โยเอล ๓-๑ รื้อฟื้นเยรูซาเล็ม

โยเอล 3:1-8

จากข้อความข้างบน  โยเอลกำลังบอกว่า เหตุใดพระเจ้าจึงต้องพิพากษาลงโทษชาติทั้งหลายที่เข้ามากดขี่ ทำร้ายอิสราเอล  พวกเขาทั้งจับฉลาก เอาคนไปขายเป็นทาส  เอาไปเป็นโสเภณี

หุบเขาแห่งเยโฮชาฟัทหมายความถึงในวันสุดท้าย ….พระเจ้าจะทรงพิพากษา

และพระเจ้าปฏิบัติต่อชนชาติที่เป็นศัตรู เหมือนกับอยู่ในศาล   พระองค์ทรงแจ้งข้อหาของเขา   ตั้งคำถาม และบอกบทลงโทษ

ฟิลิสเตียอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้  เป็นศัตรูกับอิสราเอลมาโดยตลอด

ไทระและไซดอน เป็นเมืองริมฝั่งทะเลเมดิเตอรเรเนียน  ส่วนเสบาอยู่ทางใต้ของคาบสมุทรอาระเบีย

สิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยต่อมาคือ   ปี 343  กคศ.  กษัตริย์ อาร์ทาเซอร์เซส เข้ามาทำลายไซดอน

ปี 332   ก่อนคศ.  อเล็กซานเดอร์มหาราช  เข้ามาโจมตีไทระ

 

โยเอล ๒-๗ เทพระวิญญาณลงมา

โยเอล 2: 28-32

 

  • ในสมัยของโมเสสจนถึงอาณาจักรยูดาห์ และอิสราเอลนั้น  …. มีบางคนเท่านั้นที่พระคัมภีร์บันทึกว่า เขามีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ด้วย   อย่างเช่น คนที่มีฝีมือในการทำพลับพลา   แซมสัน   ราชาดาวิด ราชาซาอูล  เป็นต้น  แต่ในเวลาต่อมา พระเจ้าจะประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้กับทุกคนที่วางใจพระองค์    สิ่งนี้มาเกิดขึ้นจริงหลังจากที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์   เหล่าสาวกและผู้เชื่อได้รอคอยพระเจ้าอยู่ ณที่แห่งหนึ่ง  และพระวิญญาณของพระเจ้า ได้ลงมายังพวกเขา ทำให้พวกเขากล่าวคำภาษาต่าง ๆ  ในวันนั้น  (กิจการ 2:1-13)
  • ในสมัยโบราณนั้น คนที่จะได้รอดนั้นคือคนที่เป็นอิสราเอลแท้  แต่พระเจ้าตรัสว่า คนที่ร้องทูลออกพระนามของพระเจ้าจะรอดพ้น
  • พระเจ้ากำลังทรงเรียกเราให้กลับมาหาพระองค์  เรียกพระนามของพระเยซู  เชื่อในพระนามของพระองค์ …. แล้วเราจะได้รับสิทธิเป็นบุตรของพระเจ้า(ยอห์น 1:12)

 

โยเอล ๒-๖ คืนสภาพเดิม

โยเอล 2:23-27

ความทุกข์ยากของการกันดาร และสงครามคือ ไม่มีฝน และมีศัตรูพร้อม ๆ กัน

แต่มาตอนนี้ พระเจ้าทรงสัญญาจะให้ฝนต้นฤดู และฝนปลายฤดู

ปีเดือนที่ตั๊กแตนได้ลงมากินพืชพันธุ์   ที่มีศัตรูเข้ามากวาดทุกอย่างไป

กว่าจะได้คืนกลับมานั้น มันใช้เวลานานมาก  แต่พระเจ้าจะทรงรื้อฟื้นเขาอย่างรวดเร็ว

ที่เป็นเช่นนี้เพื่อเขาจะรู้ว่า ทุกสิ่งเป็นมาจากพระเจ้า

และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงทำตามพระสัญญาของพระองค์เสมอ

ความอับอายจะหมดไป  และพระเจ้าจะทรงอยู่กับเขา

โยเอล ๒-๕ ไม่ใช่ว่าหมดหนทาง

โยเอล 2:20-22

ถ้าคนของพระเจ้ากลับใจ  พระเจ้าก็จะทรงกลับมาหาเขาและรื้อฟื้นเขาใหม่   ศัตรูที่พระองค์ทรงส่งมาทำลายพวกเขานั้น พระองค์จะทรงจัดการกับเขาเอง  …. เพราะพวกเขาได้ทำสิ่งที่ร้ายกาจมากกับยูดาห์

พระเจ้าจะทรงพอพระทัยที่จะให้เขาคืนสู่สภาพที่ดี   ความอุดมสมบูรณ์จะกลับคืนมา

โยเอล ๒-๔ ขอพระเจ้าเวทนา

โยเอล 2:15-19

 

ท่านโยเอลผู้นี้ ไม่ได้แค่มาบอกคนยูดาห์ว่า  จะมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นกับพวกเขา  แต่ท่านได้บอกหนทางแก้ไขด้วย  ทุกคนควรมารวมตัวกันเพื่อที่จะกลับใจพร้อม ๆ กัน  แม้เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่กำลังจะแต่งงาน ก็ต้องออกมาจัดการกับบาปของตน  เรื่องนี้ สำคัญยิ่งยวด

และคนที่จะเป็นผู้นำในการกลับใจก็คือเหล่าคนที่เป็นผู้สอน หัวหน้า  …. พวกเขาต้องกลับใจเองด้วย ไม่ใช่ให้คนอื่นกลับใจแต่ตัวเองยังเหมือนเดิม    เขาควรอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าทรงเมตตาไม่ให้ใครมาเยาะเย้ยคนของพระองค์   ขอทรงเวทนาพวกเขา  อย่าให้ใครมาตั้งคำถามว่า พระเจ้าของพวกเขาอยู่ที่ไหน

โยเอลบอกว่า ถ้าเขากลับใจ.. พระเจ้าจะทรงหันมาหาเขา  มาสงสารเขา และช่วยเหลือ

แต่….ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่า คนที่ฟังท่านนั้น จะเอาใจใส่ และทำตามที่ท่านแนะนำหรือเปล่า

โยเอล ๒-๓ ฉีกใจ

โยเอล 2:12-14

การกลับมาหาพระเจ้าไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ   เพราะกลับใจจริงนั้น เมื่อมาหาพระเจ้าก็เท่ากับหันหลังให้กับบาป   เสียใจกับทางเดิมของตัวเอง

ต้องมาหาพระองค์แบบเทใจ  ยอมให้พระองค์หมด  ต้องเปลี่ยนชีวิตและเสียใจจริง ๆ

คนยิวสมัยก่อนพอเสียใจ ก็จะฉีกเสื้อผ้า เพื่อบอกว่า  “ฉันมีความทุกข์มากจนเสื่้อผ้ายังไม่มีความหมายเลย  ถึงฉันจะดูไม่ดี ฉันก็ไม่สนใจเพราะว่า ฉันมีความทุกข์ใจจริง ๆ”   ต่อมา การกระทำเช่นนั้น กลายเป็นแค่ประเพณี….คล้าย ๆ กับจ้างคนมาร้องไห้ในงานศพ  แต่โยเอลบอกให้ฉีกใจ…. เพื่อน ๆ ว่า มันหมายความถึงอะไร  ลองคิดดูซิ

การกลับมาหาพระเจ้านั้น ปลอดภัย.. เพราะพระเจ้าทรงเต็มด้วยพระคุณยิ่งใหญ่  ทรงโกรธช้า … ทรงอดกลั้นมาก   ทรงทนนานแสนนาน  ทรงใช้เวลาให้เรามีโอกาสเปลี่ยนใจ  ….  เพื่อว่า พระพรจะได้เป็นของเรา..

 

 

โยเอล ๒-๒

โยเอล 2:4-11

ท่านโยเอลพูดให้ผู้ฟังได้รับทราบว่า กองทัพของข้าศึกนั้น น่ากลัวเพียงไร มีอำนาจศักดาเพียงไหน   มันเป็นกองทัพที่มีระเบียบวินัยสูง  การมุ่งไปข้างหน้าของกองทัพนี้…ชัดเจน ทหารทุกคนมุ่งมั่น  มุ่งที่จะทำลายยูดาห์ตามคำสั่งที่ได้มา

โยเอลต้องการให้คนที่ฟังเขาได้ทราบว่า   อำนาจสูงสุดนั้นก็ยังไม่ได้อยู่ที่กองทัพอันยิ่งใหญ่   แต่อยู่ที่พระเจ้า  และเหตุการณ์อันน่ากลัว สยองขวัญ เขย่าโลกแบบนี้ จะเกิดขึ้นได้ในวันของพระเจ้าเท่านั้น

 

โยเอล ๒-๑

โยเอล 2: 1-3

 

โยเอลกล่าวถึงกองทัพที่จะมาว่า ใหญ่โตเหมือนเมฆที่ครองแผ่นดินในยามเช้า   และแม้จะรู้สึกว่า เคยอยู่สบายเหมือนอยู่ในสวนเอเดน

แต่กองทัพเหล่านี้จะมาทำหลายความสุขเหล่านั้นจนสิ้น

สำหรับคนที่มีชีวิตติดตามพระเจ้า  เขาอยากจะเห็นวันของพระเจ้า  เขาไม่กลัวเพราะเขาอยู่ในพระองค์  แต่คนที่ไม่ได้เดินอย่างถูกต้องกับพระเจ้า วันนั้น เป็นวันที่น่ากลัวที่สุด  สำหรับยูดาห์ พวกเขาทำสิ่งที่ผิดต่อพระเจ้ามากมาย   วันของพระองค์จึงเป็นวันที่น่ากลัว สยดสยอง

 

 

โยเอล ๑-๓

โยเอล 1:13-20

 

โยเอลได้ทำให้คนที่ฟังคำกล่าวนั้น เข้าใจว่า หากพวกเขากลับใจจากทางบาปจริง ๆ

พระเจ้าจะไม่ทรงถือโทษ

วันแห่งพระเจ้า…. หมายถึงวันที่พระเจ้าจะทรงพิพากษาลงโทษความผิดที่ไม่ได้สำนึก

ทั้งความอดหยาก และเมล็ดพืชที่เหี่ยวแห้ง มันก็น่ากลัวอยู่แล้ว

ไม่ใช่มนุษย์ทำผิดแล้วสัตว์จะสบายเมื่อไร…

สัตว์ทั้งหลายในทุ่งก็ต้องอดอยากตามไปเพราะความผิดของพวกเขา


โยเอล ๑-๒

โยเอล 1:6-12

เมื่อแผ่นดินไร้พืชผล ก็ไม่มีองุ่น เหล่าปุโรหิต ก็ไม่มีน้ำองุ่นที่จะถวายแด่พระเจ้าตามพระบัญชา

จริง ๆ แล้ว เมื่อชาวนาชาวไร่รอคอยพืชผล เขาจะรอคอยวันเก็บเกี่ยวด้วยความสุข

แต่มาตอนนี้ ไม่มีพืชผลให้เก็บเกี่ยว

แล้วใครจะมีความสุขได้เล่า

 

โยเอล ๑-๑

โยเอล 1:1-5

พระคำของพระเจ้าที่ท่านโยเอลกล่าวนั้น  น่ากลัวจริง ๆ  เพราะพูดแต่สิ่งที่เลวร้ายซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น


 

นี่แสดงว่า ในสังคมยุคนั้น   มีคนที่เมาหยำเป ไม่สนใจอะไรอยู่ไม่น้อย

เรื่องของตั๊กแตนนี้ มีหลายคนเล่าว่า มันคือการที่แผ่นดินถูกปล้น บุกรุก โจมตี ซ้ำแล้ว ซ้ำอีกจนพวกเขาไม่เหลืออะไร  เพื่อน ๆ คิดว่าอย่างไรครับ ….

แนะนำท่านโยเอล

อย่างที่เราเคยเห็นมาในหลายเหตุการณ์  …นั่นคือ พระเจ้าทรงส่งคนของพระองค์เข้ามาในยูดาห์หรืออิสราเอลเพื่อตักเตือนให้คนได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นผลดีต่อตนเอง

แม้จะมีคนที่เชื่อฟังทำตามผู้กล่าวคำของพระเจ้าเหล่านั้น  แต่ก็ยังมีไม่น้อยที่ไม่ได้สนใจแม้แต่จะฟัง  ไม่สนใจและยังเยาะเย้ยอย่างไม่แยแส

บู้บี้เองมีความสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง มีคำพูดอะไรบ้างที่เขาพยายามมาเตือนสติประชาชน เราก็จะเริ่มจากท่านโยเอลก่อน เพราะเชื่อกันว่า ท่านมากล่าวคำของพระเจ้าในสมัยของราชาโยอาชซึ่งเป็น พระราชาที่ครองราชย์ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ โดยมีปุโรหิตเยโฮยาดาช่วยดูแล สั่งสอน และปกป้องพระราชาไว้

เพื่อน ๆ ลองกลับไปดูเหตุการณ์สมัยนั้นได้  พระมารดาของราชาโยอาชเป็นราชินีที่โหดร้ายมาหลายปี จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านปุโรหิตพร้อมกับเหล่าทหารได้ร่วมใจกันแต่งตั้งพระราชา  ทำให้ราชินีทรงโกรธมาก  แต่ในที่สุดพระนางก็ถูกสังหารในวันนั้นเอง  …..

ชื่อโยเอล มีความหมายที่ดีเหลือเกิน แปลว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า หรือ พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงเป็นพระเจ้า! สมัยก่อนนี้ คนนิยมชื่อนี้มากด้วย ผู้ที่ค้นคว้าเรื่องของท่านโยเอลเชื่อว่า ท่านกล่าวคำของพระเจ้าในช่วงปี 835-805 ปีก่อนคริสตศักราช  ซึ่งตอนนั้นเอง ยังมีอาณาจักรทั้งสองคือ เหนือ และใต้

แต่ยังมีบางท่านเชื่อว่า ท่านโยเอล กล่าวคำของพระเจ้าแก่แผ่นดินยูดาห์ในสมัยราชาอุสซียาห์ คือประมาณปี  792-740  ที่เป็นอย่างนี้ เพราะหนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกว่า อยู่ในสมัยใด จึงต้องวิเคราะห์เอา  ถึงอย่างไรก็ตาม  สิ่งสำคัญที่สุดคือ ท่านกล่าวพยากรณ์ถึงเหตุการณ์ทีได้เกิดขึ้นจริงในเวลาต่อมา

 

แตกทั้งสองอาณาจักร!

อิสราเอลทางเหนือ และยูดาห์ทางใต้  ทั้งสองอาณาจักรที่เคยเป็นหนึ่งเดียวกันสมัยราชาซาอูลดาวิดและซาโลมอนนั้น ต้องจบลงด้วยการเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจในโลกโบราณ ทางเหนือไปอยู่กับอัสซีเรีย  และทางใต้ไปเป็นเชลยในบาบิโลน

แต่เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นกับทั้งสองแผ่นดิน มีการบอกล่วงหน้ามาแล้ว  มีคนเตือนแล้ว  พระเจ้าทรงส่งคนมาเตือนหลายต่อหลายครั้ง   บางครั้งพระราชาก็ทรงฟังและทำตาม  แต่พระราชาบางองค์ก็ไม่ใส่พระทัย

ในวันท้าย ๆ ก่อนที่นครเยรูซาเล็มจะแตก คนของพระเจ้าหรือผู้กล่าวคำของพระเจ้าก็ได้มาหาพระราชา  แต่ไม่มีใครฟังเขาเลย
คนของพระเจ้าเหล่านี้ หลายคนต้องลำบากยากเข็ญ ต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ดังเช่นท่านเอลียาห์

พระเจ้าทรงให้มีคนของพระองค์คอยดูแลประชาชนให้พวกเขาอยู่เย็นเป็นสุข  ด้วยการมีชีวิตที่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า  และพระพรของพระองค์ก็จะลงมาเหนือเขา  เขาก็จะมีความเจริญก้าวหน้าไม่หยุดยั้ง  จนเมื่อไรพวกเขาละทิ้งพระองค์ไป… ทำสิ่งที่โหดร้ายต่อกัน สิ่งเลวร้ายก็จะเกิดขึ้นกับพวกเขา

หากเราจะมาทบทวนกันสักนิด เพื่อน ๆ ก็จะเห็นภาพง่าย ๆ อย่างนี้คือ

หากแต่ว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นในระหว่างที่พวกเขายังมีความสุขในแผ่นดินนั้น    เรายังไม่ได้เล่าว่า พระเจ้าทรงทำอะไรกับเขาบ้าง  พระองค์ทรงมีความรู้สึกอย่างไรกับพวกเขา    เหล่าคนที่จิตใจดื้อดึง และช่างเยาะเย้ย

เราจะเห็นภาพเหตุการณ์ชัดเจนขึ้น เมื่อเราได้เข้าไปฟังว่า พระเจ้าตรัสอย่างไรกับพวกเขา

 

กรุงแตกสมบูรณ์แบบ ๓๖-๓

2 พงศาวดาร 36:15-23

แม้ว่าพระเจ้าจะทรงส่งคนของพระองค์มาเตือนพระราชา และเจ้านายแห่งแผ่นดินยูดาห์ครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านอาโมส  ท่านเยเรมีห์ และอีกหลาย ๆ ท่าน แต่… ไม่มีใครฟัง

พระเจ้าทรงสงสารประชาชนที่กำลังจะต้องกลายเป็นทาสในเมืองไกล พระองค์ปรารถนาจะให้พวกเขากลับใจเสียก่อนที่สิ่งร้าย ๆ จะเกิดขึ้น แต่ผู้คนกลับเยาะเย้ยคนของพระเจ้า

“พวกท่านมาพูดอะไรให้เรา  อย่างไรเราก็อยู่สบายแล้ว ถึงจะเป็นเมืองขึ้น ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมาก   อย่ามาทำให้เราต้องกลับจงกลับใจเสียให้ยาก”

“พวกท่านเอาบอกว่า กล่าวคำของพระเจ้า  ท่านนะ โง่จริง”  พวกเขาดูหมิ่นคนของพระเจ้า  เท่ากับดูหมิ่นพระองค์ผู้ทรงส่งคนเหล่านั้นมา

พระเจ้าทรงโกรธพวกเขา ที่โง่เขลาแต่ยังอวดฉลาด  พระองค์ทรงโกรธจนไม่อาจยับยั้งความโกรธนั้นได้

น่ากลัวจริง ๆ

เรากลัวไหม?   แต่พวกเขาไม่กลัวกันเลย  คิดว่าจะอยู่กันอย่างสบายใจอย่างนี้ตลอดไป

ในที่สุด พระเจ้าทรงใช้เนบูคัดเนสซาร์มาจัดการกับเขาอีกเป็นครั้งที่สอง!

 

เนบูคัดเนสซาร์สังหารผู้ชายจำนวนมากมายที่อยู่ในสถานนมัสการ   พวกเขาถูกแทง ฟันอย่างโหดเหี้ยม และคนที่เหลือคือเด็ก ผู้หญิงและคนชรา  รวมไปถึงข้าราชการทั้งหลาย คนเก่ง ๆ ต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยในนครบาบิโลน

ราชาแห่งบาบิโลนได้ปล้นเอาเครื่องใช้ทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่อีกไปหมด ไม่ว่าจะจากในพระวิหารหรือราชวัง

ในที่สุด ก็จุดไฟเผานครเยรูซาเล็ม ทำลายทุกสิ่งที่มีค่าซึ่งเอาไปไม่ได้  คนทั้งหลายต้องไปอยู่ในบาบิโลนนานถึง 70 ปี ตามที่พระเจ้าตรัสผ่านท่านเยเรมีห์  ….

ภาพจาก http://www.preteristarchive.com

แต่…สิ่งที่น่าสนใจมากก็คือ

เกิดอะไรขึ้นบ้างในยุคสมัยก่อนที่พวกเขาจะถูกทำลายจริง ๆ

เราได้ยินถึงข่าวพระราชาองค์นั้นดี องค์นี้ชั่ว

ต่อไปเราจะมาดูว่า พระเจ้าทรงห่วงใยคนที่ดื้อดึงเหล่านี้มากเพียงไร พระองค์ทรงทำอย่างไรบ้างกับพวกเขา  และเหตุการณ์ทั้งหมด มันเป็นเรื่องราวที่จะเป็นตัวอย่างให้เรารู้ว่า  เราจะเดินไปกับพระเจ้าผู้ทรงรักเรา ให้เป็นที่พอน้ำพระทัยที่สุดได้อย่างไร

 

 

 

หลานกับลุงขี้แพ้ ๓๖-๒

2 พงศาวดาร 36:6-14

ในช่วงเวลาที่ราชาเยโฮยาคิมครองอยู่นั้นเอง  เนบูคัดเนสซาร์ ราชาแห่งบาบิโลนก็ยกกองทัพมาโจมตีนครเยรูซาเล็ม  ทรงขนเอาทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ในพระวิหารของพระเจ้าไปเก็บไว้ในวิหารนครบาบิโลน

นี่ไง ทรัพย์สินที่ราชาเฮเซคียาห์เคยอวดราชทูตจากบาบิโลน บัดนี้ มันกลายเป็นของคนชาวบาบิโลนไปเสียแล้ว !   เนบูคัดเนสซาร์ทรงสั่งนำเอาราชาเยโฮยาคิม ซึ่งอยู่ในปีที่ 11 ของการครองราชย์ไปเป็นเชลยในนครบาบิโลน

จะมีโอกาสที่นครเยรูซาเล็มจะฟื้นตัวหรือเปล่า?  กลายเป็นว่าตอนนี้ เยโฮยาคีนซึ่งเป็นโอรสอายุ 18 ปีขึ้นครองแทน
อายุ 18 ปี… ต้องขึ้นครองในขณะที่ต้องกลายเป็นเมืองขึ้น กำลังถูกทั้งอียิปต์ทางตะวันตก และบาบิโลนทางตะวันออกบุกรุกอย่างเอาเป็นเอาตาย  จะสามารถพาประเทศไปสู่อิสระได้ไหม?

ยังไม่ทันไร  ราชาเยโฮยาคีนก็เริ่มต้นด้วยการทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า…. สิ้นปีนั้นเอง ราชาเนบูคัดเนสซาร์จึงทรงจับราชาเยโฮยาคีนไปเป็นเชลยอีก ได้ครองเพียง 3 เดือนเท่านั้น  และตั้งลุงที่ยังหนุ่มแน่นของเยโฮยาคีนคือ เศเดคียาห์ให้เป็นกษัตริย์แทน   ตอนนั้นเศเดคียาห์ทรงมีอายุ 21 ปีเท่านั้นเอง!

เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พระเจ้าทรงใช้เยเรมีห์มาชักชวนให้ประชาชนหันกลับไปหาพระเจ้า  ชวนพระราชาให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง

แต่ราชาเศเดคียาห์กลับกลายเป็นคนชั่วร้ายเช่นกัน ! เป็นราชาที่เย่อหยิ่งทั้ง ๆ ที่ปกครองในฐานะเจ้าเมืองขึ้นเท่านั้น  ไม่ยอมฟังสิ่งที่เยเรมีห์เตือนแม้แต่น้อย  ทำแข็งขืนต่อทั้งพระเจ้าและราชาเนบูคัดเนสซาร์

ไม่เพียงพระราชาหลงทาง  บรรดาปุโรหิต เลวี และผู้ใหญ่จำนวนมากมายก็หลงผิดตามไปด้วย  พระวิหารไม่เหลืออะไร และพวกเขาก็ทำให้พระวิหารยิ่งสกปรกไปอีกด้วยการนำสิ่งน่าเกลียดน่าชังเข้ามาในพระวิหารของพระเจ้าอีก

พระเจ้าจะทรงทำอย่างไรกับพวกเขา?

 

 

 

พี่น้องสองราชาหุ่น ๓๖-๑

2 พงศาวดาร 36:1-5
เมื่อสิ้นราชาโยสิยาห์ ประชาชนก็ได้เลือกเยโฮอาหาส ซึ่งเป็นโอรสให้เป็นพระราชาในนครเยรูซาเล็มแทน ตอนนั้นทรงอายุได้ 23 ปี กำลังหนุ่มแน่น …. แต่ฟาโรห์เนโค ซึ่งมีชัยชนะเหนือยูดาห์อย่างไม่ได้ทรงตั้งใจ ได้ปลดเยโฮอาหาสเสีย และทรงนำเยโฮอาหาสไปเป็นเชลยในอียิปต์
ดูซิว่า ประชาชนอยากได้เยโออาหาสพระอนุชาให้เป็นกษัตริย์ แต่… พวกเขาก็ไม่ได้ถามพระเจ้า หรือปรึกษาพระองค์เลย อยากทำอะไรก็ทำ
ตอนนี้ ยูดาห์กำลังดิ่งลงเหว


ฟาโรห์เนโคทรงตั้งพี่ชายของเยโฮอาหาส คือ เยโฮยาคิมเป็นพระราชาแทน และเยโฮยาคิมนี้จะต้องอยู่ในอาณัติของฟาโรห์เนโค ราชาเยโฮยาคิมนี้ จะกลายเป็นพระราชาหุ่นของฟาโรห์เนโค ต้องคอยหาเงินทองตามที่ฟาโรห์ทรงประสงค์ และรีบส่งไปให้ทันเวลาเสมอ
ทรงบังคับให้ยูดาห์ส่งบรรณาการเงินปีละ 100 ตะลันต์ และทองคำปีละ 1 ตะลันต์
ไม่น้อยเลย…. คนที่ต้องทำงานหนักเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้มาก็คือ ประชาชนเท่านั้น
ถ้าราชาโยสิยาห์ยังทรงพระชนม์
ถ้าพระองค์ทรงฟังคำเตือนของฟาโรห์เนโค
เรื่องราวคงไม่มาถึงตอนนี้ … อยู่ดี ๆ กลายเป็นเมืองขึ้นอียิปต์ไปเสีย ไม่เข้าใจจริง ๆ ท่านราชาโยสิยาห์!!

แล้วราชาเยโฮยาคิมที่ฟาโรห์ทรงแต่งตั้งล่ะ ทรงมีลักษณะอย่างไร ?
ทรงเป็นเหมือนราชาโยสิยาห์หรือเปล่า?
ตอนที่ฟาโรห์เนโคแต่งตั้งให้เยโฮยาคิมขึ้นครองนั้น ทรงมีอายุ 25 ปี
ทรงครองราชย์อยู่11 ปี ในนครเยรูซาเล็ม
น่าเสียดายจริง ๆ
เป็นทั้งราชาหุ่น
และยังเป็นราชาที่ใช้ไม่ได้สำหรับประชาชนและประเทศ พระองค์ไม่ได้ทำสิ่งที่พอพระทัยพระเจ้า ไม่พยายามเลยที่จะให้พระเจ้าได้ทรงช่วยเหลือพวกเขา ราชาเยโฮยาคิมทรงคิดว่า การเป็นทาสอียิปต์ไปอย่างนี้คงปลอดภัยดี พระองค์ไม่ทรงสนพระทัยว่า จะให้ประเทศกลับคืนเป็นอิสระอีกครั้ง

เสียดายที่ไม่ฟัง ๓๕-๓

2 พงศาวดาร 35:20-27

หลังจากที่ราชาโยสิยาห์ได้ฟื้นใจให้คนอิสราเอลได้กลับมาหาพระเจ้าแล้ว  พระองค์ก็ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองอีกหลาย ๆ ทางจนรุ่งเรือง

อยู่มา…ฟาโรห์เนโคแห่งอียิปต์ ได้นำทัพไปสู้ศึกที่แม่น้ำยูเฟรตีส  ซึ่งการศึกครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับยูดาห์  แต่ราชาโยสิยาห์กลับทรงนำทัพไปเผชิญกับฟาโรห์เนโค

ฟาโรห์เนโคก็แสนจะดี  พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะทำร้ายยูดาห์ในเวลานี้แม้แต่นิดเดียว  จึงส่งคนนำสาส์นมายังราชาโยสิยาห์

สาส์นนั้นมีความว่า    “ราชาแห่งยูดาห์เอ๋ย    เราทั้งสองมีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกัน    วันนี้เรามิได้มาต่อสู้ท่านแต่ต่อสู้กับประเทศซึ่งเราทำสงครามด้วย     เพราะพระเจ้าทรงบัญชาให้เราเร่งรีบทำสงคราม  ดังนั้น ขอท่านหยุดที่จะขัดขวางพระเจ้าผู้สถิตกับเรา เกรงว่าพระองค์จะทรงทำลายท่านเสีย”  เป็นคำเตือนที่นุ่มนวลเสียจริง

เมื่อราชาโยสิยาห์อ่านสาส์น  แทนที่จะทรงโล่งพระทัย  กลับทรงคิดไปอีกอย่างหนึ่ง
ราชาโยสิยาห์มิได้ฟังเลยสักนิด  พระองค์กลับปลอมพระองค์เอง เพื่อไปสู้กับฟาโรห์เนโค

ราชาโยสิยาห์มิได้เฉลียวพระทัยว่า สิ่งที่ฟาโรห์เนโคกล่าวนั้นมาจากพระเจ้าโดยตรง

ทรงเข้าไปสู้ที่หุบเขาเมกิดโด

วันนั้นเอง นักแม่นธนูของฟาโรห์เนโคได้ยิงธนูถูกราชาโยสิยาห์อย่างจัง

ปัก!!

“โอ้ย!   เราถูกยิง… พาเราออกจากพื้นที่เดี๋ยวนี้ !” ราชาโยสิยาห์ทรงสั่งพลขับรถม้า

พวกเขาพาพระราชาออกจากรถรบไปอยู่ในรถอีกคัน  และนำพระองค์กลับมายังนครเยรูซาเล็ม
ราชาโยสิยาห์ได้สิ้นพระชนม์อย่างที่ไม่สมควรเลย     พระองค์ทรงลืมไปว่า ทรงควรที่จะทูลต่อพระเจ้าก่อน หากไม่แน่พระทัย  ถ้าเพียงพระองค์ทรงฟังคำเตือนของฟาโรห์เนโคเสีย  ก็จะไม่เป็นอย่างนี้  ราชาโยสิยาห์ทรงคิดอะไรนะในเวลานั้น?

คนทั้งยูดาห์อาลัยกับการจากไปของราชาโยสิยาห์ และเขาเก็บพระศพของพระองค์ในถ้ำเก็บพระศพของพระราชาองค์ก่อน  ๆ

มีการร้องไห้คร่ำครวญถึงราชาโยสิยาห์  และได้ทำต่อมากันเป็นประเพณีเลยทีเดียว

วันที่จะไม่ลืม ๓๕-๒

2 พงศาวดาร 35:10-19

เมื่อทุกอย่างถูกเตรียมการอย่างเรียบร้อยตามที่มีกำหนดไว้ในคำบัญชาจากโมเสส….พวกเขาแน่ใจว่า ไม่มีอะไรบกพร่องหรือขาดหายไป

ปุโรหิตอยู่ประจำที่  เลวีอยู่ประจำกอง
“แบ    แบ   มอ   มอ  แบ   แบ”

เสียงร้องของแกะดังระงมไปทั่วบริเวณ   แล้วเลวีก็ฆ่าแกะปัสกา
ปุโรหิตเอาเลือดจากมือเลวีมาประพรม ตามพิธีการ
คนเลวีถลกหนังสัตว์ที่น่าสงสารเหล่านั้น  แยกส่วนที่เป็นเครื่องบูชา กับการเผาทั้งตัวออกจากกัน

ลองคิดดู จินตนาการดูซิว่า อยากจะเข้าไปอยู่ในที่แห่งนั้นไหม?

ภาพด้วยความเอื้อเฟื้อจาก http://incilbg.com/

ที่สัตว์เหล่านั้นต้องตายก็เพื่อเอาเลือดของมันมาชำระบาปที่มนุษย์ได้ทำลงไป!  รับเคราะห์กรรมของมนุษย์ไป….

ทั้งแพะ  แกะ  และวัวผู้ที่ถูกฆ่าเหล่านั้น จำนวนมากมายจริง ๆ  แพะแกะถูกฆ่าแทนมนุษย์  ส่วนวัวผู้นั้นเขาถวายเป็นศานติบูชา

จากการถวายเครื่องบูชาเหล่านี้ มีส่วนที่เขาจะแยกออกมาเพื่อให้ประชาชนได้กินเป็นที่ระลึกในเทศกาลปัสกา  ทั้งหมดที่ว่านี้ เขาทำกันในวันเดียว  คนที่มีหน้าที่ต้องดูแลประตูเมืองนั้น ก็มีคนทำทุกอย่างแทนให้ ทั้งเครื่องบูชา และอาหาร

นอกจากนั้นยังมีเสียงเพลงจากเหล่าเลวีอีกด้วย  พวกนักร้องก็เตรียมตัวมาอย่างดี  พวกเขาทำเหมือนอย่างที่ราชาดาวิดได้ทรงวางแบบอย่างไว้

ประชาชนได้ถือปัสกาในวันนั้น  และถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้ออีก 7 วัน  ทุกคนต่างตื่นเต้น ยินดีปรีดาที่ได้ร่วมงานอันยิ่งใหญ่ และมี่ความหมายต่อชีวิตของพวกเขา

ไม่มีการถือปัสกาครั้งไหนยิ่งใหญ่เท่าครั้งนี้  เป็นความทรงจำชั่วชีวิตของทุกคนที่เข้าในปัสกาครั้งนี้!

ปัสกาครั้งยิ่งใหญ่ ๓๕-๑

2 พงศาวดาร 35:1-9

ครั้งล่าสุดที่ชนอิสราเอลได้อยู่ในเทศกาลปัสกาก็คือ สมัยราชาเฮเซคียาห์ … และครั้งนี้ราชาโยสิยาห์เป็นผู้ทรงบัญชาให้มีการทำเทศกาลปัสกาอีกครั้ง  มันมีความหมายยิ่งนัก  เพราะจะทำให้ชนอิสราเอลได้ระลึกถึงการที่พระเจ้าทรงนำพวกเขาออกมาจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์

ราชาโยสิยาห์ได้ทรงจัดตั้งคนทำงานอย่างมีระบบ  ทรงให้พวกเขาวางหีบพันธสัญญาของพระเจ้าไว้ ณ ที่เดิม  เนื่องจากก่อนหน้านี้  มีการนำหีบพันธสัญญาของพระเจ้าออกไปอยู่นอกพระวิหาร   กษัตริย์องค์ก่อนหน้านี้ได้วางหีบพันธสัญญาของพระเจ้ารวมไปกับเทวรูปต่าง ๆ ที่พวกเขาบูชา

พวกปุโรหิตและเลวีต้องทำงานหนักมาก เพราะว่า  งานหลักอย่างหนึ่งของเทศกาลปัสกาก็คือ ต้องถวายบูชาแกะหนึ่งตัวต่อหนึ่งครอบครัว ตามที่โมเสสบันทึกไว้ ลองคิดดูซิ   แค่ร้อยครอบครัวงานก็หนักหนาแล้ว!!   และพวกเขายังต้องชำระตัวให้บริสุทธิ์ก่อนที่จะทำหน้าที่ของพวกเขา กว่าจะได้ทำพิธีจริง ๆ ต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ มากมาย

พระราชายังได้ประทานแกะและลูกแพะส่วนพระองค์ให้กับประชาชนถึง  30,000 ตัว  ยังมีวัวผู้อีก 3000 ตัว และยังมีพระญาติของพระราชามอบสัตว์ให้ประชาชน ปุโรหิตและเลวี  ส่วนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพระวิหารก็ได้ให้ลูกแพะลูกแกะอีก 2,600 ตัว  วัวผู้ 300 ตัวแก่ปุโรหิต ยังมีกลุ่มหัวหน้าคนเลวีที่มอบแพะแกะ 5,000 ตัว  วัวผู้ 500 ตัวให้กับคนเลวีด้วย

ภาพโดย Giovan Battista Ruoppolo 1629 - 1693

พระราชาทรงมีน้ำใจ ทำให้พวกผู้ใหญ่และคนมั่งคั่งก็พลอยมีน้ำใจตามไปด้วย…มิฉะนั้น ประชาชนมากมายจะต้องไปหาแกะที่จะมาเป็นผู้รับบาปแทนคนในครอบครัวเอง  คงเป็นเรื่องที่โกลาหลไม่น้อย

ลองรวมดูซิ เป็นจำนวนเท่าไร  เมื่อนับดูจริง ๆ ก็มากมายกว่าครั้งที่กษัตริย์เฮเซคียาห์ได้ชักชวนให้ประชาชนร่วมเทศกาลปัสกามากนัก…

รื้อฟื้นพันธสัญญา ๓๔-๔

2 พงศาวดาร 34:29-33

เมื่อได้ยินคำของฮุลดาห์ สตรีผู้กล่าวคำของพระเจ้า  ราชาโยสิยาห์ก็ทรงตรึกตรองว่า จะทำอย่างไรดี เพื่อว่า ประชาชนทั้งหลายจะได้กลับมาหาพระเจ้า

แล้วเมื่อทรงอธิษฐานต่อพระเจ้า พระองค์ทรงรู้ว่าควรทำอย่างไรดีที่สุด

จึงทรงเชิญผู้ใหญ่ในยูดาห์ และนครเยรูซาเล็มมากันพร้อมหน้า    รวมไปถึงประชาชนในแผ่นดินยูดาห์และชาวเมืองหลวง ทั้งปุโรหิต และคนเลวี

เมื่อพวกเขามากันพร้อมหน้า  พระราชาทรงอ่านคำที่บันทึกไว้ในพันธสัญญาของพระเจ้าให้ทุกคนได้ฟัง   ประชาชนต่างนิ่งฟังอย่างตั้งใจ  พวกเขารู้สึกว่า พระเจ้าทรงกลับมาหาพวกเขาอีกครั้ง   เขาได้ยินคำที่พระองค์เคยตรัสไว้กับโมเสส

“ข้าไม่เคยได้ยินอะไรอย่างนี้มาก่อน”  คนหนึ่งกระซิบกับเพื่อน

“นั่นซิ   แต่มันสำคัญมากเลยนะ  พระราชาจึงเรียกเรามาฟังพร้อมกันอย่างนี้”  คำในพันธสัญญาถูกละเลยมานาน  ประชาชนรุ่นนี้จึงไม่ทราบว่า มีอะไรเขียนบันทึกไว้บ้าง

“ดูซิ  พระราชาทรงทำอะไรนั่น” คนหนึ่งชี้ให้เพื่อนดู  ราชาโยสิยาห์ทรงยกพระหัตถ์ขึ้น….

“ข้าแต่พระเจ้าแห่งอิสราเอลผู้สูงสุด  ข้าพระบาทขอทำพันธสัญญาเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์”  ประชาชนทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็นิ่งฟัง….

“ข้าพระบาทสัญญาว่า จะติดตามพระองค์  จะรักษาพระบัญญัติ  พระโอวาทและกฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของพระองค์  ด้วยสุดจิตสุดใจของข้าพระบาท    จะปฏิบัติตามทุกถ้อยคำที่เขียนบันทึกไว้”

แล้วราชาโยสิยาห์ก็หันมาหาประชาชน

“ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคน เข้ามามีส่วนในพันธสัญญานี้ด้วย”

“พวกเราจะทำตามนั้น”   …. ทุกคนพร้อมใจกันปฏิญาณตนตามพระราชาของพวกเขา

วันนั้น เป็นวันที่ทุกคนจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต

พวกเขาได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้าอีกครั้ง และได้น้อมใจที่จะดำเนินตามพระองค์อีกครั้ง หลังจากที่ถูกสอนผิด ๆ มานาน

 

ตลอดรัชสมัยของราชาโยสิยาห์ ประชาชนจึงกลับมาหาพระเจ้า  เทวรูป  แท่นบูชาต่าง ๆ ก็ถูกทำลายไปสิ้นจากแผ่นดิน