เอเสเคียล 9-2 ทำผิดแต่โทษพระเจ้า

เอเสเคียล 9:7-11

แล้วพระองค์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “จงทำให้พระวิหารของเราเป็นมลทิน
ให้มีแต่ศพที่ถูกฆ่าตาย  ไปได้”
ดังนั้นพวกเขาจึงออกไป และสังหารคนในเมือง
ในขณะที่พวกเขากำลังตามล่าสังหารนั้น
ข้าถูกทิ้งไว้คนเดียว ข้าจึงล้มตัวลงร้องว่า
“อา..องค์พระผู้เป็นเจ้า
พระองค์จะทรงทำลายคนที่หลงเหลือในอิสราเอล
ด้วยพระพิโรธที่ทรงเทลงมาเหนือเยรูซาเล็มอย่างนั้นหรือพระเจ้าข้า?”

แล้วพระองค์ตรัสกับข้าว่า
“ความผิดของวงศ์วานอิสราเอลและยูดาห์ใหญ่หลวงนัก
แผ่นดินเต็มด้วยเลือด   ความอยุติธรรมท่วมท้นในเมือง
พวกเขากล่าวกันว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทิ้งแผ่นดินนี้ไปแล้ว
และพระองค์ไม่ทรงเห็นอะไรทั้งนั้น”..eze9-22

สำหรับเราแล้ว  ตาของเราจะไม่ทิ้งใครให้เหลือรอดไป
และเราจะไม่สงสาร
เราจะนำการกระทำของเขามาตกเหนือหัวของเขาเอง”

และดูเถิด ชายคนที่สวมเสื้อป่านลินินที่มีกล่องเครื่องเขียนติดเอว
กลับมาและกล่าวว่า
“ข้าพระองค์ได้ทำตามอย่างที่พระองค์ทรงสั่งทุกประการ พระเจ้าข้า”

เอเสเคียล 9-1 เรียกตัวเพชฌฆาต

เอเสเคียล9:1-6

แล้วพระองค์ตรัสเสียงดังเข้าหูข้าว่า

“จงนำเหล่าเพชฌฆาตของเมืองมาใกล้ๆ
ให้เขามาพร้อมกับอาวุธประหารของตน”
และดูเถิด มีชาย6 คนมาจากประตูบนซึ่งหันไปทางเหนือ
แต่ละคนมีอาวุธสังหารในมือ
มีชายผู้หนึ่งสวมเสื้อป่านลินิน พร้อมกล่องเครื่องเขียนอยู่ที่เอว
พวกเขาเข้ามาข้างในและยืนอยู่ข้างแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์

และพระสิริของพระเจ้าแห่งอิสราเอลก็ขึ้นไปจากเครูบจากที่เคยดำรงอยู่
ไปยังธรณีประตูพระวิหาร
และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกชายที่สวมเสื้อป่านลินินผู้ที่มีกล่องเครื่องเขียนที่เอว
ตรัสสั่งเขาว่า “จงผ่านเข้าไปในนครเยรูซาเล็ม
และทำเครื่องหมายบนหน้าผากของคนที่ถอนหายใจ
และคร่ำครวญเพราะความน่าสะอิดนะเอียนที่ผู้คนทำกันอยู่”

eze9-11

และพระองค์ตรัสกับคนอื่น ๆ ซึ่งข้าได้ยินด้วย
“จงผ่านเข้าไปในนคร ตามเขาไป และจัดการสังหารคนเสีย
ตาของเจ้าไม่ต้องปรานีใคร เจ้าไม่ต้องมีใจสงสารใครด้วย
จงสังหารคนแก่ คนหนุ่ม หญิงสาว เด็กและผู้หญิง
แต่อย่าแตะต้องคนที่มีเครื่องหมายบนหน้าผาก
ให้เริ่มต้นจากพระวิหารของเรา”
ดังนั้น พวกเขาจึงเริ่มต้นสังหารตั้งแต่คนแก่ที่อยู่หน้าพระวิหารนั้น

เอเสเคียล 8-3 เราจะไม่ฟัง

เอเสเคียล8:14-18

แล้วพระองค์ทรงนำข้าไปยังประตูเข้าพระวิหารทางประตูเหนือ
และดูเถิด ที่นั่นมีหญิงคนหนึ่ง ร้องไห้เพื่อเทพทัมมุส
และพระองค์ตรัสกับข้าว่า
“เจ้าเห็นสิ่งนี้ไหม..บุตรของมนุษย์เอ๋ย?
แล้วเจ้าจะเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่านี้อีก”

และพระองค์ทรงนำข้าไปยังลานชั้นในของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า
และดูเถิด ที่ทางเข้าพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ระหว่างเฉลียงกับแท่นบูชา
มีผู้ชายประมาณ 25 คน หันหลังให้กับพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ทั้งหมดหันหน้าไปทางตะวันออก และก็นมัสการดวงอาทิตย์ทางตะวันออกนั้น
แล้วพระองค์ตรัสกับข้าว่า

eze8-3
“เจ้าเห็นสิ่งนี้ไหม  บุตรของมนุษย์เอ๋ย?
ไม่พอรึ ที่วงศ์วานอิสราเอลได้ทำสิ่งน่าสะอิดสะเอียนขนาดนี้
ที่พวกเขาทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยความรุนแรง
และยั่วยุให้เราต้องกริ้วต่อไปอีก?
ดูเถิด พวกเขาได้เอากิ่งไม้มาแตะจมูกของพวกเขา
ดังนั้น เราจะกระทำกับเขาด้วยความโกรธ
ตาของเราจะไม่มีความปรานี
เราจะไม่สงสาร
แม้ว่าพวกเขาจะร้องไห้เสียงดังลั่นใส่หูของเรา
เราก็จะไม่ฟัง”

 

เอเสเคียล 8-2 ทำอะไรในที่มืด?

เอเสเคียล 8:7-13

และพระองค์ทรงนำข้ามายังทางเข้าลานพระวิหาร
และเมื่อข้ามองดูนั้น ก็มีช่องโหว่อยู่ช่องหนึ่งที่กำแพง
และพระองค์ตรัสกับข้าว่า “บุตรของมนุษย์เอ๋ย จงขุดกำแพงเข้าไป”
ดังนั้น ข้าจึงขุดกำแพง และดูเถิด มีทางเข้าเข้าไปอีก
และพระองค์ตรัสแก่ข้าว่า
“เข้าไปสิ  และดูสิ่งน่าสะอิดสะเอียนที่พวกเขาลงมือทำอยู่ที่นี้ ขณะนี้”
ดังนั้นข้าจึงเข้าไป  และก็เห็นจริงอย่างนั้น
ที่นั่น มีภาพแกะสลักบนผนังรอบด้าน
เป็นภาพสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ร้ายที่น่ารังเกียจ

eze8
รวมไปถึงเทวรูปทั้งหลายของวงศ์วานอิสราเอล
หน้าเทวรูปเหล่านั้น ก็คือ ผู้ใหญ่ของวงศ์วานอิสราเอล 70 คน
โดยมียาอาซันยาห์ลูกชายของชาฟานยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา
แต่ละคนถือกระถางไฟในมือ
ควันและกลิ่นของเครื่องหอมก็ลอยขึ้นสู่เบื้องบน
และเขาพูดกับข้าว่า
“บุตรของมนุษย์เอ๋ญ  เจ้าเห็นไหมว่า ผู้ใหญ่ของวงศ์วานอิสราเอล
ทำอะไรอยู่ในที่มืด ๆ ?
แต่ละคนก็อยู่ในห้องรูปภาพของแต่ละคน

พวกเขาพูดกันว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงเห็นเรา
องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ละทิ้งแผ่นดินไปแล้ว”
และพระองค์ยังทรงกล่าวกับข้าว่า

“เจ้าจะได้เห็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียนที่พวกเขาทำมากยิ่งกว่านี้อีก”

 

 

เอเสเคียล 8-1 เทวรูปแห่งความหวงแหน

เอเสเคียล 8:1-6

ในปีที่หก เดือนหก วันที่ห้าของเดือน
ขณะที่ข้านั่งอยู่ภายในบ้านของข้าโดยมีผู้ใหญ่แห่งยูดาห์นั่งอยู่ด้วย
พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มาเหนือข้า

และเมื่อข้ามองออกไป ดูเถิด มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
ด้านล่างที่เป็นเอวของเขานั้น มีไฟไหม้อยู่
เหนือเอวของเขา เป็นเหมือนโลหะที่ส่องสุกใสเจิดจ้า
เขายื่นสิ่งที่เหมือนมือออกมา และจับผมของข้าขึ้นมาปอยหนึ่ง
และพระวิญญาณก็ทรงยกข้าขึ้น มาจากโลกอยู่ระหว่างแผ่นดินกับสวรรค์
และนำข้าไปในนิมิตแห่งพระเจ้าไปยังเยรูซาเล็ม
ที่ทางเข้าของลานด้านในที่หันหน้าไปทางเหนือ
ที่นั่นมีบัลลังก์ของเทวรูปแห่งความหวงแหน
ซึ่งจะยั่วยุให้เกิดความหวงแหน
และดูเถิด พระสิริของพระเจ้าอยู่ที่นั่น
เหมือนกับนิมิตที่ข้าเห็นในหุบเขา

ที่พระวิหารของพระเจ้ากลับมีเทวรูปอยู่
ที่พระวิหารของพระเจ้าซึ่งควรจะเป็นเช่นภาพนี้ กลับมีเทวรูปวางอยู่

แล้วพระองค์ตรัสกับข้าว่า
“บุตรของมนุษย์เอ๋ย จงเงยหน้าขึ้นดูทางเหนือ”
ดังนั้นข้าจึงหันไปมองทางเหนือ ดูเถอะ ทางเหนือของประตูแท่นบูชา ที่ทางเข้า
เทวรูปแห่งการหวงแหนนี้ก็อยู่ตรงนั้น
และพระองค์ตรัสแก่ข้าว่า
“บุตรของมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นไหมว่า พวกเขากำลังทำอะไรอยู่?
เหล่าวงศ์วานของอิสราเอลกำลังทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนเหลือแสน
พวกเขาไล่เราออกไปจากสถานที่บริสุทธิ์ของเรา…
แต่เจ้าจะเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่านี้อีก”

 

เอเสเคียล 7-3 ไร้ค่าทั้งที่เคยมีค่า

เอเสเคียล 7:19-27

พวกเขาโยนเงินของตนลงไปตามถนน
ทองก็เป็นเหมือนสิ่งที่เป็นมลทิน

ทั้งเงินและทองของพวกเขาไม่สามารถช่วยให้รอดพ้นในวันแห่งพระพิโรธของพระเจ้า

เพราะมันไม่อาจทำให้หายหิว ไม่อาจทำให้อิ่มท้องได้
มันกลายเป็นหินสะดุดแห่งความบาปของพวกเขา

การมีเครื่องประดับก็เป็นการส่งเสริมความยะโส
และยังสร้างเทวรูปอันน่าสะอิดสะเอียนจากธาตุเหล่านั้น
ดังนั้น เราจึงให้ธาตุเหล่านั้นกลายเป็นสิ่งสกปรกสำหรับพวกเขา

และเราจะมอบมันให้กับมือของชาวต่างชาติให้เป็นของริบสงคราม
และให้กับคนชั่วร้ายของโลกเพื่อให้เป็นของที่ปล้นได้
และพวกเขาจะทำให้มันเป็นสิ่งโสโครกไป

เราจะหันหน้าไปจากเขา
และเขาจะทำให้สถานที่บริสุทธิ์ของเราสาธารณ์
โจรจะเข้าไปและดูหมิ่นสถานที่นั้น

 
babylonsacks

“จงหล่อโซ่ขึ้นมา !  เพราะแผ่นดินเต็มด้วยอาญชากรรมเลือด
และในเมืองต่าง ๆ ก็เต็มไปด้วยความรุนแรง
เราจะนำชาติที่ร้ายที่สุดมายึดบ้านของเขาไป
เราจะให้ความยะโสของคนที่เข้มแข็งมาถึงจุดจบ
สถานที่บริสุทธิ์ของพวกเขาจะต้องถูกเหยียดหยาม
เมื่อความทุกข์ยากมาถึง พวกเขาจะแสวงหาสันติสุข แต่จะไม่มีให้พบ
ความหายนะเกิดขึ้นต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า
มีข่าวลือทำให้ระส่ำระสายไม่หยุดหย่อน
พวกเขาแสวงหานิมิตจากผู้กล่าวคำ
ในขณะที่กฎบัญญัติของพระเจ้าก็หายไปจากปุโรหิต
คำปรึกษาก็หายไปจากเหล่าผู้ใหญ่

กษัตริย์ก็เศร้าโศก  เจ้าชายสิ้นหวัง
มือของประชาชนก็หมดแรงไปเพราะความหวดกลัว
เราจะทำกับเขา ตามทางของเขา และเราจะพิพากษาเขา ตามความคิดของพวกเขา
และพวกเขาจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า

เอเสเคียล7-2 เพลงเต้นรำแห่งความตาย

เอเสเคียล 7:10-18

“ดูเถิด วันนั้น! ดูเถิด มันมาแล้ว! ความย่อยยับของเจ้ามาแล้ว
ไม้เรียวก็กำลังผลิดอก  ความเย่อหยิ่งผลิออกเป็นตา
ความรุนแรงโตขึ้นจนกลายเป็นไม้เรียวแห่งความชั่วร้าย
ไม่มีใครจะคงอยู่ได้   ไม่ว่าจะเป็นความมั่งคั่งของพวกเขา
ทรัพย์สมบัติของพวกเขา  จะไม่มีใครอยู่เหนือใคร
เวลามาถึงแล้ว  วันมาถึงแล้ว

อย่าให้คนซื้อยินดี  อย่าให้คนขายเศร้าโศก
เพราะความกริ้วได้มาอยู่เหนือประชากรทั้งสิ้น
เพราะว่า คนขายจะไม่ได้กลับไปหาสิ่งที่เขาขายไปในยามที่เขายังมีชีวิต

เพราะว่านิมิตที่เกี่ยวข้องกับประชากร
มันจะไม่กลับมา และเพราะเหตุที่เขาทำบาป
จะไม่มีใครสามารถรักษาชีวิตไว้ได้

เขาได้เป่าแตร และเตรียมทุกสิ่งให้พร้อมแต่ไม่มีใครไปสงคราม

เพราะความโกรธของเราอยู่เหนือประชากรทั้งสิ้น

ข้างนอกมีดาบ และโรคระบาดและความอดอยากอยู่ภายใน

ภาพโดย Michael Wolgemut (1493)
ภาพโดย Michael Wolgemut (1493)

 

 

คนที่อยู่ในทุ่ง ก็ตายด้วยดาบ
คนที่อยู่ในเมืองตายถูกความอดอยากและโรคระบาดกลืนเสีย
และหากยังมีคนที่หลงเหลือหนีไปได้ พวกเขาก็เป็นเหมือนนกในหุบเขา
ต่างคร่ำครวญ เพราะการล่วงละเมิดของตน
มือทุกมือต่างอ่อนแรง  เข่าก็ละลายไปเหมือนน้ำ

พวกเขาสวมเสื้อผ้ากระสอบ ความหวาดกลัวท่วมท้นพวกเขา
ความละอายอยู่บนใบหน้าของทุกคน
ศีรษะต่างก็โล้นเลี่ยน

เอเสเคียล7-1 สี่ทิศแห่งแผ่นดิน

เอเสเคียล 7:1-9

พระดำรัสของพระเจ้ามาถึงข้า

“และเจ้า .. บุตรของมนุษย์  องค์พระผู้เป็น องค์พระเจ้าตรัสกับแผ่นดินอิสราเอลว่า

จุดจบ! จุดจบกำลังมาถึงทั้งสี่ทิศแห่งแผ่นดินโลก
บัดนี้ จุดจบมาถึงเจ้าแล้ว
และเราจะส่งความโกรธของเรามาเหนือเจ้า

4corners

เราจะพิพากษาเจ้าตามการกระทำของเจ้า

เราจะลงโทษให้สมกับการกระทำอันน่าสะอิดสะเอียนของเจ้า

ตาของเราจะไม่ยอมให้เจ้าหนีพ้นไป เราจะไม่มีความปรานี

แต่เราจะลงโทษเจ้าตามหนทางที่เจ้าเดิน

ในขณะที่ความน่าสะอิดสะเอียนยังอยู่ท่ามกลางเจ้า
แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า

แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสว่า วิบัติแล้ววิบัติเล่า
ดูเถิด มันมาแล้ว  จุดจบมาแล้ว  จุดจบมาถึงแล้ว
และมันได้ตื่นขึ้นมาเพื่อสู้กับเจ้า
ดูเถิด มันมาแล้ว

เคราะห์กรรมของเจ้ามาพบเจ้าแล้ว
โอ คนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดิน  เวลามาถึงแล้ว วันใกล้เข้ามา
เป็นวันแห่งความสับสนอลหม่าน

มิใช่วันแห่งการตะโกนอย่างมีความสุขบนภูเขา
บัดนี้ อีกไม่นาน เราจะเทความโกรธของเราลงบนเจ้า
เราจะให้ความกริ้วของเราสู้กับเจ้า
ใช่ เราจะพิพากษาเจ้าเพราะความน่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นของเจ้า
ตาของเราจะไม่เว้นใครเลย เราจะไม่มีความปรานีด้วย

เราจะลงโทษเจ้าตามหนทางของเจ้า
ในขณะที่ความน่าสะอิดสะเอียนยังอยู่ท่ามกลางเจ้า
แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้เฆี่ยน

เอเสเคียล 6-2 ถึงที่สุด

เอเสเคียล 6:8-14

“ถึงกระนั้น เราจะปล่อยให้เจ้าบางคนมีชีวิตอยู่
คือคนที่หนีจากดาบได้ และไปยังประเทศต่าง ๆ
เมื่อเจ้ากระจัดกระจายไปตามดินแดนต่าง ๆ
และคนของเจ้าเหล่านั้นที่หนีคมดาบไปได้
พวกเขาจะระลึกถึงเราในประเทศที่พวกเขาต้องไปเป็นเชลย

Sack_of_jerusalem
เขาจะเริ่มรู้ว่า ใจของเราแตกออกเพราะจิตใจแพศยาของพวกเขา
ทำให้เขาออกห่างจากเรา
รวมถึงสายตาแพศยาที่คอยเฝ้าหาแต่รูปเคารพของพวกเขา
และเวลานั้น พวกเขาจะเกลียดชังตนเอง  เพราะบาปที่ได้ทำ
เพราะความน่าสะอิดสะเอียนที่เกิดขึ้นจากตัวพวกเขาเอง
และพวกเขาจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า
เราไม่ได้ไปพูดเปล่า ๆ ในเรื่องวิบัติที่เราจะนำมาสู่พวกเขา”

ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าตรัสว่า
“จงตบมือของเจ้า และย่ำเท้า และกล่าวว่า
เป็นเพราะความชั่วร้ายอันน่าสะอิดสะเอียนของวงศ์วานอิสราเอล
เพราะพวกเขาจะต้องล้มลงด้วยดาบ ด้วยความอดอยากและโรคระบาด
คนที่อยู่ไกลจะตายเพราะโรคระบาด และคนที่อยู่ใกล้จะตายด้วยดาบ
คนที่เหลืออยู่ ถูกปกป้องเอาไว้ ก็จะตายด้วยความอดอยาก
เราจะเทความกริ้วของเราเหนือเขาดังนี้แหละ
และเจ้าจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า


เมื่อคนที่ถูกฆ่านั้น ได้นอนตายท่ามกลางรูปเคารพ
ตายอยู่รอบ ๆ แท่นบูชา บนภูเขาสูงทุกลูก
บนยอดเขา ใต้ต้นไม้เขียว และใต้ต้นโอ๊กใบดกทุกต้น
พวกเขาตายในที่ ๆ พวกเขาถวายกลิ่นอันเป็นที่น่าพอใจแก่เทวรูปของพวกเขา
และเราจะยื่นมือของเราต่อสู้พวกเขา
ทำให้แผ่นดินต้องร้างเปล่า ไร้ค่า ในที่ๆ พวกเขาเคยอาศัยอยู่
จากถิ่นกันดารไปจนถึงริบลาห์
และเขาจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า

เอเสเคียล 6-1 พังให้หมด!

เอเสเคียล 6:1-7

พระดำรัสของพระเจ้ามาถึงข้าว่า
“บุตรของมนุษย์เอ๋ย
ให้เจ้ามุ่งหน้าของเจ้าตรงไปยังผู้เขาทั้งหลายของอิสราเอล
และกล่าวโทษพวกเขา  กล่าวว่า
เหล่าภูเขาแห่งอิสราเอล..ทั้งเนินเขาทั้งปวง
ทั้งห้วยน้ำและหุบเขาทั้งหลาย

idols
ดูเถิด เรา เราเอง เราจะนำดาบมาเหนือเจ้า
และจะทำลายที่สูงของเจ้า
แท่นบูชาของเจ้าจะร้างเปล่า
แท่นเผาเครื่องหอมจะพังทลาย
และเราจะคนของเจ้าที่ถูกฆ่า จะถูกเราเหวี่ยงไว้ต่อหน้ารูปเคารพของพวกเขา
และเราจะวางศพของคนอิสราเอลต่อหน้ารูปเคารพของพวกเขา
เราจะกระจายกระดูกของพวกเขาไปรอบ ๆ แท่นบูชานั้น
ไม่ว่าพวกเจ้าไปอาศัยอยู่ที่ใด เมืองนั้นจะกลายเป็นเมืองร้าง
และที่สูงจะถูกทำลาย เพื่อว่าแท่นบูชาของเจ้าจะกลายเป็นซากปรักหักพัง
รูปเคารพทั้งหลายจะแตกหักออก และถูกทำลายสิ้น
แท่นเครื่องหอมถูกฟันทิ้ง  ผลงานของเจ้าจะถูกกวาดออกไป
คนที่ถูกฆ่าจะล้มตายท่ามกลางเจ้า
และเจ้าจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า !” 

เอเสเคียล 5-4 ธนูแห่งความตาย

เอเสเคียล 5:13-17

“ด้วยวิธีนี้ ความกริ้วของเราจึงจะระบายออกไปหมด
และเราจะเทความโกรธของเราลงบนพวกเขา และเราจึงสงบ
และพวกเขาจะได้รู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า
เรากล่าวด้วยความหวงแหนในยามที่เราระบายความโกรธลงเหนือเขา
ยิ่งกว่านั้น เราจะทำให้พวกเจ้ากลายเป็นความร้างเปล่า
และเป็นที่ ๆ ประเทศชาติทั้งหลายรอบๆ ตำหนิ ประนาม
รวมไปถึงคนที่เดินผ่านไปมา
เจ้าจะกลายเป็นที่ติเตียน และเป็นเกลียดชัง
เป็นคำเตือนและความสยดสยอง
ต่อบรรดาประเทศทั้งหลายรอบ ๆ เจ้า
เพราะการพิพากษาของเราต่อเจ้าด้วยความโกรธกริ้ว
และด้วยการตีสอนอันเกรี้ยวกราดของเรา
เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราได้พูดออกมาแล้ว

4F_flaming_arrows
เมื่อเราจะส่งลูกธนูแห่งความตาย คือการอดอยาก
ลูกธนูแห่งหายนะ ซึ่งเราจะส่งมาทำลายเจ้า
เราจะให้เจ้าอดอยากมากขึ้น มากขึ้น และทำให้เจ้าไม่มีอาหารเหลือเลย
เราจะส่งความอดอยากและสัตว์ร้ายมาจัดการกับเจ้า
มันจะเอาลูกของเจ้าไป
โรคระบาดและเลือดจะผ่านทะลุตัวเจ้า
เราจะนำดาบมาสู่เจ้า

เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า และเราได้ลั่นวาจาไว้แล้ว

เอเสเคียล 5-3 กระจัด ก ร ะ จ า ย

เอเสเคียล 5:9-12

และเป็นเพราะสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของพวกเจ้า
เราจะทำกับเจ้าอย่างที่เราไม่เคยทำมาก่อน
และเป็นสิ่งที่เราจะไม่ทำอีกต่อไป
พ่อ จะกินลูกของตัวเองท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย
ลูก จะกินพ่อของตนเอง
และเราจะพิพากษาเจ้า

jews scattered
คนที่มีชีวิตรอดท่ามกลางพวกเจ้า เราจะให้กระจัดกระจายไปตามทิศต่าง ๆ
องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าทรงประกาศ  “ดังนั้น  เรามีชีวิตอยู่ฉันใด
เป็นเพราะพวกเจ้าได้ทำให้พระวิหารของเราเป็นมลทิน
ด้วยสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน และการกระทำที่น่าสะอิดสะเอียนของเจ้า
เราจะเอาคืนจากเจ้า
ตาของเราจะไม่เว้นใคร และเราจะไม่สงสาร
หนึ่งในสามของพวกเจ้าจะล้มตายเพราะโรคระบาด
และจะเจอกับการกันดารอาหารท่ามกลางพวกเจ้า
หนึ่งในสามจะถูกสังหารด้วยดาบรอบตัวเจ้า
และอีกหนึ่งในสามนั้น เราจะให้กระจัดกระจายไปตามลมทุกทิศ
และเราจะชักดาบไล่ตามพวกเขาไป

 

เอเสเคียล 5-2 ไม่ยอมตามสักนิด!

เอเสเคียล 5:5-8

ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าตรัสว่า นี่คือเยรูซาเล็ม
เราได้ตั้งให้เยรูซาเล็มเป็นศูนย์กลางของประชาชาติ
มีประเทศต่าง ๆ ห้อมล้อมเธอ
และเธอกลับดื้อดึงต่อกฎเกณฑ์ของเรา
โดยที่ได้ทำความชั่วร้ายยิ่งกว่าประชาชาติเหล่านั้น
ได้ทำสิ่งที่ขัดต่อกฎหมายของเรายิ่งกว่าประชาชาติเหล่านั้น
พวกเขาได้ปฏิเสธ ไม่รับกฎของเรา ไม่เดินตามกฎหมายของเรา

 

ภาพจาก en.wikipedia.org
ภาพจาก en.wikipedia.org

ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าตรัสว่า
เพราะเจ้านั้นระส่ำระสายยิ่งกว่าชาติต่าง ๆ ที่อยู่ล้อมรอบเจ้า
ไม่ได้เดินในกฎหมายของเรา หรือกฎเกณฑ์ของเรา
ทั้งยังไม่ทำตามกฎของประเทศต่าง ๆ ที่อยู่ล้อมรอบเจ้า
ดังนั้น
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า  แม้แต่เราจึงต่อต้านเจ้า
และเราจะพิพากษาเจ้าท่ามกลางประเทศต่าง ๆ เหล่านั้น

เอเสเคียล 5-1 เส้นผมสามส่วน

เอเสเคียล 5:1-4

และเจ้า บุตรของมนุษย์ เจ้าจงไปเอาดาบคม ๆ มา
และใช้มันต่างใบมีดโกนของช่างตัดผม
โกนหัวของเจ้า โกนหนวดของเจ้า
จากนั้นก็เอาไปชั่ง  และแบ่งผมของเจ้าเป็นส่วน ๆ

ภาพวาดโดยไมเคิล บูสกิง
ภาพวาดโดยไมเคิล บูสกิง

หนึ่งในสามส่วนนั้น ให้เจ้าเอาไปเผากลางเมือง
ในวันที่การล้อมเมืองสำเร็จ
อีกหนึ่งในสามส่วน ให้เจ้าโรยออกไปตามสายลม
และเราเองจะเป็นผู้เอาดาบไล่ตามมันไป
ผมอีกส่วนหนึ่งไม่มากนัก ให้เจ้าผูกติดไว้กับชายเสื้อคลุมของเจ้า
และจากตรงนี้ แบ่งมาส่วนหนึ่ง แล้วโยนลงไปในกองไฟให้ไหม้จนหมด
จากที่นั่น จะมีไฟมาสู่วงศ์วานอิสราเอล

เอเสเคียล 4-2 สภาพของการรับโทษ

เอเสเคียล 4:9-17

“และเจ้า จงเอาข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ ถั่ว  ถั่วเลนทิล ข้าวฟ่าง และ ข้าวเอมเมอร์
ใส่มันทั้งหมดเข้าไปในภาชนะเดียว และให้ทำขนมปังจากแป้งเหล่านั้น
ระหว่างที่เจ้าต้องนอนตะแคง 390 วันนั้น เจ้าจะกินอาหารนี้
และอาหารที่เจ้ากินจะต้องชั่งเป็นจำนวน 20 เชเคลต่อวัน (230 กรัม)
เจ้าจะกินอาหารนี้ วันแล้ววันเล่า
และน้ำเจ้าก็ต้องตวงด้วย เป็นครึ่งลิตรต่อวัน
เจ้าจะดื่มน้ำนี้วันแล้ววันเล่า
และเจ้าจะกินมันเหมือนกับกินขนมปังข้าวบาร์เลย์
เจ้าจะกินมันโดยย่างมันบนเชื้อเพลิงจากมูลของคนต่อหน้าเขาทั้งหลาย

4EZe4

แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“นี่แหละ  คนอิสราเอลจะกินอาหารที่ไม่สะอาด
ในแผ่นดินที่เราเนรเทศเขาไป”
ข้ากล่าวว่า  “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า !
ดูเถิด ข้าพระองค์ไม่เคยทำตัวให้เป็นมลทิน
ตั้งแต่เป็นเด็กมาจนทุกวันนี้
ข้าไม่เคยกินอาหารจากสัตว์ที่ตายเอง
หรือสัตว์ที่ถูกฆ่าโดยสัตว์ร้าย
เนื้อที่เป็นมลทินไม่เคยเข้าปากของข้าพระองค์เลย”
และพระองค์ตรัสกับข้าว่า
“ถ้าอย่างนั้น เราจะอนุญาตให้เจ้าใช้มูลโคแทนมูลมนุษย์
ปิ้งขนมปังของเจ้า”
ยิ่งกว่านั้น พระองค์ตรัสกับข้าว่า
“บุตรมนุษย์เอ๋ย ดูเถิด  เราจะทำลายเสบียงของอาหารในเยรูซาเล็ม
พวกเขาจะต้องชั่งอาหารและกินด้วยความกังวลใจ
เขาจะต้องชั่งน้ำและกินด้วยความกลัว
พวกเขาจะผอมแห้งลงไปเพราะโทษที่เขาได้รับ

เอเสเคียล 4-1 คำบัญชาประหลาด

สสเอเสเคียล 4:1-8

“และเจ้า บุตรของมนุษย์ เจ้าจงเอาอิฐไปก้อนหนึ่ง
แล้ววางไว้ข้างหน้าเจ้า  จากนั้นให้แกะสลักนครหนึ่งเอาไว้
คือเยรูซาเล็ม ..  จากนั้นให้ล้อมนครนั้น และก่อกำแพงล้อมไว้ด้วย
ตั้งค่ายรอบ ๆ ก่อเชิงเทินเพื่อสู้กับนครนั้น   ตั้งเครื่องทะลวงไว้รอบด้าน

4ezekiel

 

 

และให้เจ้าจงไปเอาเหล็กแผ่นมา  วางแผ่นเหล็กนั้นระหว่างเจ้ากับเมือง
และหันหน้าของตัวเจ้าเข้าหาเมือง
ปล่อยให้มันอยู่ในสภาพเมืองที่ถูกล้อม
ค่อย ๆ รุกเข้าไป .. นี่เป็นหมายสำคัญสำหรับวงศ์วานอิสราเอล

แล้วจากนั้น ให้เจ้าเอนตัวลงตะแคงข้างซ้าย
วางการลงโทษของวงศ์วานอิสราเอลลงบนตัวเจ้า
เจ้านอนนานเท่าไร ก็เท่ากับเจ้าแบกการลงโทษของพวกเขาไว้นานเท่านั้น
เพราะเรากำหนดวันมาแล้ว เป็นจำนวน 390 วัน
เท่ากับจำนวนของปีที่พวกเขาถูกลงโทษ
เจ้าจะรับแบกโทษของพวกเขานานเท่านั้น

และเมื่อเจ้าทำจนครบ
เจ้าก็จะนอนตะแคงขวา และรับการลงโทษของวงศ์วานยูดาห์
เท่ากับ 40 วัน แต่ละวันมีความหมายถึง 1 ปี
เจ้าจะนอนหันหน้าไปที่การล้อมของเยรูซาเล็ม
ด้วยแขนเปล่า เจ้าจะกล่าวคำของพระเจ้าต่อต้านนครนั้น
ดูเถอะ เราจะเอาเชือกมัดเจ้า เพื่อว่าเจ้าจะหันไปมาไม่ได้
จนกว่าจะครบกำหนดวันล้อมเมืองของเจ้า

 

เอเสเคียล 3-4 เป็นใบ้ไปเสียแล้ว

เอเสเคียล 3:22-27

ที่นั่น พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือข้า
และพระองค์ตรัสแก่ข้าว่า
“จงลุกขึ้น  และออกไปที่หุบเขา เราจะพูดกับเจ้าที่นั่น”
ดังนั้นข้าจึงลุกขึ้น และเดินออกไปที่หุบเขา
และ ดูเถอะ พระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าประทับที่นั่น
เป็นเหมือนพระสิริที่ข้าเห็นที่แม่น้ำเคบาร์
ข้าจึงทรุดตัวลง ก้มหน้าติดดิน

“ไป  เข้าไปในบ้านและปิดประตูขังตัวเองไว้
และดูเถิด เจ้าบุตรมนุษย์  ดูเถอะ จะมีเชือกสำหรับมัดอยู่เหนือเจ้า
เจ้าจะถูกเชือกมัดไว้  เจ้าจึงออกไปท่ามกลางผู้คนไม่ได้

เราจะให้ลิ้นของเจ้าติดเพดานปาก
เพื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นใบ้ ไม่อาจตักเตือนพวกเขาได้
เพราะพวกเขาเป็นวงศ์วานที่ดื้อดึง
แต่เมื่อเราพูดกับเจ้า เราก็จะเปิดปากเจ้า
และเจ้าจะพูดกับเขาว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้”

คนที่จะฟัง ก็ให้เขาฟัง
คนที่ไม่ยอมฟัง ก็ปล่อยให้เขาเป็นไปอย่างนั้น
เพราะเขาเป็นวงศ์วานที่ดื้อดึง

เอเสเคียล 3-3 ต้องเตือนเขานะ

เอเสเคียล 3:16-21

เวลาผ่านไป 7 วัน พระดำรัสของพระเจ้ามาถึงข้าดังนี้
“บุตรมนุษย์เอ๋ย  เราได้ตั้งให้เจ้าเป็นยามเฝ้าประชาชนอิสราเอล

เมื่อไรที่เจ้าได้ยินคำจากปากของเรา  เจ้าจะต้องบอกคำเตือนเหล่านี้แก่พวกเขา
หากเรากล่าวกับคนชั่วว่า เจ้าจะต้องตายแน่นอน
แล้วเจ้าก็ไม่ได้เตือนพวกเขา
และไม่ได้เตือนให้เขาละทิ้งทางแห่งความชั่วร้ายเพื่อจะได้ช่วยชีวิตของเขาไว้
คนนั้นจะตายเพราะความบาปของตน
แต่เราจะมาเอาความผิดที่เจ้า
แต่หากเจ้าได้ตักเตือนคนชั่ว และเขาไม่ได้หันจากความชั่วร้าย
ไม่ได้ออกจากทางแห่งความชั่ว เขาก็จะตายเพราะบาปของเขาเอง
แต่เจ้าจะช่วยชีวิตของตัวเองให้รอด

Screen Shot 2014-02-17 at 5.49.39 PM

และอีกอย่างหนึ่ง หากคนชอบธรรมได้หันจากความถูกต้อง
และได้กระทำความอยุติธรรม

เราจะวางหินสะดุดไว้ต่อหน้าเขา  เขาจะตาย
เพราะว่าเจ้าไม่ได้เตือนเขา  เขาก็จะตายเพราะบาปของตน
ความชอบธรรมที่เขาเคยกระทำนั้น จะไม่มีใครจำได้
แต่เราจะเรียกร้องเอาเลือดของเขาจากมือเจ้า

แต่หากเจ้าได้เตือนสติคนชอบธรรมไม่ให้ทำบาป
และเขาก็ไม่ทำบาป เขาจะมีชีวิตอยู่
เพราะเขาได้รับคำตักเตือน และเจ้าเองก็จะช่วยชีวิตตัวเองให้รอด

 

 

เอเสเคียล 3-2 ฟังด้วยหู รับรู้ด้วยใจ

เอเสเคียล 3:8-15

ดูเถิด.. เราได้ทำให้หน้าของเจ้านั้นหนาด้านเหมือนกับหน้าของพวกเขา
และหน้าผากของเจ้าก็หนาด้านเหมือนกับหน้าผากของพวกเขา
เราได้ทำให้หน้าผากของเจ้าแกร่งดั่งเพชรที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าหินเหล็กไฟ

หินเหล็กไฟ
หินเหล็กไฟ

อย่าไปกลัวพวกเขา  อย่าท้อถอยเมื่อเห็นหน้าพวกเขา  เพราะพวกเขาเป็นคนที่ดื้อดึง
ยิ่งกว่านั้น พระองค์ตรัสกับข้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย  คำที่เรากล่าวแก่เจ้านั้น
เจ้าจะต้องรับมันไว้ในใจ ฟังด้วยหูของเจ้า
และไปยังคนที่ถูกเนรเทศออกมา ไปยังประชากรของเจ้า
พูดกับพวกเขา ..ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้…ไม่ว่าพวกเขาจะฟัง หรือไม่ยอมฟังก็ตาม”
แล้วพระวิญญาณทรงยกข้าขึ้น
ข้าได้ยินเสียงตามหลังมา เป็นเสียงแผ่นดินไหวใหญ่
“ถวายพระพรแด่พระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าจากสถานที่นี้ !”
มันเป็นเสียงของปีกเหล่าสิ่งมีชีวิตกางขึ้นแตะกัน และเป็นเสียงของ
วงล้อรอบ ๆ พวกเขา  และเป็นเสียงของแผ่นดินไหวใหญ่ด้วย
พระวิญญาณของพระเจ้าทรงยกข้าขึ้น และนำข้าออกไป
ข้าไปด้วยความขมในใจ ด้วยความร้อนผ่าวที่อยู่ในใจ
พระหัตถ์ของพระเจ้าวางอยู่เหนือข้าพเจ้าอย่างหนักหน่วงยิ่งนัก
และข้าก็มาถึงเหล่าคนที่เป็นเชลยซึ่งอาศัยริมแม่น้ำเคบาร์
ข้าอยู่นิ่งอย่างมึนงงเพราะสิ่งต่าง ๆ เต็มล้นในหัวใจของข้าอย่างนั้น 7 วัน

 

เอเสเคียล 3-1 กินหนังสือม้วน

เอเสเคียล 3:1-7

ยิ่งกว่านั้น พระองค์ตรัสกับข้าว่า
“บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกินสิ่งที่เจ้าพบ กินหน้งสือม้วนนี้ แล้วก็ไป…
ไปพูดกับวงศ์วานอิสราเอล”
ดังนั้น ข้าจึงเปิดปาก  และพระเจ้าทรงทำให้ข้ากินหนังสือม้วนนั้นเข้าไป

และพระองค์ตรัสกับข้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกินหนังสือม้วนนี้ให้อิ่ม”
ดังนั้น ข้าจึงกินมันเข้าไป พอมันอยู่ในปากของข้า
มันก็หวานราวน้ำผึ้ง…

ภาพวาดโดย มาร์ค ชากัล
ภาพวาดโดย มาร์ค ชากัล

แล้วพระองค์ตรัสกับข้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงไปหาคนอิสราเอล
และกล่าวคำของเราแก่เขา
เพราะเจ้าไม่ได้ถูกส่งไปหาคนที่ไม่คุ้นกับภาษา
หรือไปหาคนที่ใช้ภาษายาก ๆ  แต่ให้ไปหาคนอิสราเอล
ไม่ได้ไปหาคนจำนวนมากที่ใช้ภาษาอื่น  ภาษาที่พูดยาก
เป็นคำที่เจ้าไม่เข้าใจ ..
หากเราส่งเจ้าไปหาคนเหล่านั้น พวกเขาคงจะฟังเจ้า
แต่เราส่งเจ้าไปหาอิสราเอลซึ่งเขาจะไม่ฟังเจ้า
เหตุเพราะเขาไม่ฟังเราก่อน
เพราะคนอิสราเอลทั้งปวงนั้น
เป็นคนหัวแข็งและดื้อดึงยิ่งนัก