขาด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง  เขาจะเป็นที่รู้จัก  ทั้งนี้ก็เพราะพระเจ้าทรงพระคุณและเมตตาต่อเขา ไม่ใช่เพราะความดีของเขาเลยแม้แต่น้อย

 

เศฟันยาห์ 3-3

เศฟันยาห์ 3:14-17

ธิดาศิโยนเอ๋ย จงร้องเพลงเสียงดัง  อิสราเอลเอ๋ย จงตะโกนโห่ร้อง
จงยินดีและเปรมปรีดิ์ด้วยสิ้นสุดในของเจ้านะ ธิดาเยรูซาเล็ม
เพราะพระเจ้าได้ทรงรับเอาโทษของเจ้าไป

พระองค์ทรงกำจัดศัตรูของเจ้าออกไป

องค์พระราชาแห่งอิสราเอล คือองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า และเจ้าจะไม่ต้องกลัวความชั่วร้ายอีกต่อไป

ในวันนั้น เขาจะพูดกับเยรูซาเล็มว่า “ ศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย  อย่ายอมให้มือของเจ้าอ่อนแรง  เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้านั้น ทรงอยู่ท่ามกลางเจ้า  พระองค์ทรงเป็นพระผู้ทรงฤทธิ์มหันต์ที่จะช่วยเจ้าให้รอดพ้น
พระองค์จะทรงยินดีเพราะเจ้า และจะทรงทำให้เจ้าสงบสันติด้วยความรักของพระองค์   จะทรงร้องเพลงเสียงดังเพราะทรงยินดีในตัวเจ้า

พระคัมภีร์ตอนนี้ แปลกมาก เล่าถึงสิ่งที่พระเจ้าจะทรงทำ และความยินดีที่พระองค์จะทรงมีต่อคนของพระองค์    ที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะพระเจ้าทรงรับโทษบาปของเราไป  ท่านเศฟันยาห์ทราบไหมนะว่า ต่อมาอีกหลายร้อยปี  พระบุตรพระเจ้านามพระเยซู  ได้ทรงรับบาปของเราบนไม้กางเขน

ตั้งแต่ที่เราอ่านเศฟันยาห์มา  พระเจ้าจะทรงจัดการล้างโลกไม่มีใครเหลือ  แต่มาในบทนี้ กลับบอกว่า พระเจ้าจะทรงยินดีในคนของพระองค์

จะทรงร้องเพลงเสียงดังเหนือเขาเหล่านั้น

อยากได้ยินเสียงของพระเจ้าร้องเพลงจริง ๆ !    จะทรงร้องว่าอย่างไร?

เท่ากับว่า เรามีความหวังแล้ว

ถ้าเราวางใจพระเยซูคริสต์ เรามีหวังว่าจะได้คืนดีกับพระเจ้าผู้ทรงเกลียดความบาปของพวกเรายิ่งนัก

 

เศฟันยาห์ 3-2

เศฟันยาห์ 3:9-13

“เพราะในเวลานั้น เราจะเปลี่ยนคำพูดของประชาชนให้เป็นคำที่บริสุทธิ์สะอาด  เพื่อว่าทุกคนจะเรียกหาพระนามของพระเจ้า และรับใช้พระองค์เป็นใจเดียวกัน

ผู้ที่นมัสการเรา ลูกสาวของประชากรที่กระจัดกระจายไป จะนำเครื่องบูชามาถวายจากแม่น้ำแห่งแผ่นดินคูช
ในวันนั้น เจ้าจะไม่อับอายอีก เพราะการกระทำดื้อดึงของเจ้าต่อเรา  เพราะในเวลานั้น เราจะนำคนที่สูงส่งใจยโสออกไปจากท่ามกลางเจ้า   และเจ้าจะไม่เย่อหยิ่งในภูเขาบริสุทธิ์ของเราอีกต่อไป    เราจะปล่อยให้ท่ามกลางเจ้ามีคนที่ใจถ่อมและเจียมเนื้อเจียมตัว  พวกเขาจะขอลี้ภัยในพระนามของพระเจ้า
w
คนที่ถูกทิ้งให้อยู่ในอิสราเอล จะไม่ทำการอยุติธรรม  เขาจะไม่พูดมุสา  จะไม่พบลิ้นล่อลวงในปากของพวกเขา  เพราะว่า พวกเขาจะหากิน และนอนลง  ไม่มีใครจะทำให้เขากลัวได้ “

 

เศฟันยาห์ 3-1

เศฟันยาห์ 3:1-8

วิบัติแก่นครของคนที่กดขี่ผู้อื่น  คนในนั้นทั้งดื้อดึงและมีมลทิน
เมืองนั้นไม่ยอมฟังเสียงของใคร  ไม่ยอมรับการแก้ไข ไม่วางใจในพระเจ้า และไม่ยอมที่จะเข้ามาใกล้พระเจ้าของเมืองนั้น
เหล่าข้าราชการในเมืองเป็นเหมือนสิงโตที่คอยคำราม  ส่วนผู้พิพากษาก็เป็นเหมือนหมาป่ายามค่ำ  จะไม่เหลืออะไรไว้จนเช้าเลย
เหล่าผู้พยากรณ์ของเมืองก็ทั้งเย่อหยิ่งและทรยศ  ส่วนปุโรหิตก็คอยที่จะทำให้สิ่งบริสุทธิ์เป็นมลทิน  และยังเหยียบย่ำกฎเกณฑ์ของพระเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงอยู่ในเมืองนั้น เป็นผู้ชอบธรรม  พระองค์ไม่ทรงทำสิ่งอธรรม ทุกเช้าพระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความยุติธรรมของพระองค์   แต่ละวันพระองค์ไม่เคยทำให้ผิดหวัง
แต่เหล่าคนไร้ความยุติธรรมกลับไม่รู้จักอาย

“เราได้ตัดประชาชาติออกไป  และป้อมปราการของพวกเขาก็กลายเป็นซากปรักหักพัง   เราทำให้ถนนหนทางร้างเปล่า ไม่มีใครเดินบนถนนนั้น  ส่วนเมืองต่าง ๆ ก็กลายเป็นเมืองร้าง  ไม่มีคนสักคน  ไม่มีคนอาศัย
เรากล่าวว่า … เจ้าจะเกรงกลัวเราอย่างแน่นอน  เจ้าจะรับการแก้ไข  แล้วที่อาศัยของเจ้าจะไม่ถูกตัดออกตามที่เราได้กำหนดไว้สำหรับเจ้า  แต่พวกเขากลับกระตือรือร้นที่จะทำสิ่งที่คดโกงทั้งหมด…

ดังนั้น เจ้าจงรอเรา” พระเจ้าตรัส “รอวันที่เราจะลุกขึ้นจับเหยื่อ เพราะว่า เราตัดสินใจที่จะรวบรวมประชาชาติ  เพื่อรวมเป็นอาณาจักร เพื่อว่า เราจะได้เทความโกรธของเราลงบนพวกเขา  ความโกรธที่ร้อนแรงของเรา เพราะว่า ทั้งโลกจะถูกเผาผลาญเพราะไฟแห่งความหวงแหนของเรา”

 

เมื่อเศฟันยาห์ได้กล่าวถึงการที่พระเจ้าจะทรงจัดการกับชาติทางเหนือ ตะวันออก  ตะวันตกชายฝั่งทะเล และทางใต้แล้ว  เศฟันยาห์ก็กลับมาพูดเรื่องของนครเยรูซาเล็มอีกครั้ง

พระเจ้าทรงมีพระทัยต่อนครเยรูซาเล็มมาก ดังนั้น พวกเขาจะถูกพระเจ้าจัดการมากเช่นกัน

แต่… เยรูซาเล็มไม่สนใจที่จะรับคำตักเตือนของพระเจ้าแม้แต่น้อย   พระเจ้าทรงอยู่ในเมืองนั้น เขาหาพระองค์ได้ง่าย แต่เขากลับไม่นำพาที่จะหันกลับมา

ผู้นำที่พระเจ้าทรงกล่าวถึงคือ เหล่าผู้นำทางการเมือง พวกราชวงศ์ ข้าราชการ      ผู้พิพากษา  คนพยากรณ์ และปุโรหิต  คนเหล่านี้ไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง

พระเจ้าทรงทำให้ประเทศต่าง ๆ รอบข้างพวกเขากลายเป็นที่ร้าง   เพื่อเตือนใจให้พวกเขาหาทางที่จะไม่ให้สิ่งนั้นเกิดกับตน  แต่แล้ว พวกเขาก็ยังมุ่งมั่นที่จะทำความผิดต่อไปไม่หยุด

 

 

 

เศฟันยาห์ 2-2

เศฟันยาห์ 2:8-15

“เราได้ยินคำสบประมาทจากชาวโมอับ   และการเยาะหยันเสียดสีของชาวอัมโมน  เรารู้ว่าพวกเขาสบประมาทคนของเราอย่างไร   เราได้ยินคำโอ้อวดคุยทับเรื่องเขตแดน

ดังนั้น… เพราะเรามีชีวิตอยู่ ”  พระเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพ  พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัส “โมอับจะกลายเป็นเหมือนเมืองโสโดม และอัมโมนจะเป็นเหมือนเมืองโกโมราห์  แผ่นดินจะเต็มด้วยต้นตำแย  และหลุมเกลือ และจะกลายเป็นพื้นที่เสียเปล่าตลอดไป  คนที่เหลืออยู่ในแผ่นดินของเราจะเข้าไปปล้น  และคนที่มีชีวิตเหลืออยู่ของเราจะครอบครองมัน”

พระเจ้าตรัสถึงคนชาวฟิลิสเตีย ซึ่งอยู่ทางตะวันตก ริมฝั่งทะเล   และคราวนี้ พระองค์ตรัสถึงคนที่อยู่ทางตะวันออกซึ่งคอยสบประมาทคนของพระองค์ไม่ว่างเว่้้น

แม้ว่าพระเจ้าจะทรงพิพากษาลงโทษยูดาห์ แต่ขอให้สังเกตว่า ยังมีบางคนที่หลงเหลืออยู่ พระเจ้าจะทรงให้คนที่หลงเหลืออยู่นั้น ได้แผ่นดิน ของศัตรู  และอาศัยในแผ่นดินนั้น

นี่คือผลตอบแทนของการที่พวกเขายะโส  เพราะเขาได้สบประมาทและอวดโอ้หยามเหยียดคนของพระเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพ

สำหรับพวกเขาแล้ว  พระเจ้าจะเป็นพระองค์ผู้น่าสะพรึงกลัว

เพราะพระองค์จะทรงทำให้พวกเขาขาดแคลนเหล่าพระทั้งหลายของพวกเขานั้น    พวกเขาจะต้องกราบลงต่อพระองค์   กราบต่อพระองค์จากที่ ๆ มันตั้งอยู่  ตามแผ่นดิน……….

คนคูชเอ๋ย  เจ้าก็เช่นกัน  เจ้าจะถูกสังหารด้วยดาบของเรา

คนคูชคือชาวเอธิโอเปียทางใต้

และพระองค์จะยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ต่อสู้กับชนชาติทางเหนือ  พระองค์จะทรงทำลายอัสซีเรีย   และจะทรงทำให้นีนะเวห์ร้างเปล่า   กลายเป็นที่ร้างกลางทะเลทราย

คราวนี้พระเจ้าตรัสถึงคนทางเหนืออีก   และในเวลาต่อมา เหตุการณ์เหล่านั้นก็เกิดขึ้นกับนีนะเวห์จริง ๆ  ปี 612 ก่อนคริสตศักราช  บาบิโลเนียได้เข้ามาตี และทำลายนีนะเวห์จนกลายเป็นเมืองร้างเปล่า


เหล่าฝูงสัตว์จะนอนลงในเมืองนั้น    สัตว์ป่าทุกชนิด  ไม่เว้นแม้กระทั่งนกเค้า และเม่นจะอาศัยในเมืองใหญ่นั้น  เสียงร้องครางจากหน้าต่าง  ความรกร้างเกิดขึ้นที่ธรณีประตู   งานไม้เสดาร์จะถูกกองทิ้งเอาไว้

นี่คือเมืองที่เคยร่าเริงสนุกสนาน   เคยอยู่อย่างปลอดภัยมั่นคง  เมืองที่กล่าวในใจของตนว่า  “เรานี่แหละ  ไม่มีใครอีกแล้ว”

แล้วดูซิ  กลับกลายมาเป็นเมืองร้างเปล่าเช่นนี้  เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่า   คนที่เดินผ่านเมืองนี้ก็จะส่งเสียงไม่พอใจและชูกำปั้นของเขา

 

 

เศฟันยาห์ 2-1

เศฟันยาห์ 2:1-7

 

จงรวมตัวกัน  ใช่… จงรวมตัวกัน  ประชาชาติที่ไร้ยางอาย

ก่อนที่คำบัญชานั้นจะส่งผล  ก่อนที่วันนั้นจะผ่านไปเหมือนแกลบที่ปลิวลอยไป  ก่อนที่พระพิโรธอันร้อนแรงของพระเจ้าจะมาถึงเจ้า    ก่อนที่วันแห่งพระพิโรธของพระเจ้าจะมาบนเจ้า

 

จงแสวงหาพระเจ้า  ทุกคนที่มีใจอ่อนน้อม  คนที่ทำตามพระดำรัสของพระเจ้า  จงแสวงหาความชอบธรรม  แสวงหาความถ่อมตน  เผื่อว่าเจ้าจะได้ถูกซ่อนเอาไว้ในวันแห่งพระพิโรธของพระเจ้า

เพราะเมืองกาซาจะกลายเป็นที่รกร้าง  และเมืองอัชเคโลนจะกลายเป็นเมืองร้างเช่นกัน  ชาวเมืองอัชโดดจะถูกไล่ออกไปกลางแดดเที่ยง  เมืองเอโครนก็จะถูกรื้อทำลาย

วิบัติแก่คนที่อาศัยเมืองชายฝั่งทะเล  ชนชาติเคเรธี คำของพระเจ้ามาต่อต้านพวกเจ้า    โอ คานาอัน ดินแดนแห่งชาวฟิลิสเตีย  และเราจะทำลายเจ้าจนไม่เหลือสักคน

และเจ้า  ชายฝั่งทะเล  เจ้าจะกลายเป็นทุ่งหญ้า  มีหญ้าเขียวให้กับผู้เลี้ยง และฝูงสัตว์

ชายฝั่งทะเลจะกลายเป็นของผู้ที่หลงเหลือในยูดาห์  ฝูงสัตว์ของพวกเขาจะเล็มหญ้ากันที่นั่น  และ ในยามค่ำ เขาจะนอนลงบนที่แผ่นดินอัชเคโลน  เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาจะทรงคิดถึงพวกเขา และทรงรื้อฟื้นเขาขึ้นมาใหม่

 

เศฟันยาห์ 1-4

เศฟันยาห์ 1:14-18

และนี่คือเหตุการณ์ที่จะเกิดกับคนทั้งโลก

วันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว  ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว  เสียงแห่งวันของพระเจ้านั้นขมขื่น   ณ ที่นั่นนักรบผู้กล้าส่งเสียงร้องดังลั่น
วันนั้นเป็นวันของความกริ้วโกรธ  เป็นวันของความทดท้อใจและระทมขมขื่นยิ่ง เป็นวันของความหายนะ และพินาศ  เป็นวันของความมืดและความหดหู่  เป็นวันของเมฆมืดและความดำมิด    วันนี้ เป็นวันที่พระเจ้าทรงเป็นศัตรูกับคนทั้งหลายที่ทำเฉยเมยต่อคำเตือนของพระองค์

เป็นวันของเสียงแตรดังสนั่น เสียงร้องของสงครามเพื่อโจมตีเมืองที่มีป้อมเข้มแข็ง  และเพื่อต่อสู้กับป้อมสูงทั้งหลาย

แม้เมืองที่เข้มแข็งของยูดาห์ ก็ไม่อาจต้านทานพระเจ้าได้

เราจะนำความเจ็บปวดทรมานมาสู่มนุษยชาติ  พวกเขาจะเดินไปเหมือนคนตาบอด  เพราะว่า เขาได้ทำบาปต่อพระเจ้า  เลือดของเขาจะถูกเทออกมาเหมือนฝุ่น  เนื้อของเขาจะถูกเทออกมาเหมือนมูลสัตว์

ตอนนี้ พระเจ้ากำลังกล่าวถึงคนทั้งโลกที่ไม่รับพระองค์  พวกเขาไม่ยอมให้พระเจ้าทรงนำชีวิตของเขา  เขาจึงเหมือนคนตาบอด คลำหาทางหนียังไม่เจอเลย   ดูซิ เลือดและเนื้อจะถูกเทเหมือนสิ่งไร้ค่า

เงินและทองคำของเขา ไม่อาจช่วยเขาให้รอดพ้นในวันแห่งพระพิโรธของพระเจ้า

ให้รวยเท่าไรก็ช่วยไม่ได้  ภาพจากรอยเตอร์

สิ่งที่มนุษย์เห็นว่า มีค่ามาก ไม่อาจจะช่วยใครได้เลย

แผ่นดินโลกทั้งสิ้นจะถูกเผาผลาญด้วยไฟแห่งความหวงแหนของพระองค์

พระเจ้าจะทรงเป็นผู้ให้สิ่งที่มีชีวิตทั้งสิ้นบนผืนโลก ถึงจุดจบโดยฉับพลัน

ความหวงแหนของพระเจ้านั้น คือ พระเจ้าทรงถือว่ามันเป็นพื้นฐานสำคัญของการที่พระเจ้าทรงทำสัญญากับมนุษย์ตั้งแต่สมัยโบราณมา  พระองค์จะไม่ให้ใครมาแทนที่พระองค์… และไม่มีใครจะมาแทนที่พระองค์ได้ด้วย

 

เศฟันยาห์ 1-3

เศฟันยาห์ 1:11-13

เศฟันยาห์กำลังเล่าถึงเหตุการณ์ในอนาคตของนครเยรูซาเล็ม

“จงคร่ำครวญเถิด ชาวบ้านย่านตลาด   เพราะว่า ไม่มีพ่อค้าต่อไปแล้ว  และคนที่ชั่งเงินก็ถูกทำลายไป

จากประตูปลาทางเหนือ   ย่านตลาดครกนั้นอยู่ในกำแพงเมือง เป็นที่ ๆ ทำการค้าขายกันในนครเยรูซาเล็ม  รูปร่างของพื้นที่เป็นเหมือนครก

ภาพ License Some rights reserved by Palestine Exploration Fund

ภาพหุบเขาคิดโรนและหมู่บ้านครกหรือซิโลอาม ภาพนี้น่าจะถ่ายช่วงทศวรรษ  1950

 

ในเวลานั้น เราจะใช้ตะเกียงสำรวจนครเยรูซาเล็ม   และเราจะลงโทษคนที่ปล่อยตัวตามสบาย คิดในใจว่า .. พระเจ้าจะไม่ทรงทำสิ่งดี  และจะไม่ทรงทำสิ่งร้าย…

ที่พระเจ้าทรงเน้นคือ คนที่ปล่อยตัวตามสบาย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจอะไรรอบตัว ไม่สนใจว่า ตนเองได้ทำตัวอย่างไรต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  พวกเขาไม่คิดจะช่วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ

พวกเขาเหล่านี้เชื่อว่ามีพระเจ้า  แต่เขาคิดว่า พระองค์ไม่ได้ทรงใส่พระทัยในเหตุการณ์ต่าง ๆ  เขาคิดว่า เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในโลกนั้น  เป็นเรื่องของมนุษย์เท่านั้น ไม่ใช่ของพระองค์  แต่…ความจริงแล้ว พระเจ้าทรงอยู่เหนือทุกสิ่ง  พระองค์ทรงมองทุกสิ่งที่กำลังเกิดบนพื้นโลก…..

สินค้าของพวกเขาจะถูกปล้น  และบ้านพักอาศัยจะถูกทิ้งร้าง  แม้เขาจะเป็นผู้สร้างบ้านเหล่านั้น  เขาจะไม่ได้อาศัยในบ้านนั้น
แม้เขาจะปลูกสวนองุ่น  แต่เขาจะไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นจากสวนนั้น “

สินค้า บ้านและสวนไร่นา  เป็นสมบัติของคนมั่งคั่ง   แต่เพราะพวกเขาทำผิดต่อพระเจ้า และคนยากจน พวกเขาจะไม่ได้รับผลตอบแทนจากน้ำมือที่เขาได้กระทำ

 

เศฟันยาห์ 1-2

เศฟันยาห์ 1:7-10

เศฟันยาห์บอกให้ทุกคนนิ่ง ในวันที่พระเจ้าพิพากษา การแก้ตัว หรือแก้ต่าง ไม่มีประโยชน์ในวันนั้น  

วันของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว

จงนิ่งสงบอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า เพราะวันของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว พระเจ้าทรงเตรียมเครื่องบูชา และจะทรงชำระแขกที่พระองค์ทรงเชิญมาให้บริสุทธิ์

แขกของพระองค์คือชาวบาบิโลเนียที่น่ากลัว!

และในวันถวายเครื่องบูชาของพระเจ้าของพระเจ้า เราจะลงโทษข้าราชการ และโอรสของกษัตริย์ รวมทั้งคนที่สวมเสื้อ และทำตามพิธีของคนต่างชาติ

ในวันนั้นเราจะลงโทษทุกคนที่กระโดดข้ามธรณีประตู และคนที่เอาความชั่วร้ายและการหลอกลวงเติมลงไปในบ้านของเจ้านายตน

การข้ามธรณีประตูหมายถึงคนที่รีบออกไปกระทำชั่ว

พระเจ้าประกาศว่า “ในวันนั้น จะได้ยินเสียงร้องไห้จากประตูปลา และเสียงคร่ำครวญจากส่วนที่สอง เสียงกระทบดังโครมครามจากบรรดาเนินเขา

เศฟันยาห์ 1-1

เศฟันยาห์ 1:1-6

เพื่อน ๆ ครับ สิ่งที่เศฟันยาห์พูดนั้น มันเหมือนภาพยนต์ที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับวันสุดท้ายของโลก เรากลัวไหมที่จะเจอวันแบบนั้น ลองคิดถึงความโกลาหล เสียงดังสนั่นของวันนั้น เวลาพระเจ้าจะกวาดมนุษย์ไปหมด มันก็น่าจะเป็นภาพคล้าย ๆ กับคลื่นสึนามิที่มากวาดเราไป แต่ในวันสุดท้ายของพระเจ้านั้น ไม่มีใครหนีรอดได้เลย

คำของพระเจ้ามาถึงเศฟันยาห์  ผู้เป็นลูกชายของคูชี  ซึ่งสืบเชื้อสายมากจากกษัตริย์เฮเซคียาห์

คำนี้มาในรัชกาลราชาโยสิยา  โอรสของราชาอาโมน

พระเจ้าตรัสว่า … เราจะกวาดทุกอย่างให้หมดจากพื้นโลก…

พระเจ้าตรัสว่า … เราจะกวาดทั้งคน และสัตว์ออกไป    ทั้งกวาดนกในอากาศและปลาในทะเล

เราจะกวาดล้างคนชั่ว และกำจัดเหล่ามนุษย์ออกจากพื้นโลก

เราจะยื่นมือออก ต่อสู้กับยูดาห์  ต่อชาวนครเยรูซาเล็มทั้งสิ้น

เราจะกำจัดซากเดน ของจ้าวบาอัลจากที่นี่  กำจัดชื่อเสียงเรียงนามของปฏิมากรปุโรหิต

เราจะกำจัดคนเหล่านันที่กราบไหว้บริวารของฟ้าสวรรค์บนดาดฟ้าหลังคาบ้าน

พวกเขากราบสาบานต่อพระเจ้า  แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังสาบานในนามพระมิลโคม

เราจะกำจัดคนเหล่านั้นที่ไม่ติดตามพระเจ้า  ไม่แสวงหาพระเจ้า หรือทูลถามพระองค์

แนะนำเศฟันยาห์

เศฟันยาห์

เรื่องราวที่เศฟันยาห์กล่าวถึงนั้น ก็เป็นเรื่องอนาคตเช่นกัน  เขาอยู่ในรัชกาลของราชาโยสิยาห์ ซึ่งเป็นโอรสของราชาอัมโมนแห่งยูดาห์   เขาอยู่ในประมาณปี 640 ก่อนคริสตศักราช

พระเจ้าทรงเตือนคนยูดาห์อีกว่า หากพวกเขาไม่กลับใจใหม่  อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง   การลงโทษของพระเจ้าเกิดขึ้นเพื่อชำระพวกเขาทั้งหลายให้มีใจ กายบริสุทธิ์  แม้พระเจ้าจะทรงอวยพรแต่พระองค์จะไม่ทรงมองข้ามความผิดบาปไป  บาปต้องถูกลงโทษ

สมัยของพวกเขานั้น การรับโทษมันทรมานจริง ๆ   และเป็นการรับโทษเป็นกลุ่ม ทั้งชาติโดนพร้อม ๆ กัน ไม่มีใครพ้นจากการลงโทษนั้นไปได้

 

เศฟันยาห์ผู้กล่าวคำที่มีเชื้อสายเป็นหนึ่งในราชวงศ์  แต่ไม่ได้เป็นครอบครัวที่ครองราชย์  ชื่อเศฟันยาห์แปลว่า “พระเจ้าทรงซ่อนไว้”  เศฟันยาห์เกิดในสมัยกษัตริย์มนัสเสห์ที่ชั่วร้าย  อาจเป็นเพราะเขาต้องถูกซ่อนตัวเอาไว้เพื่อความปลอดภัย

หนังสือเศฟันยาห์ทำให้เรารู้ว่า เกิดอะไรขึ้นในเยรูซาเล็มช่วง 7 ศตวรรษก่อนคริสตศักราช  ในขณะที่ราชาโยสิยาห์ปกครอง ก่อนหน้านี้อิสราเอลทางเหนือถูกอัสซีเรีย กวาดไปเป็นเชลย  และช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน ก็ต้องเจอกษัตริย์ที่ชั่วร้ายคือ มนัสเสห์ และอาโมน 697-642 ปีก่อนคริสตศักราช

ความชั่วร้ายของกษัตริย์ทั้งสององค์ ทำให้เรารู้ว่า ยังไง ๆ ยูดาห์ก็ต้องพินาศแน่ แต่แล้วเกิดมีกษัตริย์แสนดีขึ้นมาอีกองค์คือ โยสิยาห์  พระองค์ช่วยให้เกิดการรื้อฟื้นใจใหม่  คนกลับใจจากบาป แม้เป็นเพียงช่วงสั้น ๆ  แต่ก็เท่ากับได้ทำให้ความพินาศของเขาช้าลง

ฮาบากุก 3-3

ฮาบากุก 3:17-19

ฮาบากุกยินดีในพระเจ้า?  เขารู้สึกอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อความแห้งแล้ง กันดารอยู่รอบด้าน

ราวกับว่า เขากำลังเตรียมใจสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

เขายอมรับแล้วว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งในโลกนี้  ไม่ว่าจะดีหรือร้าย

แม้ต้นมะเดื่อจะไม่ผลิดอก

แม้ไม่มีลูกองุ่นงอกขึ้นมา

มะกอกไม่ออกลูก

และทุ่งนาไม่มีอาหาร

แม้ฝูงแกะจะไม่เหลือในคอก

ในโรงวัวไม่เหลืออะไร

แต่กระนั้น ข้าพเจ้าจะยินดีในพระเจ้า

ข้าพเจ้าจะยินดีในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า

พระเจ้า  องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า

พระองค์ทรงทำให้ขาของข้าพเจ้าเป็นเหมือนขากวาง

พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าเดินย่างไปในที่สูง

 

 

สำหรับผู้อำนวยเพลง  ด้วยเครื่องสาย

 

 

ฮาบากุก 3-2

ฮาบากุก 3:8-16

นี่เป็นภาพที่ฮาบากุกเห็นถึงวันแห่งความทุกข์ยากที่กำลังคืบคลานเข้ามา

พระเจ้าข้า พระองค์ทรงโกรธแม่น้ำทั้งหลายหรือ?   พระองค์ทรงกริ้วต่อแม่น้ำ  หรือว่าทรงโกรธทะเล เมื่อพระองค์ทรงม้าของพระองค์ ทรงม้าศึกแห่งความรอด?

พระองค์ทรงดึงแล่งคันธนูออกมา และทรงเรียกลูกธนูมาอีกมากมาย   พระองค์ทรงแยกผืนโลกด้วยแม่น้ำสายต่าง ๆ  เมื่อภูเขาเห็นพระองค์มันก็บิดตัว  น้ำถาโถมเข้ามา และที่ลึกก็ส่งเสียงเรียก  มันยกมือของมันขึ้นสูง

ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หยุดนิ่งอยู่ในที่ของมัน  เมื่อมันเห็นแสงแห่งลูกธนูที่พุ่งออกไป เมื่อมันเห็นแสงวาบจากหอกของพระองค์

พระองค์ดำเนินไปในโลกด้วยความโกรธ ทรงย่ำประชาชาติต่าง ๆ ด้วยความกริ้ว

พระองค์ทรงออกไปเพื่อความรอดของประชากรของพระองค์  เพื่อความรอดของผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้

พระองค์ทรงทำหลายบ้านของคนชั่วร้ายจนแหลกลาน  ทิ้งให้เขาเปลือยเปล่าตั้งแต่ขาไปจนถึงคอ  เซลาห์

พระองค์ทรงแทงหัวของนักรบด้วยลูกธนูของเขาเอง  พวกเขาบุกมาเหมือนกับลมหมุนเพื่อทำให้ข้าพเจ้ากระจัดกระจายไป   พวกเขาดีใจเหมือนกับได้กัดกินคนจนในที่ ๆ ใครไม่เห็น

พระองค์ทรงย่ำทะเลด้วยม้าศึกของพระองค์  ก้อนน้ำอันทรงพลังพลุ่งพล่าน

ข้าพเจ้าได้ยิน และร่างของข้าพเจ้าสั่นระรัว  ปากของข้าพเจ้าสั่นระริกเมื่อได้ยินเสียงนั้น

กระดูกของข้าพเจ้าก็กร่อนไป ขาของข้าพเจ้าสั่นเทา

แต่กระนั้น ข้าพเจ้าก็จะรอวันแห่งความลำบากอยู่เงียบ  ๆ  วันซึ่งจะมาถึงคนเหล่านั้นที่เข้ามาโจมตีเรา