ปุโรหิต
โฮเชยา 4-1
โฮเชยา4:1-10
มาฟังเสียงของพระผู้เป็นเจ้า ลูกหลานอิสราเอล. พระเจ้าทรงมีสิ่งที่จะต้องกล่าวหาพวกเจ้า
เพราะว่าในแผ่นดิน ไร้ความซื่อตรง ไร้ความรักเมตตา ขาดความรู้ในพระเจ้า.
ไม่มีสิ่งดี มีแต่การสบถสาบาน การโกหก ฆาตกรรม การขโมย และการล่วงประเวณี มีความรุนแรง เลือดนองไม่หยุดหย่อน
ดังนั้นแผ่นดินจึงคร่ำครวญ. ผู้อาศัยบนแผ่นดินนั้นก็จะสลายไป สัตว์ทุ่ง นกในอากาศ. ปลาในทะเล จะพากันตายไป
บัดนี้อย่าให้ใครมัวแต่กล่าวโทษกันไปมา. มัวแต่อ้างว่าตนไม่ผิด เพราะพวกเจ้าเป็นเหมือนคนที่ไปสู้กับปุโรหิต
เจ้าสะดุดหกล้มกลางวัน ส่วนผู้กล่าวคำพระเจ้าจอมปลอมจะสะดุดพร้อมกับเจ้าในเวลากลางคืน
และเราจะทำลายแม่ของเจ้า. คือประเทศที่เจ้าเป็นพลเมืองอยู่
ประชาชนของเราถูกทำลายก็เพราะพวกเขาขาดความรู้
เพราะพวกเจ้าไม่ยอมรับที่จะเรียนรู้ เราก็จะไม่ยอมรับเจ้าให้เป็นปุโรหิตของเรา
เพราะเจ้าลืมบทบัญญัติของพระเจ้าของเจ้า. เราก็จะลืมลูกหลานของเจ้าเช่นกัน
ยิ่งมีปุโรหิตเพิ่มขึ้นมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งทำบาปต่อเรา. เราจะเปลี่ยนความโอ่อ่าของพวกเขาให้กลายเป็นความอัปยศ
เขาเลี้ยงชีวิตจากบาปของประชาชนของเรา. จากเครื่องบูชาที่ประชาชนนำมาถวายเพื่อไถ่บาป
ปุโรหิตเหล่านี้พอใจกับความบาปผิดของประชาชน
ปุโรหิตเป็นแบบไหน ประชาชนก็เป็นเหมือนกันแบบนั้น
เราจะลงโทษพวกเขา จะตอบสนองสิ่งที่พวกเขาลงมือทำ. ให้พวกเขากินไปเถอะ แต่จะไม่อิ่ม. เขาจะเล่นชู้(กับเหล่าพระเท็จ). แต่จะไม่มีวันรุ่งเรือง. เพราะพวกเขาได้ละทิ้งพระเจ้า ไปทำตัวเป็นโสเภณี
พระเจ้าทรงแจ้งให้คนอิสราเอลรับรู้ว่า เขาเป็นผู้ผิด และพระองค์ทรงเป็นผู้ฟ้องร้องเขาเอง. น่ากลัวสำหรับคนที่เป็นปุโรหิตพวกเขาพอใจที่คนทำผิด ยิ่งมากยิ่งดี พวกเขาจะได้ส่วนของเครื่องบูชามากขึ้นเรื่อยๆ
เหตุเกิดเช่นนี้เป็นเพราะคนไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักพระคำ น้ำพระทัยของพระองค์จริงๆจึงถูกหลอก ทำผิดไป ไถ่บาปไปวนเวียนอยู่เช่นนี้เรื่อยไป
ความละอายใจของปุโรหิต ๓๐-๓
2 พงศาวดาร 30:12-15
นอกจากจะมีคนทางเหนือเตรียมตัวเข้ามาร่วมนมัสการพระเจ้าแล้ว คนชนเผ่ายูดาห์เองก็มีหัวใจที่จะทำตามคำเชิญชวนของพระราชารวมทั้งเจ้าชายตามเมืองต่าง ๆ อย่างเต็มใจ
เป็นความเต็มใจจากส่วนลึกที่พระเจ้าประทานให้พวกเขา
ดังนั้น เดือนที่สอง ใกล้ถึงเวลากำหนด จึงมีคนเดินทางเข้ามายังนครเยรูซาเล็มมากมาย เพื่อจะร่วมในเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ
“โอ้ย ทำไมคนมากมายเช่นนี้?”
“นั่นซิ พวกเราไม่เคยมีคนเข้ามาในเมืองหลวงจำนวนมหาศาลอย่างนี้มาก่อน ต้องคอยดูแลความปลอดภัย และความสะอาดให้มาก ๆ นะท่าน”
เมื่อถึงวันนัดหมาย พวกเขาก็อยู่ร่วมนมัสการพระเจ้า และยังทำสิ่งที่ไม่คาดฝัน
พวกเขาไปเอาแท่นบูชาเทวรูปต่าง ๆ ที่ยังคงค้างอยู่ในนครเยรูซาเล็มออกมา
“ท่านแน่ใจหรือว่าจะทำลายมัน ไม่เกรงใจคนอื่นเลยหรือ”
“ยิ่งกว่าแน่ใจ จะมีเวลาไหนที่เรามีโอกาสทำลายเทวรูปซึ่งพระเจ้าทรงชังได้ดีกว่าเวลานี้อีก ท่านก็รู้นี่นาว่า เทวรูปเหล่านี้แหละ นำให้คนหลงผิด และทำให้พระเจ้าเองทรงเมินพระพักตร์จากพวกเรา”
“เราต้องเตรียมนครนี้ให้สะอาด ไม่มีสิ่งโสโครกอย่างนี้ เพื่อว่า การนมัสการของเรานั้น จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะช่วยท่านด้วยแล้วกัน ส่งเสานั่นมา!”
พวกเขายังขนเครื่องใช้สำหรับเผาเครื่องหอมของสถานบูชาเหล่านี้ออกมาและพากันไปทิ้งที่หุบเขาขิดโรน ซึ่งเป็นที่ ๆ รับขยะ ขี้เถ้าของสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังของนครเยรูซาเล็ม
“ข้ารู้สึกโล่งใจ”
“ข้าก็เหมือนกัน ไปเถอะ เราไปร่วมพิธีปัสกากัน”
วันนั้น เป็นวันที่สิบสี่ของเดือนที่สอง เมื่อพวกเขาเข้าไปในลานพระวิหาร ก็เห็นเหล่าเจ้าหน้าที่กำลังฆ่าเจ้าแกะน้อยที่น่าสงสารจำนวนไม่น้อย
วันนั้นเอง ทั้งปุโรหิตและเลวีต่างมีเกิดความรู้สึกละอายใจมาก
พวกเขาหัวใจเต้นด้วยความทุกข์ “ทำไมข้าจึงสกปรกในใจ? ไม่มีใครมองเห็นใจของข้าก็จริง แต่พระเจ้าทรงเห็นทุกอย่าง”
“ดูซิว่า ผู้คนธรรมดากลับมีความกระตือรือร้นในพระเจ้ายิ่งกว่าพวกเรา นำของโสโครกทั้งหลายในเมืองออกไปทิ้งจนหมด”
การที่แกะถูกฆ่าเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปพวกเขา…. ทำให้เขาเข้าใจแล้วว่า บาปในชีวิตของพวกเขานั้น มันมีโทษร้ายแรงเพียงใด