วาระสุดท้ายของราชาอาสา ๑๖-๓

2 พงศาวดาร 16:7-14

เรื่องไม่ได้จบง่าย ๆ   ราชาอาสาทรงคิดว่า เบนฮาดัดทรงช่วยแล้ว ก็จบไปแล้ว  แต่… พระเจ้าทรงส่งคนหนึ่งมาเฝ้าราชาอาสา   เขาผู้นี้ชื่อ ฮานานี….

“เจ้าต้องการอะไร?”  ราชาอาสาทรงถาม

“ข้าแต่พระเจ้า  เพราะว่า พระองค์ทรงไปพึ่งราชาของซีเรีย และไม่ได้พึ่ง วางใจพระเจ้าองค์เที่ยงแท้   ดังนั้น กองทัพอิสราเอลจึงได้หลุดมือของพระองค์ไป “

“เจ้ามาต่อว่าข้ารึ?”

“ขอพระราชาโปรดฟังข้าพระบาท   ทรงจำได้ไหมพะยะค่ะ  ครั้งที่กองทัพเอธิโอเปียได้ยกมาเป็นล้านคน   แต่พระองค์ทรงพึ่งพระเจ้า ดังนั้น พระเจ้าก็ได้ทรงมอบพวกเขาไว้  พระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างงดงาม  ทรงจำได้ไหมพะยะค่ะ”  ฮานานีตอบ

“ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า พระเนตรของพระเจ้าไปมาอยู่เหนือแผ่นดินโลกเพื่อทรงสำแดงอานุภาพของพระองค์แก่คนที่จริงใจต่อพระองค์  แทนที่พระองค์จะทรงพึ่งพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์  กลับทรงพึ่งพามนุษย์ด้วยกัน

ต่อจากนี้ไป ประเทศของเราจะมีแต่ศึกสงครามไม่เว้น…”

“เจ้าอวดดีอย่างไรมาต่อว่าข้าเช่นนี้   เอามันไปขังไว้ในคุก”  ราชาอาสาทรงหันไปสั่งมหาดเล็ก

“แล้วคนใดเห็นด้วยกับเจ้านี้ ก็จับมันเข้าคุกให้หมดเช่นกัน”

พระราชาไม่ได้ทรงฟังเสียงของฮานานีเลย  น่าเสียดายที่ตอนหนุ่มทรงรักพระเจ้า

แต่อายุมากขึ้น ทำไมจึงเปลี่ยนไป?

ปีที่ 39  อยู่ดีๆ  พระราชาก็ทรงเป็นโรคร้ายแรงที่พระบาท  แต่พระองค์ไม่ทรงหาพระเจ้าเลย

ทรงเอาแต่แพทย์อย่างเดียว ….

และไม่นานก็สิ้นพระชนม์

ทรงครองอยู่ 41 ปี

พระองค์เคยทรงเตรียมถ้ำฝังพระศพไว้ โดยเจาะเข้าไปในภูเขา  พวกเขาจึงนำพระศพไปวางไว้ และนำเครื่องหอมมากมาย ไปวางไว้ด้วย

 

แลกครั้งนี้คุ้มไหม? ๑๖-๒

2 พงศาวดาร  16:2-6

แทนที่จะหันมาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า   พระเจ้าผู้ฟังคำอธิษฐานของคนที่ถ่อมตน และแสวงหาพระองค์สุดใจ

ราชาอาสากลับทรงเอาเงิน และทองคำไปถวายให้กับเบนฮาดัด  กษัตริย์แห่งซีเรีย

เงินและทองคำเหล่านี้  ไปเอาออกมาจากพระวิหารของพระเจ้าและราชวังของพระองค์

เอาเงินและทองออกมาจากพระวิหารรึ?

พระองค์ไม่มีสิทธิจะทำเช่นนั้นด้วยซ้ำ

พระวิหารเป็นของ ๆ พระเจ้า   ราชาอาสาทรงคิดอะไรอยู่?

 

พร้อมกับเงินและทอง พระองค์ทรงส่งข้อความไปพร้อม ๆ กันว่า

“ขอให้เราทั้งสองฝ่ายเป็นพันธมิตรกัน  เหมือนอย่างที่ราชบิดาของข้าพเจ้าและของท่านได้เป็นมิตรกัน

ข้าพเจ้าได้ส่งเงินและทองคำมาให้ท่าน

เพียงขอให้ท่านโปรดเลิกสัญญาไมตรีกับบาอาชา  กษัตริย์แห่งอิสราเอล   และเขาจะได้ถอยทัพ  เลิกคิดจะโจมตียูดาห์ของข้าพเจ้า”

 

ดีจริง  ดีสำหรับเบนฮาดัด  อยู่ดี ๆ  ก็ได้รับทรัพย์สมบัติมากมายเพียงเพื่อจัดการกับบาอาชา  กษัตริย์แห่งอิสราเอล

 

ดังนั้น เบนฮาดัดจึงส่งกองทัพซีเรียไปต่อสู้กับหัวเมืองของอิสราเอล
พระองค์ทรงโจมตีหลายเมือง

มีคนส่งข่าวให้บาอาชาทราบ  ดังนั้นบาอาชาจึงเลิกล้มการสร้างเมืองด่านรามาห์เสีย
“พอ  พอ  เราไม่สร้างเมืองแล้ว เราจะกลับไปเมืองหลวงของเรา เดี๋ยวกษัตริย์ซีเรียมาโจมตี เราจะพ่ายแพ้ “   บาอาชาทรงรีบยกทัพกลับเมืองหลวง  ทิ้งการก่อสร้างเมืองรามาห์ไว้กลางคัน

 

ราชาอาสาได้ที จึงทรงส่งคนให้ขนหิน และวัสดุก่อสร้างที่เตรียมไว้ในเมืองรามาห์   ย้ายมาสร้างเมืองเกบา และเมืองมิสปาห์

 

ราชาอาสาทรงคิดว่า นี่มันคุ้มแล้ว  แค่ส่งเงินและทองคำไปให้กษัตริย์ซีเรีย  ดูซิ ได้เมืองใหม่มาสองเมือง

 

แต่…. มันดีจริงหรือ??

หาพันธมิตรใหม่ ๑๕-๓

2 พงศาวดาร 16:1

 

35 ปีที่ราชาอาสาครองราชย์  ประเทศไม่มีสงครามเลย  ประชาชนมีความสุขสงบ และต่างทำมาหากิน  สร้างสรรค์งานสวยงามให้เกิดขึ้น   เวลาไม่มีสงคราม ส่วนใหญ่แล้ว ก็จะมีเวลาคิดสิ่งที่ทำให้การเป็นอยู่ดีขึ้น

 

แต่ความสบายก็ทำให้หลาย ๆ คนเฉื่อยชาได้เช่นกัน  ความกระตือรือร้นที่เคยมีเนื่องจากความยากลำบากก็หายไป   สบายมากก็เฉยชา  ลืมไปว่า ผู้ที่ทำให้ชีวิตเป็นสุขคือใคร…

ระหว่างที่ราชาอาสาครองในยูดาห์ทางใต้

ผู้ที่ครองทางเหนือคือ ราชาบาอาชา

บาอาชาทรงยกทัพมาต่อสู้กับยูดาห์    วิธีการคือ สร้างเมืองด่านขึ้น เพื่อว่า ไม่ให้คนเดินทางเข้าออกโดยสะดวกอีกต่อไป

บาอาชาทรงสร้างเมืองรามาห์ขึ้นในเขตของอิสราเอลเอง  …..

 

ความที่ราชาอาสาทั้งชราแล้ว   และไม่สามารถจะไปสู้รบกับศัตรูที่ไม่คาดฝัน พระองค์จึงคิดแผนการที่จะไม่ต้องรบเอง

ถ้าเป็นแต่ก่อน เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว  ราชาอาสาจะพึ่งพาพระเจ้าอย่างแน่นอน

มาวันนี้  พระองค์ทรงหลงลืมความดีของพระเจ้าที่ทรงมีต่อพระองค์

เราไม่ทราบว่า เหตุใดการตัดสินใจครั้งนี้ของพระองค์จึงออกมาในรูปนี้

สิ่งที่ราชาอาสาทรงทำก็คือ  ทรงคิดหาเพื่อนที่จะช่วยจัดการกับบาอาชา

พระองค์ไม่อธิษฐานแล้ว

แต่กลับไปหาพันธมิตร  โดยยอมเสียบางอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ…. ชัยชนะเหนือบาอาชา

พระองค์ทรงไปหาใครกันนะ ?

รัชกาลแสนสงบ ๑๕-๒

2 พงศาวดาร 15:9-19

พระราชา จะเป็นผู้ตัดสินว่า ทั้งประเทศจะอยู่ภายใต้พระพรของพระเจ้าหรือไม่ …. นี่เป็นความรับผิดชอบของผู้นำ   เขาจะต้องเดินตามที่พระเจ้าทรงพอพระทัย    เมื่อเขาทำเช่นนั้น พระพรจะตามมา….

เมื่อผู้กล่าวคำของพระเจ้าได้ทูลให้กำลังใจ  ราชาอาสาก็มีพระทัยกล้าหาญขึ้นมาก ไม่ทรงกลัวคำต่อต้านของใครทั้งนั้น

 

มีประชาชนเป็นจำนวนมากที่หลบหนีมาจากเอฟราอิม มหัสเสห์ทางเหนือ และสิเมโอน   พวกเขาพูดกันว่า
“ดูซิ  เจ้าเห็นไหม พระเจ้าสถิตอยู่กับราชาอาสา  แล้วดูซิว่า ประเทศที่พระองค์ปกครองนั้น เจริญขึ้นขนาดไหน… เราไปอยู่กับพระองค์ดีกว่า”

 

ปีนั้น ที่รบชนะและมีข้าวของริบมาด้วย   เป็นปีที่ 15  ที่ราชาอาสาครองอิสราเอล

ประชาชนเข้ามาชุมนุมในกรุงเยรูซาเล็ม และถวายเครื่องบูชาเป็นวัวผู้ 700 ตัว และแกะอีก 7000  ตัว  มากมายมหาศาลเหลือเกิน!
ที่ทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นที่จดจำเพราะ  ……ประชาชนได้ทำพันธสัญญากันว่า ในชีวิตของพวกเขา  พวกเขาจะแสวงหาพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจ

หมายความว่าอย่างไรกันหรือ?

เขาจะยกย่องพระเจ้าในชีวิตประจำวันของเขา ทำอะไรก็เกรงกลัวพระเจ้า ไม่ทำบาป พวกเขาจะคอยฟังและดำเนินตามพระบัญญัติของพระเจ้า … และไม่ใช่เดี๋ยวทำ เดี๋ยวเลิก  แต่เขาจะทำสิ่งเหล่านี้ตลอดไป

 

พวกเขายังเสนอว่า ใครไม่แสวงหาพระเจ้า สมควรตาย!

“พวกเราจะติดตามพระเจ้า”   คนหนึ่งตะโกนนำ

“ใช่แล้ว  เราจะติดตามพระเจ้าตลอดไป”  คนอื่น ๆ  ร้องตอบ

อู่    อู๊     อู่  อู๊     เสียงแตรดังตามมา

วันนั้น พวกเขามีความสุขมากที่ได้สัญญากับพระเจ้าอย่างสุดใจ

พวกเขาดีใจที่จะตั้งใจแสวงหาพระเจ้าด้วยสุดกำลังของเขา

และเมื่อเขาทำเช่นนั้น

พระเจ้าก็ทรงพบกับเขา ทุกวัน

เขาได้ยินเสียงของพระเจ้า  เดินตามพระองค์ทุกวัน

เมื่อเขาทำสิ่งที่ถูกต้อง พระเจ้าก็อวยพรพวกเขาให้สงบรอบด้าน ไม่มีศึกสงครามเข้ามา

 

ส่วนพระราชาทำสิ่งที่มากไปกว่านั้น

พระองค์ทรงถอดตำแหน่งพระราชชนนีออกจากพระมารดาของพระงอค์เอง  เพราะพระมารดามาอาคาห์องค์นี้ สร้างเทวรูปและชักชวนให้คนมากมายไปบูชากราบไหว้เทวรูปเหล่านั้น

พระองค์ทรงทำลายสิ่งที่พระมารดาบูชาทั้งหมด และนำไปเผา ไปบดให้ละเอียดจนไม่เห็นซากเลย

พระองค์นำข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ และของ ๆ พระราชบิดา มาถวายเพื่อให้ใช้ประโยชน์ในพระวิหารอย่างมากมาย

และประเทศปลอดสงครามเป็นเวลานาน

พระราชาก็มีพระทัยดี บริสุทธิ์ติดตามพระเจ้ามาตลอด

จนกระทั่งปีที่ 35 ของรัชกาล

 

กำลังใจ ๑๕-๑

2 พงศาวดาร 15:1-8

เมื่อราชาอาสาเสด็จกลับมาจากการรบ   อาซาริยาห์บุตรโอเดด มาเฝ้าพระองค์ เพราะว่า พระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่เหนือเขา  และมีบางสิ่งที่เขาต้องทูลพระราชาให้ทรงทราบ

 

สิ่งนี้สำคัญมาก

จะช่วยให้ราชาอาสาได้ปกครองประเทศต่อไป

 

เมื่อเขาได้เข้าเฝ้า  จึงทูลว่า  “ขอพระราชาโปรดทรงฟังข้าพเจ้า  ทั้งชนเผ่ายูดาห์ และชนเผ่าเบนยามิน  ขอโปรดฟังข้าพเจ้า”

เขาหันไปมองทุก ๆ คนที่ล้อมกันอยู่ ณ ที่นั่น

“พระเจ้าตรัสว่า  พระองค์สถิตกับท่านทั้งหลายเมื่อท่านอยู่กับพระองค์  หากพวกท่านแสวงหาพระองค์   ท่านจะพบพระองค์แน่นอน”

“เอเมน”  เสียงทุกคนร้องตอบ  พวกเขาขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงย้ำเตือนการที่พระองค์ทรงอยู่ด้วยกับพวกเขา

“แต่ว่า”   อาซาริยาห์กล่าวต่อไป  “หากพวกท่านละทิ้งพระองค์   พระองค์ก็จะทรงละทิ้งท่าน    นานแล้วนะที่อิสราเอล ประเทศของเรานี้ อยู่กันไปอย่างไม่มีพระเจ้า  ไม่มีปุโรหิตผู้สอนความจริง   ไม่มีแม้กระทั่งบทบัญญัติ”

พวกเขาหันหน้ามองกันและพยักหน้า

“แต่ในยามลำบากครั้งนี้  ศึกที่ผ่านมา  พวกท่านได้แสวงหาพระเจ้า  แล้วพวกท่านก็ได้พบพระองค์”

“ใช่แล้ว…  ท่านต้องการบอกอะไรเราหรือ?”  ราชาอาสาถาม

“พระราชาพะยะค่ะ   ก่อนหน้านี้ บ้านเมืองวุ่นวายสับสน  ไม่มีใครกล้าเดินทางไปไหนมาไหนเพราะว่า ไม่ปลอดภัยเลย โจรผู้ร้ายชุกชุม    ยิ่งกว่านั้นยังมีสงครามระหว่างเมือง  ระหว่างประเทศอีก   ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระเจ้าทรงให้ความทุกข์เหล่านั้นแก่พวกเขา”

“เอ๊ะ ท่านหมายความว่า   ความทุกข์ยากกระหน่ำเข้ามาก็เพราะพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่แล้วพะยะค่ะ   แต่ส่วนองค์ราชา  ขอทรงพระเจริญ

ขอพระองค์ทรงเข้มแข็ง

ขออย่าทรงยอมแพ้ หรือท้อถอย   และพระเจ้าจะประทานรางวัลให้กับผลงานของพระองค์พะยะค่ะ”

 

ช่างเป็นคำดีจริง  เป็นคำหนุนกำลังให้กับพระราชาหลังจากสงครามครั้งใหญ่ที่พระองค์เองทรงทราบดีว่า เป็นการช่วยเหลือของพระเจ้าอย่างแน่นอน

พระราชาทรงรู้สึกมีกำลังขึ้นมา  พร้อมที่จะทำงานรับใช้พระเจ้าและประชาชนอย่างถูกทาง

ประชาชนกลับมาหาพระเจ้าอีกครั้ง

หลังจากนั้น ราชาอาสาก็ได้กวาดล้างรูปเคารพอีก  ทั่วดินแดนยูดาห์  เบนยามิน และหัวเมืองต่าง ๆ  ในเทือกเขาเอฟราอิม   ประชาชนจะพอใจหรือไม่ พระราชาเป็นผู้ทรงตัดสินพระทัยให้พวกเขา  ทรงชักชวนให้ประชาชนกลับมานมัสการพระเจ้าอีก  และวิหารของพระเจ้าที่เสียไปครั้งนั้นจากการบุกของฟาโรห์ชิชัก  พระองค์ก็ทรงสั่งให้ซ่อมแซมจนกลับมาใช้ได้อีกครั้ง

 

สงครามของราชา ๑๔-๒

2 พงศาวดาร 14:8-15

ใช่ว่าประเทศสงบสุขแล้ว จะละเลยการป้องกันประเทศ

ราชาอาสาทรงจัดให้มีการเกณฑ์ทหารเพื่อการป้องกันตนเอง  พระองค์ไม่ได้ทรงตั้งพระทัยที่จะไปตีใครก่อน    ดังนั้นจึงรวบรวมทหารกล้าที่มีฝีมือ จากเผ่ายูดาห์ จำนวน 300,000  คน  และจากเผ่าเบนยามิน 280,000 คน    โดยทั้งสองเผ่ามีความสามารถต่างกัน

เผ่ายูดาห์จะใช้โล่ใหญ่ และหอก

ส่วนเผ่าเบนยามินจะใช้โล่ และธนู

ทายซิว่า พวกไหนเวลารบจะต้องรบแบบประชิดตัว??

 

อยู่มาไม่นาน

ศัตรูทางตะวันตกก็ยกมา   พวกนี้มาจากเอธิโอเปีย ซึ่งอยู่ไกลออกไป ทางใต้ของอียิปต์    แม่ทัพเศ-ราห์ชาวเอธิโอเปีย  ยกกองทัพมีทหารจำนวน 1,000,000 คนมาบุกอิสราเอล!

 

ทหารหนึ่งล้านรึ??

ราชาอาสามีทหารเพียง 580,000 คนเท่านั้น  อีกแล้ว  อีกครั้งที่จะต้องสู้กับทัพใหญ่กว่าหนึ่งเท่าตัว

เพียงรู้ข่าว  ไม่ทันไร….

เศ-ราห์ก็มาพร้อมกับรถรบ 300 คันที่เมืองมาเรชาห์

ราชาอาสา  ซึ่งเป็นราชาแห่งสันติภาพ  ต้องออกไปรบโดยตั้งแนวรบที่หุบเขาเศฟาธาห์

ราชาอาสาทรงทราบดีว่า  พระองค์ไม่มีทางชนะ

ทรงร้องต่อพระเจ้าสุดพระทัยว่า

“ข้าแต่พระเจ้าแห่งอิสราเอล   พระองค์เจ้าข้า  ไม่มีใครจะช่วยพวกเราได้อย่างพระองค์   ดูซิพระเจ้าข้า   มันเป็นการรบของคนแข็งแรงกับคนอ่อนแอ”

ราชาอาสาทรงตระหนักว่า พระองค์นั่นแหละคือคนที่อ่อนแอ

พระองค์ไม่ทรงเชี่ยวชาญในการรบแม้แต่น้อย

 

พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของราชาอาสา

และทรงบันดาลให้ชาวเอธิโอเปียพ่ายแพ้กองทัพของราชาอาสา

พวกเขาหนีเตลิดเปิดเปิง

และด้วยความที่ไม่ชินกับสภาพแวดล้อม  พวกเขาหลงทิศหลงทาง

ทำให้ราชาอาสาและกองทัพตามไปได้จนถึงเมืองเก-ราห์

 

ทหารเอธิโอเปียล้มตายหมด  ไม่เหลือสักคนเดียว!!

 

ทำให้ทหารอิสราเอลได้ริบข้าวของกลับมามากมาย  และแถมยังโจมตีเมืองรอบ ๆ เมืองเก-ราห์อีก  ผู้คนต่างเกิดความรู้สึกเกรงกลัวพระเจ้าไปตาม ๆ  กัน

กองศพที่มากมาย มหึมา ทำให้พวกเขารู้ว่า ครั้งนี้ พระเจ้าทรงช่วยกองทัพของราชาอาสาจริง ๆ

มันเป็นไปไม่ได้ที่กองทัพเล็กกว่าครึ่งหนึ่งจะรบชนะขาดลอย

 

คนทั้งหลายเห็นชัดว่า พระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายทัพราชาอาสาจริง ๆ

 

 

 

รัชกาลอาสา ๑๔-๑

2 พงศาวดาร 14:1-7

หลังจากที่ราชาอาบียาห์ครองราชย์เพียง 3 ปี  ก็สิ้นพระชนม์

กษัตริย์องค์ต่อไปจึงเป็นราชาอาสา ซึ่งเป็นราชโอรส

ราชาอาสาองค์นี้ ไม่เหมือนราชาเรโหโบอัมเสด็จปู่ และราชาอาบียาเสด็จพ่อ…

 

พระองค์ทรงเป็นราชาที่ใส่พระทัยที่จะดำเนินตามพระเจ้า   พระองค์ทำสิ่งที่ดี สิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย

 

มีอะไรบ้างล่ะ ที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยราชาอาสา

พระองค์ทรงกำจัดแท่นบูชาเทวรูปต่าง ๆ   รวมไปถึง ทำลายปูชนียสถาน และพังเสาศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่เต็มเมือง

พระองค์ทรงโค่นอาเชราห์ที่คนกราบไหว้

ของเหล่านี้มีมาตั้งแต่สมัยเสด็จทวด  นั่นคือราชาซาโลมอนที่ทรงมีมเหสีมากมายจากประเทศต่าง ๆ   มเหสีและนางสนมทั้งหลายเหล่านั้นต่างขนเทวรูปของตัวเองมาด้วย  และชักชวนให้พระราชามาสนพระทัยในสิ่งเหล่านี้

ยิ่งกว่านั้น ราชาอาสาทรงสั่งให้ประชาชนแสวงหาพระเจ้าเที่ยงแท้  และดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยความเอาใจใส่

 

แน่นอน มีหลายคนไม่พอใจ เพราะพวกเขาชอบเทวรูป

แต่มีหลายคนที่ขอบคุณพระเจ้าที่เขาได้พระราชาองค์ใหม่  เป็นพระราชาที่รักพระเจ้า พวกเขามีความสุขมาก

 

เมื่อเป็นเช่นนี้

พระเจ้าก็ทรงอวยพระพร

พระเจ้าได้ทรงให้แผ่นดินสงบ ไม่มีสงครามในช่วงต้นของรัชกาลราชาอาสา  ประชาชนมีสันติสุข   ทำมาหากินกันไปด้วยความสงบ  ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องคอยคิดว่า เมื่อไร พ่อ หรือลูกชายในบ้านจะต้องกลายไปเป็นทหารอีก   พวกเขาอยากอยู่อย่างสงบอย่างนี้ไปนาน  ๆ

 

เมื่อไม่ต้องทำสงคราม

พระราชาก็ทรงหันมาสร้างหัวเมืองให้มีกำแพงล้อมรอบ  อย่างนี้ต้องใช้แรงงานอีกแล้ว  แต่ประชาชนก็พอใจมากกว่าที่จะต้องไปสู้รบ

 

“ขอบคุณพระเจ้าที่แผ่นดินยังเป็นของพวกเรา

เพราะว่า เราได้แสวงหาพระเจ้า  และพระเจ้าทรงอวยพระพร  ให้เรามีความสงบสุขทุกด้านไป”   ราชาอาสาทรงกล่าวแก่ข้าราชการของพระองค์

 

“พะยะค่ะ  พระเจ้าทรงดีต่อเรา  พระเจ้าทรงดีต่อพระราชาที่แสวงหาพระองค์”   พวกเขาน้อมรับคำของพระราชาด้วยความปลาบปลื้ม