อิสยาห์ 41:21-24
ข้อความตอนนี้ เป็นตอนที่พระเจ้าทรงท้าทายประชาชาติทั้งหลายในโลก พระองค์ทรงเรียกให้เขาเข้ามาใกล้เพื่อพิพากษา ว่าประชาชาติเหล่านั้นได้ให้พระที่เป็นรูปปั้นช่วยพวกเขา พระเจ้าจะทรงให้เห็นว่า พวกเขากำลังเชื่ออะไรอยู่ โดยผ่านคำกล่าวของอิสยาห์ พระองค์ทรงให้เขาเห็นว่า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าเทวรูปของคานาอัน และอัสซีเรีย (ทั้ง ๆ ที่พวกเขากำลังจะเข้ามาโจมตีคนของพระองค์)
พระเจ้าตรัสว่า จงเตรียมคดีของเจ้าให้พร้อม …
องค์ราชาแห่งยาโคบตรัสว่า จงนำข้อพิสูจน์ของเจ้ามา
ให้พวกเขานำมา และบอกเราว่า จะเกิดอะไรขึ้น
จงบอกสิ่งที่เกิดขึ้นมาในอดีต มันคืออะไร เพื่อเราจะได้พิจารณา เพื่อเราจะได้ทราบของผลที่ได้จากเหตุการณ์เหล่านั้น
หรือเจ้าจะประกาศถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น
พระเจ้าทรงถามเขาว่า เทวรูปเหล่านั้น สามารถบอกอนาคตได้หรือ ทั้ง ๆ ที่จะเดินไปไหนมาไหนยังไม่ได้… ต้องให้คนช่วยพาไปตามที่ต่าง ๆ ( พวกเขาเชื่อว่า เทวรูปของเขาสามารถบอกเหตุการณ์ในอนาคตได้)
บอกเราว่าอะไรจะเกิดตามมา เพื่อว่าเราจะได้รู้ว่าพวกเจ้าเป็นเหล่าเทพเจ้า
จงทำดี หรือทำร้ายเพื่อว่าเราจะได้หวาดหวั่น ตกใจ
พระเจ้าตรัสให้เทวรูปเหล่านั้น ทำอะไรขึ้นมาสักอย่างเพื่อให้คนได้รู้พลังของมัน
ดูเถิด เจ้าไม่เป็นอะไรเลย งานของเจ้าก็น้อยยิ่งนั้น ไร้ค่า คนที่เลือกให้เจ้าเป็นพระของเขากลายเป็นสิ่งที่น่าชัง
ตามพระคัมภีร์เดิม
เรื่องราวย่อต่อเนื่องจากพันธสัญญาเดิม จนถึงพันธสัญญาใหม่
อิสยาห์ 41-4
อิสยาห์ 41:17-20
คนที่ยากจนไร้บ้าน คนที่ขัดสนแสวงหาน้ำ ลิ้นของพวกเขาแห้งผากเพราะความกระหายอย่างยิ่ง
แต่เรา ผู้เป็นพระเจ้า จะทรงตอบเขา เราผู้เป็นพระเจ้าแห่งอิสราเอลจะไม่ทอดทิ้งพวกเขา
ภาพข้างบน จิตรกร แมนเดลคิดถึงพระคำของพระเจ้าตอนนี้แหละ
เราจะทำให้มีแม่น้ำบนเนินเขาที่แห้งแล้ง ให้มีน้ำพุท่ามกลางหุบเขา เราจะทำให้ถิ่นกันดารกลายเป็นบ่อน้ำ และที่แห้งแล้งกลายเป็นน้ำพุ
เราจะปลูกต้นสีดาร์ ต้นกระถินเทศ ต้นน้ำมันเขียว และต้นมะกอกเทศ
เราจะให้มีต้นสนไซเปรสขึ้นมาในทะเลทราย และยังมีต้นโอ๊ค และต้นสนอีกมากมาย
ทุกคนจะได้เห็น และรู้ และจะค่อย ๆ พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นและเข้าใจไปพร้อมๆ กันว่า
พระหัตถ์ของพระเจ้าได้ทำสิ่งนี้ องค์ผู้บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลได้สร้างมันขึ้นมา
ความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อคนยากจนนั้น ปรากฏชัดในองค์พระเยซูคริสต์ ทุกคนเข้ามาหาพระเจ้าได้ ไม่ว่าเขาจะจนหรือรวย เงื่อนไขไม่ได้อยู่ที่ฐานะ แต่อยู่ที่ว่า ใครก็ตามที่มีความเชื่อในพระองค์ ก็จะเป็นที่พอพระทัยของพระองค์
และเมื่อมนุษย์ไม่อาจช่วยซึ่งกันและกัน… ยามนั้น เรายังมีพระเจ้า
และหากทุก ๆ คนมองให้ดี ย้อนไปในประวัติศาสตร์โลก ก็จะเห็นว่า พระเจ้าทรงควบคุมทุกอย่าง และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พระองค์ก็ทรงบอกล่วงหน้าหลายอย่างมากมาย ถ้าทุกคนพิจารณาให้ดี …จะเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าที่คอยช่วยไว้
หากพระองค์ไม่ได้ทรงทำให้ ป่านนี้ โลกไม่เหลือแล้ว… เพราะมนุษย์นี่แหละที่ประหัตประหารกันอย่างไร้ความปราณี … แต่จะมีวันหนึ่งที่พระเจ้าทรงจบมันด้วยพระองค์เอง
อิสยาห์ 41-3
อิสยาห์ 41:11-16
ดูเถิด คนที่พยายามต่อต้านเจ้า จะต้องอับอาย และสับสน คนที่ต่อสู้กับเจ้าจะกลายเป็นศูนย์ และจะพินาศไป
เจ้าจะตามหาคนที่สู้กับเจ้า แต่เจ้าจะหาเขาไม่พบ คนที่พยายามทำสงครามกับเจ้า จะกลายเป็นไม่เหลืออะไร
เพราะเรา พระเจ้าของเจ้า จะจับมือขวาของเจ้าว่า เรานี่แหละที่พูดกับเจ้าว่า “อย่ากลัวเลย เราจะเป็นผู้ที่ช่วยเจ้า”

อย่ากลัวไป เจ้าหนอนยาโคบ คนแห่งอิสราเอล! เราคือผู้ที่ช่วยเจ้า พระเจ้าตรัสดังนั้น … ผู้ไถ่ของเจ้าคือ องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
ดูเถิด เราจะทำให้เจ้าเป็นเลื่อนนวดข้าว ทั้งใหม่และคมกริบมีฟันเลื่อย
เจ้าจะบดขยี้ทั้งภูเขา และทำให้มันแหลกละเอียด และเจ้าจะทำให้เนินเขาเป็นเหมือนแกลบ
เจ้าจะซัดมัน และลมจะพัดมันไป พายุจะทำให้มันกระจัดกระจาย กระเจิดกระเจิงไป และเจ้าจะยินดีในพระเจ้า
เจ้าจะถวายเกียรติแด่องค์ผู้บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
เมื่อพระเจ้าตรัสว่า หนอนยาโคบ พระองค์ทรงบอกให้พวกเขารู้ว่า เขาอ่อนแอ และไม่ได้มีความสำคัญ
พระผู้ไถ่องค์นี้ คือพระองค์ผู้ทรงมีความตั้งพระทัยที่จะทำให้อิสราเอลได้หลุดจากการเป็นเชลย ให้เขากลับใจใหม่ และไม่พึ่งพารูปเคารพอีกต่อไป
ลมและพายุในที่นี มีความหมายถึงพลังอำนาจที่ทำลาย ซึ่งเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลก พระเจ้าทรงจัดให้มันเกิดขึ้นเพื่อให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ
อิสยาห์ 41-2
อิสยาห์ 41:5-10
แผ่นดินชายทะเลเห็นและกลัว ที่สุดปลายแผ่นดินโลกก็ตัวสั่น พวกเขามาใกล้ และมาจริง ๆ ทุกคนต่างช่วยเพื่อนบ้านของตน และกล่าวกับพี่น้องของตนว่า “จงเข้มแข็ง!”
ช่างฝีมือให้กำลังใจกับช่างทอง ผู้ที่ทำให้งานเรียบเนียนด้วยค้อนก็ให้กำลังใจกับคนที่ใช้ทั่ง พูดถึงการที่บัดกรีออกมาว่า “ดีนะ” แล้วเขาก็เอาตะปูไปตรึงไว้
เมื่อมีศัตรูเข้ามาโจมตี ดูซิ แทนที่พวกเขาจะมาหาพระเจ้า กลับมาปลอบใจกันเอง และพากันสร้างรูปเคารพขึ้นอีก
แต่เจ้า อิสราเอล เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา ยาโคบที่เราได้เลือก ลูกหลานของอับราฮัมเพื่อนของเรา
เจ้า ผู้ที่เราได้นำมาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลก และเรียกมาจากดินแดนไกลโพ้น
พวกเขาเป็นคนรับใช้ของพระเจ้า… เมื่อเทียบกับชนชาติอื่นที่ไม่ใช่ พวกเขามีสิทธิพิเศษจริง ๆ และพระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมผู้เป็นบิดาของชาวอิสราเอลว่า “เพื่อน” ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์นั้นแนบแน่นกว่าการเป็นคนรับใช้เสียอีก
ในยุคสุดท้าย พระเจ้าจะทรงเรียกคนของพระองค์กลับมาจากสถานที่ซึ่งพวกเขากระจัดกระจายกันไป…
และเราพูดกับเจ้าว่า “เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา เราได้เลือกเจ้าและมิได้เขวี้ยงเจ้าทิ้งไป อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะให้กำลังเจ้า ใช่ เราจะช่วยเจ้า เราจะยกเจ้าขึ้นด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”
พระเจ้าทรงให้กำลังใจพวกเขาขนาดนี้ พวกเขารู้ไหมนะว่า คนอื่น ๆ ยังไม่ได้อย่างนี้เลย
อิสยาห์ 41-1
อย่ากลัว เพราะเราอยู่กับเจ้า
อิสยาห์ 41:1-4
ในความเงียบ จงฟังเรา แผ่นดินชายทะเลเอ๋ย
จงให้ผู้คนได้รื้อฟื้นกำลังขึ้นมาใหม่
ให้พวกเขาเข้ามา และได้พูด
ให้พวกเราเข้ามาเพื่อรับการพิพากษา
ใครล่ะ ที่ได้เร้าให้คนหนึ่งจากตะวันออกเข้ามาพบกับชัยชนะทุกฝีก้าว?
ผู้นั้นได้มอบประชาชาติทั้งหลายให้เขา เพื่อว่าเขาจะได้เหยียบย่ำเหล่ากษัตริย์อยู่ใต้เท้า เขาใช้ดาบทำให้เหล่ากษัตริย์เหล่านั้นเป็นเหมือนฝุ่น
เขาใช้ธนูทำให้พวกนั้นเป็นเหมือนตอข้าวที่ถูกพัดไป
เขาตามไล่ล่าและผ่านพวกเขาไปอย่างปลอดภัย ตามทางที่เขาไม่เคยเหยียบไปเลย
ใครล่ะ เป็นผู้ที่ทำสิ่งนี้ให้เห็น เรียกบรรดาชนทุกรุ่นมาจากตั้งแต่เวลาปฐมกาล?
เรา องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นต้น และเป็นสุดท้าย เราคือเขาผู้นั้น
อ่านตอนนี้แล้วต้องเข้าใจว่า ใครล่ะ นั่นคือ องค์พระผู้เป็นเจ้า ส่วนคนที่มาจากตะวันออกนั้นคือ ราชาไซรัสมหาราชแห่งเปอร์เซีย ไซรัสได้รบชนะบาบิโลน (ถ้าเราดูการ์ตูนของวันที่ 4 เมษายน 13 ช่องที่ 7 ก็จะเข้าใจมากขึ้น)
พระเจ้าทรงมอบอำนาจให้ไซรัสมหาราชได้ชนะไปรอบทิศ …. เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น ไม่ใช่อะไรเกิดตามความบังเอิญ …
พระเจ้าทรงเป็นต้น และเป็นสุดท้าย มีความหมายชัดเจนว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และทรงเป็นผู้ปกครองทุก ๆ ส่วนของประวัติศาสตร์โลกนี้
อิสยาห์ 40-5
อิสยาห์ 40:25-31
เจ้าจะเปรียบเรากับใคร เราเหมือนใครหรือ? องค์ผู้บริสุทธิ์ตรัส จงเงยหน้ามองดูที่สูง ใครล่ะ ใครสร้างสิ่งเหล่านี้มา?
พระองค์ผู้ทรงนำดวงดาวออกมาตามจำนวน และเรียกชื่อของมัน ด้วยความยิ่งใหญ่แห่งอำนาจของพระองค์ และเพราะพระองค์ทรงพลังเข้มแข็ง จึงไม่มีดาวดวงใดขาดไปเลย
“โอ ยาโคบ เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่า… โอ อิสราเอล เหตุใดเจ้าจึงพูดว่า… ..หนทางของข้าพเจ้าซ่อนไว้จากพระเจ้า และพระเจ้าไม่ทรงสนพระทัยในสิทธิของข้าพเจ้า..? “
เจ้าไม่เคยรู้เลยหรือ? เจ้าไม่เคยได้ยินหรือ? ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้านิรันดร์ ทรงเป็นพระผู้สร้างจนที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ทรงอ่อนเพลียหรือเหนื่อยล้า ความเข้าใจของพระองค์นั้นเกินที่จะหยั่งรู้ได้

PHOTO BY SCOTT BOURNE
พระองค์ประทานกำลังให้กับคนที่อ่อนเพลีย และคนที่ไม่มีพลัง พระองค์ก็ทรงเพิ่มกำลังให้
แม้ว่าเด็กหนุ่มสาวจะอ่อนเพลียและเหน็ดเหนื่อย แม้เด็กหนุ่มจะล้มลงด้วยความล้า แต่คนที่รอคอยพระเจ้าจะรับกำลังใหม่ พวกเขาจะก้าวขึ้นมาพร้อมกับปีกดั่งอินทรี พวกเขาจะวิ่ง และไม่อ่อนแรง พวกเขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง
อิสยาห์ 40-4
อิสยาห์ 40:18-24
พระเจ้าเท่านั้น ทรงเป็นพระเจ้า
ดูเหมือนว่า คราวนี้อิสยาห์กำลังเยาะเย้ยคนที่สร้างรูปเคารพขึ้น อ่านดูว่า ท่านกล่าวไว้อย่างไร
เจ้าจะเปรียบองค์พระผู้เป็นเจ้ากับอะไร จะมีสิ่งใดมาเปรียบเทียบกับพระองค์ได้ ?
รูปเคารพหรือ ช่างปั้นก็หล่อมันขึ้นมา และช่างทองก็เคลือบมันด้วยทอง และยังหล่อโซ่เงินให้อีก
และสำหรับคนที่ยากจน ก็เลือกเอาไม้ที่ไม่ผุมาทำเป็นรูปเคารพ เขาหาช่างฝีมือให้ตกแต่งไม้เป็นรูปเคารพที่จะไม่เคลื่อนไหวไปไหน
เจ้าไม่รู้หรือ? เจ้าไม่ได้ยินหรือ? ไม่ได้มีการบอกมาตั้งแต่ต้นหรอกหรือ? เจ้าไม่เข้าใจมาตั้งแต่การเริ่มวางฐานแผ่นดินโลกหรือ?
พระองค์ผู้ประท้บเหนือวงอาณาเขตของโลก (น่าสนใจจริง เอกภาพอันกว้างใหญ่ ทำให้เรารู้ว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก)
และเหล่าคนที่อยู่ในโลกก็เป็นเหมือนตั๊กแตน
พระองค์ทรงขึงฟ้าราวกับขึงม่าน
และกางมันออกเหมือนกับกระโจมที่อาศัย

พระองค์ทรงทำให้เจ้าชายทั้งหลายกลายเป็นความว่าง
และทำให้ผู้ปกครองของแผ่นดินกลายเป็นความว่างเปล่า
พวกเขาถูกปลูกขึ้นไม่กี่คน หว่านไม่กี่คน รากก็ลงไปในดิน ยังไม่ทันไร เมื่อพระเจ้าทรงเป่าพวกเขา เขาก็เหี่ยวแห้งไป พายุพัดเขาออกไปเหมือนตอข้าว
เพื่อน ๆ ครับ เมื่อเราสามารถมองลึกเข้าไปในจักรวาล เห็นกาแล็กซี่อื่น ๆ มันพอจะทำให้เราเห็นไหมว่า เราเหมือนความว่างเปล่าขนาดไหน
อิสยาห์ 40-3
อิสยาห์ 40:12-17
ใครเป็นผู้ที่วัดน้ำด้วยอุ้งมือ และวัดขนาดท้องฟ้าด้วยมือเพียงคืบเดียว
![ภาพs]6,fe creative commons](http://bubee.net/wp-content/uploads/2013/04/Black_Hole_in_the_universe.jpg)
ยังบรรจุผงดินจากผืนโลกในถัง และชั่งน้ำหนักของภูเขาบนตาชั่ง ชั่งนำหนักของเนินเขาด้วยตราชั่งลูกตุ้ม ?
พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ และขณะที่พระองค์ทรงสร้างสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ พระเจ้าทรงทำอย่างมีระบบระเบียบ งดงาม
ผู้ใดได้วัดพระวิญญาณของพระเจ้า?
มนุษย์คนใดจะให้คำปรึกษาแก่พระองค์?
ใครจะทำให้พระองค์ทรงเข้าใจ?
ใครบอกหนทางของความเที่ยงตรงแก่พระองค์?
และบอกความรู้ต่าง ๆ แก่พระองค์?
พระเจ้าเท่านั้นทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาด้วยพระองค์เอง ไม่มีมนุษย์คนใดเกิดมาแล้วไปสั่งพระองค์ให้สร้างโลกและจักรวาลได้ แต่มนุษย์ในโลกก็ยังคิดว่า ตัวเองใหญ่โตเหนือกว่าพระองค์ สรรเสริญองค์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งอย่างมหัศจรรย์
ดูเถอะ ประชาชาชาติต่าง ๆ ก็เป็นเหมือนน้ำหยดหนึ่งจากถัง และนับเหมือนผงเล็ก ๆ บนตาชั่ง
ดูเถิด พระองค์ทรงหยิบแผ่นดินชายทะเลขึ้นมาเหมือนกับฝุ่นเล็ก ๆ
เลบานอนทั้งหมดก็ไม่พอที่จะเป็นเชื้อเพลิง สัตว์ป่าทั้งสิ้นก็ไม่พอที่จะเผาเป็นเครื่องบูชา
ต่อพระพักตร์พระเจ้า ประชาชาติทั้งหลายก็ไม่เป็นอะไรเลย…
พวกเขาถูกพระองค์นับเป็นน้อยกว่าศูนย์ น้อยกว่าความว่างเปล่า!
แค่อ่านตอนนี้ ก็รู้สึกตะลึงลานกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
และรู้สึกสมเพชกับมนุษย์ที่คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มีอำนาจ เขาหารู้ไม่ว่า เขาเล็กยิ่งกว่าฝุ่นในสายพระเนตรของพระเจ้า
อิสยาห์ 40-2
อิสยาห์ 40:6-11
พระคำของพระเจ้าคงอยู่ตลอดไป
เสียงหนึ่งร้องว่า “ร้องซิ! “ และข้ากล่าวว่า “ข้าจะร้องอะไรเล่า?” บรรดาสิ่งที่มีเนื้อหนังก็เหมือนหญ้า ความงามของมันก็เหมือนกับดอกไม้ในทุ่ง
หญ้าก็เหี่ยวแห้งไป ดอกไม้ก็ร่วงไป เมื่อพระเจ้าทรงเป่ามันด้วยลมปราณของพระองค์ ใช่แล้ว คนเป็นเหมือนหญ้า
หญ้าก็เหี่ยวแห้งไป ดอกไม้ก็ร่วงไป แต่พระคำของพระเจ้านั้นดำรงอยู่เป็นนิตย์
ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
จงลุกขึ้นไปยังภูเขาสูง โอ ศิโยน ฟังข่าวดีเถอะ เปล่งเสียงของเจ้าสุดกำลัง โอ เยรูซาเล็ม ผู้ส่งข่าวดี จงเปล่งเสียงของเจ้า ไม่ต้องกลัว กล่าวแก่เมืองต่าง ๆ ของยูดาห์ว่า “ จงมองดูพระเจ้าของเจ้า”
ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาด้วยอานุภาพ แขนของพระองค์ครอบครองเพื่อพระองค์
ดูเถิด รางวัลอยู่กับพระองค์ และค่าตอบแทนก็อยู่ต่อพระพักตร์ของพระองค์
พระองค์จะทรงเลี้ยงฝูงแกะของพระองค์เหมือนกับผู้เลี้ยง และจะทรงรวบรวมลูกแกะไว้ในอ้อมกอดของพระองค์ พระองค์จะทรงอุ้มมันไว้ในทรวง และนำตัวที่มีลูกอ่อนไป
การบรรยายของอิสยาห์ตอนนี้ ทำให้เราคิดถึงใครไปไม่ได้ นอกจากพระเยซูผู้ทรงเป็นผู้เลี้ยงดีเลิศ
อิสยาห์ 40-1
จากบทที่ 40 ต่อไปนี้ เราจะได้เห็นพระคุณของพระเจ้าที่มีต่ออิสราเอลอย่างมาก แม้ว่าเขาจะถูกจับไปเป็นเชลย ต้องทุกข์ยากลำบากในบาบิโลน แต่มีวันหนึ่งที่พระเจ้าจะทรงช่วยเขา ตั้งแต่บทแรกจน 39 ที่ผ่านมา มีข่าวสารเรื่องของการพิพากษาของพระเจ้าไม่ยั้งหยุด แต่เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงเมตตาเพียงไร แผนการของพระองค์นั้น เพื่อให้พวกเขาได้สิ่งดีกว่า ไม่ตกอยู่ในสภาพที่ทำลายตัวเองด้วยบาปของตน
“จงปลอบใจ จงปลอบใจคนของเรา” พระเจ้าของเจ้าตรัส
“จงพูดอย่างอ่อนโยนต่อนครเยรูซาเล็ม และร้องว่า สงครามของเธอสิ้นสุดลงแล้ว และความบาปผิดของเธอได้รับการอภัยแล้ว และเธอได้รับโทษจากพระหัตถ์ของพระเจ้าถึงสองเท่าของบาป”
ตรงนี้เราเห็นเลยว่า ไม่ว่าพวกเขาทำบาปเพียงไร พระเจ้าก็ทรงยกโทษให้เขาเมื่อเขากลับใจ และถ้าเราจะอ่านไป ๆ เราจะเห็นว่า พระเจ้าจะประทานพระพรเป็นสองเท่าของที่ได้รับโทษไปด้วย …
มีเสียงหนึ่งร้องว่า “จงเตรียมทางของพระเจ้าในถิ่นกันดาร จงทำทางหลวงเส้นตรงในทะเลทรายถวายองค์พระเจ้า หุบเขาจะถูกถม และภูเขา-เนินเขาจะถูกทำให้ราบลง พื้นที่ซึ่งเป็นหลุมขรุขระจะทำให้ราบเรียบ
พระสิริอันตระการของพระเจ้าจะปรากฏ และทุกชีวิตจะมองเห็นพร้อม ๆ กัน พระโอษฐ์ของพระเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว”
ดูเหมือนท่านอิสยาห์จะเน้นพระบิดา พระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงยิ่งใหญ่จากบทนี้ไปจนถึง 48 จากนั้นกล่าวถึงพระบุตรจนถึงบทที่ 57 และองค์พระวิญญาณจาก 58-66
ให้เพื่อน ๆ อ่านกันต่อไปนะครับ
อิสยาห์ 39-2
อิสยาห์ 39:3-8
เมื่อได้ข่าวนั้น อิสยาห์จึงเข้ามาเฝ้าราชาเฮเซคียาห์ด้วยความหนักใจ ทูลว่า “คนเหล่านี้พูดอะไรบ้าง? และพวกเขามาจากไหนกันพะยะค่ะ?”
พระราชาตรัสตอบว่า “โอ.. พวกเขามาเยี่ยมเราไง มาจากเมืองบาบิโลนซึ่งอยู่ไกลมาก “
“แล้วพวกเขาเห็นอะไรในราชวังของพระองค์บ้าง?”
“โอย… พวกเขาเห็นทุกอย่างนั่นแหละ ไม่มีอะไรสักอย่างที่ข้าไม่ได้ให้พวกเขาชม” พระราชาทรงตอบอย่างภูมิใจ… พระองค์ทรงมีมากมายที่จะอวดได้นี่นา
แล้วอิสยาห์จึงทูลพระองค์ว่า “ขอพระราชาทรงฟังพระดำรัสของพระเจ้า ดูเถอะ วันหนึ่ง ทรัพย์สมบัติทุกอย่างในพระคลัง และทุกอย่างที่บรรพบุรุษได้เก็บสะสมไว้จะถูกกวาดไปบาบิโลนจนหมดสิ้น ไม่มีอะไรเหลือเลย… พระเจ้าตรัสไว้ดังนี้
และโอรสในใส้ของพระองค์หลายคนจะถูกจับไป และกลายเป็นขันทีในวังของกษัตริย์แห่งบาบิโลน”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฮเซคียาห์จึงตรัสแก่อิสยาห์ว่า “พระดำรัสของพระเจ้าที่ท่านอิสยาห์ว่ามานั้น ก็ดีนะ”
เพราะพระราชาทรงคิดว่า…. อย่างน้อยก็มีสันติสุขและความปลอดภัยในรัชกาลของข้า!
ราชาเฮเซคียาห์ไม่ได้คิดถึงลูกหลานเลย… ขอให้ตัวเองสบายและปลอดภัยเป็นพอ…ยังไงกันนี่?
อิสยาห์ 39-1
อิสยาห์ 39:1-2
ในเวลานั้น เมโรดัค-บาลาดัน โอรสของบาลาดันซึ่งเป็นราชาแห่งบาบิโนทรงส่งราชทูตมาพร้อมกับคำอวยพรและของขวัญมาถวายแด่ราชาเฮเซคียาห์
พระองค์ทรงได้ข่าวว่า ราชาเฮเซคียาห์ทรงล้มป่วยและบัดนี้หายดีแล้ว การมาของราชทูตครั้งนี้ทำให้ราชาเฮเซคียาห์ทรงรู้สึกดีมาก ๆ
คงเป็นความรู้สึกแปลกมากทีเดียว หัวหน้าของประเทศที่เป็นศัตรูกลับส่งสารมาอวยพร และยังมีของขวัญมาถวายอีก ราชาเฮเซคียาห์ทรงรู้สึกอย่างไร ลองคิดซิ….
ต่อมา พระองค์ได้ทรงนำราชทูตทั้งคณะไปชมท้องพระคลังในราชวัง และท้องพระคลังหลวง ให้พวกเขาชมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเงิน ทอง เครื่องเทศ น้ำมันมีค่า และอาวุธ …
และแน่นอนในเวลานั้น เพื่อน ๆ ลองคิดดูว่า ราชทูตจะต้องพูดคำที่ยกยอราชาเฮเซคียาห์อย่างล้น ๆ เกิน ๆ พระราชาเองก็หลงคำเหล่านั้นไปด้วยปรากฏว่า ไม่มีของใดที่หลุดหูหลุดตาเหล่าราชทูตนี้ไปเลย พระองค์ไม่เก็บความลับไว้สักนิด
เหมาะหรือเปล่าที่พระราชาจะทำสิ่งนี้?
เหตุใดพระองค์จึงทรงให้พวกเขาดูท้องพระคลัง? ลองจินตนาการวันนั้นที่ทั้งสองฝ่ายพบกัน… แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปนี่?
เวลาที่มีคนชม เวลาที่ถูกชื่นชมมากเกินไป จะเกิดอะไรในใจของเรา ??
อิสยาห์ 38-3
ข้อเขียนของพระราชา (ต่อ)
ตอนที่ราชาเฮเซคียาห์ทรงป่วยหนัก ทรงทูลขอต่อพระเจ้าที่จะรักษาให้หาย
อิสยาห์ 38:16-21
ข้าแต่พระเจ้า มนุษย์มีชีวิตได้ด้วยสิ่งเหล่านี้ และชีวิตของจิตวิญญาณของข้าก็อยู่ในสิ่งเหล่านี้ ขอพระเจ้าทรงรื้อฟื้นข้าให้หายเป็นปกติ ขอทรงให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไป!
ดูเถอะ ที่ข้าต้องขมขื่นมากเช่นนี้ก็เพื่อสวัสดิภาพของข้าเอง ด้วยความรัก พระองค์ได้ทรงช่วยชีวิตของข้าให้รอดพ้นจากหายนะในหลุมลึก เพราะพระองค์ทรงเขวี้ยงบาปทั้งสิ้นของข้าไว้เบื้องหลังพระองค์
เพราะแดนคนตายไม่ขอบคุณพระองค์ และความตายก็ไม่สรรเสริญพระองค์ และคนที่ตายไปอยู่ที่นั่นก็ไม่อาจจะหวังใจในความซื่อตรงของพระองค์
คนเป็น คนเป็นเท่านั้นที่ขอบคุณพระองค์ เหมือนอย่างที่ข้าทำในวันนี้ พ่อได้ทำให้ลูกได้รู้จักความซื่อตรงของพระองค์
พระเจ้าจะทรงช่วยข้าให้รอดพ้น และเราจะเล่นเครื่องสายทุกวันตลอดชีวิตของเราในพระวิหารของพระองค์
บัดนี้อิสยาห์กล่าวว่า “ให้เอาขนมมะเดื่อมาปะไว้ที่ฝีของพระราชา แล้วพระองค์จะทรงหายดี” เอเซคียาห์จึงตรัสว่า “อะไรเป็นหมายสำคัญว่า ข้าจะได้ไปยังพระวิหารของพระเจ้า”
อิสยาห์ 38-2
อิสยาห์ 38:9-15
คำเขียนของราชาเฮเซคียาห์แห่งยูดาห์ หลังจากที่พระองค์ทรงป่วย และฟื้นองค์ขึ้นจากอาการป่วย
ข้ากล่าวว่า … ในชีวิตวัยกลางคน ข้าจะต้องจากไป ข้าถูกพาไปที่ประตูเมืองคนตายตลอดชีวิตของข้าที่เหลืออยู่ ข้ากล่าวว่า ข้าจะไม่ได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในแผ่นดินของคนที่มีชีวิตอยู่
ข้าจะไม่ได้มองเห็นมนุษย์ท่ามกลางผู้ที่อาศัยในโลกอีกต่อไป
ที่อาศัยของข้าถูกถอน และเคลื่อนย้ายออกไปจากข้าราวกับกระโจมของคนเลี้ยงแกะ
ข้าได้ม้วนชีวิตของข้าเหมือนกับคนทอผ้า เขาตัดข้าออกจากหูกทอ ตั้งแต่เช้าจนค่ำพระเจ้าทรงนำข้ามาถึงอวสาน
ข้าทำตัวให้สงบจนกระทั่งเช้า พระองค์ทรงหักกระดูกของข้าเหมือนอย่างสิงโต ตั้งแต่เช้าจนค่ำพระเจ้าทรงนำข้ามาถึงอวสาน
ข้าร้องอย่างนกนางแอ่น หรือนกกระเรียน ข้าร้องครางเหมือนอย่างนกพิราบ
ดวงตาของข้าอ่อนระโหยเพราะมองขึ้นไป ข้าแต่พระเจ้า ข้าถูกบีบคั้น ขอทรงเป็นผู้ประกันความปลอดภัยให้ข้าด้วย!
ข้าจะพูดอย่างไร เพราะพระองค์ตรัสกับข้า พระองค์ทรงกระทำสิ่งเหล่านั้น ข้าเดินไปช้า ๆ ตลอดปีเดือนของชีวิตข้าเพราะจิตวิญญาณของข้าขมขื่นนัก….
ยังมีต่อ
อิสยาห์ 38-1
อิสยาห์ 38:1-8
ในช่วงเวลานั้นเอง ราชาเฮเซคียาห์ทรงป่วยจนเกือบจะสิ้นพระชนม์ และอิสยาห์ผู้กล่าวคำของพระเจ้าบุตรของอามอสเข้ามาเฝ้า ทูลขอให้พระราชาทรงจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เพราะว่า พระองค์จะสิ้นพระชนม์แน่ จะไม่มีพระชนม์อยู่ต่อไป
เมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น ….
ราชาเฮเซคียาห์หันพระพักตร์เข้าผนัง และอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสว่า
ขอพระเจ้าทรงโปรดระลึกถึง ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทูลขอพระกรุณา ขอทรงระลึกว่า ข้าพระองค์ได้ดำเนินชีวิตอย่างไรต่อพระพักตร์ของพระองค์ ข้าพระองค์เดินอย่างสัตย์ซื่อ ในควาจริง ด้วยสุดใจของข้าพระองค์ และได้ทำสิ่งที่ชอบต่อพระเนตรของพระองค์… แล้วพระราชาก็ทรงร้องไห้ด้วยความขมขื่นพระทัย….
ใช่แล้ว พระองค์ไม่อยากที่จะสิ้นใจไปในเวลานี้!
จากนั้น พระเจ้าตรัสกับอิสยาห์ว่า “ไป เจ้าจงไปบอกเฮเซคียาห์ว่า พระเจ้าของดาวิด บรรพบุรุษของเจ้าตรัสว่า เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว เราได้เห็นน้ำตาของเจ้า ดูเถอะ เราจะต่อชีวิตให้อีก 15 ปี”
“และเราจะช่วยเจ้าและนครแห่งนี้ให้พ้นจากน้ำมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย เราจะปกป้องนครเยรูซาเล็มไว้”
เพือเจ้าจะได้รู้ว่านี้เป็นคำของเรา เราจะให้หมายสำคัญแก่เจ้า
นั่นคือ เราจะให้เงาของแสงอาทิตย์บนนาฬิกาแดดของอาหัสนั้น ย้อนกลับมาสิบขั้น…”
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง แสงอาทิตย์ได้ย้อนกลับบนนาฬิกาแดดสิบขั้น…….
อิสยาห์ 37-5
อิสยาห์ 37:30-38
และนี่จะเป็นเครื่องหมายสำหรับเจ้า… เฮเซคียาห์ ปีนี้เจ้าจะได้กินสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาเอง ในปีถัดไปเจ้าจะได้กินสิ่งที่งอกออกมาจากจากนั้น แล้วในปีที่สามจงหว่านและเก็บเกี่ยว ปลูกสวนองุ่นและกินจากผลนั้น
และคนที่เหลืออยู่ในครอบครัวของยูดาห์จะหยั่งรากลึกลงไป และเกิดผลขึ้นมา เพราะจากนครเยรูซาเล็ม คนที่หลงเหลืออยู่จะออกมา จากภูเขาศิโยนจะมีกลุ่มคนที่รอดชีวิตออกมา พระเจ้าจะทรงทำสิ่งนี้ด้วยความกระตือรือร้น
พระเจ้าตรัสถึงกษัตริย์แห่งอัสซีเรียว่า ดังนั้น เขาจะไม่ได้เข้ามาในเมืองนี้ หรือยิงธนู ณ ที่นี้ หรือจะมาอยู่ต่อหน้าเมืองนี้ด้วยโล่ห์ หรือจะมาสร้างป้อมเพื่อสู้กับเมืองนี้ก็ไม่ได้ เขามาทางใด เขาต้องกลับไปทางนั้น เขาจะไม่ได้เข้ามาในเมืองนี้ พระเจ้าตรัส
เพราะเราจะป้องกันเมืองนี้ เพื่อจะช่วยให้รอดปลอดภัย เพื่อเห็นแก่เราเอง และเห็นแก่ดาวิดซึ่งเป็นผู้รับใช้ของเรา

แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้ออกไป และสังหารทหารอัสซีเรีย 185,000 นาย และเมื่อลุกขึ้นในเวลาเช้าวันต่อมา ก็พบแต่ศพมากมายเหล่านี้
จากนั้น เซนนาเคอริบ กษัตริย์แห่งอัสซีเรียจึงยกทัพกลับไป ประทับในนีนะเวห์
อยู่มา ขณะที่พระองค์กำลังนมัสการในวิหารเจ้านิสโรก โอรสสองคนก็สังหารพระองค์ด้วยดาบ จากนั้นก็หนีไป โอรสที่ชื่อเอสารฮัดโดนจึงครองแทน
อิสยาห์ 37-4
อิสยาห์ 37:21-29
ถึงทีของเซนนาเคอริบ
แล้วอิสยาห์ลูกชายของอาโมสจึงส่งคนไปหาราชาเฮเซคียาห์ ทูลว่า “พระเจ้า องค์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ เพราะเจ้าได้อธิษฐานต่อเราในเรื่องของเซนนาเคอริบ ราชาแห่งอิสซีเรีย
ขอให้ฟังคำของพระเจ้าเกี่ยวกับราชาอัสซีเรีย เธอดูหมิ่นเจ้า เธอเยาะหยันเจ้า ลูกสาวพรหมจารีแห่งศิโยน… เธอส่ายหน้าตามหลังเจ้า ลูกสาวแห่งเยรูซาเล็ม

เจ้าเยาะเย้ย เหยียดหยามใคร? เจ้าขึ้นเสียงต่อต้านใคร? เจ้าทำตายะโสใส่ใคร? ก็ต่อองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลไงเล่า ! เจ้าใช้บ่าวของเจ้ามาเยาะหยันองค์พระเจ้า และเจ้ากล่าวว่า ข้าได้ขึ้นไปยังภูเขาสูงพร้อมกับรถรบจำนวนมาก ไปยังยอดเลบานอนเพื่อตัดต้นสีดาร์ต้นที่สูงสุดลงมา ข้าโค่นต้นสนที่ดีเยี่ยม ข้าได้ขึ้นไปถึงที่สูงสุด ในป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด
ข้าขุดบ่อ และดื่มน้ำ ธารน้ำแห่งอียิปต์แห้งไปหมดเพราะส้นเท้าของข้า”
“เจ้าไม่ได้ยินหรือว่า เราตั้งใจมานานแล้ว? และบัดนี้ เราจะทำให้มันสำเร็จอย่างที่เราคิดไว้ นั่นก็คือ ให้เจ้าทำลายเมืองป้อมจนกลายเป็นซากปรักหักพัง ในขณะที่คนเมืองนั้น หมดอำนาจไป ต้องสับสนและอับอาย กลายเป็นเหมือนต้นพืชในทุ่ง และเหมือนหญ้าอ่อน เหมือนหญ้าที่อยู่บนหลังคาบ้านซึ่งถูกแดดเผาก่อนที่จะเติบโตขึ้นมาได้”
“เรารู้จักเจ้าดี ไม่ว่าจะนั่งลง ออกไป หรือเข้ามา รวมไปถึงที่เจ้าฉุนเฉียวใส่เรา.. เพราะว่าเจ้าได้ทำตัวฉุนเฉียวใส่เรานี่แหละ วาจาอันโอ้อวด โอหังเข้ามาถึงหูเรา เราจะเอาขอเกี่ยวใส่จมูกของเจ้า และใส่บังเหียนในปากของเจ้า และเราจะทำให้เจ้ากลับไปตามเส้นทางที่เจ้ามา”
เซนนาเคอริบโอหังกับพระเจ้ามาโดยตลอด แต่หารู้ไม่ว่า ชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับพระเจ้า พระองค์ทรงใช้ให้เขาทำทุกอย่างตามน้ำพระทัยของพระองค์เอง ไม่ว่าจะเป็นการทำสงคราม หรือการโจมตีเมืองต่าง ๆ
เขาไม่มีสิทธิที่จะโอ้อวดอย่างที่เราได้อ่านในวันนี้เลย
อิสยาห์ 37-3
อิสยาห์ 37:14-20
คำอธิษฐานของราชาเฮเซคียาห์
ราชาเฮเซคียาห์ทรงรับจดหมายมาจากมือของผู้สื่อข่าว ทรงอ่าน และพระองค์ก็เสด็จขึ้นไปยังพระวิหารของพระเจ้าทันที…
คิดว่า พระองค์จะทรงทำอย่างไร?
พระองค์ทรงวางจดหมายนั้นต่อพระพักตร์พระเจ้า และทูลอธิษฐานด้วยพระทัยที่ปวดร้าว
“ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอล พระองค์ประทับอยู่เหนือเชรูบิม พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า จากประชาชาติ อาณาจักรทั้งหลายในแผ่นดิน พระองค์เท่านั้น ทรงเป็นผู้สร้างสวรรค์และโลก
ขอพระเจ้าทรงเงี่ยพระกรรณ พระเจ้าข้า และขอพระองค์ทรงฟัง โปรดทอดพระเนตร
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเห็นและได้ยินคำที่เซนนาเคอริบส่งมาเพื่อเหยียดหยามพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ จริง ๆ แล้ว พระเจ้าข้า..กษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ทำลายแผ่นดินของหลาย ๆ ประเทศ ได้โยนพระของเขาเหล่านั้นลงในกองไฟ เพราะเหล่านั้นไม่ใช่พระ เป็นเพียงสิ่งที่มือมนุษย์ทำขึ้นมา เป็นไม้และหิน ดังนั้นมันจึงถูกทำลาย
บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเราทั้งหลาย ขอพระองค์ทรงช่วยเราให้พ้นจากมือของราชาอัสซีเรีย เพื่อว่า อาณาจักรทั้งหลายในแผ่นดินจะได้รู้ว่า พระองค์เท่านั้นทรงเป็นพระเจ้า
อิสยาห์ 37-2
อิสยาห์ 37:5-12
ดังนั้นเมื่อข้าราชการของราชาเฮเซคียาห์ไปหาอิสยาห์ อิสยาห์จึงกล่าวกับเขาว่า “ไปบอกเจ้านายของเจ้า … พระเจ้าตรัสดังนี้ อย่ากลัวคำที่เจ้าได้ยิน
กษัตริย์อัสซีเรียส่งคนหนุ่ม ๆ มาเพื่อกล่าวคำดูหมิ่นเรา ดูเถิด เราจะใส่วิญญาณหนึ่งเข้าไปในเขา เพื่อว่าเขาจะได้ยินข่าวลือและกลับไปแผ่นดินของเขาเอง และเราจะให้เขาต้องตายด้วยดาบในแผ่นดินของเขา”
กษัตริย์อัสซีเรียองค์นี้คือ เซนนาเคอริบ สิ่งที่ร้ายกับตัวเซนนาเคอริบเองคือ การที่ดูหมิ่นองค์พระผู้เป็นเจ้าเที่ยงแท้ และพระองค์ทรงคาดโทษเขาไว้ให้เห็นชัดเจน

เพราะเขาได้ยินว่า พระองค์ออกจากเมืองลาคิชไปแล้ว รับชาเคห์จึงกลับไปเฝ้ากษัตริย์อัสซีเรีย และพบว่ากษัตริย์กำลังต้องสู้กับเมืองลิบนาห์ …
แต่กษัตริย์อัสซีเรียเองได้ยินว่า ทีรหะคาห์ กษัตริย์แห่งคูช … กำลังออกมาสู้กับพระองค์
เมื่อได้ยินดังนั้นจึงส่งสารมาหาราชาเฮเซคียาห์ว่า
“อย่าให้พระเจ้าที่ท่านวางใจหลอกท่านว่า นครเยรูซาเล็มจะไม่ตกอยู่ในมือของกษัตริย์อัสซีเรียอย่างข้า …
ดูซิ ท่านก็ได้ยินข่าวมาแล้วว่า กษัตริย์อัสซีเรียได้ทำอะไรกับแผ่นดินรอบข้างบ้าง ทำลายจนหมด แล้วท่านจะได้รอดไปอย่างนั้นหรือ?
พระเจ้าของชาติต่าง ๆ ช่วยอะไรได้บ้าง ประเทศที่พ่อของข้าทำลาย ไม่ว่าจะเป็นโกเซน ฮาราน เรเซฟ และชนเอเดนที่อยู่ในเทอัสสาร์
แล้วกษัตริย์เหล่านี้ไปอยู่กันที่ไหนแล้ว? ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ฮามัท กษัตริย์แห่งอารปัด กษัตริย์แห่งเมืองเสฟารวาอิม กษัตริย์แห่งเฮนา และกษัตริย์แห่งอิฟวาห์
อิสยาห์ 37-1
อิสยาห์ 37:1-4
ตอนที่รับชาเคห์เข้ามาพูดท้าทายอยู่นั้น พระราชามิได้ทรงได้ยินว่าเขาพูดอะไร…แต่
ทันทีที่ราชาเฮเซคียาห์ทรงรับทราบว่า เกิดอะไรขึ้นจากข้าราชการทั้งสาม พระองค์ทรงรู้สึกแย่เป็นที่สุด จนกระทั่งทรงฉีกฉลองพระองค์ออก และทรงสวมผ้ากระสอบ พระองค์เสด็จเข้าไปในพระวิหารของพระเจ้าด้วยความทุกข์ท่วมท้น
ไม่แต่เท่านั้น พระองค์ยังทรงส่งข้าราชการสองคนที่ได้ยินคำของรับชาเคห์ สวมเสื้อผ้ากระสอบ ไปหาท่านอิสยาห์โดยด่วน บอกท่านอิสยาห์ว่า
“พระราชาเฮเซคียาห์ตรัสว่า … วันนี้เป็นวันแห่งความทุกข์ยาก ถูกตำหนิด่าทอ และเป็นวันแห่งความละอาย… ดูซิ แม่ก็ท้องแก่ใกล้คลอด แต่เมื่อถึงเวลากลับไม่มีแรงที่จะเบ่งลูกออกมา เป็นไปได้ที่พระเจ้าของท่านจะทรงฟังคำของรับชาเคห์ซึ่งกษัตริย์อัสซีเรียได้ส่งมาเพื่อเยาะเย้ยองค์พระผู้เป็นเจ้า และจะทรงขนาบถ้อยคำซึ่งพระเจ้าทรงได้ยิน ดังนั้นขอท่านอธิษฐานเพื่อคนที่เหลืออยู่ตรงนี้ด้วย”
เมื่อเรามีความทุกข์มากที่สุด หาทางออกไม่ได้ มีทางใดจะดีไปกว่าเข้ามาเฝ้าพระเจ้าก่อนอื่นใด!1