โยนาห์ 1-4

โยนาห์1:11-17

ดังนั้น พวกเขาจึงกล่าวกับโยนาห์ว่า “แล้วเราจะทำอย่างไรกับเจ้าดี เพื่อว่าทะเลจะได้สงบ ฮึ?” ตอนนั้น ทะเลยังคงปั่นป่วน และลมแรงมากขึ้น     เขาจึงว่า “ขอพวกท่านโยนข้าพเจ้าลงไปในทะเล  แล้วทะเลจะสงบ เพราะว่าที่ท้องทะเลมีพายุเช่นนี้เป็นเพราะข้าพเจ้าเอง”

แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็พยายามที่จะพายเรือกลับไปยังแผ่นดิน  แต่ทำไม่ได้  เพราะบัดนี้ทั้งคลื่นลมในท้องทะเลและพายุยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น   ดังนั้นพวกเขาจึงร้องต่อพระเจ้า  “ข้าแต่พระเจ้าผู้สูงสุด  ขอพระเจ้าอย่าให้เราต้องพินาศเพราะชีวิตของชายคนนี้  ขอพระเจ้าอย่าเอาผิดกับพวกเราหากเขาไม่มีความผิด  ข้าแต่พระเจ้า … พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่พระองค์เห็นพอพระทัย”

แล้วพวกเขาจึงจับโยนาห์โยนลงไปในทะเล….”โครม!”  ทันใดนั้นเอง ลมพายุรอบ ๆ นั้นก็สงบลงทันที

ภาพเขียนโดย Carlo-Antonio-Tavella

เขาเหล่านั้นกลัวพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง  และพวกเขาได้ถวายเครื่องบูชาแด่พระองค์ ทั้งยังปฏิญาณตนไว้ด้วย

แล้วดูซิ พระเจ้าทรงสั่งให้ปลาใหญ่ตัวหนึ่งกลืนโยนาห์เข้าไป   โยนาห์จึงอยู่ในท้องปลา สามวันสามคืน

 

อัศจรรย์แรก … พระเจ้าทรงส่งลมพายุมายังเรือที่โดยสารโยนาห์   ต่อมา สลากก็ตกที่โยนาห์  แล้วเมื่อโยนโยนาห์ลงทะเล  พายุก็หยุดทันที  แถมยังมีสัตว์น้ำตัวใหญ่ที่สามารถอ้าปากรับโยนาห์ลงไปในท้องของมันแบบเป็น ๆ  …. โยนาห์ไม่ได้ตาย ทั้ง ๆ ที่เขาพร้อมจะตายเพราะรู้ตัวดีว่า ได้ทำผิดต่อพระเจ้าแล้ว   แค่นี้นับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติได้ตั้ง  5 อย่าง!

ดูซิ   โยนาห์ยอมจมน้ำตาย  ดีกว่าไปนีนะเวห์   แต่พระเจ้าไม่ทรงตามใจเขาสักนิด….

ก่อนที่จะถูกโยนลงน้ำ  เขาน่าจะได้พูดเรื่องของพระเจ้าให้กับคนบนเรือ  พวกเขาน่าจะสงสัยว่า โยนาห์จะไปเมืองนีนะเวห์ทำไมกัน   …  จากนั้นดูเหมือนว่า พวกเขาก็ได้ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า  ….  พวกเขาร้องทูลต่อพระเจ้า และขอให้ทุกสิ่งที่พระองค์ปรารถนาประสบความสำเร็จตามพระทัยของพระองค์   เขาหันกลับมาเชื่อพระเจ้าไหมนะ?   ที่เราอ่านบันทึก … บอกไว้ว่า พวกเขากลัวพระเจ้ามากจริง ๆ


 

 

โยนาห์ 1-3

โยนาห์ 1:7-10

แล้วพวกเขาก็พูดกันว่า  “เอาอย่างนี้  เรามาจับฉลากกัน  เราจะได้รู้ว่าเหตุการณ์ร้ายครั้งนี้  ใครเป็นต้นเหตุ”  ดังนั้นพวกเขาจึงจับฉลากกัน  และปรากฏว่า โยนาห์ได้ฉลากนั้น

“เจ้าบอกเรามาซิว่า ใครเป็นต้นเหตุให้ความชั่วร้ายครั้งนี้ตกมาที่พวกเรา ? ฮึ  เจ้ามีอาชีพอะไร?  เจ้ามาจากไหน? เจ้าเป็นคนชาติไหน?  เชื้อชาติอะไร?”    โยนาห์ตอบเขาว่า “ข้าเป็นคนเชื้อชาติฮิบรู   เป็นคนที่เกรงกลัวพระเจ้า  พระเจ้าแห่งสวรรค์ผู้ทรงสร้างทะเลและแผ่นดิน”

“ฮ้า!!”  พวกเขาตกใจกลัวกันมาก โยนาห์ได้เล่าให้พวกเขาฟังว่า เขาได้พยายามหนีจากพระเจ้ามา   “แล้วนี่เจ้าทำอะไรลงไป?!!”

ภาพได้รับความเอื้อเฟื่อจาก dsmedia.org

ลองคิดถึงเรือที่กำลังโคลงเคลงโยนตัวขึ้นไปบนยอดคลื่น  แล้วก็หล่นลงมา  มีคลื่นอีกลูกซัดน้ำเข้ามาเต็มลำเรือ  …  … พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว เพราะว่า ทำอย่างไร ร้องขอพระของตัวเองเท่าไร  คลื่นก็ไม่สงบ  และไม่มีท่าทีว่าจะสงบด้วย

คนในสมัยนั้น เมื่อต้องการคำตอบของพระที่เขาเชื่อ  ก็จะใช้วิธีทอยสลากกัน  มันเป็นวิธีง่าย  ตัดสินได้เลย  แต่ครั้งนี้ พระเจ้าทรงตอบพวกเขา  พระเจ้าทรงให้โยนาห์รู้ว่า ทรงเอาจริงแน่คราวนี้

คำถามที่โยนาห์ต้องตอบนั้น มากมายเป็นชุด

แค่บอกว่าเป็นฮิบรู พวกเขาก็รู้ว่า โยนาห์ไม่ได้เชื่อเทวรูปเหมือนอย่างพวกเขา แถมโยนาห์ยังบอกด้วยว่า พระเจ้าของเขาคือพระผู้สร้างทะเลและแผ่นดิน  โอโฮ…  ขณะที่พายุกำลังพัดกล้านี่นะ  โยนาห์ยังบอกว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหนือทะเลนี้

โยนาห์หนีพระเจ้าด้วยความเข้าใจว่า เขาอาจจะหนีพระองค์ได้  แต่จากคำพูดของเขา ทำให้เราเห็นแล้วว่า โยนาห์รู้ว่า พระเจ้ากำลังทรงจัดการกับเขาตรงไปตรงมา

เมื่อพวกเขารู้ว่า หน้าที่ของโยนาห์คือการกล่าวคำของพระเจ้า เป็นคนเกรงกลัวพระเจ้า  แต่กลายเป็นผู้นำภัยพิบัติมาให้พวกเขา     พวกเขากลัวมาก  กลัวจริง ๆ  ทั้งกลัวตาย  และกลัวพระเจ้า …..พระองค์ผู้ทรงกำลังตามติดโยนาห์มา

 

โยนาห์ 1-2

โยนาห์ 1:4-6

แต่พระเจ้าบันดาลให้เกิดลมพัดแรงในทะเล  และมันกลายเป็นพายุปั่นป่วนท้องทะเล ทำให้เรือเกือบจะแตกอยู่แล้ว   เหล่าลูกเรือต่างตกใจกลัว  ทุกคนเรียกร้องพระเจ้าของตน   พวกเขาช่วยกันเอาข้าวของ สินค้าโยนลงไปในทะเลเพื่อจะทำให้เรือเบาขึ้น

แต่โยนานั้น ได้เข้าไปในเรือ นอนหลับไป

กัปตันเรือได้เข้ามาหาและกล่าวกับเขาว่า “ผู้โดยสารขี้เซา  นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ลุกขึ้น เร็ว ทูลขอพระเจ้าของท่านให้ช่วยพวกเรา  บางทีพระองค์จะทรงคิดถึงเราบ้าง เราจะได้ไม่ต้องพินาศ”

ครั้งนี้ พระเจ้าทรงเป็นผู้ส่งพายุมาให้โยนาห์โดยเฉพาะ  เขาคิดว่าจะหนีพระองค์ไปได้  ขนาดมีพายุยังอุตส่าห์ลงไปนอนเสียอีก  เขาปิดหูปิดตากับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่า พระเจ้าทรงเตือนเขาแล้ว

พายุครั้งนี้ต้องไม่ธรรมดาเหมือนลมพายุที่มักจะเกิดขึ้นในทะเล  เพราะว่า เหล่ากลาสีเรือนั้น ไม่คาดคิดว่าจะมีลมแรงขนาดนี้  และพวกเขาก็กลัวกันมากด้วย

แต่ความแรงของพายุ

เสียงร้องทูลต่อพระเจ้าของเหล่ากลาสี !

เสียงโวยวาย เร่งช่วยกันเอาของโยนลงทะเล….

ไม่ได้ทำให้โยนาห์สนใจอะไรได้เลย…. เขาหลับสนิท….

อี๋ย… เราเคยเป็นอย่างโยนาห์ไหมนี่… มีอะไรเกิดขึ้นเตือนเราตั้งมากมาย  แต่เรายังไม่สนใจ ไม่คิดว่า พระเจ้าทรงเตือน กลับอยู่เฉย ไม่ใส่ใจ  สิ่งที่ใครพูด ก็ไม่สน  รอบตัวเป็นอย่างไรก็ช่าง ฉันจะเป็นของฉันอย่างนี้…..

แล้วดูซิ  กัปตันเรือ ซึ่งน่าจะเป็นเรือของชาวฟินิเชียซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการเดินเรือในทะเลเมดิเตอเรเนียน  ได้บอกให้โยนาห์อธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งอิสราเอล …. เขารู้ว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์ ถ้าพระองค์ทรงฟัง พระองค์ก็จะทรงช่วยพวกเขาได้

คนที่ไม่ได้เชื่อในพระองค์ยังรู้เลยว่า พระองค์ทรงฤทธิ์มากยิ่ง

แล้วยังไงกันนี่  โยนาห์อุตส่าห์หนีพระเจ้ามา  แล้วตอนนี้มีคนมาบังคับให้อธิษฐานต่อพระองค์ที่เขาพยายามหนี…. เป็นอย่างไรล่ะ ท่านโยนาห์

 

โยนาห์ 1-1

โยนาห์ 1:1-3

คำของพระเจ้ามายังโยนาห์ ลูกชายอามิททัย

“เจ้าจงลุกขึ้น เดินทางไปยังเมืองนีนะเวห์ เมืองใหญ่  และร้องตักเตือนพวกเขา  เพราะว่า ความชั่วช้าของพวกเขานั้นมาถึงเรา”

แต่เมื่อโยนาห์ได้ยินดังนั้น เขากลับลุกขึ้นเพื่อจะหนีไปยังเมืองทารชิช  คิดว่าจะหนีไปให้พ้นพระพักตร์ของพระเจ้า  เขาเดินทางไปยังเมืองยัฟฟา และที่นั่นก็พบเรือโดยสารที่จะไปยังทารชิช เมืองเป้าหมายปลายทางของเขา

ภาพเอื้อเฟื้อจาก http://www.dsmedia.org

เขาไปที่ท่าเรือและจ่ายค่าโดยสาร  เมื่อลงเรือก็พร้อมที่จะหนีไปจากพระพักตร์ของพระเจ้า

โยนาห์เป็นผู้กล่าวคำของพระเจ้าในอิสราเอล  และทั้ง ๆ ที่นีนะเวห์ เป็นเมืองของอัสซีเรีย ซึ่งเป็นศัตรูของอิสราเอล  พระเจ้ากลับทรงให้โยนาห์ไปช่วยให้ศัตรูกลับใจ  นี่มันยังไงกัน… โยนาห์รับความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เลย  เขาเองเป็นผู้กล่าวคำของพระเจ้าคอยตักเตือนคนอิสราเอลที่ทำบาป ให้มาหาพระเจ้า  เขาไม่ได้รู้สึกอะไร รู้สึกดีเสียด้วยซ้ำ

แต่ที่พระเจ้าทรงใช้เขาอย่างนี้  ไม่สมเหตุสมผลเลย…

หนีดีกว่า

โยนาห์เข้าใจผิดไปอีกอย่าง  เขาคิดว่า เขาจะหนีให้พ้นสายพระเนตรของพระเจ้าได้ด้วย

เอ ยังไงกัน

ก็พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าทรงฤทธิ์  ทรงเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลก  ทำไม โยนาห์จึงสามารถคิดอย่างนั้นได้.

 

แนะนำโยนาห์

เรื่องราวของโยนาห์นั้น เกิดในราว ศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตศักราช คือ ประมาณ 785-760 ปีก่อนคริสตศักราชนั่นเอง ดูเหมือนว่า เขามาก่อนท่านอาโมส ในสมัยของราชาเยโรโบอัมที่สอง ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่มากกว่ากษัตริย์องค์ใดในอาณาจักรอิสราเอลทางเหนือ
ช่วงเวลานั้น อัสซีเรียเป็นผู้ที่ทำร้ายอิสราเอลอย่างมากมาย ในปี 722 ก่อนคริสตศักราช ก็ได้โจมตีอิสราเอลและนำคนไปเป็นเชลยเกือบหมด
จากหนังสือโยนาห์ทำให้เราเห็นความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างเขามา ดูซิ พระเจ้าทรงห่วงใยคนในนีนะเวห์เป็นอย่างยิ่ง ทรงห่วงจนใช้โยนาห์ไปหาพวกเขา แม้โยนาห์จะรู้ว่า พระเจ้าทรงสร้างทุกคนมา แต่เขามองเห็นว่า พระเจ้าทรงรักอิสราเอลเท่านั้น
โยนาห์คิดว่า พระเจ้าทรงอดทนต่ออิสราเอลเท่านั้น เขาลืมไปว่า พระองค์มีสิทธิจะรักใคร ห่วงใยใครก็ได้ ไม่ใช่คนอิสราเอลแต่อย่างเดียว และเรื่องราวของโยนาห์ทำให้เราเห็นพระเจ้าในอีกด้านหนึ่ง …. พระองค์ทรงมีสิทธิเสรีภาพของพระองค์เอง ทรงยิ่งใหญ่เหนือความคิดของมนุษย์ ทรงฤทธานุภาพใหญ่หลวง พระองค์ไม่ได้ทรงอยู่ภายใต้กรอบที่มนุษย์วางไว้ว่า พระเจ้าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

เหตุการณ์ในโยนาห์ เกิดขึ้นแถบนี้

นี่เป็นเหตุผลที่หลายคนไม่ได้พบพระเจ้า เขาวางกรอบเอาไว้ว่า พระเจ้าต้อง หนึ่ง… สอง….สาม….สี่ แล้วแต่จะคิดกัน แต่หนังสือโยนาห์ทำให้เราเห็นถึงความจริงที่ว่า ในพระเจ้าแล้ว ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ พระองค์ทรงทำอะไร คิดอะไร รักใคร ห่วงใครก็ได้….ทั้งสิ้น
พรุ่งนี้ เราจะได้อ่านเรื่องของโยนาห์กัน และติดตามเขาไปให้พบว่า เขาทำอะไรบ้าง

โอบาดีห์ 1-3

เพราะว่าวันของพระเจ้าสำหรับทุกชนชาตินั้นใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าทำอะไรไว้ สิ่งนั้นเจ้าจะได้รับเช่นกัน การกระทำของเจ้าจะกลับมาที่หัวของเจ้าเอง
เพราะที่เจ้าได้เข้ามาเมาเหล้าบนภูเขาบริสุทธิ์ของเรานั้น ประชาชาติอื่น ๆ ก็จะดื่มอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะดื่ม และกลืนลงไป เหมือนกับว่า พวกเขาไม่เคยดื่มมาก่อน
แต่ที่ภูเขาศิโยนนั้น จะมีคนที่เขาหนีได้ และมันจะเป็นที่บริสุทธิ์ วงศ์วานของยาโคบจะครอบครองสมบัติของเขา

วงศ์วานของยาโคบจะเป็นไฟ วงศ์วานของโยเซฟจะเป็นเปลวเพลิง วงศ์วานของเอซาวจะกลายเป็นแค่ตอ เพราะจะถูกเผาผลาญจนสิ้น จะไม่มีคนเหลือจากวงศ์วานของเอซาวเลย เพราะพระเจ้าได้ตรัสไว้
แผ่นดินของพระเจ้า
คนที่อยู่ในเนเกบจะครอบครองภูเขาแห่งเอซาว และคนที่เชพเพลา จะครอบครองดินแดนของฟิลิสเตีย เขาจะครองดินแดนของเอฟราอิม และสะมาเรีย เบนจามินจะครองกิเลอาด
การถูกเนรเทศของคนอิสราเอลนั้น จะทำให้เขาได้ครอบครองดินแดนไปจนถึง เศราฟัท และคนที่ถูกเนรเทศจากเมืองเยรูซาเล็มไปถึงเสฟาราด จะกลับมาครอบครองเมืองต่าง ๆ ของเนเกบ
พระผู้ช่วยให้รอดจะเสด็จขึ้นไปยังภูเขาศิโยน เพื่อครอบครองภูเขาแห่งเอซาว และอาณาจักรนั้นจะเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า

เพื่อน ๆ ครับ พระเจ้าทรงมองเห็นคนทุกคน ทรงรู้ทุกสิ่งที่เกิดในแต่ละชาติ แต่ละกลุ่มคน พระเจ้าทรงประสงค์ความเมตตาที่มนุษย์จะมีต่อกัน แต่คนเอโดมนี่ก็แปลก ไม่ว่าใครไปบุกใคร เขาก็จะเข้าร่วมเป็นพรรคพวกด้วยเสมอ และพระเจ้าจะทรงทำลายคนที่ยะโสและชั่วช้า … เอโดมจึงเป็นประเทศหนึ่งที่จะโดนพระเจ้าทรงทำลายเอง และทุกวันนี้ แม้จะมีคนอิสราเอลอยู่ในโลก แต่ก็ไม่มีคนเอโดมอยู่จ้า พวกเขาสาบสูญไปเลย…

โอบาดีห์ 1-2

เพราะความโหดร้ายที่ทำต่อน้องชายยาโคบ สิ่งที่จะมาคลุมเจ้าก็คือ ความอับอาย และเจ้าจะถูกตัดออกไปนิรันดร์

ในวันที่เจ้ายืนอยู่อย่างยะโสนั้น วันที่คนแปลกหน้าขนความมั่งคั่ง และวันที่คนต่างชาติเดินผ่านประตูเมืองเข้ามา แล้วยังจับสลากเพื่อเยรูซาเล็ม เจ้าก็เหมือนเป็นคนหนึ่งในนั้น
แต่อย่าคุยโวถึงวันที่พี่น้องของเจ้าประสบเคราะห์กรรม อย่ายินดีในวันที่ยูดาห์เผชิญหายนะ อย่าอวดในวันแห่งความโศกเศร้า
อย่าเดินเข้าไปในประตูเมืองของคนของเราในวันที่พวกเขาพบภัยพิบัติ

อย่าคุยโวเรื่องความเสียหายของพวกเขา ในวันแห่งภัยพิบัติ อย่าปล้นเขา ในวันที่เขาต้องพบความหายนะ อย่ายืนอยู่ที่สี่แยกเพื่อจะจับกุมผู้ที่พยายามหนี อย่าส่งตัวคนที่รอดชีวิตให้กับศัตรูในวันอันตราย

คำที่กล่าวมานี้เข้าใจง่ายๆ. พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยที่เราจะคอยสมน้ำหน้าผู้อื่น. แม้ว่าขณะนั้นพระเจ้าทรงกำลังเตือนสอนเขา

โอบาดีห์ 1

นี่เป็นสิ่งที่โอบาดีห์เห็น
พระเจ้าตรัสถึงเอโดมว่า  :  เราได้ยินรายงานจากพระเจ้า  และมีผู้สื่อสารถูกส่งออกไปตามชาติต่าง ๆ  กล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด  ให้เราลุกขึ้นทำสงครามต่อต้านเอโดม”

“ดูเถิด เราจะทำให้เจ้าเป็นประเทศเล็ก ท่ามกลางชาติทั้งหลาย  เจ้าจะถูกดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างที่สุด  เอโดมกำลังพองตัว  แต่พระเจ้าจะทรงทำให้เขากลายเป็นคนเล็กน้อย  ท่ามกลางชาติในแถบอัฟริกาเหนือ และทางเอเชียตะวันตก…ซึ่งเป็นชาติที่อยู่ใกล้เคียง

ความยะโสในใจของเจ้า หลอกเจ้าเอง  เจ้าซึ่งอาศัยอยู่ตามหลืบหิน ที่อาศัยของเจ้านั้นสูงส่ง  เจ้ากล่าวในใจของตัวว่า “ใครจะมากระชากเราลงไปยังพื้นดินได้?”

ภาพจาก http://ancientneareast.tripod.com/Edomites.html

แม้ว่าเจ้าจะบินทะยานสูงยิ่งดั่งนกอินทรี  แม้ที่พักของเจ้าจะอยู่บนดวงดาว  แต่เราจะนำเจ้าลงมาจากที่นั่น   พระเจ้าประกาศดังนั้น  ที่อาศัยบางแห่งในเอโดมสูงถึง 600 ฟุตเหนือน้ำทะเล   เขาจึงคิดว่า ไม่มีใครอาจมาโจมตีพวกเขาได้แน่นอน    แต่พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าว่า เขาจะต้องลงมาแน่นอน

หากโจรเข้ามาหาเจ้า  และปล้นในเวลากลางคืน  เจ้าจะถูกทำลายขนาดไหน พวกเขาจะไม่ปล้นจนพอใจหรือ?   เมื่อใดก็ตามที่เอโดมจะถูกปล้น  พวกเขาจะโดนริบข้าวของไปจนไม่เหลืออะไรเลย

หากคนเก็บองุ่นมาหาเจ้า  พวกเขาจะไม่ทิ้งองุ่นไว้บ้างหรือ?

จำได้ไหมว่า เอซาวถูกช่วงชิงทรัพย์สมบัติของเขาไปอย่างไร

พันธมิตรของเจ้าก็ขับไล่เจ้าไปจนถึงเขตแดน   ผู้ที่มีสันติกับเจ้าก็หลอกลวงเจ้า และพวกเขาก็ชนะเจ้า   คนที่กินอาหารของเจ้าได้วางกับดักไว้ใต้เจ้า  เจ้าไม่รู้ตัวเลย

และในวันนั้น เราจะไม่ทำลายคนมีปัญญาของเอโดมหรือ?  พระเจ้าทรงประกาศ

เทมานเอ๋ย  คนกล้าของเจ้าจะขวัญหนีดีฝ่อ  จนกว่าทุกคนจากภูเขาแห่งเอซาวจะถูกสังหารสิ้น

แนะนำโอบาดีห์

หนังสือโอบาดีห์เล่มนี้ ไม่เหมือนกับโยเอล อาโมสและโฮเชยาที่ผ่านมา เพราะพระเจ้ากำลังตรัสกับชาวเอโดม …
เรื่องที่พูดถึงนั้น เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับเอโดม
ย้อนอดีตกลับไปสมัยยาโคบกับเอซาว สองพี่น้องฝาแฝด ยาโคบมีลูกหลานเป็นอิสราเอล แต่เอซาวนั้นมีลูกหลานเป็นเอโดม ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ทางใต้ของแผ่นดินอิสราเอล แทนที่พวกเขาจะช่วยให้อิสราเอลได้ผ่านวิกฤติได้ พวกเขากลับคุยทับเมื่อชนชาติอิสราเอลกำลังต้องการน้ำใจจากพวกเขา

คำว่า “โอบาดีห์ “ ชื่อของผู้กล่าวคำคนนี้ แปลว่า “ผู้รับใช้ของพระเจ้า เราไม่ทราบแน่ชัดว่าหนังสือนี้อยู่ในยุคใด แต่จากเนื้อหา คงเป็นหลังจากการกลับมาจากการเป็นเชลยในบาบิโลน

ในยามที่เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้เข้ามาบุกยูดาห์ ทำลายเมืองเยรูซาเล็ม รวมทั้งพระวิหารของพระเจ้านั้น แทนที่เอโดมจะช่วยเหลือคนอิสราเอลซึ่งก็เป็นญาติพี่น้องกันมาตั้งแต่ต้น พวกเขากลับส่งคนที่พยายามหนีไปให้เนบูคัดเนสซาร์ แถมยังได้สังหารอีกหลายคนที่กำลังเดือดร้อน
การกระทำเช่นนี้พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง การไม่ช่วยเหลือคนที่กำลังทุกข์ยาก แต่แถมยังซ้ำเติม เป็นการกระทำที่พระเจ้าจะทรงแก้คืน
พระเจ้าทรงพอพระทัยที่เราจะช่วยเหลือเพื่อนบ้าน และพี่น้องที่เผชิญความยากลำบาก…..นี่เป็นสิ่งที่พระองค์ทำให้เราเห็นชัดเจนจากหนังสือโอบาดีห์เล่มนี้

โฮเชยา 14-2

โฮเชยา 14:8-9

โอ  เอฟราอิม  แล้วเราจะทำอย่างไรกับรูปเคารพของเจ้าล่ะ? เรานี่แหละเป็นผู้ตอบคำทูลของเจ้า  เราเป็นผู้ดูแลปกป้องเจ้า  เราเป็นเหมือนต้นไซเปรสที่เขียวสดเสมอ  ผลของเจ้านั้นมาจากเรา

บัดนี้ พวกเขาเป็นอิสราเอลใหม่แล้ว ที่จะไม่เดินตามรูปเคารพอีกต่อไป   จิตใจของเขามุ่งมั่นที่องค์พระผู้เป็นเจ้า  ไม่หันเหไปที่อื่น…. เวลามีใครมาพบพระเจ้าอย่างแท้จริง มันจะเป็นเช่นนี้ ต้นไซเปรสจะให้ความร่มรื่น ปกป้องจากแดดที่เผดเผา  พระเจ้าจะทรงปกป้องเราจากสิ่งชั่วร้าย ผลในชีวิตของพวกเขาจะมาจากพระเจ้าเท่านั้น  พระองค์เป็นผู้ประทานให้จากการที่เขาใกล้ชิดพระองค์ ยิ่งใกล้พระองค์มากเท่าไร ผลที่ออกมาก็เหมือนได้อาหารดี ปุ๋ยดี จะเป็นผลโต น่ากิน…

ต้นไซเปรสที่สูงใหญ่    ภาพจาก  genomena.com

คนที่ฉลาด ก็ให้เขาเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ใครที่มองออก มองทะลุ  ก็ให้เขารู้   เพราะทางของพระเจ้านั้นถูกต้อง   และคนที่เที่ยงตรงจะเดินในทางนั้น  แต่คนที่ล่วงละเมิดกลับสะดุดในทางนั้นเอง

คนที่ฉลาดเป็นใครนะ?   เมื่อเราอ่านโฮเชยา เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงปรารถนาให้คนของพระองค์กลับใจใหม่  ไม่ทำบาปที่เป็นผลร้ายกับตัวเขาเอง กับครอบครัว และชุมชน  อย่าลืมว่า บาปทุกอย่างส่งผลร้ายให้ชีวิตของเราทั้งนั้น  มันดูเหมือนสนุก แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้น ไม่คุ้มความสนุกเลย คนฉลาดจึงจะรีบกลับใจ  น้อมนอบต่อพระองค์ เพื่อว่า ชีวิตจะได้เปลี่ยนแปลง ทางของพระเจ้านั้นดีเสมอ คนฉลาด คือคนที่เลือกจะเชื่อฟัง ….นำไปสู่ชีวิตที่พระเจ้าทรงสัญญา

โฮเชยา 14-1

บทสุดท้ายของโฮเชยานั้น ไม่น่าเชื่อ แม้ว่าความบาปจะมากมาย  แต่พระคุณของพระเจ้านั้นมากกว่า  ไม่มีบทใดในพระคัมภีร์จะทำให้เห็นพระกรุณาของพระเจ้าที่เหลือล้นมากไปกว่าบทสุดท้ายของโฮเชยานี้แล้ว   และก็ไม่มีบทใดที่จะทำให้เราเห็นความน่ากลัวของการพิพากษา  ในขณะที่เรามองเห็นความดำมิดของความมืด  เราก็ได้เห็นแสงสว่างเริ่มทอแสง  ชาร์ลส์ เสปอร์เจียน

โฮเชยา 14:1-7

อิสราเอลเอ๋ย  กลับมาเถิด กลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า  เจ้าสะดุดเพราะการล่วงละเมิดของเจ้าเอง

กลับมาหาพระเจ้าพร้อมกับคำของเจ้า   ทูลพระองค์ว่า “ขอพระองค์ทรงโปรดเอาการล่วงละเมิดทั้งสิ้นออกไป  ขอทรงรับข้าพระองค์ด้วยพระคุณของพระองค์  แล้วเหล่าข้าพระองค์จะถวายคำปฏิญาณจากริมฝีปากของเรา

พระเจ้าทร งประสงค์ให้คนอิสราเอลกลับมาหาพระองค์ด้วยคำพูดที่ถูกต้องอันออกมาจากส่วนลึกของใจจริง

อัสซีเรียจะไม่ช่วยพวกเรา  เหล่าข้าพระองค์จะไม่ขี่ม้า จะไม่กล่าวกับสิ่งที่ สร้างขึ้นมาด้วยมือของพวกเรา   ว่า “พระเจ้าของเรา”   แม้ลูกกำพร้าก็ได้พบพระเมตตากรุณาของพระองค์   คราวนี้ คนอิสราเอลจะเข้าใจแล้วว่า เขาควรทำสิ่งใด   อะไรเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่ทำตามใจตัวเองอีกต่อไป

 

เราจะรักษาให้หายจากการที่เจ้าละทิ้งเรา   เราจะรักพวกเขาโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้นได้   เราหันความกริ้วออกไปจากพวกเขาแล้ว

เราจะเป็นดั่งน้ำค้างแก่อิสราเอล   พวกเขาจะบานออกอย่างดอกพลับพลึง  และเขาจะหยั่งรากลึกดั่งต้นไม้แห่งเลบานอน

หน่อของเขาจะขยายออกไป ความงามของเขาเป็นเหมือนต้นมะกอกเทศ  กลิ่นหอมดั่งเลบานอน

พวกเขาจะกลับมาและอาศัยใต้ร่มเงาของเรา   จะออกดอกงดงามแกว่งไกวเหมือนรวงข้าว และบานอย่างเถาองุ่น   เขาจะมีชื่อเสียงขจรขจายอย่างเหล้าองุ่นแห่งเลบานอน

เวลาที่พระเจ้าจะทรงรื้อฟื้นคนของพระองค์ที่กลับใจนั้น มหัศจรรย์มาก พระองค์จะทรงเป็นผู้ให้น้ำ  พวกเขาจะเจริญขึ้น  มีรากลึกลงไปคือความเข้าใจพระเจ้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เขาจะขยายขอบเขตชีวิตไปสัมผัสคนอื่น ๆ ช่วยเหลือคนอื่นได้ด้วย     จะมีความงดงาม มีชื่อเสียงดี ได้กลับมาอยู่ในพระเจ้าอีก  และเขาจะรุ่งโรจน์ เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป….

 

ทำไมพระเจ้าจึงทรงรักพวกเขามากขนาดนี้?

 

โฮเชยา 13-2

ท่านโฮเชยาได้พูดคำเหล่านี้กับคนอิสราเอลซึ่งอยู่ในอาณาจักรทางเหนือ โดยมีเอฟราอิมเป็นชนเผ่าที่ใหญ่สุด

โฮเชยา 13:10-16

เวลานี้ กษัตริย์ที่จะช่วยเจ้าในเมืองต่าง ๆ  อยู่ที่ไหน?   ผู้ปกครองที่เจ้าเรียกร้องหา อยู่ที่ไหน?… เจ้าพูดว่า “ขอให้เรามีกษัตริย์ มีเจ้าชาย” นี่นา 

เราได้ให้กษัตริย์กับเจ้าทั้งที่เราโกรธ   และเราเอาพวกเขาออกไปด้วยความกริ้ว

ตอนที่เริ่มต้นประเทศใหม่ ๆ  ประชาชนต่างพากันมาหาท่านซามูเอลเพื่อให้แต่งตั้งกษัตริย์ ระเจ้าทรงรู้ว่า ที่เขาต้องการกษัตริย์นั้น เพราะเขาปฏิเสธการปกครองของพระองค์   เมื่อพระเจ้าทรงให้กษัตริย์ตามที่เขาขอร้อง ในเวลาต่อมา พวกเขาก็รับรู้ว่า กษัตริย์ที่ปกครองเขานั้น ไม่สามารถช่วยพวกเขาได้ แถมยังเป็นผู้นำความบาปผิดมายังประชาชนด้วย

 

ความผิดของเอฟราอิมนั้น ถูกห่อเอาไว้  และความบาปของเขาก็เก็บสะสมไว้ในคลัง  เมื่อทำบาป บาปนั้นถูกบันทึกเอาไว้  ถ้าเป็นสมัยนี้เราก็จะเก็บบันทึกข้อมูลต่าง  ๆไว้ในฮาร์ดดิสก์ หรือในไอคลาวด์  แต่เรื่องของการบันทึกบาปและความถูกต้องของมนุษย์นั้น พระเจ้าได้ทรงทำเอาไว้นานแล้ว ข้อมูลทั้งสิ้น ที่มนุษย์ลืมและจำได้ มีอยู่ในบันทึกของพระเจ้า    ดูซิ ห่อเอาไว้ เก็บเอาไว้…….และวันที่พระเจ้าพิพากษามนุษย์  ทุกสิ่งก็จะถูกเปิดเผย

ตรงนี้น่ากลัวจัง


เราไม่อยากให้บาปของเราเปิดเผยเลยล่ะ   มันน่าอายจริง ๆ   คนที่ทำบาปบ่อย ๆ  และไม่ได้สำนึกในเวลานี้  วันของพระเจ้า จะเป็นวันที่น่ากลัวเหลือเกิน

และเราก็ช่วยตัวเราเองไม่ได้…. เราอยากให้บาปนั้นถูกลบล้างไปให้หมด….มีทางเดียว  เป็นทางของพระเจ้า   มีคนเดียว คือ พระบุตรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์เท่านั้นที่จะช่วยเราได้….

 

ความเจ็บปวดเหมือนคลอดลูกนั้น ก็เกิดขึ้นกับเขา  แต่เขาเป็นลูกชายที่ไม่ฉลาด เพราะในเวลาที่เหมาะสม เขาก็ไม่คลอดออกมา  เป็นเรื่องเปรียบเทียบว่า  เมื่อการพิพากษาของพระเจ้ากำลังจะลงมายังพวกเขา  พวกเขาก็ยังไม่รู้สึกตัวอีก … ดังนั้น ผลของมันคือความตาย

เราจะไถ่ให้เขาพ้นจากอำนาจแห่งแดนคนตายไหม?  เราจะไถ่เขาให้พ้นจากความตายดีไหม?  โอความตาย  หายนะของเจ้าอยู่ที่ไหน?   โอ แดนคนตาย  เหล็กไนของเจ้าอยู่ที่ไหน?   ความสงสารนั้นซ่อนไปจากสายตาของเรา   พระเจ้ากำลังตรัสว่า  ถึงความตายก็ไม่สามารถเอาชนะพระเจ้าได้  ถ้าพระเจ้าจะทรงไถ่ใครก็ตาม

 

แม้ว่าเขาจะรุ่งเรืองท่ามกลางพี่น้อง   ลมตะวันออก  ลมจากพระเจ้าจะมา ก่อตัวขึ้นจากถิ่นกันดาร และแหล่งน้ำทั้งหลายของเขาจะแห้งเหือด  น้ำพุจะแห้งผาก  ลมจะกวาดสิ่งมีค่าของเขาไปจากคลัง

สะมาเรียจะต้องรับความผิดของตน เพราะว่า เธอได้ดื้อดึงและกบฎต่อพระเจ้า  พวกเขาจะล้มลงด้วยดาบ  ลูกเล็กเด็กแดงจะถูกสับเป็นชิ้น ๆ  ศัตรูจะผ่าท้องเหล่าหญิงมีครรภ์!  พระเจ้ากำลังตรัสว่า ลมตะวันออกนั้น คือ อัสซีเรียที่จะมาโจมตีพวกเขาอย่างรวดเร็ว โหดร้าย ทารุณ

 

 

โฮเชยา 13-1

ท่านโฮเชยาได้พูดคำเหล่านี้กับคนอิสราเอลซึ่งอยู่ในอาณาจักรทางเหนือ โดยมีเอฟราอิมเป็นชนเผ่าที่ใหญ่สุด

โฮเชยา 13:1-9

เมื่อเอฟราอิมพูดขึ้นมา  ผู้คนก็สะท้าน เขาได้รับการยกย่องในอิสราเอล แต่เขามีความผิด  และตายเพราะจ้าวบาอัล เผ่าเอฟราอิม เป็นเผ่าที่ยิ่งใหญ่สุดในบรรดาเผ่าต่าง ๆ ทางภาคเหนือ  สามารถทำให้คนในเผ่าอื่น ๆ กลัวลนลานไปได้  … นับว่าน่ากลัวจริง ๆ   แต่เขายิ่งใหญ่แค่ไหนก็ยังตายเพราะความผิดของตน

แต่มาบัดนี้ พวกเขาทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่า  สร้างรูปเคารพจากโลหะ สร้างขึ้นมาจากเงินด้วยฝีมือชั้นเยี่ยม  ทั้งหมดเป็นผลงานของช่างที่ชำนาญ     การกราบไหว้สิ่งที่ทำขึ้นมาด้วยมือของตัวเองนั้น  เปรียบไม่ได้กับการนมัสการ บูชาพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง  ผู้ทรงพระชนม์อยู่  แต่พวกเขาก็ยังมีความสุข รู้สึกดีกับการทำเช่นนั้น

คนกล่าวกันว่า  คนที่ถวายมนุษย์เป็นเครื่องบูชานั้น จูปรูปปั้นลูกวัว   การจูบรูปปั้น เป็นการแสดงความเคารพ รัก บูชาอย่างยิ่ง   ดูเหมือนว่า การบูชารูปลูกวัวเป็นปัญหาใหญ่ของคนอิสราเอลมาโดยตลอด!

ดังนั้น พวกเขาจะเป็นเหมือนหมอกยามเช้า หรือเหมือนน้ำค้างที่ระเหยไปอย่างรวดเร็ว   เป็นเหมือนแกลบที่ปลิวว่อนบนลานนวดข้าว  หรือเหมือนควันที่ออกมาจากหน้าต่าง  เวลาพระเจ้าจะทรงลงโทษเอฟราอิมนั้น จะรวดเร็วเหมือนหมอกยามเช้าที่หายไป…..

แต่ เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า ตั้งแต่จากดินแดนอียิปต์ เจ้าไม่ได้รู้จักพระเจ้าอื่นนอกจากเรา  และ นอกเหนือจากเราแล้ว ก็ไม่มีพระผู้ช่วยให้รอดเลย

เรานี่แหละ รู้จักเจ้าในถิ่นกันดาร ในผืนดินแห่งความแห้งแล้ง

แต่เมื่อพวกเขาได้รับการเลี้ยงดู  พวกเขาอิ่มหมีพีมัน  เมื่ออิ่มแล้ว ใจก็ผยอง ดังนั้น พวกเขาจึงลืมเรา  พระเจ้าทรงเตือนเขาให้รู้ว่า พระองค์ได้ทรงดูแล ปกป้อง เลี้ยงดูพวกเขามาอย่างไร  สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการจากเขาคือ ความจงรักภักดี  แต่สิ่งนั้นไม่มีอยู่ในใจของพวกเขาเลย

เราจึงจะขยุ้มเขาเหมือนสิงโต เราจะซุ่มอยู่เหมือนเสือดาว

เราจะล้มลงใส่เขาเหมือนกับแม่หมีที่ถูกขโมยลูกไป

เราจะฉีกอกพวกเขา และที่นั่นเราจะเขมือบเขาเหมือนสิงโต

เราจะฉีกเขาออกเป็นชิ้น ๆ อย่างที่สัตว์ป่าขยุ้มเหยื่อของมัน

พระเจ้าทรงทำลายเจ้า อิสราเอล  เพราะว่าเจ้าต่อต้านเรา  ต่อต้านผู้ที่ช่วยเจ้า จากความสัมพันธ์อย่างผู้เลี้ยง และลูกแกะ  ความสัมพันธ์นั้นจะกลายเป็นสัตว์ร้ายกับลูกแกะ    ดูซิ ความดื้อดึงของอิสราเอลทำให้พระผู้เลี้ยงทรงกลายเป็นผู้ที่จะทำลาย โฮเชยาทำให้คนฟังเห็นภาพชัดเจนว่า มันน่ากลัวเพียงไร

 

โฮเชยา 12-2

ท่านโฮเชยาได้พูดคำเหล่านี้กับคนอิสราเอลซึ่งอยู่ในอาณาจักรทางเหนือ โดยมีเอฟราอิมเป็นชนเผ่าที่ใหญ่สุด

โฮเชยา 12:7-14

พ่อค้าที่มีมือฉ้อโกง มีตาชั่งไม่ตรง เขาชอบกดขี่คน ดูเหมือนว่า พวกเขาทำการค้าแบบโกง ๆ
เอฟราอิมกล่าวว่า “ อา…เพราะ ข้าเป็นคนรวย ข้าสะสมทรัพย์สมบัติไว้เพื่อตัวเอง ไม่มีใครหาบาปหรือความผิดจากการงานของข้าได้เลย” คนที่ร่ำรวยมักคิดว่า พ้นได้ทุกอย่าง ทุกข้อหา ไม่ว่าจะหาเงินทองมาด้วยวิธีใด พอมั่งมีแล้ว ก็คิดว่า รอดตัว


เราเป็นพระเจ้าของเจ้า จากดินแดนอียิปต์ เราจะทำให้เขาได้อาศัยในกระโจมอีกครั้ง เหมือนวันกำหนดงานเลี้ยงเทศกาล เมื่อครั้งที่เขาออกจากอียิปต์หลายร้อยปีก่อนหน้านี้ พวกเขาก็ต้องอยู่ในกระโจม ในเต้นท์นานหลายสิบปี ….เขาจะต้องกลับไปอยู่ในสภาพนั้นอีก ไม่ใช่คนมั่งคั่งอย่างที่เขาคิด
เราพูดกับผู้กล่าวคำของเรา เรานี่แหละ เป็นผู้ทวีศุภนิมิต และเราได้ให้คำอุปมาผ่านผู้กล่าวคำ
ถ้ามีความผิดในกิเลอาด พวกเขาจะต้องกลายเป็นศูนย์ ในกิลกาลพวกเขาถวายวัว แท่นบูชาของพวกเขาจะเป็นเหมือนกับกองหินบนรอยไถในทุ่งนา เมืองที่เป็นศูนย์กลางแห่งความชั่วจะถูกทำลายไม่เหลือ
ยาโคบหนีไปยังดินแดนอาราม ที่นั่น อิสราเอลต้องรับใช้เพื่อจะได้ภรรยา เขาเลี้ยงแกะตอบแทนเพื่อจะได้ภรรยา
โดยผู้กล่าวคำของพระเจ้านั้น พระเจ้าทรงนำอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ และโดยผู้กล่าวคำคนนั้น พระองค์ทรงรักษาพวกเขาไว้ พระเจ้าทรงอยู่กับเขา และช่วยเหลือพวกเขามาโดยตลอด …ทรงส่งคนของพระองค์มานำพาเขาสู่ที่ปลอดภัย
เอฟราอิมได้ทำให้พระเจ้าทรงโกรธขมขื่นอย่างยิ่ง ดังนั้น พระเจ้าจะปล่อยให้ผลของการทำชั่วอยู่บนตัวเขา และจะตอบสนองการกระทำที่น่าละอายเหล่านั้น พระเจ้าจะทรงช่วยพวกเขาแค่ไหน จะทำดีต่อเขามากมายอย่างไร แต่ความอกตัญญู และความบาปของพวกเขานั้น ก็ทำให้พระองค์ทรงโกรธมาก

โฮเชยา 12-1

โฮเชยา 12:1-6

เอฟราอิมกินลมเป็นอาหาร และตามติดลมตะวันออกทั้งวัน  พวกเขาทวีความผิดและความโหดร้ายทารุณ   พวกเขาทำพันธสัญญากับอัสซีเรีย  และนำน้ำมันไปอียิปต์  อิสราเอลเริ่มไปหาพันธมิตรจากประเทศรอบข้างแทนที่จะวางใจในพระเจ้า …. การวางใจในรูปเคารพและมนุษย์มันเหมือนกับการกินลมกินแล้ง  ลมตะวันออก ทำให้เรานึกถึงว่า ไม่เฉพาะแต่ไร้ผลอย่างเดียว แต่ยังอันตราย นำความหายนะมาให้ด้วย  น้ำมันที่เขามอบให้อียิปต์นั้น บ่งบอกถึงความจงรักภักดีต่ออียิปต์!

พระเจ้าทรงมีคำกล่าวหายูดาห์ และพระองค์จะทรงลงโทษยาโคบตามวิถีที่เขาเดิน   พระองค์จะทรงตอบแทนเขาตามความประพฤติของเขานั้น  แล้วพระเจ้าก็ทรงย้อนเรื่องราวไปถึงครั้งที่ยาโคบเกิดมา ยาโคบนั้น เป็นเหมือนบิดาของชนชาติอิสราเอล  ลูกชายทั้งสิบสองของเขา กลายมาเป็นอิสราเอล 12 เผ่า   ยาโคบเป็นคนที่สามารถเอาทุกอย่างมาเป็นของตนได้ด้วยสารพัดวิธีโกง…

ในครรภ์มารดา เขาจับข้อเท้าของพี่ชายไว้   เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่  เขาก็สู้กับพระเจ้า  การจับข้อเท้านี้ ยังมีความหมายถึงคนที่ทำข้อตกลงอย่างไม่สัตย์ซื่อ กลับไปกลับมา   หมายถึงคนที่ได้สิ่งที่ตนต้องการด้วยเล่ห์เหลี่ยม การหลอกลวง  และยาโคบผู้นี้ได้สู้กับพระเจ้าที่เสด็จมาในรูปของทูตสวรรค์ด้วย

เขาสู้กับทูตสวรรค์และได้ชัยชนะ   เขาร้องไห้ และขอความเห็นใจ  เขาได้พบพระเจ้าที่เบธเอล และพระเจ้าได้ตรัสกับเราที่นั่น โฮเชยาบอกเราว่า ยาโคบสู้ชนะ… และเขาก็ร้องไห้ …. แปลกจริง ใช่สิ  แม้ในชัยชนะของเขา เขายังรู้ว่า เขาไม่ได้ชนะจริง เขาจึงร้องไห้ และขอพรจากพระเจ้า เขารู้ตัวว่า ในความเป็นคนเก่งของเขานั้น ไม่ยังอาจสู้พระเจ้าได้

ต่อมาหลังจากคืนวันนั้น เขาจึงได้คืนดีกับพี่ชายที่เขาเคยโกง

พระเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพ องค์พระผู้เป็นเจ้าคือนามที่เราต้องจดจำ ในเมื่อยาโคบเองได้ตระหนักว่า ตนแพ้พระเจ้า  คนอิสราเอลก็ต้องเข้าใจเหมือนกับยาโคบ สร้างความยุติธรรมในสังคม และยอมที่จะไว้วางใจพระเจ้าในทุกด้านของชีวิต

ดังนั้น  โดยความช่วยเหลือของพระเจ้า พวกท่านทั้งหลาย จงกลับมา  จงยึดมั่นในความรักและความยุติธรรม และรอคอยพระเจ้าเสมอไม่หยุด  โฮเชยาจึงชวนให้คนอิสราเอลกลับใจใหม่ และแม้ในการกลับใจใหม่นั้น พวกเขาก็ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า เพราะทำเองไม่ไหว  เดี๋ยวก็กลับไปหาสิ่งชั่วร้ายอีก หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากพระองค์

 

โฮเชยา 11

โฮเชยา 11

เมื่ออิสราเอลยังเด็ก  เรารักเขา  และเราได้เรียกลูกชายของเราออกมาจากอียิปต์   แต่ยิ่งเราเรียกเขามากเท่าไร  เขาก็ยิ่งออกห่างเรามากเท่านั้น    พวกเขาเฝ้าแต่กราบไหว้จ้าวบาอัล และเผาเครื่องบูชาให้กับรูปปั้นต่าง ๆ   ไม่หยุดหย่อน  ดูซิ  พระเจ้าทรงโกรธพวกเขา แต่ยังทรงคิดถึงวันในอดีตที่พระองค์ทรงนำเขาออกมาจากการเป็นทาส  พระองค์ไม่ได้ทรงเรียกเขาแค่ว่าเป็นคนของพระองค์  แต่ทรงเรียกเขาว่าเป็นลูกของพระองค์

เราเองแหละ  ที่เป็นคนสอนให้เอฟราอิมเดิน  เราอุ้มเขา แต่เขาไม่รู้ว่า เราเป็นผู้รักษาเขา พวกเราเป็นเหมือนอิสราเอลไหม?? พระเจ้าทรงดีต่อเรา ประทานสิ่งดีให้มากมาย  แต่ไม่รู้ตัวว่า เกิดจากพระเจ้า นึกว่าเป็นความสามารถของตนเอง พระองค์ทรงสอนหนทางดี ๆ แก่เขา แต่เขาไม่สนใจ


เรานำเขาไปด้วยสายใยแห่งน้ำใจ  ด้วยสายแห่งความรัก   เราเป็นผู้ที่ช่วยทำให้แอกที่ขากรรไกรของพวกเขาบรรเทาลง  และเราโน้มตัวลง เลี้ยงดูเขา ตอนนี้ ดูเหมือนพระเจ้ากำลังนำเขาไปด้วยสายใย และสายแห่งรัก  เหมือนกำลังพาสัตว์เลี้ยงไปหาอาหารและน้ำ

เขาจะไม่กลับไปยังแผ่นดินอียิปต์  แต่อัสซีเรียจะเป็นผู้ปกครองเขา   เพราะเขาปฏิเสธไม่ยอมกลับมาหาเรา พวกเขายังไม่สนใจคำของพระเจ้า แม้กระทั่งเมื่อไปอยู่เมืองอื่น

ดาบจะเข้ามาโจมตีเมืองของเขา  กลืนกินดาลประตูเมือง  และล้างผลาญพวกเขา เพราะเขาต่างวางแผนปรึกษากันเอง

คนของเรามีแนวโน้มที่จะหันไปจากเรา แม้ว่าปากของเขาจะร้องหาพระเจ้าสูงสุด แต่พระเจ้าจะไม่ทรงยกเขาขึ้นแน่นอน

โอ เอฟราอิม แล้วเราจะล้มเลิกตัดขาดเจ้าไปได้อย่างไร  ? โออิสราเอล เราจะยื่นเจ้าให้พวกเขาได้อย่างไร?  เราจะทำให้เจ้าเหมือนเมืองอัดมาห์ได้อย่างไร?  เราจะทำกับเจ้าย่างเศโบยิมได้อย่างไร? พระเจ้าทรงรักคนของพระองค์มากเหลือเกิน  แม้ว่าเขาทำร้ายน้ำพระทัยของพระองค์ไม่หยุดหย่อน   ความสัมพันธ์ของพระเจ้าที่มีต่อคนของพระองค์นั้นไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเข้มงวด เหมือนทหาร  แต่เป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง

ใจของเราก็ร้อนกระวนกระวายข้างใน  ความสงสารของเราก็มากขึ้น ใจเราอ่อนลง   เราจะไม่ทำตามความโกรธเป็นไฟของเรา  เราจะไม่ทำลายเอฟราอิม  เพราะว่า เราเป็นพระเจ้าและมิใช่มนุษย์   เราเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์อยู่ท่ามกลางพวกเจ้า   เราจะไม่มาหาเจ้าในความโกรธ   พระเจ้าทรงบอกพระองค์เองว่า พระองค์จะไม่ทรงมาหาเขาในความโกรธ  เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเขาจะไม่เหลือแม้ซาก…

พวกเขาจะตามหาพระเจ้า  พระองค์จะทรงเปล่งเสียงดั่งสิงโต   และเมื่อพระองค์ทรงคำราม  ลูก ของพระองค์ตัวสั่นมาจากตะวันตก   พวกเขาจะกลับมาตัวสั่นเหมือนนก จากอียิปต์  เป็นเหมือนนกพิราบจากอัสซีเรีย  และเราจะกลับไปหาเขาที่บ้าน  พระเจ้าตรัสดังนั้น  ภาพนี้อธิบายเหตุการณ์วันที่พวกเขาจะกลับมาจากการเป็นเชลย

เอฟราอิมได้ล้อมรอบเราไว้ด้วยคำโกหก   วงศ์วานอิสราเอลก็ด้วยคำหลอกลวง   แต่ยูดาห์ยังเดินกับพระเจ้า  และซื่อสัตย์ต่อองค์ผู้บริสุทธิ์องค์เดียว

 

โฮเชยา 10-2

โฮเชยา 10:9-15

ตั้งแต่วันที่กิเบอาห์  เจ้าได้ทำบาป  อิสราเอลเอ๋ย  เจ้าไม่ได้ ต่อต้านความอยุติธรรมในกิเบอาห์  เมื่อกล่าวถึงกิเบอาห์เมื่อไร ก็นึกถึงความทารุณโหดร้ายต่อผู้หญิง ความกระหายทางเพศสมัยผู้วินิจฉัยขึ้นมาเสมอ  และจากนั้นมาความชั่วร้ายของอิสราเอลก็เพิ่มขึ้น

เมื่อไรที่เราพอใจ เราจะลงวินัยตีสอนพวกเขา  และประชาชาติจะรวมตัวกันมาต่อสู้เขา  ขณะที่พวกเขาถูกมัดไว้เพราะทำบาปซ้อนบาป

เอฟราอิมเป็นลูกวัวที่ถูกฝึกซึ่งชอบนวดข้าว  เราจะปล่อยคออันงดงามของมันไว้ แต่เราจะใส่แอกไว้ที่คอเอฟราอิม  และยูดาห์จะต้องไถนา  ยาโคบจะไถคราดเพื่อตัวเอง  ดูเหมือนว่า การลงโทษนั้นจะหนักหนามาก

จงหว่านความชอบธรรม จะได้เกี่ยวความรักมั่นคง  จงไถดินที่ร้างอยู่  เพราะนี่เป็นเวลาที่จะแสวงหาพระเจ้า  เพื่อว่าพระองค์จะเสด็จมา โปรยปรายความชอบธรรมให้กับเจ้าดั่งสายฝน โฮเชยาได้ชวนให้คนอิสราเอลกลับใจใหม่   บอกเขาว่า ยังพอจะเปลี่ยนอนาคตที่ร้ายแรงได้ หากกลับใจปรับตัวให้ทัน  พวกเขาต้องให้ความยุติธรรมกับคนยากจน คนทุกข์ยาก  การไถดินนั้นต้องมาก่อนการปลูก และฝน….     หากพวกเขาเตรียมตัว กลับใจก่อนเหมือนกับการเตรียมดิน พระเจ้าก็จะเสด็จมาประทานพรให้  เหมือนกับฝนที่ตกลงมา

เจ้าได้หว่านความผิด ดังนั้นเจ้าจะเกี่ยวความอยุติธรรม  เจ้าได้กินผลของการมุสา เพราะว่าเจ้าวางใจทางของตัวเอง เจ้าวางใจในนักรบมากมายของเจ้า อิสราเอลยังเชื่อวิธีการของตนเอง เชื่อทหารที่มีเหลือเฟือ  แต่ทั้งหมดนี้ ช่วยให้เขาพ้นจากอัสซิเรียไม่ได้เลย  แม้โฮเชยาจะชวนให้กลับใจ แต่ความเป็นจริงก็คือ พวกเขาไม่สนใจสักนิด


ดังนั้น สงครามจะเกิดขึ้นท่ามกลางคนของเจ้า ป้อมเข้มแข็งของเจ้าจะถูกทำลาย  เหมือนกับชัลมานทำลายเบธอาร์เบลในวันแห่งสงคราม  แม่จะถูกสังหารเป็นชิ้น ๆ พร้อมกับลูก ๆ  ของพวกเธอ  มื่อประมาณ 740 ปีก่อนคริสตศักราช  ราชาชัลมานได้เข้ามาบุกและทำลายเมืองเบธอาร์เบล  สังหารประชาชนอย่างโหดเหี้ยม พวกเขารู้ว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นอย่างไร   อิสราเอลจะเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันอีกแน่นอน

สิ่งนี้จะเกิดกับเจ้า เบธเอล   เพราะความชั่วร้ายยิ่งใหญ่ของเจ้า  ยามรุ่งอรุณ  กษัตริย์แห่งอิสราเอลจะถูกตัดออกไปจนหมดสิ้น พระเจ้าจะทรงทำลายราชวงศ์ของอิสราเอล ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว และเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้นรวดเร็ว ฉับพลันจนไม่อาจทำอะไรได้…..

 

โฮเชยา 10-1

โฮเชยา 10:1-8

อิสราเอลเป็นเถาองุ่นที่ออกผลดก งดงาม  ยิ่งมีผลออกมากเท่าไร  พวกเขาก็ยิ่งสร้างแท่นบูชามากขึ้นเท่านั้น   ยิ่งเจริญขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งทำให้เสาบูชาของเขาเจริญขึ้นเท่านั้น ในสมัยของเยโรโบอัมที่สองนั้น  บ้านเมืองเจริญทางเศรษฐกิจ พระเจ้าทรงอวยพระพรเขา  ผู้คนไม่ได้หาพระเจ้าแต่กลับแสวงหารูปเคารพ  และยังสร้างขึ้นมาอีกมากมาย  พวกเขากลายเป็นวัตถุนิยม รูปเคารพนิยมไปแล้ว

ใจของเขาเป็นใจปลอม หลอกลวง ดังนั้นพวกเขาจะต้องรับแบกความผิดของตน  พระเจ้าจะพังแท่นบูชา  และทำลายเสาบูชาของพวกเขาเสีย

เพราะเดี๋ยวนี้ พวกเขาจะกล่าวว่า “เราไม่มีกษัตริย์  เพราะเราไม่กลัวเกรงพระเจ้า  และถ้ามีกษัตริย์หรือ จะมีประโยชน์อะไร ท่านทำอะไรให้เราได้?”   นี่เป็นคำพูดเมื่อพวกเขาเจอความหายนะ  เป็นสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ล่วงหน้าว่า เขาจะกล่าวคำแบบนี้

พวกเขากล่าวคำไร้สาระ  มาทำพันธสัญญากันด้วยคำสัญญาลม ๆ แล้งๆ  ดังนั้น คำพิพากษาจึงเกิดขึ้นดกงอกงามเหมือนกับวัชพืชที่เป็นพิษในร่องตามทุ่ง  คดีความเกิดขึ้นมากมาย เพราะคนไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน  วัชพืชที่ขึ้นมาตามร่องนั้นจะรัดต้นข้าว พืชพันธุ์ที่พวกเขาปลูกไว้ เช่นกัน คำพิพากษาของพระเจ้าจะมาแทนพระพร

คนที่อาศัยในสะมาเรียกลัวตัวสั่นเพราะลูกวัวแห่งเบธอาเวน  คนต่างคร่ำครวญถึงมัน  พวกปุโรหิตก็เช่นกัน  เหล่าคนที่เคยร่าเริงยินดีกับรูปปั้นนั้น เดี๋ยวนี้มันจากไปแล้ว  นี่ไง บ้านแห่งความชั่วร้าย คือเบธอาเวน

ตัวมันจะถูกหามไปอัสซีเรียให้เป็นเครื่องบรรณาการแก่กษัตริย์ยิ่งใหญ่  เอฟราอิมจะต้องอับอาย อิสราเอลจะอดสูเพราะรูปเคารพของพวกเขา

กษัตริย์แห่งสะมาเรียจะพินาศเหมือนกับกิ่งไม้เล็ก ๆ ที่ลอยอยู่ในน้ำ  คิดดูนะ กษัตริย์ที่เคยยิ่งใหญ่สุดในประเทศ จะกลายเป็นเหมือนเศษไม้ที่ลอยล่องในน้ำ  ไม่รู้ไปทางไหน ไม่สามารถช่วยตัวเองได้   เขาอาจคิดไม่ถึงว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้

ที่สูงแห่งเมืองอาเวนและบาปของอิสราเอลจะถูกทำลาย

ต้นหนามจะงอกเติบโตบนแท่นบูชาของเขา  และเขาจะกล่าวร้องกับภูเขาว่า “ช่วยบังเราไว้”  และร้องขอเนินเขาว่า “ช่วยล้มลงทับเรา”

 

โฮเชยา 9-2

โฮเชยา 9:9-17

ดูซิ  พวกเขาเสื่อมทรามลงไปเหมือนวันที่กิเบอาห์   พระเจ้าจะทรงจำความผิดของเขา และจะทรงลงโทษเพราะบาปของพวกเขา  ที่กิเบอาห์เมื่อนานมาแล้ว  ภรรยาของชายคนหนึ่งถูกจับตัวข่มขืนและฆ่าตาย โดยผู้ชายในเมืองกิเบอาห์   ในเวลานั้นถือว่า เป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดซึ่งเกิดขึ้นในอิสราเอล  แต่มาตอนนี้โฮเชยากล่าวว่า บาปของอิสราเอลก็เหมือน ๆ กับครั้งที่กิเบอาห์

เหมือนกับผลองุ่นในถิ่นแห้งแล้งกันดาร  เราพบอิสราเอล  เหมือนกับมะเดื่อรุ่นแรกต้นฤดู  เราพบเหล่าบรรพบุรุษของเจ้า   เวลาเราพบผลไม้ในที่ ๆ ไม่น่าจะพบ เราดีใจมากใช่ไหม พระเจ้าก็ทรงดีใจมากเมื่อพบอิสราเอลในครั้งแรกนั้น

แต่พวกเขามาหาจ้าวบาอัลเปออร์  และถวายตัวให้กับสิ่งที่น่าอายนั้น  และพวกเขาก็กลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจเหมือนสิ่งที่เขาเทิดทูน  แต่พวกเขากลับไปทำพิธีขอความอุดมสมบูรณ์ แบบคนโมอับ

ศักดิ์ศรีของเอฟราอิมจะบินหนีไปเหมือนนก  ไม่มีการเกิด ไม่มีการตั้งครรภ์ ไม่มีการปฏิสนธิ์   ถึงแม้จะมีลูกออกมา  เราจะพรากเอาไปจากพวกเขา ไม่เหลือสักคนเดียว วิบัติแก่พวกเขาเมื่อเราจากไป ศักดิ์ศรีของชนชาติหนึ่ง ๆ นั้น อยู่ที่การมีประชากรคุณภาพและมีจำนวนมากพอ  แต่มาบัดนี้ พระเจ้าทรงบอกว่า พวกเขาจะเป็นหมัน… น่ากลัวจริง ๆ  จะไม่เหลือคนเชื้อชาตินี้แล้วหรือ

เอฟราอิม.. อย่างที่เราเห็น  เจ้าเหมือนต้นปาล์มเล็ก ๆ ที่ปลูกไว้ในทุ่ง  แต่เอฟราอิมจะนำให้ลูกหลานของพวกเขาไปยังทุ่งสังหาร… เด็กที่เกิดขึ้นมาได้ และมีชีวิตอยู่ จะต้องเผชิญกับการบุกรุกของศัตรู

ประทานแก่เขาเถิด พระเจ้าข้า  แต่… พระองค์จะประทานอะไร  ประทานครรภ์ที่แท้ง น้ำนมที่แห้งหาย

ความชั่วร้ายทั้งสิ้นของพวกเขาอยู่ในกิลกาล ที่นั่น เราเริ่มที่จะเกลียดเขา เพราะการกระทำอันชั่วช้าของพวกเขา   เราจะไล่เขาออกจากนิเวศของเรา  จะไม่รักเขาอีกต่อไป  เจ้านายของพวกเขาต่างดื้อดึง   เอฟราอิมจะไม่เกิดผลใด ๆ  แม้จะคลอดลูกออมามา เราก็จะสังหารลูกหลานที่พวกเขาแสนรัก   เมืองกิลกาล เป็นเมืองแห่งการไหว้รูปเคารพต่าง ๆ  ผู้คนจะแห่กันมาที่นี่เพื่อทำพิธีอันน่าเกลียด มีการเลี้ยงหลาย ๆ วัน ทั้งสุรานารี  เหมือน ๆ กับการเที่ยวกลางคืนในสมัยนี้ โดยเอาเรื่องพิธีศาสนาเข้ามาบังหน้า

พระเจ้าของข้าพเจ้าจะปฏิเสธพวกเขา   เพราะว่า เขาไม่ฟังพระองค์  และเขาจะกลายเป็นคนเร่ร่อนไปในชาติต่าง ๆ  เสียดายนัก ถ้าเขาไม่ประพฤติเลวทราม การที่ต้องไปเร่ร่อนในชาติต่างๆ  ซึ่งต่อมานั้นเป็นจริงในประวัติศาสตร์   ก็จะไม่เกิดขึ้น

 

โฮเชยา 9-1

โฮเชยา 9:1-8

อย่ายินดีไปนักเลย   อิสราเอล  อย่ารื่นเริงเหมือนชนชาติอื่น ๆ เลย  เพราะเจ้าได้ละทิ้งพระเจ้า และทำตัวเป็นเหมือนโสเภณี รักค่าจ้างที่มาจากลานนวดข้าว …
ลานนวดข้าวและบ่อย่ำองุ่น ไม่อาจเลี้ยงพวกเขา และเหล้าองุ่นใหม่ก็ขาดไป

พวกเขาจะไม่ได้อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า แต่เอฟราอิมจะกลับไปอียิปต์  ไปกินอาหารไม่สะอาดในอียิปต์

พวกเขาจะไม่ได้เทเครื่องดื่มบูชาถวายพระเจ้า  และของสักการะบูชาจะไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า   มันจะเป็นเหมือนขนมปังของคนไว้ทุกข์  คนที่กินเข้าไปจะเป็นมลทิน  เพราะขนมปังนี้มีไว้บรรเทาความหิวเท่านั้น   มันจะไม่มาถึงพระนิเวศของพระเจ้า  พระเจ้าจะทรงส่งเขาไปในต่างแดน  ที่ ๆ เขาไม่สามารถสร้างแท่นบูชาขึ้นได้อีก

เจ้าจะทำอะไรในวันเทศกาลที่กำหนดไว้  ในวันงานเลี้ยงของพระเจ้า?

เพราะว่าเจ้ากำลังจะหนีไปจากความหายนะ เจ้าคิดว่า เจ้าจะปลอดภัย แต่อียิปต์ก็จับเจ้าไว้  เมืองเมมฟิสจะฝังพวกเขา  ต้นตำแยจะเป็นเจ้าของเงินที่มีค่าของเขา  ต้นหนามจะอยู่ในกระโจมของเขา

วันแห่งการลงทัณฑ์มาถึงแล้ว  วันแห่งการแก้คืนมาถึง และอิสราเอลจะรับรู้รสชาดของมัน คนกล่าวคำของพระเจ้ากลายเป็นคนโง่  คนฝ่ายวิญญาณก็บ้าบอไป เพราะว่าความผิดอันใหญ่หลวงของเจ้า  เพราะว่าความเกลียดชังที่ท่วมท้นของเจ้า

ผู้กล่าวคำของพระเจ้านั้นเป็นยามเฝ้าเอฟราอิมพร้อมกับพระเจ้าของข้าพเจ้า  แต่กระนั้น กับดักของนายพรานก็อยู่ตามทางเต็มไปหมด  และความเกลียดชังก็อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าของเขา  คนอิสราเอลไม่ต้องการฟังพระคำของพระเจ้าที่คนของพระองค์มาตักเตือน  มองว่าผู้กล่าวคำเหล่านั้นไร้สาระ   ทุกสิ่งทุกอย่างจึงจบลงที่ความหายนะของตัวเขาเอง