ลีลาทหารรับจ้าง ๑๙-๓

 

1 พงศาวดาร 19:6-15

คนอัมโมน  ได้ดูหมิ่นเกียรติของราชาดาวิดจากการที่พวกเขาโกนเคราของทูตที่ไปเยี่ยม และยังตัดเสื้อผ้าท่อนล่างให้เดินเปลือยออกมา

แน่นอน พวกเขารู้ดีว่า ตัวเองทำให้ราชาดาวิดพิโรธ   และแน่นอนอีกด้วยว่า พวกเขาไม่สามารถปกป้องตัวเองได้จากกองทัพจากอิสราเอล

จะทำอย่างไรดี?

วิธีเดียวคือ จ้างทหารมารบให้  นี่เป็นวิธีการของโลกสมัยโบราณ  แม้จะเป็นวิธีการที่เสี่ยงมาก เพราะทหารรับจ้างไม่ได้มีหัวใจที่จะปกป้องจริง ๆ

ดังนั้นจึงรีบไปจ้างทหารจากทางเหนือ และตะวันออกมา  มีทหารและรถศึกจากเมโสโปเตเมีย และอารัม มาอาคาห์ และเมืองโศบาห์ (ซีเรีย)  มีรถม้าศึกรวบรวมมาถึง 32,000 คัน  มากมายจริง ๆ  พวกเขาเสียเงินไปหนึ่งพันตะลันต์กับการจ้างครั้งนี้

ดังนั้น จึงมีกษัตริย์และทหารรับจ้างมารวมตัวกับทหารของอัมโมน

โดยแบ่งให้ทหารอัมโมนรักษาเมือง

ส่วนทหารรับจ้างจากซีเรียก็อยู่ในทุ่งกลางแจ้ง

ชาวอัมโมนรู้สึกปลอดภัยขึ้นที่มีกองทัพสองกองคอยช่วยกันอยู่ ….

สงครามสมัยโบราณ  กุสตาฟ ดอเร่

 

ราชาดาวิดได้ส่งโยอาบ แม่ทัพผู้เก่งกล้าเข้ามาทำสงครามครั้งนี้  พระองค์ไม่ได้มาเอง ส่งเพียงทหารกล้ามาเป็นกองทัพใหญ่

เมื่อเขามาถึงก็เห็นว่า จะมีกองทัพขนาบอยู่สองด้าน…. ทหารอัมโมนและทหารรับจ้าง

โยอาบจึงแบ่งทัพออกเป็นสองส่วน  ส่วนหนึ่งไปสู้กับทหารรับจ้าง อีกส่วนไปสู้กับทหารอัมโมน โดยมีอาบีชัย ซึ่งเป็นน้องชายของแม่ทัพเป็นผู้คุมไป

แผนของโยอาบที่กล่าวกับอาบีชัยคือ

“ถ้าทัพของเรานั้นใครมีกำลังสู้ไม่ไหว  อีกกองทัพจะเข้าไปสมทบช่วยกัน …. เจ้าและทหารของเจ้าต้องกล้าหาญ  และเป็นลูกผู้ชาย  เราจะสู้เพื่อชาติของเรา และเพื่อหัวเมืองของพระเจ้าของเรา   ขอพรจากพระเจ้า  ให้พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ทรงพอพระทัย”

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ

แม่ทัพโยอาบตีคนซีเรียแตกพ่าย  กระเจิดกระเจิงไม่เป็นท่า  เสียศักดิ์ศรีทหารรับจ้างจริง ๆ

กองทัพอัมโมนที่ประจำเมืองอยู่ก็ใจเสียกันไปตาม ๆ กัน   แทนที่จะสู้ กลับหนีเข้าเมืองไป

 

ต่อมาซีเรียก็กลับกลายเป็นเมืองขึ้นของอิสราเอลเสียอีก  ไม่น่าเลย ไม่น่ามารับจ้างต่อสู้เช่นนี้

 

การศึกและการเมือง ๑๘

1 พงศาวดาร 18:1-17

ไม่เพียงแต่ราชาดาวิดจะได้รับพระพรจากพระเจ้าอย่างล้นเหลือ  แต่ในการทหาร ราชาดาวิดก็รบชนะศัตรูรอบด้าน

ทรงมีชัยชนะต่อชาวฟิลิสเตียยึดเมืองกัท ทางตะวันตกเฉียงใต้
ทรงตีชาวโมอับทางตะวันออกและได้เป็นเมืองขึ้น

ส่วนทางเหนือ ทรงชนะราชาฮาดัดเอเซอร์ จากเมืองโศบาห์ไปถึงเมืองฮามัท ที่นั่นยึดรถรบได้ 1000 คัน  พลขับ 7000 คน ทหารราบ 20,000 คน และราชาดาวิดทรงสั่งตัดเอ็นขาม้า ไม่ให้ทำศึกได้ทั้งหมด  ยกเว้นม้าที่จะต้องใช้เทียมรถรอดตัวไป 100 ตัว

ศึกครั้งนั้น ราชาดาวิดและกองทัพอิสราเอลต้องสังหารคนชาวอารัมไปถึง 22,000 คน เพราะพวกเขาเข้ามาช่วยราชาฮาดัดเอเซอร์… ไม่น่าเลยที่ต้องมาตายเพื่อคนอื่นอย่างนี้ !

ด้วยเหตุนี้เอง อาณาจักรของอารัมจึงกลายเป็นเมืองขึ้นของอิสราเอลไปด้วย

ไม่ว่าราชาดาวิดยกทัพไปที่ใด  ก็ชนะที่นั่น พระเจ้าได้ประทานชัยชนะให้เสมอ

จากศึกอารัมและโศบาห์นี่เอง  ราชาดาวิดได้ทองเหลืองจำนวนมหาศาลเข้ามาในเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ราชาซาโลมอนได้ใช้ทำเครื่องใช้ในพระวิหารของพระเจ้าในเวลาต่อมา

ยังมีเครื่องเงิน  ทอง ทองเหลืองมาจากราชาโทอูแห่งเมืองฮามัท  ส่งมาเป็นบรรณาการโดยไม่ต้องทำศึกให้ยุ่งยากอีกด้วย

เครื่องเงิน ทองจากชนชาติต่าง ๆ นั้นมีอีกมากมาย  ราชาดาวิดได้นำมาเพื่อจะใช้ในการสร้างพระวิหารทั้งหมด

ชนชาติเอโดม โมอับ  อัมโมน ฟิลิสเตีย อามาเลข  กลายเป็นเมืองขึ้นของอิสราเอล

ส่วนชาวเอโดม สู้รบอย่างรุนแรงที่หุบเขาเกลือทางใต้  ถูกสังหารภายใต้แม่ทัพอาบีชัยถึง 18,000 คน  พวกเขาจึงยอมแพ้

เห็นไหมว่า ไม่ว่าจะไปที่ใด  ราชาดาวิดก็ได้ชัยชนะเพราะพระเจ้าประทานให้ทั้งสิ้น

เมื่อหมดจากการศึก  ราชาดาวิดก็ทรงหันมาปกครองประเทศอย่างจริงจัง  ทรงทำสิ่งที่เที่ยงธรรม ถูกต้องให้กับประชาชน… พระเจ้ายิ่งทรงอวยพระพรมากขึ้น

แม่ทัพใหญ่คือ  โยอาบ
อาลักษณ์หลวง คือ เยโฮชาฟัท
ปุโรหิตหลวง   คือ ศาโดกและอาหิเมเลค
ราชเลขา คือ ชัฟชา
กองทหารรักษาพระองค์ เป็นชาวเคเรธีและชาวเปเลทคือ เบไนยาห์
ราชมนตรี หรือรัฐมนตรีต่าง ๆ  คือ โอรสของราชาดาวิด

 

 

พระบัญชาจากพระเจ้า ๑๗-๒

1 พงศาวดาร 17:7-15

ราชาดาวิดทรงปรารถนาจะสร้างพระวิหารถวายพระเจ้า   แต่… พระเจ้ากลับตรัสปฏิเสธ

พระเจ้าตรัสกับนาธันต่อว่า

“เจ้าจงไปบอกดาวิด  ผู้รับใช้ของเรา   องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า   เราได้นำเจ้าออกมาจากทุ่งหญ้าที่เจ้าเคยเลี้ยงแกะ  จากทุ่งที่เจ้าเคยต้อนแกะ มาสู่การปกครองประเทศ  เจ้าได้มาปกครองคนอิสราเอลซึ่งเป็นประชากรของเรา

คนที่เคยดูแลแกะ  ถูกเลือกมาดูแลคนของพระเจ้า

ไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน  เราอยู่กับเจ้า

เราได้กำจัดศัตรูทั้งหลายออกไปพ้นหน้าเจ้าด้วย

บัดนี้  เราจะทำให้ชื่อของเจ้า เลื่องลือออกไปเหมือนกับชื่อของคนที่สำคัญทั้งหลายของโลก

เราจะจัดเตรียมที่ ๆ หนึ่งให้คนอิสราเอลได้ตั้งถิ่นฐาน  พวกเขาจะมีบ้านเป็นของตนเอง และไม่ถูกโจรผู้ร้าย หรือคนอื่น ๆ รบกวน   คนชั่วร้ายจะไม่มาข่มเหง รังแกพวกเขาเหมือนที่เคยอีกต่อไป

ที่จริง มันเป็นอย่างนั้นเรื่อยมาตั้งแต่ที่เราได้ตั้งคนให้นำประชากร ปกครองพวกเขา

เราจะทำลายศัตรูของพวกเขาให้ราบคาบ”

นาธันได้ยินเสียงของพระเจ้าอย่างชัดเจน  และเขาจำทุกคำไว้

“เราขอประกาศว่า  องค์พระผู้เป็นเจ้าจะสถาปนาครอบครัวของเจ้า  เมื่อเจ้าตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า

เราจะตั้งลูกชายคนหนึ่งให้ปกครองต่อจากเจ้า

เขาคนนี้จะเป็นผู้สร้างพระวิหารให้เรา

และเราจะสถาปนาบัลลังก์ของเขาตลอดกาล

เราจะเป็นพ่อของเขา  และเขาจะเป็นลูกชายของเรา

เราจะไม่เอาความรักมั่นคงของเราไปจากเขาเหมือนกับที่เราเอาไปจากราชาก่อนหน้าเจ้า

เราจะตั้งเขาไว้ในที่อยู่ และอาณาจักรของเราตลอดไป

เราจะสถาปนาบัลลังก์ของเขาไว้นิรันดร์”

นาธันได้ยินสิ่งใด เขาก็ไปกราบทูลราชาดาวิดทุกอย่าง…..

คณะนักร้อง ๑๖-๓

1 พงศาวดาร 16:37-43

ก่อนที่ราชาดาวิดจะเสด็จกลับพระราชวังเพื่อไปอวยพรแก่ครอบครัวของพระองค์นั้นเอง

พระองค์ทรงจัดการเรื่องของนักร้องให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปทุก ๆ วัน

ทรงเห็นว่า การร้องเพลงสรรเสริญ ยกย่ององค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นเรื่องที่ควรทำทุก ๆ วัน ไม่ใช่เฉพาะวันสำคัญเท่านั้น

พระเจ้าสถิตในสวรรค์  และพระองค์ทอดพระเนตรลงมาที่โลกมนุษย์อยู่ตลอดเวลา  อย่างหนึ่งที่ราชาดาวิดปรารถนาคือ พระเจ้าจะทรงพอพระทัยในสิ่งที่พระองค์ได้ยินและได้เห็น   ราชาดาวิดปรารถนาที่จะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าทุกเวลา

มีข้อกำหนดที่อาสาฟ และคนของเขาจะต้องทำทุก ๆ วัน

เป็นเหมือนงานประจำวัน  แต่มันเป็นงานที่ต้องทำออกมาจากหัวใจ จากวิญญาณ ไม่ใช่แค่ปากร้องแล้วใจลอย..  ทำอย่างนั้นคือไม่สมบูรณ์แบบ

ท่านโอเบดเอโดม กับเพื่อนอีก 68 คน ได้เข้ามาทำงานด้วย

มีคนที่ทำหน้าที่ยามเฝ้าประตู  … คือ โอเบดเอโดมบุตรชายเยดูธูน  และโฮสาห์

ส่วนผู้ที่ประจำอยู่ในพลับพลาเพื่อถวายเครื่องบูชาทุกเช้าเย็นนั้นคือ ปุโรหิตศาโดก และปุโรหิตผู้ช่วยท่านอื่น ๆ    โดยจะต้องทำตามที่พระเจ้าได้ทรงสั่งคนอิสราเอลไว้ตั้งแต่สมัยท่านโมเสส

มีคนที่จะถวายคำขอบพระคุณพระเจ้าว่า “เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิรันดร์”   คือเฮมาน  เยดูธูน และคนอื่นอีกหลายคน   ทั้งเฮมานและเยดูธูนรับหน้าที่เป่าแตร ตีฉาบ  บรรเลงเครื่องดนตรีอื่น ๆ   เพื่อคลอไปกับบทเพลงสรรเสริญพระเจ้า

ทุกคนรับหน้าที่ของตนมาอย่างเต็มใจ  นักร้อง นักดนตรีก็มีการซ้อม ฝึกอย่างแข็งขัน

และทุกอย่างก็ถูกจัดไว้อย่างลงตัว

 

บทเพลงถวาย ๑๖-๑

1 พงศาวดาร 16:7-36

เป็นครั้งแรก  ราชาดาวิดได้ทรงกำหนดให้มีการร้องเพลงขอบพระคุณพระเจ้า

อาสาฟ และพี่น้องของเขาเป็นผู้รับผิดชอบงานนี้

เพลงที่เขาร้อง มีเนื้อหาอย่างไรหรือ??

เหมือนเพลงชาติหรือเปล่านะ?  ในเมื่อเขาเริ่มเป็นชาติที่มีพระราชาปกครองมั่นคงแล้ว

ไม่เลย…

เพราะเป็นเพลงที่พวกเขาร้องเพื่อขอบคุณพระเจ้า….

“จงขอบคุณพระเจ้า  ร้องออกพระนามของพระองค์

จงให้ชนชาติทั้งหลายได้เห็นพระราชกิจของพระเจ้าอย่างชัดแจ้ง

จงร้องเพลงถวายพระเจ้ากัน    ร้องเพลงสดุดี ยกย่องพระองค์

เรามาอวดพระนามบริสุทธิ์ของพระเจ้า

ให้ทุกคนที่แสวงหาพระเจ้านั้น ได้ล้นไหลด้วยความเปรมปรีดิ์

จงแสวงหาพระเจ้า  และพลังของพระองค์

แสวงหาพระพักตร์ของพระองค์ตลอดไป

จงระลึกถึงการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงทำ

การอัศจรรย์และคำพิพากษาจากพระโอษฐ์ของพระองค์  …..

พวกเขาร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าอย่างนี้

และยังมีอีกหลายสิ่งที่เขาร้องสรรเสริญพระองค์

เขาชวนให้แผ่นดินโลกร้องเพลงถวายพระเจ้า

และประกาศความรอดที่มาจากพระองค์ทุก ๆ วัน….

กษัตริย์ทรงรักการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ทรงแต่งตั้งคนให้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าทุกวัน

ภาพวาดโดย  เกอรริท วาน ฮอนธอส

ที่เขาร้องเพลงอย่างนี้ก็เพราะ

พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่  และสมควรที่จะสรรเสริญพระองค์

เขาขอถวายสาธุการพระเจ้าตลอดนิรันดร์กาล …..

พบศัตรูเก่า ๑๔

1 พงศาวดาร 14

“เจ้าดาวิดเนี่ยนะ?”

“ใช่แล้ว  คนที่เคยมาอยู่กับเรา และภักดีกับเรา เดี๋ยวนี้ เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล และมีเมืองหลวงที่เยรูซาเล็มขอรับ”   กษัตริย์ของฟีลิสเตียทนไม่ได้ที่เห็นเช่นนี้

“เราต้องยกทัพไปตีเมืองนี้  เอาให้อยู่หมัด  แบบนี้ทิ้งไว้ไม่ได้  เดี๋ยวมันต้องมาตีเราแน่นอน ตัดไฟเสียต้นลม”

 

กองทัพฟิลิสเตียจึงขึ้นมาทางเหนือ ตั้งค่ายที่หุบเขาเรฟาอิม  และปล้นผู้อยู่อาศัยในแถบนั้น

เมื่อราชาดาวิดได้ข่าว    จึงทูลถามพระเจ้าทันที  “พระเจ้าข้า  ข้าทาสของพระองค์ควรไปสู้กับคนฟีลิสเตียหรือไม่   พระองค์จะทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของข้าทาสของพระองค์ไหมพระเจ้าข้า?”

ราชาดาวิดทรงทราบดีว่า สิ่งสำคัญคือ  พระเจ้าทรงไปกับพระองค์หรือไม่…

“ไปเถอะ ดาวิด  เราจะมอบเขาไว้ในมือของเจ้าแน่”  พระเจ้าตรัสตอบ

ดังนั้น ราชาดาวิดจึงจัดกองทัพ ยกไปที่บาอัลเป-ราซิม

ศึกครั้งนั้น  ราชาดาวิดชนะขาดลอย  ชนะแบบที่พระองค์เองก็ทรงคาดไม่ถึง  ตรัสว่า

“พระเจ้าได้ทรงทะลุทะลวงข้าศึกของข้า เหมือนดังก้อนน้ำใหญ่ที่โถมเข้าใส่พวกเขา   ขอบคุณพระเจ้ายิ่งนัก   มหัศจรรย์จริง ๆ”

คนฟีลิสเตียหนีหัวซุกหัวซุน ทิ้งข้าวของและเทวรูปต่าง ๆ ไว้มากมาย

“พวกเจ้าจงเอาเทวรูปเหล่านี้ไปเผาเสียให้หมด  อย่าให้เหลือซาก  พวกเจ้าอย่าไปเสียดายมันด้วย!”

แต่… คนฟีลิสเตียยังไม่เข็ด    ไม่นานก็กลับมาปล้นในหุบเขาเรฟาอิมแห่งเดิม

“พระเจ้าข้า  ข้าทาสของพระองค์ควรไปจัดการกับคนฟีลิสเตียนี้ไหม?”

“เจ้าอย่าตามเขาไป”  พระเจ้าตรัสตอบ  “จงอ้อมไปโจมตีพวกเขาที่ตรงข้ามกับดงยางสน  ฟังให้ดี… ถึงที่นั่น  เมื่อเจ้าได้ยินเสียงกองทัพเคลื่อนไหว  เจ้าก็จงบุกได้ทันที เพราะตอนนั้น เราจะไปก่อนหน้าเจ้า เพื่อโจมตีกองทัพของศัตรู”

ราชาดาวิดทรงทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าทรงบัญชา

จากเมืองกิเบโอน   ข้ามไปทางตะวันตก ผ่านหุบเขาเรฟาอิม ไปถึงเมืองเกเซอร์ ดาวิดปราบคนฟีลิสเตียเสียราบคาบ

ชัยชนะครั้งนี้ ทำให้พระนามของราชาดาวิดเป็นที่เลื่องลือในหมู่ประชาชาติต่าง ๆ  ทั้งใกล้และไกล

การเดินทางของหีบพันธสัญญา ๑๓

1 พงศาวดาร 13

ละเลย  หลงลืม  ไม่สนใจ…..มานานแล้ว

บัดนี้ ราชาดาวิดทรงคิดถึงหีบพันธสัญญาของพระเจ้า ซึ่งเป็นหีบที่บรรจุศิลาจารึกพระบัญญัติสิบประการของพระเจ้าไว้    ตั้งแต่สมัยราชาซาอูล  ไม่มีใครสนใจหีบพันธสัญญานี้    แล้วมันอยู่ที่ไหนกัน  น่าจะเอากลับมาไว้ในเมืองหลวง

พระราชาทรงเรียกประชุมคนอิสราเอล…

“หากว่าท่านทั้งหลายเห็นด้วย  และเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า เราก็จะส่งข่าวให้คนอิสราเอลทั้งใกล้ และไกล  รวมถึงปุโรหิต และคนเลวี เพื่อจะได้เชิญหีบของพระเจ้าคืนมา”

“ดีเลยพะยะค่ะ  พวกเราขอสนับสนุนความคิดนี้”

“ดี… ถึงเวลาที่เราจะทำสิ่งที่ถูกต้อง   เราได้ละเลยหีบพันธสัญญาของพระเจ้ามานานเหลือเกิน”  ราชาดาวิดตอบ

ปรากฏว่า หีบพันธสัญญานั้น อยู่ที่เมืองคีริยาท-เยอาริม   ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของกรุงเยรูซาเล็ม  “ขอให้ท่านไปเชิญคนอิสราเอลจากแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ ไปจนถึงเลโบฮามัท ทางเหนือสุดมาก ๆ   มารวมตัวกันเพื่ออัญเชิญหีบของพระเจ้ามาจากคีรียาท-เยอาริม”

การอัญเชิญครั้งนี้  เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ดังนั้น คนทั้งหลายจึงมารวมตัวกันเพื่อฉลอง แสดงความยินดี…

เขาได้อัญเชิญหีบของพระเจ้ามาจากบ้านของอาบีนาดับ  ขึ้นเกวียนเล่มใหม่ที่ไม่มีใครเคยใช้มาก่อน เวลานั้น เขาน่าจะใช้คานหามขึ้นเกวียน  จึงไม่มีใครแตะต้องหีบนั้นเลย    คนนำขบวนคือ อุสซาห์ และอาหิโยห์  ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็ร้องเพลง บรรเลงพิณเขาคู่ พิณใหญ่ รำมะนา และฉาบ   ทุกคนพากันเต้นรำ ร้องเพลงอย่างชื่นชมยินดี

ลา ลา ลัน ลา  ฮา เล ลูยา  สรรเสริญ  พระเจ้า  ฮาเลลูยา

แต่… เมื่อมาถึงลานนวดข้าวแห่งหนึ่ง  เจ้าวัวสะดุด

เสียหลัก  “โอ้ย  ระวัง!!” คนหนึ่งร้อง

ทำให้อุสซาห์หันไปเอามือรับหีบที่กำลังเอียง จะตกลงมาจากเกวียน

ขณะนั้นเอง พระพิโรธของพระเจ้าก็เกิดขึ้น ทรงประหารเขาทันที เพราะเขาได้จับหีบพันธสัญญาซึ่งต้องห้าม ไม่มีใครแตะต้องได้ ….

อุสซาห์ล้มลง สิ้นใจตายตรงนั้นเอง

“โอ… โอ… ดูซิว่า เกิดอะไรขึ้น…. ท่านอุสซาห์… โธ่!”

ราชาดาวิดเองก็ทรงตกใจมากที่เกิดเหตุเช่นนี้   และพระองค์ทรงไม่พอพระทัยที่พระเจ้าทรงประหารอุสซาห์

แต่ในพระทัยลึก ๆ ของราชาดาวิด  ทรงรู้ว่า ต้องมีอะไรไม่ถูกต้องแน่นอน… มันคืออะไรหรือ?

ราชาดาวิดทรงรู้สึกเกรงกลัวพระเจ้าจับใจ  “แล้วเราจะนำหีบของพระเจ้ากลับไปด้วยได้อย่างไรนะ?”

“เอาอย่างนี้ เราเอาหีบพันธสัญญานี้ไปฝากไว้ที่บ้านของท่านโอเบดเอโดมก่อนแล้วกัน “

ดังนั้น บ้านของท่านโอเบด-เอโดมจึงเป็นที่เก็บรักษาหีบพันธสัญญาไว้จนกว่าราชาดาวิดจะทรงหาทางออกได้

ตลอดเวลานั้น พระเจ้าได้ทรงอวยพรครอบครัว และ งานทุกอย่างของโอเบด-เอโดม

 

กำลังหนุนทางทหาร ๑๒-๒

1 พงศาวดาร 12:23-40

เมื่อดาวิดได้ย้ายมาอยู่ที่เฮโบรนในเวลาต่อมา  ก็มีทหารที่ติดอาวุธเข้ามาสมทบ เพื่อจะร่วมกันมอบอาณาจักรของราชาซาอูลให้  พวกเขาต้องการทำตามที่พระเจ้าได้เคยตรัสไว้  ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ไม่ใช่แต่ผู้ใหญ่และประชาชนเท่านั้นที่จะเชิญให้ดาวิดเป็นกษัตริย์  แต่ทหารจากเผ่าต่าง ๆ  ก็มีน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วย

มีจากเผ่ายูดาห์ชำนาญโล่และหอก  6,800  นาย

จากเผ่าสิเมโอน เป็นทหารเจนศึก    7,100   นาย

คนเลวี                                                 4,600   คน

พงศ์พันธุ์อาโรน                                   3,700   คน

ศาโดกและคนในตระกูล                           22  คน

คนเบนยามิน                                        3,000   คน  พวกนี้เคยจงรักภักดีต่อซาอูล,า่ก่อน

คนเอฟราอิมเป็นทหารกล้า              20,800  นาย

คนมนัสเสห์                                        18,000 นาย  พวกเขาตั้งใจมากที่จะให้ดาวิดเป็นกษัตริย์ นี่ครึ่งเผ่าเท่านั้น

คนเผ่าอิสสาคาร์ เป็นผู้ทำนาย              200 คน  รวมกับคนอื่น ๆ ในครอบครัว

คนเศบูลุน  เป็นทหารฝึกมาอย่างดี   50,000 นาย  พร้อมอาวุธ

คนนัฟทาลี                                           38,000 นาย  เป็นจำนวนรวมเจ้าหน้าที่และทหารพร้อมรบ

คนเผ่าดาน                                           28,600  นาย  พร้อมรบ

คนเผ่าอาเชอร์                                     40,000  นาย  พร้อมทำสงคราม

ยังมีคนที่เพิ่มเติมอีก                        120,000   นาย  พวกนี้มาจากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน  เป็นทั้งคนมนัสเสห์อีกครึ่งหนึ่ง   คนรูเบน คนกาด  ติดอาวุธพร้อมสรรพ

มากมายเหลือเกิน

ทหารมาจากทั่วอิสราเอลมืดฟ้ามัวดิน  ต้องการมาเชิญให้ดาวิดเป็นกษัตริย์  พวกเขาไม่ได้มามือเปล่า แต่เอาอาหารบรรทุกลา ล่อ อูฐ และวัว มาเพียบ   พร้อมที่จะทำการเลี้ยง ซึ่งก็ได้เลี้ยงกันถึง สามวัน  ทุกคนต่างยินดีที่เขาจะได้กษัตริย์องค์ใหม่ที่กล้าหาญ  เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเตรียมให้พวกเขา

 

 

ยอดนักรบของพระราชา ๑๑-๓

1   พงศาวดาร 11:10-47

 

แม้ว่าราชาดาวิดเองจะเป็นนักรบที่เก่งกล้าสามารถ  แต่ก่อนหน้านี้ พระองค์เป็นเหมือนนักรบที่ไร้หลัก ต้องหนีราชาซาอูลไปตามที่ต่าง ๆ  และในช่วงต้น ๆ ที่หนีนั้นเอง  ก็มีคนมากมายขอเข้าเป็นพวก   ซึ่งคนเหล่านี้ เป็นทั้งผู้ที่ไม่ชอบกษัตริย์ซาอูล  และบางคนก็เป็นคนยากจน ไร้ที่อยู่  ไม่มีที่ทำกิน

แต่เมื่อมาอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อน  ก็เริ่มเก่งขึ้นในการสู้รบ เพราะพวกเขาต้องต่อสู้กับทั้งโจรผู้ร้าย  ชนชาติต่าง ๆ ที่เป็นศัตรูของอิสราเอล  และยังทำหน้าที่เหมือนกับนายอำเภอให้กับชาวบ้านตามที่ต่าง ๆ  ซึ่งทุกคนก็พอใจเพราะเมื่อพวกของราชาดาวิด (ซึ่งขณะนั้นถูกมองว่าเป็นกบฎ)มาดูแล  ก็จะไม่มีโจรผู้ร้ายเข้ามาปล้นเลย

จากบุรุษเหล่านี้  มีอยู่สามคนที่ได้ชื่อว่า เป็นสามยอดนักรบ

ยาเชโบอัม  หรือที่เรียกว่าโยเชบบัสเชเบท ซึ่งเป็นคนที่ใช้หอกสังหารศัตรูทีเดียวหลายร้อยคน
เอเลอาซาร์ เขาคนนี้อยู่เคียงข้างราชาดาวิดมาตลอด  แม้กระทั่งครั้งที่ถูกชาวฟิลิสเตียรุมที่เมืองปัสดัมมิม  ทั้งสองก็รอดมาได้เพราะว่า พระเจ้าได้ประทานชัยชนะให้



อีกคนคือ ชัมมาห์ อ่านเรื่องของทั้งสามที่นี่

อาบีชัย เป็นหัวหน้าของทั้งสามคนนี้  เขาเป็นน้องชายของโยอาบแม่ทัพ  ได้ ใช้หอกสังหารข้าศึกทีละหลายร้อยคน ทำให้เขามีชื่อเสียงมาก

เบไนยาห์ เป็นอีกคนที่กล้าหาญมาก  เขาลงไปฆ่าสิงโตในหลุม  สามารถฆ่าคนที่สูงกว่าเขาตั้งมากได้   เขามีความสามารถพอๆ กับสามยอดนักรบ  แต่ก็ไม่ได้อยู่ในกลุ่มสามคนที่กล่าวมา

ยังมีทหารที่อยู่ในกองทหารรักษาพระองค์ เป็นคนมีฝีมืออีก  30 คน  และราชาดาวิดยิ่งใหญ่ได้ก็เพราะพระเจ้าได้ประทานทหารคนสนิทที่ซื่อสัตย์  ถวายชีวิต และยังเป็นคนกล้าหาญ มีไหวพริบในการรบด้วย….

 

เมืองหลวงใหม่ ๑๑-๒

1 พงศาวดาร 11: 4-9
400 ปีมาแล้ว ที่คนอิสราเอลเข้ามาอยู่ในดินแดนคานาอัน และพวกเขาเข้าไปอยู่ในหลายเมืองเดิมที่มีคนอาศัยอยู่ก่อน ทั้งตั้งเมืองใหม่ก็มีด้วย แต่มีเมืองหนึ่งซึ่งอยู่ใจกลางดินแดนคานาอันนี้ เมืองเยรูซาเล็ม ยังเป็นของคนเยบุส
เมืองเยรูซาเล็มตั้งอยู่ทางเหนือของเฮโบรน
จากเมืองเฮโบรน ราชาดาวิด ขึ้นไปเพื่อรุกและยึดเมืองเยบุส แต่คนเยบุสไม่ยอม และยังเยาะเย้ยว่า ดาวิดไม่เอาไหน ไม่มีทางที่จะยึดเมืองของเขาได้ แต่แล้ว ไม่นาน ราชาดาวิดก็ทรงยึดป้อมของเมืองได้

“เอาล่ะ” ราชาดาวิดกล่าวกับนายทหารว่า “คนที่โจมตีเมืองนี้ได้ก่อน ก็จะได้เป็นแม่ทัพ”
ทุกคนหันหน้ามามองกัน ตกลงกันตามนั้น
แต่โยอาบ ผู้เป็นหลานของราชาดาวิดเอง ได้ยกขึ้นไปก่อน ตีเมืองได้ ทำให้เขาได้เป็นแม่ทัพตามที่ราชาดาวิดทรงสัญญาไว้ ทหารทุกคนโล่งใจเพราะว่า พวกเขาเชื่อในความกล้าหาญของโยอาบมาโดยตลอด
ในช่วงแรกนี้เอง ราชาดาวิดประทับที่ป้อมปราการของเมือง ดังนั้นใคร ๆ ก็เลยเรียกเมืองนี้ว่า นครของดาวิด นอกเหนือไปจากชื่อเยรูซาเล็ม จากป้อมนี้เอง ราชาดาวิดขยายอาคารที่ต้องใช้ทำการต่าง ๆ ทรงสร้างเมืองรอบป้อมนี้
ส่วนโยอาบก็ไปซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของเมืองที่ยึดมาได้จากคนเยบุส
การสร้างเมืองครั้งนี้ นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญไม่น้อย เพราะเป็นการสร้างเมืองหลวงใหม่ ราชาดาวิดออกมาจากเมืองเฮโบรนและมาตั้งเมืองนี้เป็นเมืองหลวง พระองค์ทรงทำให้บ้านเมืองเจริญขึ้น และส่วนพระองค์เองก็เจริญขึ้นเช่นกัน
พระคัมภีร์บันทึกสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ที่ราชาดาวิดเจริญรุ่งเรืองเป็นเพราะ พระเจ้าจอมโยธาสถิตกับพระองค์ !

ดาวิดเป็นกษัตริย์ ๑๑-๑

1 พงศาวดาร 11:1-3

ราชาดาวิดได้ปกครองในเฮโบรนมาถึง 7  ปี   แต่ไม่มีใครมาหา  มาเชิญให้เป็นกษัตริย์เลย  ราชาดาวิดเองก็ไม่ได้ทรงแต่งตั้งพระองค์เองขึ้น  จนกระทั่งเมื่อไม่มีซาอูล  ชาวอิสราเอลจึงได้พากันมาเข้าเฝ้าราชาดาวิด

“พวกเราทั้งหลายเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกับพระราชา

เราเห็นว่า ตั้งแต่สมัยราชาซาอูล  พระองค์ก็ทรงเป็นนักรบที่กล้าหาญมาโดยตลอด ”

พวกเขาเห็นว่า ไม่มีใครดีไปกว่าราชาดาวิดแล้ว

“และพระเจ้าได้เคยตรัสกับพระราชาว่า  … เจ้าจะเป็นผู้เลี้ยงแกะ  และเป็นผู้ปกครองอิสราเอล  ประชากรของเรา…”

พระเจ้าเคยตรัสอย่างนั้นจริง ๆ   แต่ประชาชนไม่ใส่ใจ จนกระทั่งวันนี้

ในวันนั้นเอง พวกเขากับพระราชาได้ทำสัญญาต่อกัน ต่อพระพักตร์พระเจ้า

ภาพเอื้อเฟื้อจาก Henry Davenport Charming Bible Stories (Philadelphia: J.H. Moore Company, 1893)

ผู้ใหญ่จากกลุ่มคนได้เจิมตั้งราชาดาวิดเป็นกษัตริย์

เรื่องนี้ ก็เกิดขึ้นจริงตามที่พระเจ้าเคยตรัสไว้กับซามูเอล

อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมที่นี่