กลสุดท้ายของราชาอาหับ ๑๘-๕

2 พงศาวดาร 18:28-34

จากนั้น ราชาอาหับตัดสินพระทัยไปรบที่ราโมท-กิเลอาดตามที่ทรงวางแผนตั้งแต่ต้น

ทั้ง ๆ ที่มีคายาห์ได้ทูลบอกแล้วว่า ถ้าไปจะต้องสิ้นพระชนม์   พระองค์ก็ไม่ทรงฟังเสียงของเขา   แต่พระองค์กลับทรงชวนราชาเยโฮชาฟัทไปด้วย  ซึ่งก็ทรงยอมไปอย่างเสียไม่ได้

พระองค์ทรงหลอกราชาเยโฮชาฟัทด้วยคำพูดง่าย ๆ  เหมือนไม่มีพิษมีภัย

“ข้าพเจ้าจะปลอมตัวเข้าสนามรบ  ส่วนพระองค์ก็ขอทรงสวมเครื่องทรงของพระราชาแล้วกัน”

ราชาเยโฮชาฟัทไม่ได้ทรงคิดอะไรมาก  เป็นพระราชาก็สมควรสวมเครื่องทรงพระราชา  จะไปใส่อย่างอื่นทำไมกัน

ดูเหมือนราชาอาหับจะเดาใจของผู้บัญชาการกองทัพซีเรียออกแจ่มแจ้ง   เพราะว่า เขาสั่งทหารไว้อย่างมั่นเหมาะ  “พวกเจ้าอย่าไปเสียเวลารบกับทหารชั้นผู้น้อย   หรือแม้กระทั่งทหารชั้นผู้ใหญ่”

“อ้าว… แล้วจะให้รบกับใครล่ะขอรับ”

“ให้พวกเจ้ามุ่งจัดการราชาแห่งอิสราเอลเท่านั้น”

ดังนั้น แผนก็คือ จะต้องสังหารพระราชาแห่งอิสราเอลให้ได้

เมื่อการสู้รบเริ่มต้นขึ้น  เขาเห็นราชาเยโฮชาฟัท ซึ่งสวมเครื่องทรงของพระราชา  ก็มั่นใจว่า แน่แล้ว ต้องเป็นราชาอาหับ  จึงควบม้าเข้ามาใกล้ประจัญบาญ

กุบกุบ    กุบกุบ   กุบกุบ

ฝุ่นตลบสนามรบ   ทหารมองอะไรไม่ชัดเจนเลย

“โอ…. ไม่นะ   ข้าไม่ใช่ราชาอาหับ  พระเจ้าข้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ด้วย”   ราชาเยโฮชาฟัทร้องเสียงดัง

เสียงของราชาเยโฮชาฟัทแตกต่างจากราชาอาหับมาก  ทั้งน้ำเสียง และสำเนียงก็เป็นคนใต้ด้วย

“ไม่ใช่…. นี่ไม่ใช่พระราชาแห่งอิสราเอล  อย่าไปยุ่งเลย  พระราชาอิสราเอลอยู่ไหน หาให้เจอเดี๋ยวนี้”  เสียงผู้บังคับบัญชาสั่งทันควัน

“ขอบคุณพระเจ้า”  ราชาเยโฮชาฟัททรงหันรถม้าออกจากสนามรบทันที   พระองค์ทรงรู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยไว้ชีวิตพระองค์

ภาพโดยกุสตาฟ ดอเร่ (1832-1883)

 

ขณะนั้นเอง มีทหารคนหนึ่งโก่งคันธนูยิงสุ่มออกไป

“โอ้ย… ข้าถูกยิง”   เพราะว่า ลูกธนูเข้ามาปักในช่องว่างของเกราะราชาอาหับพอดี

ไม่น่าเชื่อ   อะไรจะแม่นขนาดนั้น…

ไม่ใช่ซิ !!  ไม่ใช่พวกเขาแม่น  แต่ธนูลูกนี้ พระเจ้าทรงให้มันมาปักอกราชาอาหับอย่างเหมาะเจาะ  ไม่มีที่ไหนจะดีกว่าตรงนี้อีกแล้วที่จะปลิดพระชนม์ของพระราชา

“กลับ…. เอารถกลับเมืองสะมาเรียเดี๋ยวนี้    เราเจ็บมาก”

แต่มันไม่ใช่ง่าย ที่จะหันรถม้ากลับไปเดี๋ยวนั้น   ราชาอาหับกำลังถูกรุมล้อม

พระราชาต้องสู้กับชนซีเรียทั้ง ๆ ที่บาดเจ็บ

จนกระทั่งพออาทิตย์ตก ก็สิ้นพระชนม์

ตามที่มีคายาห์ได้บอกไว้ล่วงหน้า …..

 

 

 

ทีเด็ดมีคายาห์ ๑๘-๔

2 พงศาวดาร 18:18-27

“ขอพระราชาทั้งสองโปรดสดับฟังพระวจนะจากพระเจ้า พะยะค่ะ”  มีคายาห์น้อมตัวลง
“ข้าพระบาทเห็นพระเจ้าประทับบนพระที่นั่งของพระองค์

และเห็นทูต ….เออ…เห็นบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ ยืนข้าง ๆ พระบัลลังก์ ทั้งซ้ายและขวา”   สิ่งที่มีคายาห์กล่าว ทำให้ราชาอาหับอึ้ง  พระองค์ไม่เคยทรงได้ยินอะไรเช่นนี้มาก่อน… อะไรกัน มีคายาห์เห็นสวรรค์เลยหรือนี่ !!

ส่วนราชาเยโฮชาฟัทยิ่งทรงสนใจมากขึ้น   มันมีอะไรเกิดขึ้นในสวรรค์นะ?  มันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในโลกด้วยหรือ?

จากจินตนาการของจิตรกรอีกท่าน

“พระเจ้าตรัสกับพวกเขาเหล่านั้นว่า… ใครจะไปล่อใจให้ราชาอาหับแห่งอิสราเอล ยกทัพไปโจมตีราโมท-กิเลอาด  เพื่อว่าเขาจะล้มลงที่นั่น?”

น่าสนใจ  นี่มันอะไรกัน?… ราชาเยโฮชาฟัททรงตื่นเต้น

“มีบางตนก็ทูลพระเจ้าอย่างนี้  บางตนก็ทูลอย่างนั้น   แต่แล้วก็มีวิญญาณดวงหนึ่งมาเฝ้าต่อพระพักตร์พระเจ้า ทูลว่า … ข้าทาสจะไปเกลี้ยกล่อม ล่อใจพระราชาเอง….  เจ้าจะทำอย่างไรล่ะ  พระเจ้าตรัสถาม  ”

เอ. … นี่แสดงว่า มันมีการทำงานระหว่างโลกและสวรรค์   ราชาเยโฮชาฟัททรงเริ่มเห็นภาพใหญ่..

“วิญญาณนั้น ทูลพระเจ้าว่า  ข้าทาสจะออกไป และเป็นวิญญาณโกหกมุสาในปากผู้กล่าวคำของพระเจ้าทุกคน”

….อา… เข้าใจแล้ว  ที่เราไม่สบายใจและคิดว่า มันแปลก ๆ  ก็อย่างนี้นี่เอง  ถ้ามีคายาห์ไม่มาบอก เราคงไม่เข้าใจอะไรเลย  ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเปิดเผยให้ทราบ…..  ราชาเยโฮชาฟัททรงพยักหน้า…

“แล้วพระเจ้าตรัสว่าอย่างไร?”

มีคายาห์ทูลตอบ  ..”พระเจ้าตรัสว่า จงไปทำอย่างนั้นเถอะ  เจ้าจะทำสำเร็จ   ดูซิ  ขอพระราชาโปรดพิจารณา  พระองค์ทรงอนุญาตวิญญาณมุสาเข้ามาในคนของฝ่าพระบาท   พระเจ้าได้ทรงบอกให้รู้ถึงหายนะของพระองค์”

อึ้ง….

ฉาด!…. เศเดคียาห์เดินเข้ามาตบหน้ามีคายาห์ต่อหน้าพระราชา

“พระวิญญาณของพระเจ้าไปจากข้า  และพูดกับเจ้าทางใดกัน?”    เศเดคียาห์โกรธจัด  ยั้งความโกรธไม่อยู่

“นี่แนะ”  มีคายาห์ไม่ได้ตบหน้าตอบ  “เจ้าจะรู้ในวันนั้นที่เจ้าเข้าไปซ่อนตัวในห้องชั้นใด”    มีคายาห์กลับทำนายเหตุการณ์ในอนาคตให้เศเดคียาห์อีก

ราชาอาหับจึงทรงสั่งให้คนเอามีคายาห์ไปขัง

“เอาเจ้านี่ไปจำคุก   จำกัดน้ำ อาหาร เพียงให้มันอยู่รอด จนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย”   พระองค์ทรงโกรธไม่แพ้เศเดคียาห์

“ถ้าฝ่าพระบาทเสด็จกลับมาอย่างปลอดภัยจริง ๆ   เท่ากับพระเจ้าไม่ได้ตรัสผ่านข้าพระบาท”   มีคายาห์กล่าวขึ้นมาทันที

“ขอประชาชนฟังเอาไว้แล้วกัน”    ราชาอาหับทรงสรุปห้วน  ๆ

 

 

 

 

มีคายาห์..ของจริง ๑๘-๓

2 พงศาวดาร 18:12-18

คนสื่อสารที่ไปตามมีคายาห์  ไม่ได้ไปตามเปล่า  แต่นำความเห็นของเศเดคียาห์ไปด้วย

หมายความว่าอย่างไรกันล่ะ?

พอเขาพบมีคายาห์  เขาก็เริ่มหว่านล้อมทันที

“ท่านมีคายาห์   ท่านทราบไหมว่า คำจากผู้กล่าวคำเหล่านั้นล้วนแต่เป็นคำพูดดี ๆ   ทำให้พระราชาเกิดความกล้าหาญที่จะไปตีเมืองราโมท-กิเลอาด  พวกเขาพูดอย่างไร  ขอให้ท่านพูดเหมือนกันกับพวกเขา  มันจะได้เป็นพรสำหรับพระราชา”

ผู้สื่อสารคนนี้ไม่รู้จักมีคายาห์….

“พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด  ข้าจะพูดอย่างที่พระเจ้าตรัสให้ข้าพูด”   มีคายาห์ตอบอย่างไม่กลัวเกรง

ผู้สื่อสารจึงนิ่งอึ้ง  ไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อ    จะมามัวต่อล้อต่อเถียง หรือให้สินบนก็ไม่ได้   มีคายาห์ท่านนี้ แม้จะดูเป็นคนธรรมดาที่มีหน้าที่กล่าวคำของรพะเจ้า   แต่ก็มีบารมีของพระเจ้าในตัวจริง ๆ        เขาจึงพามีคายาห์มาพบพระราชาทั้งสอง

อีกภาพที่จิตรกรวาดถึงมีคายาห์ ภาพจาก pitts.emory.edu

เมื่อมาถึง ราชาอาหับทรงถามเขาว่า

“มีคายาห์  บอกเรามาซิว่า เราควรไปโจมตีเมืองราโมท-กิเลอาด  หรือว่าไม่ควรไป”

มีคายาห์ทูลตอบว่า…

“ขอเชิญเสด็จไปพะยะค่ะ  พระองค์จะทรงได้ชัยชนะ   พวกเขาจะถูกมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์”

คำตอบของมีคายาห์ทำให้ทุกคนที่กล่าวคำก่อนหน้านี้ โล่งใจ   พวกเขาหันหนัามามองกัน โธ่เอ๋ย  ไม่เห็นจะมีน้ำยาก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ ไม่น่าเรียกมาถามเลย

แต่… น้ำเสียงของมีคายาห์ทำให้ราชาอาหับทรงรู้ดีว่า     มีคายาห์กำลังประชดพระองค์อยู่

“ก็เราบอกให้เจ้าปฏิญาณไม่ใช่หรือว่า  เจ้าจะพูดความจริงในพระนามของพระเจ้า”   พระองค์ตรัสกับเขา สุรเสียงกร้าว

“อย่างนั้นก็ได้พะยะค่ะ”  มีคายาห์ตอบ

“คือว่า  ข้าพระบาทเห็นคนอิสราเอลกระจัดกระจายบนภูเขา  พวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง”

พอได้ยินเช่นนั้น  ราชาอาหับทรงหันมาที่ราชาเยโฮชาฟัท   ตรัสขึ้นมาทันทีว่า

“ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่า  เขาจะไม่เคยพูดถึงข้าพเจ้าดี ๆ  เลย   มีแต่เรื่องเสียหายทั้งนั้น”

คราวนี้ รู้สึกกริ้วมาก   มีคายาห์ตอนต้นพูดเหมือนว่าจะใช้ได้แล้ว  แต่ในที่สุด ก็เป็นเหมือนเดิม   ราชาอาหับทรงไม่พอใจกับมีคายาห์อย่างยิ่ง

แต่…มีคายาห์ยังมีสิ่งที่จะบอกเล่าอีก  “ขอสดับพระวจนะของพระเจ้า   เป็นเรื่องที่แปลก”

ราชาเยโฮยาฟัททรงสนใจที่จะฟัง  ทรงยิ้มและกล่าวกับมีคายาห์ว่า

“ขอท่านมีคายาห์บอกพวกเรามาเถิดว่า  ท่านเห็นอะไร”

มีคายาห์รู้เห็นอะไรมานะ??

 

 

 

 

สวมเขาสร้างภาพ ๑๘-๒

2 พงศาวดาร 18:8-11

อาหับ  ราชาแห่งอิสราเอลนั้น  จำเป็นต้องทำตามที่ราชาเยโฮชาฟัททรงขอร้อง
“เจ้าไปตามมีคายาห์ มาด่วน”   ราชาอาหับทรงสั่งเสียงดัง

ราชาทั้งสอง ทรงนั่งข้าง ๆ กันที่ลาดนวดข้าวทางเข้าประตูเมือง  ทั้งสององค์ข้าง ๆ กัน ทำให้ประชาชนตื่นเต้น     ขณะที่รออยู่นั้น พระองค์ทรงสนทนากันเบา ๆ  และบางคนก็ได้ยิน บางคนก็ไม่ได้ยิน

เห็นเศเดคียาห์ที่สวมเขาไหม?

แต่เวลาเดียวกัน ผู้กล่าวคำของพระเจ้า  400 คนที่อยู่ตรงนั้น ก็สลับกันทูลสิ่งที่ถูกสั่งมาให้ทูล….. พวกเขาไม่ได้กล่าวคำของพระเจ้าจริง !

คนหนึ่งชื่อเศเดคียาห์ เป็นบุตรของเคนาอะนาห์   ได้ทำสิ่งที่ดึงความสนใจของผู้คนอย่างมาก

เขาเอาเหล็กมาทุบเป็นเขาแล้วสวมหัวไว้    เขาพยายามทำให้คำพูดของเขาน่าเชื่อถือ  ซึ่งดูแล้วก็น่าเชื่อถือ เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ  ที่แค่พูด

“พระเจ้าตรัสดังนี้”   เขากล่าวเสียงดัง  “ด้วยสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าจะจัดการกับคนซีเรียจนกระทั่งพวกเขาพินาศไปหมด”

“ใช่แล้ว  เป็นอย่างนั้นแน่”   เสียงของผู้กล่าวคำคนอื่น ๆ  เห็นด้วยดังทั่วลานนั้น
“ขอพระราชาเสด็จไปโจมตีเมืองราโมท-กิเลอาดเถิด   พระเจ้าจะทรงมอบเมืองนี้ไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา

คำของคนเหล่านี้ทำให้ราชาเยโฮชาฟัทเปลี่ยนพระทัยหรือไม่…

เปล่าเลย

พระองค์ยังทรงรอคนที่ชื่อมีคายาห์….

 

การตัดสินพระทัย ๑๘-๑

2 พงศาวดาร 18:1-7

จากที่เล่ามาว่า ราชาเยโฮชาฟัทนั้น ทรงรุ่งเรือง มีทรัพย์สมบัติมากมาย   และยังเป็นที่นับถือจากชนชาติรอบ ๆ ด้วย

ต่อมา … พระองค์ได้ทำสิ่งที่ทรงคิดว่าดี  แต่จริงแล้ว มันจะสร้างปัญหาใหญ่ในรัชกาลหลังจากพระองค์  ไม่มีใครคิดว่า จะมีอะไรร้าย ๆ เกิดขึ้น  ก็แค่ราชาแห่งภาคใต้  เข้าไปเป็นทองแผ่นเดียวกับราชาภาคเหนือ   ซึ่งก็คือราชาอาหับนั่นเอง
ไม่น่าเลย   ราชาที่ดี ๆ อย่างพระองค์ไม่น่าจะไปสมรสกับเชื้อวงศ์ของอาหับ!

เมื่อพูดถึงราชาอาหับ เราก็รู้ว่า พระองค์ทรงอยู่ใต้กำมือของพระนางเยเซเบล มเหสีผู้โหดร้าย     ราชาอาหับทรงเป็นผู้ชายกลัวภรรยาคนหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ทรงเป็นราชาเหนืออิสราเอล  ทรงทำให้คนอิสราเอลทั้งประเทศหันมากราบไหว้เทวรูปเจ้าบาอัลตามที่พระนางเยเซเบลต้องการ

มีเมืองอยู่เมืองหนึ่งที่ราชาแห่งซีเรียไม่ยอมคืนให้อิสราเอล  คือเมืองราโมท กิเลอาด ซึ่งอยู่ห่างจากนครเยรูซาเล็มเพียง 40 ไมล์   ราชาอาหับจึงทรงชวนราชาเยโฮชาฟัทไปร่วมรบ เพื่อยึดเมืองนี้คืนมา

ภาพจาก pitts.emory.edu

 

“ท่านจะไปราโมทกิเลอาดกับเราไหม?    ราชาอาหับทูลถาม

“อืม… ข้าพเจ้าก็เป็นอย่างที่ท่านเป็น   ทหารของข้าพเจ้าก็เหมือนทหารของท่าน  ข้าพเจ้าจะอยู่กับท่านในการสงคราม  แต่…”  ราชาเยโฮชาฟัททูลตอบ

“ยังไง  ๆ  ข้าพเจ้าอยากทราบว่า พระเจ้าจะทรงสั่งอย่างไรก่อน  ไม่อยากทำอะไรโดยไม่ถามพระองค์ “

“ได้ซิ  เราจะเตรียมผู้กล่าวคำของพระเจ้าไว้ให้ท่าน”  แล้วอาหับก็เตรียมคนไว้ 400 คน  เพื่อให้ได้คำตอบจากพระเจ้า

เมื่อราชาเยโฮชาฟัททรงเห็นคนทั้งหมดนั้น ก็ตรัสว่า
“เราควรไป หรือไม่ควรไปโจมตีเมืองราโมท กิเลอาด?”

พวกเขารู้แล้วว่า จะตอบอะไรอย่างที่ราชาอาหับทรงประสงค์

“ข้าแต่พระราชา   ขอพระองค์เสด็จไปเถิด   เพราะว่า พระเจ้าจะทรงให้พระองค์ได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน”

แต่การที่ทุกคนตอบเหมือนกัน   เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  และดูเสแสร้ง… ราชาเยโฮชาฟัทจึงทรงหันมาถามราชาอาหับ

“ที่นี่ไม่มีคนกล่าวคำของพระเจ้าอีกสักคน ที่ข้าพเจ้าจะคุยด้วยได้เลยหรือ? ”

“มีซิ  ยังมีอีกคน  แต่เจ้าคนนี้ ไม่ถูกใจข้าพเจ้าเลย    เขาไม่เคยพูดความดีของข้าพเจ้า เอาแต่พูดสิ่งที่ร้าย ๆ เท่านั้น”  ราชาอาหับทูลตอบ

“เขาเป็นใครกัน?”

“ชื่อมีคายาห์  เป็นบุตรชายของอิมลาห์”

“ขอราชาอาหับอย่าทรงคิดอย่างนั้นเลย  ขอทรงให้เขามาพูดให้ข้าพเจ้าฟังด้วยเถิด”      ราชาเยโฮชาฟัททรงรู้สึกสนใจที่จะฟังชายคนนี้   แสดงว่า เขาเป็นคนที่พูดความจริง ทำให้คนไม่ชอบ

ราชาเยโฮชาฟัททรงรู้ว่า คนที่ประจบสอพลอ  กับคนที่พูดความจริงนั้นแตกต่างกันมากยิ่งนัก   ….

ราชาอาหับจะทรงยอมไหมนี่?