เสียดายที่ไม่ฟัง ๓๕-๓

2 พงศาวดาร 35:20-27

หลังจากที่ราชาโยสิยาห์ได้ฟื้นใจให้คนอิสราเอลได้กลับมาหาพระเจ้าแล้ว  พระองค์ก็ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองอีกหลาย ๆ ทางจนรุ่งเรือง

อยู่มา…ฟาโรห์เนโคแห่งอียิปต์ ได้นำทัพไปสู้ศึกที่แม่น้ำยูเฟรตีส  ซึ่งการศึกครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับยูดาห์  แต่ราชาโยสิยาห์กลับทรงนำทัพไปเผชิญกับฟาโรห์เนโค

ฟาโรห์เนโคก็แสนจะดี  พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะทำร้ายยูดาห์ในเวลานี้แม้แต่นิดเดียว  จึงส่งคนนำสาส์นมายังราชาโยสิยาห์

สาส์นนั้นมีความว่า    “ราชาแห่งยูดาห์เอ๋ย    เราทั้งสองมีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกัน    วันนี้เรามิได้มาต่อสู้ท่านแต่ต่อสู้กับประเทศซึ่งเราทำสงครามด้วย     เพราะพระเจ้าทรงบัญชาให้เราเร่งรีบทำสงคราม  ดังนั้น ขอท่านหยุดที่จะขัดขวางพระเจ้าผู้สถิตกับเรา เกรงว่าพระองค์จะทรงทำลายท่านเสีย”  เป็นคำเตือนที่นุ่มนวลเสียจริง

เมื่อราชาโยสิยาห์อ่านสาส์น  แทนที่จะทรงโล่งพระทัย  กลับทรงคิดไปอีกอย่างหนึ่ง
ราชาโยสิยาห์มิได้ฟังเลยสักนิด  พระองค์กลับปลอมพระองค์เอง เพื่อไปสู้กับฟาโรห์เนโค

ราชาโยสิยาห์มิได้เฉลียวพระทัยว่า สิ่งที่ฟาโรห์เนโคกล่าวนั้นมาจากพระเจ้าโดยตรง

ทรงเข้าไปสู้ที่หุบเขาเมกิดโด

วันนั้นเอง นักแม่นธนูของฟาโรห์เนโคได้ยิงธนูถูกราชาโยสิยาห์อย่างจัง

ปัก!!

“โอ้ย!   เราถูกยิง… พาเราออกจากพื้นที่เดี๋ยวนี้ !” ราชาโยสิยาห์ทรงสั่งพลขับรถม้า

พวกเขาพาพระราชาออกจากรถรบไปอยู่ในรถอีกคัน  และนำพระองค์กลับมายังนครเยรูซาเล็ม
ราชาโยสิยาห์ได้สิ้นพระชนม์อย่างที่ไม่สมควรเลย     พระองค์ทรงลืมไปว่า ทรงควรที่จะทูลต่อพระเจ้าก่อน หากไม่แน่พระทัย  ถ้าเพียงพระองค์ทรงฟังคำเตือนของฟาโรห์เนโคเสีย  ก็จะไม่เป็นอย่างนี้  ราชาโยสิยาห์ทรงคิดอะไรนะในเวลานั้น?

คนทั้งยูดาห์อาลัยกับการจากไปของราชาโยสิยาห์ และเขาเก็บพระศพของพระองค์ในถ้ำเก็บพระศพของพระราชาองค์ก่อน  ๆ

มีการร้องไห้คร่ำครวญถึงราชาโยสิยาห์  และได้ทำต่อมากันเป็นประเพณีเลยทีเดียว

วันที่จะไม่ลืม ๓๕-๒

2 พงศาวดาร 35:10-19

เมื่อทุกอย่างถูกเตรียมการอย่างเรียบร้อยตามที่มีกำหนดไว้ในคำบัญชาจากโมเสส….พวกเขาแน่ใจว่า ไม่มีอะไรบกพร่องหรือขาดหายไป

ปุโรหิตอยู่ประจำที่  เลวีอยู่ประจำกอง
“แบ    แบ   มอ   มอ  แบ   แบ”

เสียงร้องของแกะดังระงมไปทั่วบริเวณ   แล้วเลวีก็ฆ่าแกะปัสกา
ปุโรหิตเอาเลือดจากมือเลวีมาประพรม ตามพิธีการ
คนเลวีถลกหนังสัตว์ที่น่าสงสารเหล่านั้น  แยกส่วนที่เป็นเครื่องบูชา กับการเผาทั้งตัวออกจากกัน

ลองคิดดู จินตนาการดูซิว่า อยากจะเข้าไปอยู่ในที่แห่งนั้นไหม?

ภาพด้วยความเอื้อเฟื้อจาก http://incilbg.com/

ที่สัตว์เหล่านั้นต้องตายก็เพื่อเอาเลือดของมันมาชำระบาปที่มนุษย์ได้ทำลงไป!  รับเคราะห์กรรมของมนุษย์ไป….

ทั้งแพะ  แกะ  และวัวผู้ที่ถูกฆ่าเหล่านั้น จำนวนมากมายจริง ๆ  แพะแกะถูกฆ่าแทนมนุษย์  ส่วนวัวผู้นั้นเขาถวายเป็นศานติบูชา

จากการถวายเครื่องบูชาเหล่านี้ มีส่วนที่เขาจะแยกออกมาเพื่อให้ประชาชนได้กินเป็นที่ระลึกในเทศกาลปัสกา  ทั้งหมดที่ว่านี้ เขาทำกันในวันเดียว  คนที่มีหน้าที่ต้องดูแลประตูเมืองนั้น ก็มีคนทำทุกอย่างแทนให้ ทั้งเครื่องบูชา และอาหาร

นอกจากนั้นยังมีเสียงเพลงจากเหล่าเลวีอีกด้วย  พวกนักร้องก็เตรียมตัวมาอย่างดี  พวกเขาทำเหมือนอย่างที่ราชาดาวิดได้ทรงวางแบบอย่างไว้

ประชาชนได้ถือปัสกาในวันนั้น  และถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้ออีก 7 วัน  ทุกคนต่างตื่นเต้น ยินดีปรีดาที่ได้ร่วมงานอันยิ่งใหญ่ และมี่ความหมายต่อชีวิตของพวกเขา

ไม่มีการถือปัสกาครั้งไหนยิ่งใหญ่เท่าครั้งนี้  เป็นความทรงจำชั่วชีวิตของทุกคนที่เข้าในปัสกาครั้งนี้!

ปัสกาครั้งยิ่งใหญ่ ๓๕-๑

2 พงศาวดาร 35:1-9

ครั้งล่าสุดที่ชนอิสราเอลได้อยู่ในเทศกาลปัสกาก็คือ สมัยราชาเฮเซคียาห์ … และครั้งนี้ราชาโยสิยาห์เป็นผู้ทรงบัญชาให้มีการทำเทศกาลปัสกาอีกครั้ง  มันมีความหมายยิ่งนัก  เพราะจะทำให้ชนอิสราเอลได้ระลึกถึงการที่พระเจ้าทรงนำพวกเขาออกมาจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์

ราชาโยสิยาห์ได้ทรงจัดตั้งคนทำงานอย่างมีระบบ  ทรงให้พวกเขาวางหีบพันธสัญญาของพระเจ้าไว้ ณ ที่เดิม  เนื่องจากก่อนหน้านี้  มีการนำหีบพันธสัญญาของพระเจ้าออกไปอยู่นอกพระวิหาร   กษัตริย์องค์ก่อนหน้านี้ได้วางหีบพันธสัญญาของพระเจ้ารวมไปกับเทวรูปต่าง ๆ ที่พวกเขาบูชา

พวกปุโรหิตและเลวีต้องทำงานหนักมาก เพราะว่า  งานหลักอย่างหนึ่งของเทศกาลปัสกาก็คือ ต้องถวายบูชาแกะหนึ่งตัวต่อหนึ่งครอบครัว ตามที่โมเสสบันทึกไว้ ลองคิดดูซิ   แค่ร้อยครอบครัวงานก็หนักหนาแล้ว!!   และพวกเขายังต้องชำระตัวให้บริสุทธิ์ก่อนที่จะทำหน้าที่ของพวกเขา กว่าจะได้ทำพิธีจริง ๆ ต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ มากมาย

พระราชายังได้ประทานแกะและลูกแพะส่วนพระองค์ให้กับประชาชนถึง  30,000 ตัว  ยังมีวัวผู้อีก 3000 ตัว และยังมีพระญาติของพระราชามอบสัตว์ให้ประชาชน ปุโรหิตและเลวี  ส่วนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพระวิหารก็ได้ให้ลูกแพะลูกแกะอีก 2,600 ตัว  วัวผู้ 300 ตัวแก่ปุโรหิต ยังมีกลุ่มหัวหน้าคนเลวีที่มอบแพะแกะ 5,000 ตัว  วัวผู้ 500 ตัวให้กับคนเลวีด้วย

ภาพโดย Giovan Battista Ruoppolo 1629 - 1693

พระราชาทรงมีน้ำใจ ทำให้พวกผู้ใหญ่และคนมั่งคั่งก็พลอยมีน้ำใจตามไปด้วย…มิฉะนั้น ประชาชนมากมายจะต้องไปหาแกะที่จะมาเป็นผู้รับบาปแทนคนในครอบครัวเอง  คงเป็นเรื่องที่โกลาหลไม่น้อย

ลองรวมดูซิ เป็นจำนวนเท่าไร  เมื่อนับดูจริง ๆ ก็มากมายกว่าครั้งที่กษัตริย์เฮเซคียาห์ได้ชักชวนให้ประชาชนร่วมเทศกาลปัสกามากนัก…

รื้อฟื้นพันธสัญญา ๓๔-๔

2 พงศาวดาร 34:29-33

เมื่อได้ยินคำของฮุลดาห์ สตรีผู้กล่าวคำของพระเจ้า  ราชาโยสิยาห์ก็ทรงตรึกตรองว่า จะทำอย่างไรดี เพื่อว่า ประชาชนทั้งหลายจะได้กลับมาหาพระเจ้า

แล้วเมื่อทรงอธิษฐานต่อพระเจ้า พระองค์ทรงรู้ว่าควรทำอย่างไรดีที่สุด

จึงทรงเชิญผู้ใหญ่ในยูดาห์ และนครเยรูซาเล็มมากันพร้อมหน้า    รวมไปถึงประชาชนในแผ่นดินยูดาห์และชาวเมืองหลวง ทั้งปุโรหิต และคนเลวี

เมื่อพวกเขามากันพร้อมหน้า  พระราชาทรงอ่านคำที่บันทึกไว้ในพันธสัญญาของพระเจ้าให้ทุกคนได้ฟัง   ประชาชนต่างนิ่งฟังอย่างตั้งใจ  พวกเขารู้สึกว่า พระเจ้าทรงกลับมาหาพวกเขาอีกครั้ง   เขาได้ยินคำที่พระองค์เคยตรัสไว้กับโมเสส

“ข้าไม่เคยได้ยินอะไรอย่างนี้มาก่อน”  คนหนึ่งกระซิบกับเพื่อน

“นั่นซิ   แต่มันสำคัญมากเลยนะ  พระราชาจึงเรียกเรามาฟังพร้อมกันอย่างนี้”  คำในพันธสัญญาถูกละเลยมานาน  ประชาชนรุ่นนี้จึงไม่ทราบว่า มีอะไรเขียนบันทึกไว้บ้าง

“ดูซิ  พระราชาทรงทำอะไรนั่น” คนหนึ่งชี้ให้เพื่อนดู  ราชาโยสิยาห์ทรงยกพระหัตถ์ขึ้น….

“ข้าแต่พระเจ้าแห่งอิสราเอลผู้สูงสุด  ข้าพระบาทขอทำพันธสัญญาเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์”  ประชาชนทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็นิ่งฟัง….

“ข้าพระบาทสัญญาว่า จะติดตามพระองค์  จะรักษาพระบัญญัติ  พระโอวาทและกฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของพระองค์  ด้วยสุดจิตสุดใจของข้าพระบาท    จะปฏิบัติตามทุกถ้อยคำที่เขียนบันทึกไว้”

แล้วราชาโยสิยาห์ก็หันมาหาประชาชน

“ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคน เข้ามามีส่วนในพันธสัญญานี้ด้วย”

“พวกเราจะทำตามนั้น”   …. ทุกคนพร้อมใจกันปฏิญาณตนตามพระราชาของพวกเขา

วันนั้น เป็นวันที่ทุกคนจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต

พวกเขาได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้าอีกครั้ง และได้น้อมใจที่จะดำเนินตามพระองค์อีกครั้ง หลังจากที่ถูกสอนผิด ๆ มานาน

 

ตลอดรัชสมัยของราชาโยสิยาห์ ประชาชนจึงกลับมาหาพระเจ้า  เทวรูป  แท่นบูชาต่าง ๆ ก็ถูกทำลายไปสิ้นจากแผ่นดิน

คำทำนายของฮุลดาห์ ๓๔-๓

2 พงศาวดาร 34:22-28

ในเมื่อพระราชาทรงบัญชาให้ไปหาวิธีการที่จะช่วยไม่ให้เกิดหายนะในประเทศ ปุโรหิต ฮิลคียาห์จึงรีบไปหาฮุลดาห์  เธอเป็นภรรยาของชัลลูมผู้ดูแลเสื้อคลุมในพระวิหาร   แต่สิ่งที่สำคัญคือ พระเจ้าทรงใช้เธอให้กล่าวพระดำรัสของพระองค์เสมอ ดังนั้น ใคร ๆ ก็จะมักไปหาฮุลดาห์เพื่อที่จะรู้พระทัยของพระเจ้าเฉพาะเรื่อง
“แม่นาง  พระราชาให้มาถามท่านว่า จะทำอย่างไรดี เพื่อไม่ให้พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเรา  เพราะว่า บรรพบุรุษของพวกเราละเลยพระองค์และไม่ปรนนิบัติพระองค์ กลับไปกราบไหว้บูชาพระอื่น ๆ “

ฮุลดาห์ไม่ยิ้มเลย  เธอรู้ว่า สิ่งที่เธอกำลังจะพูดออกไปนั้น มันน่ากลัว และถ้าพวกเขาไม่ฟังเธอ  สิ่งร้าย ๆ ก็จะเกิดขึ้นแน่นอน

“แม่นาง  อย่านิ่งเฉยอยู่ซิ  พวกเราร้อนใจกันมาก”

ภาพเอื้อเฟื้อจาก bibleartbooks.com วาดโดย Robert Flores

เธอถอนหายใจ  และหันมากล่าวว่า

“องค์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้…  พวกเจ้าจงไปแจ้งกับผู้ที่ใช้เจ้ามา  ว่า พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะนำความหายนะมาสู่สถานที่นี้   และมาสู่ประชาชนตามที่มีคำแช่งสาปเขียนไว้ในหนังสือที่อ่านกันต่อหน้าพระราชาแห่งยูดาห์แน่นอน”

พวกเขาที่ฟังอยู่ร้องพร้อม ๆ กันว่า “ฮ้า!!”   กลัวมาก  หันมองหน้ากันเลิกลัก

“เพราะพวกเขาได้ละทิ้งเรา ซึ่งเป็นพระเจ้าของเขา  และยังเผาเครื่องหอมให้กับพระอื่น ๆ    พวกเขาทำสิ่งที่ยั่วเย้าให้เราโกรธ ดังนั้น เราจะระบายความโกรธของเราเหนือสถานที่นี้   ไม่  ไม่มีใครจะระงับความโกรธของเราได้…”

บางคนถึงกับน้ำตาไหลพรากเมื่อได้ยินคำของฮุลดาห์

“จงกลับไปบอกพระราชาที่ทรงใช้เจ้ามานั้นว่า  องค์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสอย่างนี้”

เธอถอนหายใจอีกครั้ง

“ แต่เนื่องจากราชาโยสิยาห์ได้ตอบสนองเรา  ถ่อมใจลงต่อหน้าเราเมื่อได้ยินคำสาปแช่งเหล่านี้   ราชาโยสิยาห์ ฉีกเสื้อผ้าและร้องไห้ต่อเราอย่างจริงใจ  เราได้ยินเสียงของเขาแล้ว
เราจะให้เขาตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขาโดยสงบ  เขาจะไม่เห็นสิ่งร้ายที่จะเกิดขึ้นในสถานที่นี้ และกับคนที่อยู่ในนั้น “

เมื่อได้ฟังคำของฮุลดาห์จนหมดสิ้น  พวกเขาจึงนำความไปกราบทูลพระราชา ….

พระองค์จะทรงทำอย่างไรต่อไปดี?  ทรงรอดพ้นหายนะ  แต่ประชาชนล่ะ?

พระคำที่ค้นพบ ๓๔-๒

2 พงศาวดาร 34:8- 21
ในปีที่ 18 ของการครองราชย์  หลังจากที่ราชาโยสิยาห์ได้ชำระแผ่นดิน และบ้านเมือง รวมไปถึงพระวิหารของพระเจ้า  พระองค์ก็ส่งคนไปเพื่อซ่อมแซมพระวิหารของพระเจ้า

“ท่านฮิลคียาห์ ขอท่านโปรดรับเงินที่เรานำได้จากการถวายจากคนที่เหลือในอิสราเอล ชนเผ่ามนัสเสห์ และเอฟราอิม รวมไปถึง ยูดาห์  รวมทั้งคนนครเยรูซาเล็ม”   ปุโรหิตฮิลคียาห์จึงจัดการส่งเงินให้กับผู้ดูแลช่างต่าง ๆ  พวกเขาเต็มใจทำงานกันอย่างขมีขมัน

ระหว่างการซ่อมแซมพระวิหารนั้นเอง
“ท่านปุโรหิตขอรับ  ข้าพบหนังสือม้วนนี้ซ่อนอยู่ในพระวิหาร  จึงนำมาให้ท่าน  ข้าไม่ทราบว่ามันสำคัญมากไหม”  คนงานคนหนึ่งนำมาให้หัวหน้างาน และหัวหน้างานนำมาให้ปุโรหิต

ปุโรหิตเห็นหนังสือม้วนนั้น ก็รู้ทันทีว่า เป็นหนังสือบันทึกพระบัญชาของพระเจ้าที่ประทานแก่โมเสส  เขานำไปให้ท่านชาฟานซึ่งเป็นราชเลขา  พอเขาเห็นหนังสือม้วนนั้น ก็ตาโต

“ข้าต้องนำไปทูลพระราชาด่วน  ขอบใจท่านมากนะ ท่านปุโรหิต”  ชาฟานทราบดีว่า พระบัญญัติม้วนนี้แหละที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรหลาย ๆ อย่างในประเทศของเขาได้   เขานำเรื่องนี้ไปทูลพระราชา

“ข้าแต่พระราชา  ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาเกี่ยวกับการซ่อมแซมพระวิหารนั้น  พระองค์ไม่ต้องทรงกังวลพระทัยเลย พวกเราทุกคนตั้งใจทำ และอีกไม่นานก็จะสำเร็จ”

“ดีมาก ขอให้ท่านดูแลทุกอย่างให้ละเอียดละออ”

“พะยะค่ะ  แต่ที่สำคัญตอนนี้  เราได้พบเงินบางส่วนซ่อนอยู่  และนำเงินนั้นไปให้กับผู้ทำการซ่อมแซม  แต่มีเรื่องสำคัญจะทูลพะยะค่ะ”

“เรื่องอะไร เจ้ารีบบอกข้ามา”

“ท่านปุโรหิตมอบหนังสือม้วนนี้ให้กับข้าพระบาทเพื่อนำมาให้พระองค์พะยะค่ะ”

พระราชาทรงหยิบหนังสือม้วนนั้นมาดู  พระพักตร์ซีด  “นี่มันเป็นพระคำของพระเจ้านี่นา  ชาฟาน เจ้าอ่านให้เราฟังเดี๋ยวนี้!”

ภาพวาดโดย Leonaert Bramer (1596-1764)

เมื่อพระราชาได้ยินพระคำของพระเจ้า  พระองค์ทรงตัวสั่น และทรงฉีกฉลองของพระองค์ทันที…. พระองค์ทรงเรียกชาย 5 คนที่รับใช้พระองค์อย่างใกล้ชิดเข้ามา… ทำไม  เกิดอะไรขึ้นหรือ?

“ไป เจ้าจงไปถามคนของพระเจ้าให้เราและทุกคนที่ยังเหลืออยู่ในยูดาห์และอิสราเอลว่า เราควรจะทำอย่างไร  เมื่อเราฟังพระคำของพระเจ้าเรารู้ว่า พระพิโรธของพระเจ้าที่ลงมายังพวกเรานั้นรุนแรงมาก   เป็นเพราะบรรพบุรุษของเราไม่ได้รักษาพระคำของพระองค์ตามที่เขียนไว้เลย   เร็ว เจ้าอย่าช้า”

 

บทบาทโยสิยาห์ ๓๔-๑

2 พงศาวดาร 34:1-7

ตอนที่ราชาโยสิยาห์ขึ้นครองนั้น ทรงอายุเพียง 8 ปี  … โอรสของราชาอาโมนที่ถูกข้าราชการสมคบคิดสังหาร…
แต่ลูกชายคนนี้หล่นไกลต้น  … หมายความว่าอย่างไรหรือ
ราชาอาโมนเริ่มครองด้วยการหันหารูปเคารพ
แต่ราชาโยสิยาห์นั้น ขึ้นครองด้วยมีผู้สำเร็จราชการที่ซื่อสัตย์ช่วยดูแล ช่วยเป็นพี่เลี้ยงในการปกครอง  สิ่งดีที่เกิดขึ้นก็คือ พระองค์ทรงปกครองด้วยการปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเคารพในพระเจ้าสูงสุด พระองค์ทรงปกครองอย่างถูกต้องในสายพระเนตรพระเจ้า ให้ความยุติธรรมกับประชาชน  เดินในหนทางของบรรพบุรุษคือราชาดาวิด  ทรงแน่วแน่มาก ไม่หันไปทางซ้ายหรือขวา

แต่อย่าลืมว่า ความเสียหายที่ราชบิดาทำไว้ยังคงหลงเหลืออยู่  มีหลายสิ่งที่ต้องดูแล ต้องทำให้ถูกต้อง  ราชาโยสิยาห์ค่อย ๆ ทำไปทีละอย่างสองอย่าง

ปีที่ 8 แห่งการครองราชย์  ทรงอายุเพียง 16 ปี  ราชาโยสิยาห์ก็แสวงหาพระเจ้าแห่งอิสราเอล  และพระองค์ทรงเรียนรู้ทางของพระเจ้า จากพระบัญญัติ คำบัญชาต่าง ๆ ที่บันทึกไว้  พระองค์ทรงซึมซับ ซาบซึ้งในพระคำของพระเจ้า  ทรงมองเห็นว่า อะไรถูก อะไรผิดชัดเจน

 

จนเมื่อทรงอายุ 18 ปี พระองค์ก็ทรงสั่งให้คนออกไปชำระทั้งแผ่นดินยูดาห์ และนครเยรูซาเล็ม
“พระราชาโยสิยาห์ทรงทำเหมือนกับเสด็จปู่ของพระองค์เลย”
“ใช่แล้ว ดีจริงที่จะทรงนำพระพรมาเหนือบ้านเมืองของเรา”
พวกเขาทำลายเทวรูป สถายบูชาของบาอัล อาเชราห์ และอื่น ๆ จนแตกหักเสียหายไปสิ้น  ไม่พอ  … ยังทรงสั่งให้ทุบจนละเอียด

“ทุบให้เป็นฝุ่น  แล้วพวกเจ้าก็เอาฝุ่นเหล่านี้ไปโรยไว้ที่สุสานของคนที่ชอบกราบไหว้รูปเหล่านี้…” พระราชาทรงบัญชา

“ส่วนกระดูกของพวกที่เป็นผู้นำประชาชนให้หลงผิด ก็เอาไปเผาบนแท่นพวกนั้น ให้เราชำระยูดาห์และนครเยรูซาเล็มให้สะอาด”

ราชาโยสิยาห์ไม่ได้ทรงทำการเหล่านี้แค่ในยูดาห์ แต่ทรงเดินทางไปแผ่นดินอิสราเอล    ไปยังเมืองของเขตต่าง ๆ ของเผ่ามนัสเสห์  เผ่าเอฟราอิม    เผ่าสิเมโอน และนัฟทาลี  แม้ว่าตอนนั้นอิสราเอลทางเหนือนี่ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของอัสซีเรียไปแล้ว

พระองค์ทรงไปสั่งให้คนที่เหลือในแผ่นดิน ทำลายเทวรูป และแท่นบูชาทั้งสิ้น  เมื่อทรงเห็นว่า เสร็จหมดแล้วก็เสด็จกลับนครเยรูซาเล็ม