สรุปย่อ ฮาบากุก

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นกำลังของข้า

ทรงทำให้เท้าของข้าเป็นเหมือนเท้ากวาง

ทรงช่วยให้ข้าขึ้นไปบนที่สูง

ถอดความจาก ฮาบากุก 3:19

36-Habakkuk-Thai

 

บทสรุปย่อ ฮาบากุก

เพื่อให้เพื่อน ๆ ได้อ่านพระคัมภีร์โดยมองเห็นภาพรวมโดยฟังจากดร.ทิม แมคกี

พร้อมกับดูโปสเตอร์ จะเข้าใจความหมายได้อย่างสมบูรณ์ ดูยูทูบที่

เลือกซับไตเติ้ลภาษาไทยได้ ให้คลิกที่เครื่องหมาย setting

บทสรุปที่เป็นโปสเตอร์นี้ เราได้รับอนุญาตการแปลจาก ไบเบิลโปรเจกต์
โดยสามารถนำไปใช้เพื่อการศึกษาในคริสตจักร กลุ่มเซลต่าง ๆ ในชั้นเรียนรวีฯ
หรือการเรียนพระคัมภีร์ส่วนตัวได้โดยไม่ให้ใช้เพื่อการค้า

[email protected]

ขอบคุณสำหรับฟอนต์ไทยจาก ฟอนต์.คอม

ฮาบากุก 3-3

ฮาบากุก 3:17-19

ฮาบากุกยินดีในพระเจ้า?  เขารู้สึกอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อความแห้งแล้ง กันดารอยู่รอบด้าน

ราวกับว่า เขากำลังเตรียมใจสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

เขายอมรับแล้วว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งในโลกนี้  ไม่ว่าจะดีหรือร้าย

แม้ต้นมะเดื่อจะไม่ผลิดอก

แม้ไม่มีลูกองุ่นงอกขึ้นมา

มะกอกไม่ออกลูก

และทุ่งนาไม่มีอาหาร

แม้ฝูงแกะจะไม่เหลือในคอก

ในโรงวัวไม่เหลืออะไร

แต่กระนั้น ข้าพเจ้าจะยินดีในพระเจ้า

ข้าพเจ้าจะยินดีในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า

พระเจ้า  องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า

พระองค์ทรงทำให้ขาของข้าพเจ้าเป็นเหมือนขากวาง

พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าเดินย่างไปในที่สูง

 

 

สำหรับผู้อำนวยเพลง  ด้วยเครื่องสาย

 

 

ฮาบากุก 3-2

ฮาบากุก 3:8-16

นี่เป็นภาพที่ฮาบากุกเห็นถึงวันแห่งความทุกข์ยากที่กำลังคืบคลานเข้ามา

พระเจ้าข้า พระองค์ทรงโกรธแม่น้ำทั้งหลายหรือ?   พระองค์ทรงกริ้วต่อแม่น้ำ  หรือว่าทรงโกรธทะเล เมื่อพระองค์ทรงม้าของพระองค์ ทรงม้าศึกแห่งความรอด?

พระองค์ทรงดึงแล่งคันธนูออกมา และทรงเรียกลูกธนูมาอีกมากมาย   พระองค์ทรงแยกผืนโลกด้วยแม่น้ำสายต่าง ๆ  เมื่อภูเขาเห็นพระองค์มันก็บิดตัว  น้ำถาโถมเข้ามา และที่ลึกก็ส่งเสียงเรียก  มันยกมือของมันขึ้นสูง

ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หยุดนิ่งอยู่ในที่ของมัน  เมื่อมันเห็นแสงแห่งลูกธนูที่พุ่งออกไป เมื่อมันเห็นแสงวาบจากหอกของพระองค์

พระองค์ดำเนินไปในโลกด้วยความโกรธ ทรงย่ำประชาชาติต่าง ๆ ด้วยความกริ้ว

พระองค์ทรงออกไปเพื่อความรอดของประชากรของพระองค์  เพื่อความรอดของผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้

พระองค์ทรงทำหลายบ้านของคนชั่วร้ายจนแหลกลาน  ทิ้งให้เขาเปลือยเปล่าตั้งแต่ขาไปจนถึงคอ  เซลาห์

พระองค์ทรงแทงหัวของนักรบด้วยลูกธนูของเขาเอง  พวกเขาบุกมาเหมือนกับลมหมุนเพื่อทำให้ข้าพเจ้ากระจัดกระจายไป   พวกเขาดีใจเหมือนกับได้กัดกินคนจนในที่ ๆ ใครไม่เห็น

พระองค์ทรงย่ำทะเลด้วยม้าศึกของพระองค์  ก้อนน้ำอันทรงพลังพลุ่งพล่าน

ข้าพเจ้าได้ยิน และร่างของข้าพเจ้าสั่นระรัว  ปากของข้าพเจ้าสั่นระริกเมื่อได้ยินเสียงนั้น

กระดูกของข้าพเจ้าก็กร่อนไป ขาของข้าพเจ้าสั่นเทา

แต่กระนั้น ข้าพเจ้าก็จะรอวันแห่งความลำบากอยู่เงียบ  ๆ  วันซึ่งจะมาถึงคนเหล่านั้นที่เข้ามาโจมตีเรา

 

ฮาบากุก 3-1

คำอธิษฐานของฮาบากุก  ตามทำนองชิกิโอโนท
ฮาบากุกกำลังอธิษฐาน  แต่เป็นการอธิษฐานที่พวกเขาร้องไปด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่  ดูเหมือนเป็นคำร้องคร่ำครวญ

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าได้ยินเรื่องราวของพระองค์  ข้าพเจ้าก็ยำเกรงเพราะราชกิจของพระองค์   ในกลางวาระ ขอพระเจ้าทรงให้มันฟื้นขึ้น  ในกลางวาระ ขอพระเจ้าทรงทำให้คนทั้งหลายได้รู้กันทั่ว

เมื่อพระองค์ทรงกริ้ว ขอโปรดระลึกถึงพระเมตตา

พระเสด็จมาจากเทมาน(ทางใต้)    และองค์บริสุทธิ์เสด็จมาจากภูเขาปาราน  เซลาห์

ความงดงามของพระองค์นั้นปกคลุมท้องฟ้า และในโลกก็เต็มด้วยการสรรเสริญพระองค์
ความสง่าตระการของพระองค์นั้น เป็นดั่งความสว่าง  เขานึกถึงครั้งที่พระเจ้านำอิสราเอลออกมาจากอียิปต์นั่นเอง

รังสีแวบวาบออกมาจากพระหัตถ์ของพระองค์ และที่นั่นพระองค์ทรงคลุมราชอำนาจของพระองค์ไว้
โรคระบาดไปข้างหน้าพระองค์  ภัยพิบัติเดินตามหลังพระองค์
เมื่อกล่าวถึงโรคระบาดและภัยพิบัตินั้น เท่ากับฮาบากุกกำลังพูดถึงการพิพากษาของพระเจ้า

พระองค์ทรงยืน และวัดขนาดของโลก  พระองค์ทรงมอง และเขย่าประชาชาติ  และภูเขานิรันดร์ทั้งปวงก็กระจัดกระจายออกไป  เนินเขาที่ถาวรกลับจมลง  ทางของพระองค์นั้น เป็นทางที่ดำเนินไปไม่หยุด
ดูซิ  แม้สิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นรากฐานของโลกยังเขย่าเมื่อพระเจ้าทรงให้เกิดแผ่นดินไหว….

แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ซินาโน

ข้าพเจ้าเห็นเต้นท์ของคนกูชกำลังพบความลำบาก  ม่านของแผ่นดินมีเดียนก็สั่นเทาด้วยความกลัว

 

ฮาบากุก 2-3

ฮาบากุก 2:15-20

ยังมีความผิดอีกสองอย่างของบาบิโลน
วิบัติแก่คนที่ให้เพื่อนบ้านต้องดื่มเหล้าองุ่น เจ้าเทความโกรธของเจ้าออกมาให้พวกเขาดื่ม เพื่อว่าเจ้าจะได้จ้องมองดูร่างเปลือยเปล่าของพวกเขา
แทนที่เจ้าจะมีศักดิ์ศรี เจ้าเองจะได้รับความละอาย เจ้าดื่มเสียสิ จะได้ให้คนเห็นว่าเจ้าไม่ได้เข้าสุหนัต ถ้วยจากพระหัตถ์ขวาของพระเจ้าจะล้อมรอบเจ้า และความน่าอายจะบังศักดิ์ศรีของเจ้าไปหมด
ความรุนแรงที่เจ้าทำต่อเลบานอนจะกลับมาท่วมเจ้า เจ้าจะกลัวเหมือนกับเวลาที่สัตว์ป่าเผชิญหน้ากับความตาย เพราะว่าเจ้าทำให้เลือดของมนุษย์ตกดิน เจ้าทำการรุนแรงในโลก ต่อเมืองและคนในเมืองมากมาย
บาบิโลนได้ทำให้คนทั้งหลายดื่มเหล้าองุ่น เพื่อพวกเขาจะได้กลายเป็นคนอ่อนแอ ไร้ค่า กลายเป็นเหยื่ออย่างง่ายดาย นี่เป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อทำลายศัตรู แต่ถ้วยจากพระเจ้าจะมาหาพวกเขา นั่นก็คือ ถ้วยแห่งพระพิโรธของพระเจ้าจะเวียนมาหาเขา และเขาจะกลายเป็นที่น่าอายต่อหน้าประชาชาติทั่วไป

รูปเคารพให้กำไรอะไรกับเจ้า รูปที่ช่างได้สร้างขึ้นมา เป็นรูปทำจากโลหะ เป็นครูสอนคำมุสา มันให้ประโยชน์อะไรหรือ? คนสร้างรูปปั้นกลับไปเชื่อวางใจสิ่งที่ตนสร้างขึ้นมา รูปปั้นที่พูดไม่ได้!
วิบัติแก่คนที่พูดกับไม้สลักรูปว่า ตื่นขึ้นเถอะ!
หรือกล่าวกับหินว่า ลุกขึ้น!
มันสอน มันแนะนำได้หรือ..?
ดูเถอะ มันเคลือบด้วยเงินและทอง แต่ไม่มีลมหายใจในรูปนั้น
แต่พระเจ้าทรงอยู่ในพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์
โลกทั้งสิ้น จงนิ่งสงบต่อพระพักตร์ของพระองค์เถิด
ท้ายสุดนั้น พระเจ้าทรงบอกเขาว่า พวกเขาโง่เพียงไรที่ติดตามรูปปั้นต่าง ๆ ซึ่งบาบิโลนนั้นมีพระหลายแบบมากมาย ความหายนะของบาบิโลนจะเป็นเครื่องชี้ว่า รูปปั้นพระต่าง ๆ นั้นไม่ใช่พระ แต่พระเจ้าต่างหากที่ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ และพระองค์จะทำให้ทั้งโลกต้องสยบต่อพระองค์

ฮาบากุก 2-2

ฮาบากุก 2:6-14
วิบัติแก่ชาวเคลเดีย (บาบิโลน)
ฮาบากุกได้บอกเล่าถึงวิบัติที่จะเกิดกับบาบิโลน เพื่อน ๆ ครับ ฮาบากุกจะบอกว่าพวกเขาทำผิดอะไร และจากนั้นจะเจอกับอะไร มีสิ่งร้าย ๆ ที่บาบิโลนทำกับผู้อื่นอยู่ 5 อย่าง วันนี้ เราดู 3 อย่างก่อนว่า เป็นอะไรบ้าง
เหล่าชาติต่าง ๆ จะไม่กล่าวคำเยาะหยันด้วยคำเสียดสีและภาษิตต่อต้านเคลเดียหรือ?
พวกเขาจะกล่าวว่า วิบัติแก่คนที่สะสมสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเป็นกองสุมพะเนินเทินทึก จะทำไปนานเท่าไร? แล้วเจ้าหนี้ของเจ้าจะไม่ลุกฮือขึ้นมาทันควัน คนที่ตื่นขึ้นมาจะไม่ทำให้เจ้าตัวสั่นหรือ? แล้วคราวนี้เจ้าจะกลับกลายเป็นคนถูกปล้น
เพราะว่าเจ้าได้ปล้นมาจากหลายชนชาติ คนที่หลงเหลืออยู่จะกลับมาปล้นเจ้าคืน เพราะว่าเจ้าทำให้คนเลือดตก และเจ้าเที่ยวทำความรุนแรงไปทั่ว โจมตีคนในเมืองต่าง ๆ
อย่างแรก บาบิโลนปล้นคนอื่น สะสมสิ่งที่ไม่ใช่เป็นของตนเอง…. บาบิโลนไปตีเมืองไหน ก็เรียกร้องบรรณาการอย่างมากมาย และแน่นอนคนที่ลำบากที่สุดคือ คนยากจนของประเทศที่บาบิโลนไปโจมตี

วิบัติแก่คนที่มีสร้างบ้านเมืองขึ้นมาจากการกระทำชั่ว วางรังของตนให้สูง เพื่อไม่ให้ใครมาทำร้ายได้
เจ้าได้สร้างความละอายให้กับบ้านของเจ้าเอง ด้วยการกำจัดคนอื่นออกไป เจ้าจะทำให้ตัวเองเสียชีวิตแน่นอน
เพราะว่าหินก็จะร้องออกมาจากกำแพง ขื่อไม้จะร้องตอบ
อย่างที่สอง บาบิโลนสร้างเมืองของเขาจากการทำร้ายคนอื่น เอาไม้อย่างดีจากเลบานอน เอาหินขนมาจากประเทศอื่น ๆ
วิบัติแก่คนที่สร้างเมืองจากการนองเลือด และก่อตั้งเมืองขึ้นมาจากความผิดบาป
พวกเขาเอาแรงงานมาด้วยเพื่อสร้างอาณาจักรอันงดงามของตน
ดูเถอะ ที่มนุษย์ต่างทำงานหนักเพื่อไฟ หรือชาติต่าง ๆ เหน็ดเหนื่อยเพื่อความว่างเปล่า ไม่ได้เป็นมาจากพระเจ้าหรอกหรือ? เพราะว่าทั้งโลกจะเต็มไปด้วยความรู้เรื่องพระสิริของพระเจ้า ดั่งน้ำที่ปกคลุมพื้นทะเล!
แต่ถึงอย่างนั้น บาบิโลนจะไม่เหลืออะไร มันกลายเป็นศูนย์ พวกเขาจะถูกปกคลุมด้วยความน่าละอาย แต่ในเวลาเดียวกัน ฮาบากุกได้รับคำจากพระเจ้าว่า แล้ววันหนึ่งทั้งโลกจะรู้ถึงพระสิริของพระเจ้า เหมือนน้ำทะเลที่อยู่ในมหาสมุทร

ฮาบากุก 2-1

ฮาบากุก 2:1-5

 

ฮาบากุกขึ้นไปอยู่บนกำแพงเมือง และรอคอยคำตอบจากพระเจ้า  เขาตั้งใจรอ  ตั้งใจฟัง ต้องการได้ยินเสียงของพระเจ้าตอบเขาตรง ๆ

ข้าพเจ้าจะยืนอยู่ที่หอคอย  และเฝ้าประจำการอยู่บนหอนั้น

ข้าพเจ้าจะคอยดูว่า พระเจ้าจะตรัสอะไรแก่ข้าพเจ้า  และข้าพเจ้าจะตอบพระองค์ถึงสิ่งที่ร้องทุกข์ต่อพระองค์อย่างไร

และพระเจ้าทรงตอบข้าพเจ้าว่า “ จงเขียนศุภนิมิตของเจ้า  เขียนให้ชัดเจนบนแผ่นจารึก  เพื่อว่าคนที่ได้อ่านนั้น จะเข้าใจทันที
เพราะว่า ศุภนิมิตนั้นกำลังรอคอยเวลาที่กำหนดไว้ของมันอยู่  มันกำลังรีบไปถึงที่สุดปลาย และจะไม่มุสา  หากดูเหมือนว่ายังช้าไป ก็ให้รอ เพราะมันจะมาถึงอย่างแน่นอน และไม่ล่าช้าด้วย  พระเจ้าทรงแจ้งให้ฮาบากุกทราบว่า พระองค์จะทรงพิพากษาบาบิโลนอย่างแน่นอน แม้ดูช้า แต่มันจะไม่ช้า มันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  และพระองค์ทรงสั่งให้เขาเขียนไว้ เพื่อคนอื่นจะได้รับรู้ด้วย   และพระเจ้าได้สั่งสอนยูดาห์ โดยให้บาบิโลนมาตี เมื่อ586 ปีก่อนคริสตศักราช   ต่อมาปี 539 ก่อนคริสตศักราช บาบิโลนก็ล่มสลาย

ดูเถิด จิตใจของเขาพองขึ้น  ความต้องการข้างในของเขาไม่ถูกต้อง แต่คนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อของเขา    เขาผู้นี้คือบาบิโลนนั่นเอง พวกเขาผยองขึ้นเรื่อย ๆ คิดว่าจะไม่ล้ม แต่คนที่วางใจพระเจ้านั้น  จะยังอยู่ได้โดยความเชื่อของเขา  แม้ในความยากลำบากเพียงใด มืดมิดเพียงใด  แต่ผู้เชื่อในพระเจ้ามีความหวังในพระองค์

ยิ่งกว่านั้น  เหล้าองุ่นทรยศเขา  เขาเป็นคนเย่อหยิ่งโอหังที่ไม่เคยพัก  ความโลภของเขานั้นมากมายเหมือนแดนคนตาย เหมือนอย่างความตาย ใจเขาไม่เคยรู้สึกมีเพียงพอสักที   เขารวบรวมประชาชาติ และเอาคนเหล่านั้นมาเป็นเชลย   แดนคนตายนี้ ในความหมายคือ ที่ ๆ คนตายจะไปอยู่ และมันไม่เคยเต็มสักที!

คนที่วางใจในตัวเอง และทำให้คนอื่นมาเป็นเบี้ยล่างของตน ไม่ว่าอยู่ในยุคไหนก็เหมือนกันหมด  พวกเขาตะกละ มีเงินมากเท่าไรก็ไม่เคยพอ

 

ฮาบากุก 1-2

ฮาบากุก 1:12-17

ฮาบากุกทูลต่อพระเจ้าอีกครั้ง
พระเจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้านิรันดร์มิใช่หรือ?  ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า  พระองค์ผู้ทรงบริสุทธิ์ยิ่งของข้าพเจ้า   เราจะไม่ตาย

ข้าแต่พระเจ้า  พระองค์ทรงตั้งพวกเขาไว้ให้มาลงโทษพวกเรา  และพระเจ้าข้า พระองค์ผู้ทรงเป็นศิลา  พระองค์ทรงตั้งพวกเขามาเพื่อติเตียนเรา  ฮาบากุกเข้าใจว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งบาบิโลนมาจัดการกับยูดาห์


พระองค์ผู้ทรงมีพระเนตรอันบริสุทธิ์เกินกว่าที่จะทอดพระเนตรความชั่วร้าย และพระองค์ไม่อาจมองที่ความผิด  แต่เหตุใดพระองค์ทรงมองคนทรยศเฉย ๆ  และยังทรงเงียบอยู่ในขณะที่คนชั่วร้ายกลืนกินคนที่บริสุทธิ์ชอบธรรมกว่าพวกเขา ?  พระองค์ทรงทำอย่างนั้นได้อย่างไรพระเจ้าข้า ฮาบากุกไม่เข้าใจ   และนี่ก็เป็นปัญหาที่คนปัจจุบันถามเช่นกัน  ทำไมคนดีจึงตายเร็ว?  ทำไมคนชั่วจึงร่ำรวย  รุ่งเรือง?

พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาเหมือนกับเหล่าปลาในทะเล เหมือนกับสัตว์เลื้อยคลานที่ไม่มีผู้ปกครอง

คนเคลเดียนี้  จะลากพวกเขาขึ้นมาด้วยขอเกี่ยว และลากพวกเขาไปด้วยแห  เขารวบรวมคนเข้ามาด้วยอวนของเขา  เขาไล่ล่าผู้คนอย่างสนุกสนาน  ฮาบากุกเห็นว่า พระเจ้าทรงปล่อยให้คนชั่วลอยนวล

อาณาจักรเคลเดียเรืองอำนาจในช่วงปี  625-539  ปีก่อนคริสตศักราช    เนบูคัดเนสซาร์เป็นผู้บัญชาการกองทัพที่เก่งกล้า  และไม่เท่านั้น เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงตั้งมาให้จัดการกับยูดาห์ด้วย

ภาพจำลองประตูเมืองบาบิโลน อิชตาร์

ดังนั้นเขาจึงถวายเครื่องบูชาต่อแหของเขา และถวายเครื่องหอมให้กับอวนของเขา บาบิโลนเองคิดว่า อาวุธของเขาคือเคล็ดลับของความสำเร็จในการโจมตีผู้อื่น  พวกเขาจึงภูมิใจกับอาวุธเหล่านั้น

เพราะว่า เขาอยู่อย่างหรูหราฟุ่มเฟือยได้ก็เพราะสิ่งเหล่านี้  อาหารของเขามีเหลือเฟือ    เขาจะยังคงฆ่าฟันอยู่เรื่อยไป และสังหารประชาชาติทั้งหลายอย่างไร้เมตตาต่อไปไม่หยุดหย่อนหรือ ?

เนบูคัดเนสซาร์นั้น ทรงสร้างบาบิโลนจนใหญ่โต  เรืองอำนาจ  มีกำแพงเมืองหน้า ยี่สิบกว่าเมตร  แค่ประตูเมืองก็งดงามจนตะลึงลาน  สร้างทั้งซิกกูรัท ซึ่งเป็นอาคารสูง   ราชวังของพระองค์ใหญ่โตยิ่ง  และยังมีสวนลอยเต็มด้วยไม้นา ๆ พันธุ์ ที่สร้างให้มเหสีอีกด้วย

ฮาบากุก 1-1

ฮาบากุก 1:1-11

ภาระหนักที่ฮาบากุกได้เห็น….

ฮาบากุกร้องทูล

ข้าแต่พระเจ้า  ข้าพเจ้าจะต้องร้องขอความช่วยเหลือนานเท่าไร?  ข้าพเจ้าจะกล่าวคำว่า “ความรุนแรง!”นานเท่าไร และพระองค์ก็ไม่ทรงช่วย.?
เหตุใดพระองค์ทรงให้ข้าพเจ้าเห็นความอยุติธรรม และเหตุใดพระองค์ทรงมองความผิดเฉย ๆ?

สิ่งที่ฮาบากุกไม่เข้าใจเลยคือ  ทำไมพระเจ้าไม่ทรงตอบคำอธิษฐาน   เขาขอให้พระเจ้าทรงจัดการกับคนที่ผิด  แต่ดูเหมือนพระองค์ทรงเฉยเมย   ไม่น่าเชื่อ พระองค์ทรงทำอย่างนี้ได้อย่างไร… ตอบข้าพเจ้าหน่อย ฮาบากุกเรียกร้อง

ความพินาศและความรุนแรงอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า  การต่อสู้ การแก่งแย่งก็เกิดขึ้นเต็มไปหมด
ดังนั้นกฏหมายจึงไร้อำนาจ และความยุติธรรมก็ไม่เกิดขึ้น
เพราะคนชั่วร้ายรุมล้อมคนชอบธรรม  ดังนั้น ความยุติธรรมจึงถูกบิดเบือน ออกนอกลู่นอกทางไป  เราคงเห็นแล้วว่า ในสังคมเมื่อความชั่วร้ายเกิดขึ้น ขาวกลายเป็นดำ  คนถูกกลายเป็นคนผิด  คนผิดกลายเป็นคนถูกต้อง  ฮาบากุกทนไม่ได้แล้ว  แต่ในที่สุด พระเจ้าทรงให้คำตอบที่ฮาบากุกไม่ชอบใจ

พระเจ้าทรงตอบ
ให้เจ้ามองไปตามประชาชาติต่าง ๆ  และเห็นการอัศจรรย์  ให้เจ้าประหลาดใจได้เลย  เพราะว่า เรากำลังทำราชกิจของเราในวันเวลาที่เจ้ามีชีวิตอยู่   หากเจ้าแค่ได้ยินเรื่องนี้เจ้าจะไม่เชื่อ

ในสมัยของฮาบากุกนั้น  การเมืองต่างประเทศกำลังวุ่นวายไปหมด  อัสซีเรีย (นีนะเวห์)   กำลังจะหมดอำนาจ  ผู้ที่เริ่มมีกำลังมากขึ้นคือเคลเดียซึ่งก็คือบาบิโลนนั่นเอง ผู้นำของบาบิโลนตอนนั้นคือ เนโบโพลัสซาร์   ปี 626 ก่อนคริสตศักราช บาบิโลนเป็นอิสระจากอัสซีเรีย  และค่อย ๆ มีอำนาจมากขึ้นจนกระทั่งสามารถโจมตีอัสซีเรียจนพ่ายราบคาบในปี  605  ก่อนคริสตศักราช    (ทั้งสองอาณาจักรนี้ อยู่ทางตะวันออกของอิสราเอล)

เพราะดูเถิด  เราจะยกคนเคลเดียขึ้น พวกเขาเป็นชาติที่ขมขื่นและเดือดเลือดพล่าน ชาติที่เข้าประจัญบานทะลุผ่านแผ่นดินในโลกเพื่อจับกุมคนที่ไม่ใช่เป็นชนชาติของตน     พวกเขาน่าสะพรึงกลัว และน่าหวาดหวั่น   เขาถือว่า ตัวเขาเองนี่แหละเป็นผู้ให้ความยุติธรรม   พวกเขาแสวงหาเกียรติให้ตนเอง

เนบูคัดเนสซาร์ คือผู้นำกองทัพที่จะมาโจมตียูดาห์ เป็นกษัตริย์ที่เชี่ยวชาญ รวดเร็วในการทำสงคราม

ภาพวาดโดย ชาร์ลส์  เฮนรี่ แกรงเกอร์  (1812-1893)

ม้าศึกของพวกเขานั้นวิ่งเร็วกว่าเสือดาว  ดุร้ายกว่าสุนัขป่ายามค่ำ พลม้าก็ควบมันไปอย่างโอหัง   พลม้านั้นมาจากที่ไกล ราวกับอินทรีบินมาโฉบเหยื่อ
พวกเขาตั้งหน้ามาเพื่อทำการรุนแรง   และโกยกอบเชลยไปเหมือนกอบทราย     พวกเขาเยาะกษัตริย์ทั้งหลาย  และเย้ยเหล่าผู้นำ    พวกเขาหัวเราะให้กับป้อมปราการ  เพราะพวกเขาเพียงก่อดินทรายขึ้นมา แล้วก็ยึดป้อมเหล่านั้นได้   จากนั้นก็กวาดไปเหมือนลมกวาดแล้วก้าวต่อไป  เหล่าคนผิด เขาถือว่า กำลังของเขาคือพระเจ้า

พระเจ้าทรงตอบว่า พระองค์จะทรงยกคนเคลเดียขึ้น!   พวกเขาจะมาทำการรุนแรงกับพวกเรา  .  พระเจ้าทรงใช้คนที่น่ากลัว มีพลังมากอย่างเช่นราชาเนบูคัดเนสซาร์ซึ่งครองเมื่อปี  605 ปีก่อนคริสตศักราช    อาณาจักรที่เนบูคัดเนสซาร์ครองนั้นรุ่งเรืองมาก  จนกระทั่งปี  539 ก่อนคริสตศักราชจึงถูกอาณาจักรเปอร์เซียโจมตี

คนเคลเดียนี้ ไม่สนใจกฎหมายของใครทั้งสิ้น  เขาถือว่า อำนาจสูงสุดอยู่ที่พวกเขาเอง  เป็นพวกที่โจมตีอย่างรวดเร็วทันควัน ไม่รอช้า  พวกเขารวดเร็วเหมือนเสือดาว  ดุเหมือนสุนัขป่า และยังกระหายชัยชนะดั่งอินทรีอีกด้วย

พวกเขาใช้วิธีการโจมตีด้วยม้า และด้วยการสร้างหอคอยเคลื่อนที่ขึ้นมาเพื่อประชิดกำแพงเมืองที่พวกเขาจะเข้าไปโจมตี    และพวกเขาก็ทำสำเร็จเสมอมา   นี่เองทำให้พวกเขาคิดว่า กำลังของเขานี่แหละ คือพระเจ้าของเขา

 

แนะนำฮาบากุก

เราไม่ทราบความเป็นมาของฮาบากุกมากนัก ไม่ทราบประวัติส่วนตัว    เขาพยากรณ์ถึงการเข้ามาบุกโดยอาณาจักรบาบิโลน  และความพินาศของยูดาห์    เขากล่าวว่า พระเจ้าทรงยกบาบิโลนขึ้น   บาบิโลนเป็นใหญ่  และพระเจ้าจะทรงใช้บาบิโลนจัดการกับความบาปของยูดาห์      เวลาที่ฮาบากุกกล่าวถึง น่าจะเป็นการที่บาบิโลนโจมตีอาณาจักรอัสซีเรียและเมืองนีนะเวห์    และเวลาที่บาบิโลนเข้ามาตีเยรูซาเล็มด้วย (587 ปีก่อนคริสตศักราช)

ฮาบากุกน่าจะอยู่ในสมัยของกษัตริย์ โยสิยาห์ (640-609 ปีก่อนคริสตศักราช) เขาเห็นการรื้อฟื้นของยูดาห์   เขาเห็นคนทั้งประเทศกลับมาหาพระเจ้า และอยู่อย่างถูกต้องจนกระทั่งโยสิยาห์สิ้นพระชนม์   ทิ้งบัลลังก์ไว้ให้กับโอรส   ซึ่งโอรสของพระองค์ก็ได้นำประเทศตกสู่ความงมงาย  และการไหว้รูปเคารพอีก     ทำให้ฮาบากุกได้เห็นสภาพการตกลงไปในความบาปของยูดาห์อีกครั้ง ….

ฮาบากุกเป็นคนที่คิดแล้วถาม  เขาเห็นสิ่งที่ไม่เข้าใจ ก็ไม่เก็บเอาไว้  เขาถาม เขาท้า เขาทูลตรง ๆ ต่อพระเจ้า คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น เขาสงสัยว่า เหตุใดพระเจ้าจึงทรงส่งคนที่ไม่เชื่อในพระองค์มาเป็นผู้ลงโทษพวกเขา

และเขาก็เฝ้ารอคอยคำตอบจากพระเจ้าด้วย  แม้จะงุนงงในคำตอบนั้น  เขาก็ต้องยอมรับพระองค์

ข้อพระคำที่เป็นกำลังใจของเรามาก ๆ มาจากหนังสือเล่มนี้ คือ

แม้ไม่มีอะไรเหลือในชีวิต  แม้พระพรขาดหายไป  แต่ก็ยังจะยินดีในพระเจ้าที่เขาวางใจ