คำขู่จากเซนนาเคอริบ ๓๒-๒

2 พงศาวดาร 32:9-19

ขณะที่ราชาเฮเซคียาห์ทรงให้กำลังใจประชาชนของพระองค์  กษัตริย์เซนนาเคอริบแห่งอัสซีเรียกลับทำสิ่งที่ตรงกันข้าม
ขณะนั้นเอง เซนนาเคอริบใช้กองทหารทั้งหมดที่เดินทางมาจากอัสซีเรียทางเหนือนั้น  ตรึงกำลังล้อมเมืองลาคีชอยู่  โดยดูจากเหตุการณ์แล้ว  ก็มองเห็นว่า น่าจะตีเมืองโดยไม่ยากนัก

แต่ว่า…  พระองค์ทรงคิดว่า ก็น่าจะทำสงครามจิตวิทยากับราชาเฮเซคียาห์ไปพร้อม ๆ กัน  จะได้ไม่ต้องเสียกำลังพลมาก   ถ้าตีเมืองลาคีชได้ ก็จะได้เมืองอื่น ๆ จนไปถึงนครเยรูซาเล็ม  เอาให้แพ้แบบเกมโดมิโนไปเลย

พระองค์ทรงส่งสาส์นมายังราชาเฮเซคียาห์ รวมไปถึงคนที่อาศัยในนครเยรูซาเล็มว่า
“ชาวนครเยรูซาเล็มเอ๋ย…. เจ้าทั้งหลายกำลังหวังพึ่งอะไรอยู่  จึงยังตายใจอยู่ในนครเยรูซาเล็มท่ามกลางวงล้อมของพวกเรา  ราชาเฮเซคียาห์กำลังหลอกล่อพวกเจ้าให้อดอาหารอดน้ำจนตาย    พูดกับพวกเจ้าว่า …องค์พระเจ้าของเราจะช่วยเราให้พ้นมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย  ชะ ชะ ก็ราชาองค์นี้เป็นผู้ทำลายสถานบูชาในที่สูงทั่วไปในเยรูซาเล็ม  แถมยังบัญชาให้ประชาชนมานมัสการพระเจ้าที่พระวิหารในนครเยรูซาเล็มเพียงแห่งเดียวเท่านั้น”

กษัตริย์เซนนาเคอริบกำลังดูหมิ่นองค์พระเจ้าของอิสราเอลเห็น ๆ  พยายามให้คนเห็นว่า    ราชาเฮเซคียาห์ต่างหากที่ต้องปกป้องพระเจ้า….

“พวกเจ้าทั้งหลายไม่เห็นหรือว่า  เสด็จพ่อของเรา และตัวเราได้จัดการกับชนชาติต่าง ๆ อย่างไรบ้าง ?  แล้วดูซิว่า พระแห่งชนชาติเหล่านั้นสามารถช่วยพวกเขาให้พ้นมือของเราได้หรือไม่ โธ่เอ๋ย ล้วนแล้วแต่ขี้แพ้ทั้งสิ้น “

 

เมื่อประชาชนทั้งหลายฟังคำจากสาส์นของเซนนาเคอริบ  พวกเขาก็นิ่ง  บางคนกลัว  แต่หลายคนก็ไม่กลัว เขารู้ว่า พระเจ้าของเขาเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ ไม่เหมือนพระอื่น ๆ

“ขอให้ทุกคนจำใส่ใจไว้ว่า  มีพระองค์ไหนในชาติต่าง ๆ ที่ราชบิดาของข้าไปทำลาย สามารถช่วยผู้คนจากมือของข้าได้    แล้วพระเจ้าของเฮเซคียาห์จะช่วยได้หรือ  ไม่มีทาง  ไม่มีพระองค์ไหนจะมาต่อสู้เซนนาเคอริบแห่งอัสซีเรียได้…”

“ดังนั้นอย่า จงอย่าให้ราชาเฮเซคียาห์หลอกพวกเจ้า   และอย่าเชื่อฟังราชาของเจ้า  เพราะไม่มีพระของประเทศใดช่วยคนในชาตินั้นจากมือของข้า หรือราชบิดาของข้าได้    พระเจ้าของเจ้าก็ไม่มีวันที่จะช่วยเจ้าให้พ้นมือข้าเช่นกัน”

และที่พูดนี้ พวกเขาอ่านเป็นภาษาฮีบรูเพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าใจทุกคำที่กษัตริย์เซนนาเคริบต้องการแจ้ง

ราชาเฮเซคียาห์กับประชาชนฟังสาส์นขู่ไปพร้อม ๆ กัน

ทีนี้ พระราชาจะทำอย่างไรล่ะ ? อย่างน้อยประชาชนส่วนหนึ่งก็เริ่มกลัวแล้ว  พวกเขาบางคนยังไม่มีความมั่นคงในพระเจ้า….

 

 

ผู้ที่อยู่ฝ่ายเรา ๓๒-๑

2 พงศาวดาร 32:1-8

ต่อมาไม่นานนัก    กษัตริย์แห่งอัสซีเรียผู้เรืองพระนาม คือเซนนาเคอริบยกกองทัพใหญ่มาบุกยูดาห์  หวังจะยึดเอาเป็นเมืองขึ้น  เมื่อยกทัพมาแล้ว ก็สั่งให้ตั้งค่ายทหารล้อมหัวเมืองที่มีป้อมหลาย ๆ เมือง โดยกษัตริย์เซนนาเคอริบนี้ทรงมีพระทัยแน่วแน่จะยึดนครเยรูซาเล็มและเมืองอื่น ๆ ให้ได้

“ราชาแห่งอัสซีเรียเข้ามาบุกเราแบบโถมเข้ามาล้อมหลาย ๆ เมืองพร้อมกัน”  ราชาเฮเซคียาห์ตรัสกับเหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่

“พะยะค่ะ  และทรงตั้งพระทัยว่าจะยึดเอานครของเราด้วย  ข้าพระบาทได้ส่งคนไปสืบมาแล้ว”

“เอาอย่างนี้  พวกเขายังไม่ได้ล้อมเมืองเรา  เราต้องจัดการปิดตาน้ำนอกเมืองทุกแห่ง  มิฉะนั้น  เมื่อพวกเขามาล้อมเรา  ก็จะมีน้ำอุดมสมบูรณ์”

“เรายอมไม่ได้พะยะค่ะ  ถ้าพวกเขามีน้ำอย่างมากมายเช่นเรามี เขาก็จะเข้มแข็งและอาจตีพวกเรายับได้”

ทั้งพระราชาและข้าราชการได้วางแผนปิดตาน้ำรอบเมืองที่มีอยู่ บ่อน้ำเหล่านี้ มีไว้ให้ประชาชนได้ใช้ในการทำกสิกรรมนอกเมืองอยู่แล้ว

ดังนั้นทั้งทหาร  ข้าราชการ และประชาชนทั่วไปจึงเข้ามาช่วยกันถมลำธาร ปิดตาน้ำทั้งหมด ไม่ให้เป็นประโยชน์แก่กษัตริย์อัสซีเรีย  ทรงทำให้มีอุโมงค์น้ำเข้ามาในเมือง

อย่างไรประชาชนในเมืองยังจะมีน้ำใช้ตลอดเพราะมีอุโมงค์นำน้าเข้ามา

ภาพจาก  http://biblicalstudies.info/hezekiah/hezekiah.htm

พระราชาทรงรีบที่จะรวบรวมคนมาซ่อมกำแพงที่เคยปรักหักพัง และยังสร้างหอคอยขึ้นมา   สร้างกำแพงขึ้นมาอีกชั้น และทำให้ป้อมมิลโลของนครดาวิดแข็งแรงขึ้นอีก

เท่านั้นยังไม่พอ  ยังทรงสั่งสร้างอาวุธอีกหลายอย่าง รวมทั้งโล่มากมาย

“พวกเราต้องรีบทำอาวุธให้ทันก่อนที่ศัตรูจะมาบุกรุกเรา” นายทหารชั้นผู้ใหญ่คุยกับหัวหน้าช่างที่ทำอาวุธ

“ขอรับ  ข้าและเหล่าช่างเหล็กไม่ได้นิ่งนอนใจ  พวกเรารู้ว่า เรื่องนี้สำคัญมาก  ขอท่านวางใจพวกเราเถอะ”

พระราชายังทรงห่วงอีกเรื่อง

“ขอให้ท่านรวบรวมชาวเมืองมาที่ลานเมืองด่วน”   ราชาเฮเซคียาห์ตรัสสั่งคนที่พระองค์ทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการ

และเมื่อประชาชนมาพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วพระองค์ก็ทรงกล่าวคำที่ให้กำลังใจกับประชาชน …..

“ขอให้ท่านทุกคนเข้มแข็ง และกล้าหาญ  อย่ากลัว อย่าไปเกรงกษัตริย์แห่งอัสซีเรียหรือกองทัพใหญ่โตที่มาด้วยนั้น  เพราะว่า ผู้ที่อยู่ฝ่ายเรานั้น มีกำลังมากกว่าพวกเขายิ่งนัก

พวกเขาเป็นกำลังของร่างกาย เนื้อหนังที่เรามองเห็น  แต่กำลังของเรานั้นคือ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา  พระองค์จะทรงช่วยเรา และจะทรงต่อสู้ศัตรูนี้ให้เรา”

“แด่พระเจ้าจอมโยธา…..พวกเราน้อมนมัสการพระองค์!!”

เสียงประชาชนตอบพระราชาดังสนั่นเมือง

ประชาชนรู้แล้วว่า ผู้ที่ฝ่ายเขาคือองค์พระเจ้า  แล้วเขาจะกลัวศัตรูไปทำไม….

 

นมัสการอย่างจริงใจ ๓๑-๓

2 พงศาวดาร 31:11-21

มีการบันทึกไว้ว่า  ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำสิ่งที่ดี  ถูกต้อง และสัตย์ซื่อต่อพระพักตร์ของพระเจ้า  นั่นหมายความว่า พระองค์ทรงทำทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาอย่างซื่อตรง   และยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าจะทรงทำงานในเรื่องเกี่ยวกับการนมัสการพระเจ้า   ในการรักษากฎบัญญัติของพระเจ้า ในการแสวงหาพระเจ้า   ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำด้วยสุดพระทัย  ดังนั้น พระองค์จึงทรงยิ่งจำเริญขึ้นทั้งส่วนพระองค์  และในการปกครองประเทศ!

พระองค์ทรงสั่งให้คนของพระองค์นำสิ่งที่คนทั้งหลายนำมาถวายนั้น ส่วนหนึ่งเก็บไว้ในคลังพระวิหาร    ราชาเฮเซคียาห์ทรงมาควบคุมดูแลใกล้ชิด  โดยมีอาซาริยาห์ท่านปุโรหิตเป็นผู้ช่วย    โดยของถวายเหล่านี้ จะต้องมีการทั้งเก็บ และแจกไปให้กับปุโรหิตและเลวีตามสมควร  ไม่ใช่เฉพาะในนครเยรูซาเล็มเท่านั้น  แต่รวมไปถึงปุโรหิต และเลวีตามหัวเมืองต่าง ๆ  ด้วย

มีการขึ้นทะเบียนปุโรหิตและเลวีอย่างเป็นระบบระเบียบ  ทุกอย่างมีขั้นตอนและมีการบันทึกไว้เป็นอย่างดี  ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่า ครอบครัวใดบ้างที่เข้ามาทำงานในพระวิหาร มีคนกี่คนในครอบครัว  คนเหล่านี้ ต้องรักษาตัวให้บริสุทธิ์เสมอ

จะเห็นว่า ในการนมัสการพระเจ้าสมัยก่อน ไม่เหมือนสมัยนี้เลย     ในสมัยต่อมานั้น  พระเจ้าทรงให้เรานมัสการพระองค์ที่ไหนก็ได้  ไม่จำเป็นต้องไปที่นครเยรูซาเล็ม  ที่พระวิหาร…. แต่พระเจ้าทรงค้นหาคนที่จะนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณ  และด้วยความจริง

นั่นหมายถึงว่า เรานมัสการ ยกย่อง บูชาพระเจ้าจากหัวใจของเรา  จากชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้า  สิ่งที่ยังเหมือนกันในสมัยนี้กับสมัยก่อนคือ  พระเจ้าทรงขอให้ผู้ที่เข้ามานมัสการพระองค์นั้น   มีชีวิตที่บริสุทธิ์  ..เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์

 

 

ผลของการถวาย ๓๑-๒

2 พงศาวดาร 31:5-10

การจัดระเบียบเพื่อให้พระวิหารได้ทำหน้าที่ช่วยประชาชนในการนมัสการ สารภาพบาปในสมัยราชาเฮเซคียาห์นั้น  นอกจากพระราชาจะทรงลงมือทำด้วยพระองค์เอง ทรงถวายให้กับงานในพระวิหารอย่างมากมาย

และพระองค์ก็ทรงบัญชาให้ชาวนครเยรูซาเล็ม ถวายสิ่งที่สมควรเพื่อว่าเหล่าปุโรหิต และเลวี จะได้ไม่ต้องออกไปทำงานหาเลี้ยงชีพ  แต่ให้ตั้งใจทำงานในพระวิหารเต็มกำลัง  สุดใจตามพระบัญญัติของพระเจ้า

“พระราชาทรงชวนให้เราถวาย”

“นั่นซิ   และพระองค์ก็ทรงถวายเองมากด้วย”

“พวกเราน่าจะร่วมใจกันถวายนะ    จะได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน”

ผู้คนต่างพากันเอาของมาถวายในพระวิหาร เพื่อการนมัสการพระเจ้าจะได้สืบต่อเนื่องกันไป  พวกเขาเอาพวกข้าวต่าง ๆ  ผลไม้ น้ำมัน  น้ำผึ้ง ผักต่าง ๆ  และพวกเขาได้นำหนึ่งในสิบของผลผลิต ของรายได้เข้ามาถวายในพระวิหารนั้น

ไม่ใช่แต่เท่านั้น ยังมีสัตว์ต่าง ๆ เช่นวัว แกะ นก ที่ใช้เป็นเครื่องถวายบูชาด้วย

ดูซิ  สมัยก่อนนี้ การจะเข้าเฝ้าพระเจ้า  การจะนมัสการมันช่างเป็นเรื่องใหญ่โตเสียจริง ๆ   แต่พวกเขาไม่ได้คิดเช่นนั้น เขารู้ว่า กำลังทำเพื่อถวายพระเจ้า  เขานำมาถวายจนเป็นกองใหญ่โต

จากเดือนที่สามไปถึงเดือนเจ็ด  ของถวายนั้นเต็มไปหมดเป็นกอง ๆ  เมื่อพระราชาเสด็จมาเห็นเข้า
“ขอบคุณพระเจ้าจริง ๆ  ที่ประชาชนต่างมีน้ำใจเพื่อว่า แผ่นดินของพระเจ้าจะได้ขยายออกไป  ทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน จะได้มานมัสการพระเจ้าด้วยกัน  คนที่ไม่มีก็ได้รับแบ่งปันจากคนที่มีมากสรรเสริญพระเจ้าสูงสุด “

“แล้วพวกท่านจะจัดการอย่างไรกับสิ่งของที่กองมากมายเช่นนี้ “ พระราชาทรงถาม

“พวกเราแบ่งไปตามสัดส่วนของตำแหน่งปุโรหิต เลวีแล้ว ก็ยังเหลืออยู่อีกมากมายพะยะค่ะ ”   อาซาริยาห์ มหาปุโรหิตทูลตอบ

“ท่านลองบอกข้ามาซิว่า ท่านควรจะทำอย่างไรกับของมากมายเช่นนี้”  ราชาเฮเซคียาห์ เป็นพระราชานักจัดการ  ทรงรู้ว่าจะทำอย่างไรอยู่แล้ว….

 

ทำลายต่อ ๓๑-๑

2 พงศาวดาร 31:1-3

เมื่อประชาชน เลวี ปุโรหิต ข้าราชการ และราชารวมทั้งราชวงศ์ของพระองค์ได้ร่วมเทศกาลด้วยกันนั้น  พวกเขาอิ่มใจกันถ้วนหน้า และสิ่งที่พวกเขาทำเป็นอย่างแรกเมื่อจบเทศกาลก็คือ

เขาไปตามที่สูง ในเมืองต่าง ๆ   และทำลายเทวรูป  เสาหลัก และแท่นบูชาอย่างไม่ละเว้น  ก่อนหน้านั้น พวกเขาทำลายเทวรูปที่อยู่ในนครเยรูซาเล็ม


“อย่าให้เหลือ  อย่ายอมที่จะปล่อยเทวรูปเหล่านี้ไว้ เพราะมันเป็นสิ่งที่กั้นพระพรของพระเจ้าไปจากเรา”

พวกเขาเดินทางไปทั่วแผ่นดินยูดาห์  เบนยามิน เอฟราอิม และมานัสเสห์  เป็นพื้นที่กว้างขวางมาก  และเมื่อพวกเขาทำลายจนหมดสิ้นในเมืองเหล่านั้น

“ลาแล้วท่าน  ข้าจะกลับบ้าน ขอพระเจ้าทรงอวยพรท่าน”

“เช่นกัน ขอสันติสุขของพระเจ้าอยู่กับท่าน”

พวกเขาร่ำลากันอย่างชื่นบาน  และมองเห็นอนาคตอันสดใสของบ้านเมือง เพราะว่าพวกเขาได้ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรพระเจ้าแล้ว ….

ส่วนในนครเยรูซาเล็ม

ราชาเฮเซคียาห์ได้แต่งตั้งปุโรหิต และเลวีเพื่อทำงานในหน้าที่ต่าง ๆ  อย่างครบถ้วน
“ขอให้ทุกท่านทำหน้าที่อย่างตั้งใจ เพื่อว่า พระพรของพระเจ้าจะอยู่กับเราเสมอไป”

“พะยะค่ะ”  เสียงตอบขานรับจากกลุ่มปุโรหิตและเลวี
“เราจะเป็นผู้ส่งเครื่องเผาบูชา ศานติบูชา เพื่อที่จะได้รับใช้ปรนนิบัติ โมทนาขอบคุณพระเจ้า  และสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน

ราชาเฮเซคียาห์จึงทรงส่งเครื่องเผาบูชาส่วนพระองค์มาทั้งเช้าเย็น และสำหรับวันสะบาโต วันขึ้นค่ำ  และสำหรับการเลี้ยงที่กำหนดไว้ตามพระบัญญัติของพระเจ้า

แต่ถ้าเพียงพระราชาทำเท่านั้น เหล่าปุโรหิตและเลวีก็จะลำบาก เพราะพวกเขาต้องกินจากส่วนของเครื่องเผาบูชาเหล่านี้  จะทำอย่างไรกันล่ะ  ?

 

นครร่าเริง ๓๐-๖


2 พงศาวดาร 30:22-25

สิ่งดีที่เกิดขึ้นในการนมัสการนั้น นอกจากผู้คนจะได้สัมผัสองค์พระเจ้าแล้ว พวกเขายังเริ่มเข้าใจอะไร ๆ ที่ผ่านมา พวกเขาสำนึกในความบาปที่ได้ทำ …..
ราชาเฮเซคียาห์ทรงให้กำลังใจกับเหล่าคนเลวี เขาเหล่านี้ มีความเข้าใจในราชกิจของพระเจ้าเกี่ยวกับการนมัสการอย่างลึกซึ้ง
“ขอให้พวกท่านทำหน้าที่อันดีนี้ต่อไป ประเทศของเราจะเปลี่ยนแปลง รุ่งเรืองหากว่าท่านทั้งหลายยังสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า เช่นนี้”
เวลานั้น ผู้คนจึงได้กินอาหารในเทศกาลด้วยกัน 7 วัน ไม่ได้กินอย่างเดียว แต่ได้คุยกัน ได้สนทนาถึงสิ่งที่ผ่านมา และสิ่งที่จะมาในอนาคต
สิ่งที่สำคัญยิ่งคือ
พวกเขาสำนึกผิดต่อพระเจ้า ได้สารภาพบาปด้วยน้ำตาไหล หลายคนใช้เวลานานมากในการสารภาพบาป ยิ่งพวกเขาอยู่ใกล้พระเจ้ามากเท่าไร พวกเขาก็เห็นบาปของตัวเองมากมายเท่านั้น



“ขอบคุณพระเจ้าสูงสุด ที่พระองค์ไม่ทรงลงโทษเราทั้งหลายสมกับที่เราได้ทำบาปต่อพระองค์ มิอย่างนั้นแล้ว พวกเราคงไม่ได้มีชีวิตอยู่ในเวลานี้ เพราะบาปของเรานั้น โทษก็คือ เราควรตายไปจากโลก”
“ท่านขอรับ” คนหนึ่งเข้ามาเสนอกับปุโรหิต
“ทำไมเราไม่ทำการเลี้ยงต่ออีกสัก 7 วัน ยังมีหลายคนต้องใช้เวลาในการปรับชีวิตจิตใจของเขา และเขาจะได้สารภาพบาปกัน เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่”
ดังนั้นจึงมีการปรึกษาหารือกันเพื่อต่องานไปอีก 7 วัน ด้วยความยินดีในพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ราชาเฮเซคียาห์ได้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับประชาชนเพื่อมีส่วนในเทศกาลที่ประชาชนจะได้เปลี่ยนชีวิตให้ถูกต้องกับพระเจ้า
วัวผู้หนุ่ม 1,000 ตัว แกะ 7,000 ตัว
เจ้าชายในราชวงศ์ให้วัวผู้หนุ่มอีก 1,000 ตัว แกะอีก 10,000 ตัว และเหล่าปุโรหิตก็ได้ชำระตัวเพื่อเข้าร่วมงานในรอบสองนี้ด้วย
ทุกคนที่อยู่ในเทศกาลต่างพากันยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ทั้งนครเยรูซาเล็มมีแต่ความชื่นชมยินดี
หลายร้อยปีแล้ว …. ไม่เคยมีการฉลองที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาเลย นับแต่สมัยราชาซาโลมอน….
ใจของราษฎรต่างยินดี และเปลี่ยนแปลง
แน่นอน เราเห็นว่า ยิ่งพวกเขากลับมาหาพระเจ้า พวกเขาก็จะยิ่งสัตย์ซื่อต่อพระองค์มากขึ้น

บรรยากาศการนมัสการ ๓๐-๕

2 พงศาวดาร 30:18ก- 21

เกิดปัญหาที่ว่า คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในพิธีปัสกานั้น ไม่ได้เตรียมตัวมาอย่างที่สมควร  พวกเขาเป็นคนทางเหนือที่ไม่รู้ว่า ตัวเองต้องทำอย่างไร  เพราะราชาทางเหนือส่วนใหญ่จะให้คนกราบไหว้เทวรูป ซึ่งไม่ได้ต้องการความบริสุทธิ์ในชีวิตจิตใจ

พวกเขาต้องการแค่ความสนุกสนานในพิธีเหล่านั้น

แต่กับการที่จะนมัสการพระเจ้า  มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทุกคนต้องชำระตัวให้บริสุทธิ์ก่อน

พระราชาเฮเซคียาห์ทรงครุ่นคิดว่า จะทำอย่างไร?

ในที่สุด พระองค์ก็ทรงนึกออก….

พระองค์อธิษฐานขอเพื่อพวกเขา

“ข้าแต่พระเจ้าแห่งชนชาติอิสราเอลทั้งปวง   ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรมาที่พวกเรา    ขอพระองค์ทรงโปรดยกโทษบาปของเราด้วย   ขอพระเจ้าทรงโปรดยกความผิดบาปให้กับทุกคน

พระองค์เจ้าข้า  พวกเขาต้องการแสวงหาพระองค์  อยากจะได้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้า  ผู้ทรงเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา  พวกเขาไม่ได้ทำตามข้อบังคับต่าง ๆ ของพระวิหาร เพราะพวกเขาไม่รู้มาก่อน   ขอพระเจ้าทอดพระเนตรและเมตตาด้วยพระเจ้าข้า”

แล้วพระเจ้าทรงยินคำอธิษฐานของราชาเฮเซคียาห์   และพระองค์ทรงรักษาคนเหล่านั้น ทรงชำระพวกเขาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ดังนั้นพวกเขาจึงได้เข้าร่วมอยู่ในเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ 7 วัน ด้วยความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนปุโรหิต และเลวีก็ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  พร้อมกับเล่นดนตรีด้วยเสียงดังในเวลากลางวัน

“เพลงแบบนี้ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

“ยิ่งใหญ่จริง ๆ  ข้าขอบคุณพระเจ้าที่ข้ามีโอกาสมาที่นี่ ใจของข้าเปลี่ยนไป  ไม่เหมือนเดิมเลย”

“ที่แผ่นดินฝ่ายเหนือไม่เคยมีพระราชาที่รักพระเจ้าเลย   มีแต่พระราชาที่ชอบพิธีกราบไหว้วัวทองคำบ้าง  เทวรูปต่าง ๆ บ้าง และในงานเหล่านั้นก็มีการเลี้ยง การร่ายรำที่ยั่วยวน  มีการหยอกล้อกันระหว่างผู้หญิงผู้ชาย”

ภาพจากpastorerickson.com

แต่การนมัสการที่นี่ไม่เหมือนอย่างนั้น

พระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของการนมัสการ

พวกเขาร้องเพลงถวายพระเจ้า

เล่นดนตรีถวายพระองค์

พวกเขาอธิษฐาน

และถ่อมใจลงต่อพระเจ้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย

 

 

พวกที่ยังไม่ชำระตัว ๓๐-๔

2 พงศาวดาร 30:16-18ก
ในพิธีฉลองเทศกาลนั้น เหล่าปุโรหิตก็ยืนอยู่ตามที่กำหนดไว้สำหรับตน พวกเขาจะรับเลือดมาจากคนเลวี และสาดเลือดนั้นไปที่แท่นบูชา
โอ…. แท่นบูชาเต็มไปด้วยเลือด และกลิ่นคาวเลือดสัตว์
“มันน่ากลัวจริง ๆ ข้าสยองเหลือเกิน”
“ถ้าเป็นเลือดพวกเรากันเองนี่มันสยดสยองกว่านะนาย”

มีการประกาศออกมาในเวลานั้นว่า
“หลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้ ยังไม่ได้ชำระตัวเองให้สะอาด ปราศจากบาป ขอท่านทั้งหลายรออยู่ก่อน เพราะเราต้องสังหารลูกแกะปัสการสำหรับบุคคลเหล่านี้ เพื่อว่าจะชำระให้พวกเขาบริสุทธิ์จำเพาะพระเจ้า”
พวกเขามองหน้ากันกระซิบว่า
“เจ้าดูซิ คนที่ไม่ชำระตัวยังบังอาจเข้ามา เห็นไหมว่า ท่านปุโรหิตไม่ยอม พวกเขาต้องชำระตัวเองก่อน”
“จะเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ทั้งทีนี่มันยากเย็นจริงนะ”
“ก็ใช่… เป็นเพราะพระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยที่มนุษย์หาพระองค์ทั้งที่ยังสกปรกอยู่ เราต้องรับการชำระก่อนจึงจะเข้าเฝ้าพระองค์ได้อย่างถูกต้อง”
ในสมัยโบราณนั้น ก่อนที่พระเยซูจะมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
การเข้าเฝ้าพระเจ้าก็ยากเช่นนี้
มันเป็นภาระหนักที่ต้องเตรียมตัวก่อนล่วงหน้านานพอควร
ต้องเตรียมทั้งใจและกายให้พร้อม
คนจำนวนมากมายจากเอฟราอิม มานัสเสห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุน ก็มาด้วย
และปัญหาคือ พวกเขาไม่ได้ชำระตัวให้สะอาด แต่จะมากินปัสกา ไม่ทำตามอย่างที่ท่านโมเสสได้กำหนดไว้

ทำอย่างไรดี….
คนมากมายเช่นนี้ ไม่ชำระตัว จะไปหาแกะที่ไหนมาเป็นผู้รับบาปแทนพวกเขา??
คนที่เข้ามาก่อนหน้านี้ เราก็หาแกะให้ครบแล้ว
แต่ประชาชนจากทางเหนือนี้เล่า…. พวกเขาลืมคำสอนของโมเสสไปหมดแล้ว
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จะชำระตัวอย่างไร
แล้วจะทำอย่างไรดีนี่……??

ความละอายใจของปุโรหิต ๓๐-๓

2 พงศาวดาร 30:12-15

นอกจากจะมีคนทางเหนือเตรียมตัวเข้ามาร่วมนมัสการพระเจ้าแล้ว  คนชนเผ่ายูดาห์เองก็มีหัวใจที่จะทำตามคำเชิญชวนของพระราชารวมทั้งเจ้าชายตามเมืองต่าง ๆ อย่างเต็มใจ

เป็นความเต็มใจจากส่วนลึกที่พระเจ้าประทานให้พวกเขา

ดังนั้น เดือนที่สอง  ใกล้ถึงเวลากำหนด  จึงมีคนเดินทางเข้ามายังนครเยรูซาเล็มมากมาย เพื่อจะร่วมในเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ

“โอ้ย  ทำไมคนมากมายเช่นนี้?”
“นั่นซิ  พวกเราไม่เคยมีคนเข้ามาในเมืองหลวงจำนวนมหาศาลอย่างนี้มาก่อน  ต้องคอยดูแลความปลอดภัย และความสะอาดให้มาก ๆ นะท่าน”

เมื่อถึงวันนัดหมาย  พวกเขาก็อยู่ร่วมนมัสการพระเจ้า และยังทำสิ่งที่ไม่คาดฝัน
พวกเขาไปเอาแท่นบูชาเทวรูปต่าง ๆ ที่ยังคงค้างอยู่ในนครเยรูซาเล็มออกมา

คนทั้งเมืองมาช่วยกันทำลายเทวรูปต่าง ๆ

“ท่านแน่ใจหรือว่าจะทำลายมัน  ไม่เกรงใจคนอื่นเลยหรือ”

“ยิ่งกว่าแน่ใจ  จะมีเวลาไหนที่เรามีโอกาสทำลายเทวรูปซึ่งพระเจ้าทรงชังได้ดีกว่าเวลานี้อีก   ท่านก็รู้นี่นาว่า เทวรูปเหล่านี้แหละ นำให้คนหลงผิด  และทำให้พระเจ้าเองทรงเมินพระพักตร์จากพวกเรา”

“เราต้องเตรียมนครนี้ให้สะอาด  ไม่มีสิ่งโสโครกอย่างนี้ เพื่อว่า การนมัสการของเรานั้น จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า”

“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะช่วยท่านด้วยแล้วกัน  ส่งเสานั่นมา!”

พวกเขายังขนเครื่องใช้สำหรับเผาเครื่องหอมของสถานบูชาเหล่านี้ออกมาและพากันไปทิ้งที่หุบเขาขิดโรน  ซึ่งเป็นที่ ๆ  รับขยะ ขี้เถ้าของสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังของนครเยรูซาเล็ม

“ข้ารู้สึกโล่งใจ”

“ข้าก็เหมือนกัน  ไปเถอะ  เราไปร่วมพิธีปัสกากัน”

 

 

วันนั้น เป็นวันที่สิบสี่ของเดือนที่สอง   เมื่อพวกเขาเข้าไปในลานพระวิหาร  ก็เห็นเหล่าเจ้าหน้าที่กำลังฆ่าเจ้าแกะน้อยที่น่าสงสารจำนวนไม่น้อย

 

วันนั้นเอง  ทั้งปุโรหิตและเลวีต่างมีเกิดความรู้สึกละอายใจมาก
พวกเขาหัวใจเต้นด้วยความทุกข์   “ทำไมข้าจึงสกปรกในใจ? ไม่มีใครมองเห็นใจของข้าก็จริง  แต่พระเจ้าทรงเห็นทุกอย่าง”

“ดูซิว่า ผู้คนธรรมดากลับมีความกระตือรือร้นในพระเจ้ายิ่งกว่าพวกเรา  นำของโสโครกทั้งหลายในเมืองออกไปทิ้งจนหมด”

 

การที่แกะถูกฆ่าเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปพวกเขา…. ทำให้เขาเข้าใจแล้วว่า บาปในชีวิตของพวกเขานั้น มันมีโทษร้ายแรงเพียงใด

 

การตอบรับของคนทางเหนือ ๓๐-๒

2 พงศาวดาร 30:7-12

ในสารที่พระราชาส่งให้กับประชาชนนั้นเขียนว่า

“ประชาชนอิสราเอล  ขอท่านกลับมาหาพระเจ้า  พระเจ้าแห่งท่านอับราฮัม  อิสอัค และยาโคบ  เพื่อว่า พระเจ้าจะทรงกลับมาเยี่ยมเยียนท่านผู้ยังหลงเหลืออยู่ในแผ่นดิน   ท่านผู้หนีพ้นจากเอื้อมมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย”

“ขอท่านอย่าเป็นเหมือนบรรพบุรุษ  พี่น้องของท่านที่ไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า   เป็นเหตุให้พระองค์ต้องสอนเขา ด้วยกันทำให้เขาต้องถูกบังคับให้ทิ้งแผ่นดินไป  อย่างที่พวกท่านเห็นแล้ว….”

“ขอท่านอย่าเป็นคนคอแข็งเหมือนบรรพบุรุษของท่าน  แต่ยอมตนให้กับพระเจ้า  และกลับมาหาพระองค์ที่พระวิหารซึ่งพระองค์ทรงทำให้บริสุทธิ์… ขอให้ท่านกลับมารับใช้พระองค์  เพื่อว่าความโกรธกริ้วของพระองค์จะได้หันไปจากพวกท่าน “

“เพราะหากว่า ท่านหันกลับมาหาพระเจ้า  พี่น้องของท่าน ลูกหลานของท่าน จะได้รับความเอ็นดูจากผู้ที่จับพวกเขาไปเป็นเชลย  และจะได้กลับมายังแผ่นดินนี้อีก   เพราะว่า พระเจ้าของเราทรงพระคุณ และทรงเมตตา  พระองค์จะไม่ทรงหันพระพักตร์ไปจากท่าน  หากท่านกลับมาหาพระองค์ “

ดังนั้น คนของพระราชาได้นำสารนี้ ไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วแผ่นดินเอฟราอิม และมนัสเสห์ทางเหนือ  เข้าไปในแผ่นดินชนเผ่าเศบูลุนด้วย

“ฮะฮ้า  ราชาเฮเซคียาห์นี่ทรงโอหังเสียเหลือเกิน… คิดจะช่วยพวกเราให้พระเจ้าพอพระทัยรึ   เมินเสียเถอะ  เราทำเองได้  ไม่ต้องให้พระราชาทางใต้มาช่วยหรอก”

ถึงแผ่นดินอิสราเอลจะมีคนยะโสมากมาย   แต่ก็มีคนที่ใจถ่อมด้วยอยู่ผสมปนเปกัน   จึงมีคนจากเผ่าอาเชอร์ มนัสเสห์ และเศบูลุน ฟังสุรเสียงของพระราชา

“ช่างเป็นพระราชาที่ดีเหลือเกิน  พวกเราก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรสำหรับพระองค์  แต่กลับทรงห่วงใย ประสงค์ให้พวกเราได้มีโอกาสกลับมายังแผ่นดินของเราอีกด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า  ขอทรงพระเจริญ …. พวกเราจะไปร่วมนมัสการพระเจ้ากับพระราชาองค์นี้ที่นครเยรูซาเล็ม”  เป็นความเห็นของคนที่เห็นด้วยกับการที่จะกลับมาหาพระเจ้า

เริ่มต้นที่ลูกวัวทองคำ  หลายร้อยปีต่อมาจบด้วยการเป็นเชลย ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้กลับมาแผ่นดินตัวเองอีกเลย

แผ่นดินทางเหนือ เริ่มต้นด้วยราชาเยโรโบอัมที่ไม่เอาพระเจ้า และสร้างรูปวัวทองคำ  และมีกษัตริย์ชั่วร้ายปกครองมาโดยตลอด แม้ว่าพระเจ้าจะทรงส่งคนของพระองค์มาตักเตือน  แต่คนเหล่านี้ก็ไม่ได้ฟัง   มีคนจำนวนไม่มากที่ยังสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า  แต่พวกเขาก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ  อดมื้อกินมื้อ เพราะราชาทางเหนือนั้นหากจับได้ว่า ประชาชนคนใดนมัสการพระเจ้า  ก็จะถูกประหารเป็นส่วนใหญ่!

 

น้ำพระทัยพระราชา ๓๐-๑

2 พงศาวดาร 30:1-6

ช่วงเวลาก่อนหน้านั้น อิสราเอลถูกพระราชาแห่งอัสซีเรียโจมตี และจับไปเป็นเชลยมากมาย   อิสราเอลจะต้องส่งส่วยให้กับอัสซีเรีย ทำให้ประชาชนทำงานหนัก และผลผลิตที่ได้ ก็ต้องกลายเป็นของประเทศที่เข้ามาครองพวกเขา

มีหลายคนร้องทูลต่อพระเจ้าให้ช่วย

หลายคนไม่สนใจที่จะกลับมาหาพระเจ้าสักนิด

แม้ว่าพระเจ้าจะทรงส่งคนของพระองค์ไปหาพวกเขา  แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็ยังไม่กลับมาหาพระเจ้า

ชนอิสราเอลส่วนหนึ่งถูกกวาดไปเป็นเชลย

คนอิสราเอลทางเหนือกลายเป็นเมืองขึ้นของอัสซีเรีย

แต่ยูดาห์ทางใต้ยังคงเป็นอิสระอยู่

ดังนั้นพระราชาเฮเซคียาห์ทรงเห็นว่า    ควรที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อขอให้พระเจ้าทรงช่วยพวกเขาให้ดีขึ้นอีกครั้ง

เมื่อพระราชาเห็นว่า การนมัสการพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดียิ่ง  พระองค์จึงทรงส่งสารไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ทั้งแผ่นดินอิสราเอลทางเหนือ และยูดาห์   รวมทั้งไปที่ดินแดนเอฟราอิม และมนัสเสห์  โดยพระองค์ทรงเชิญให้พวกเขาที่ไม่ได้ถูกกวาดไปเป็นเชลย ให้มารวมกันนมัสการพระเจ้าในพิธีปัสกา ที่พระวิหารในนครเยรูซาเล็ม

 

พระราชา ราชโอรส และขุนนางทั้งหลายในเยรูซาเล็มได้ปรึกษากันแล้วว่า พวกเขาจะฉลองเทศกาลปัสกาในเดือนที่สอง  ซึ่งปกติแล้วพวกเขาจะฉลองกันในเดือนที่หนึ่ง  แต่ทำในเดือนที่หนึ่งไม่ได้เพราะเหล่าปุโรหิตนั้น ไม่สามารถชำระตัวเสร็จทันครบจำนวนที่ต้องการได้   อีกอย่าง ผู้คนก็ยังไม่ได้เข้ามารวมกันพร้อมเพรียง

 

ราชาเฮเซคียาห์ทรงหวังดี จึงออกประกาศตั้งแต่เบเออร์เชบา ไปจรดทางเหนือคือเมืองดาน  เชิญให้ประชาชนที่ยังอยู่ได้เดินทางมาฉลองปัสกาเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งอิสราเอลในนครเยรูซาเล็มกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา    พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งนี้มานานแสนนานแล้ว

ตั้งแต่ที่ทางใต้กับเหนือแยกแผ่นดิน  แยกกษัตริย์กันนั้น  คนทางเหนือไม่ได้มีโอกาสเข้ามานมัสการพระเจ้าในนครเยรูซาเล็ม

ดูซิ  พระองค์ทรงเป็นราชาที่ห่วงใยประชาชน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนทางใต้   แต่ไม่ได้ทรงถือเขาถือเรา  แต่พร้อมที่จะให้พวกเขากลับมาหาพระเจ้า โดยพระองค์ตั้งพระทัยที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้พวกเขากลับมาหาพระเจ้า

 

ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย

แต่… จะมีคนร่วมมือไหมนะ?

 

ความร่วมมือร่วมใจ ๒๙-๖

2 พงศาวดาร 29:31-36

เมื่อเขาได้กราบนมัสการพระเจ้าพร้อมกับบทเพลงอันอลังการ…. พระราชาตรัสว่า

“ตอนนี้ พวกท่านก็ได้ถวายตัวแด่พระเจ้าแล้ว  ขอให้ท่านเข้ามาใกล้ ๆ และนำเครื่องบูชา   และเครื่องถวายโมทนาพระคุณพระเจ้ามายังพระวิหารของพระเจ้า”

ดังนั้น ทุกคนจึงทำตามคำของพระราชา

พวกเขาได้นำสัตว์มาถวายบูชา
นำเครื่องบูชาที่จะขอบคุณพระเจ้ามาด้วย

มากมายจริง ๆ

มีวัวผู้      70 ตัว

แกะผู้    100 ตัว

ลูกแกะ  200 ตัว

และยังมีเครื่องบูชาเพิ่มเติมเป็นวัวผู้อีก 600 ตัว !

และแกะอีก  3000 ตัว!

มันเป็นการถวายเครื่องบูชาที่โกลาหลเป็นอย่างมาก   เพราะสัตว์มีมาก ในขณะที่ปุโรหิตมีไม่พอ    พวกเขาไม่สามาถฆ่า และถลกหนังสัตว์เหล่านี้ได้ทัน

“ไป ท่านไปเรียกคนเลวีเข้ามาช่วย  เดี๋ยวงานจะไม่สำเร็จ”  หัวหน้าปุโรหิตท่านหนึ่งสั่ง

ดังนั้น จึงมีคนเลวีเข้ามาช่วยอย่างขมีขมัน    ปรากฏว่า คนเลวีนั้น มีหัวใจที่อุทิศถวาย และชำระตัวอย่างจริงจังมากกว่าเหล่าปุโรหิตเสียอีก  นี่แสดงว่า ผู้นำในพระวิหารยังสู้ผู้ตามไม่ได้เลย

นอกจากจะมีเครื่องเผาบูชาที่มากมายแล้ว

ยังมีเครื่องศานติบูชา เป็นไขมันอีกมามาย ที่ต้องเผา รวมทั้งมีเครื่องดื่มบูชาอีกที่ถวายคู่ไปกับเครื่องเผาบูชา

เวลาคนสมัยก่อนจะกลับมาคืนดีกับพระเจ้านั้น

มันยากเย็น

และเต็มไปด้วยกองเลือดของสัตว์

เต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนของสัตว์เหล่านั้นที่มาตายเป็นเครื่องบูชาแทนความบาปของคน….

บรรยากาศมันดูน่ากลัวยิ่งนัก

 

อย่างไรก็ดี  การรับใช้ในพระวิหารของพระเจ้าได้รับการดูแล จัดระบบระเบียบขึ้นมาใหม่อย่างเรียบร้อง และราชาเฮเซคียาห์รวมทั้งประชาชนต่างชื่นชมยินดี  เพราะพระเจ้าได้จัดเตรียมทุกอย่างให้เพียงพอ

ถ้าเป็นพวกเขาทำกันเอง โดยไม่ได้การช่วยเหลือจากพระเจ้า จะทำไม่สำเร็จ  เพราะว่า เรื่องนี้ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำทุกอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบทีเดียว

 

บทเพลงโบราณ ๒๙-๕

2 พงศาวดาร 29:25-30

เมื่อสมัยราชาดาวิดนั้น  พระราชาได้ทรงกำหนดวิธีการที่จะนมัสการพระเจ้าด้วยนักร้อง และเครื่องดนตรีไว้  …. ไม่ว่าพระเจ้าทรงบัญชาอย่างไร ผ่านท่านกาด หรือท่านนาธัน  พระราชาก็จะทรงทำตามทุกอย่าง  และประชาชนก็ได้นมัสการพระเจ้าตามแบบที่พระเจ้าพอพระทัย

ดังนั้น ราชาเฮเซคียาห์จึงทรงตามรอยพระบาทของราชาดาวิด  ทรงสั่งให้คนเลวีประจำพระวิหาร ถือฉาบ  พิณใหญ่ และพิณเขาคู่ พร้อมที่จะบรรเลงเพลงเมื่อมีการนมัสการพระเจ้า

คนเลวีถือเครื่องดนตรีแบบพระราชาดาวิด

คนปุโรหิตถือแตร  พร้อมที่จะเป่า

เมื่อมีการถวายเครื่องบูชาทั้งตัวนั้นเอง…. พวกนักดนตรีก็บรรเลงเพลงไปพร้อมกัน  ทำให้ประชาชนที่อยู่ข้างนอกไกล ๆ  ได้รู้ว่า ตอนนี้ กำลังทำอะไร และพวกเขาก็จะร่วมใจการนมัสการพระเจ้าด้วยบทเพลงนั้น

สำคัญมาก  เพราะว่า สมัยนั้น ไม่มีกล้อง ไม่มีจอใหญ่ให้ดูว่า เกิดอะไรขึ้น

พวกเขาต้องคอยฟังเสียงเพลง   เมื่อนักร้องฟังดนตรีเริ่ม พวกเขาก็รอจนถึงที่ๆ เขาจะต้องร้อง และพวกเขาก็ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าเสียงดังมาก

“เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่  และทรงทำการอัศจรรย์

พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า   พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

เราทั้งหลายจะเดินในทางแห่งความจริงของพระองค์

ขอพระเจ้าทรงให้เรายำเกรงพระองค์

เราจะถวายสรรเสริญพระเจ้าด้วยสุดใจ

เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์”

เมื่อประชาชนได้ยินเสียงร้อง  เขาก็ก้มลงนมัสการพระเจ้า   พวกเขาทำอย่างนี้ซ้ำ ๆ กันจนถวายเครื่องบูชาเสร็จทั้งตัว

เมื่อถวายเครื่องบูชาเสร็จ

พระราชาก็กราบนมัสการพระเจ้า  แล้วพระราชาก็ทรงบัญชาให้เลวีร้องเพลงอีก  ร้องสรรเสริญพระเจ้าด้วยเพลงสดุดีของพระราชาดาวิดและท่านอาสาฟ   …..

ร้องสรรเสริญพระเจ้า

แล้วกราบนมัสการ

สัตว์ที่ต้องตายแทนคน ๒๙-๔

2 พงศาวดาร 29:20-24

เช้าวันต่อมา ราชาเฮเซคียาห์ทรงตื่นตั้งแต่ยังมืดอยู่ พระองค์ทรงเรียกให้ข้าราชการในเมืองเข้ามารวมตัวกัน
ทุกคนรีบแต่งตัวออกมากันให้ทันที่พระราชวัง
บางคนก็มารอตั้งแต่ที่พระราชายังไม่ทรงตื่นบรรทม
บางคนก็มาพอดีกับพระราชา
แต่ไม่มีใครทำให้พระราชาต้องรอเลย….
มีการเตรียมวัวผู้ 7 ตัว แกะผู้ 7 ตัว ลูกแกะผู้ 7 ตัว แพะผู้ 7 ตัว เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับราชอาณาจักร พระวิหาร และเพื่อชนยูดาห์

พวกปุโรหิตซึ่งเป็นลูกหลานของท่านอาโรน ได้ฆ่าสัตว์ทั้งหมด เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปต่อพระเจ้า ตามคำบัญชาของพระราชา
เขาประพรมเลือดของสัตว์เหล่านั้น บนแท่นบูชา เลือดแดงฉานบนแท่นนั้น ดูน่ากลัวยิ่งนัก เขาฆ่าสัตว์และประพรมเลือดโดยเริ่มจากวัวผู้ทั้งเจ็ด แล้วก็ฆ่าแกะ ลูกแกะ ตามลำดับ
ส่วนแพะนั้น เขานำมายังพระราชาและที่ประชุม จากนั้นก็วางมือลงบนหัวของแพะ แล้วจึงสังหารมันทำเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ถวายเป็นเครื่องบูชาพร้อมกับเลือดของมัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการไถ่บาปสำหรับคนอิสราเอลทั้งหมด ตามคำบัญชาที่พระราชาขอให้ทำการถวายเครื่องเผาบูชาเพื่อไถ่บาปของประชาชนทั้งสิ้น

ดูซิ สมัยก่อนนี้ กว่าจะได้รับการอภัยบาปจากพระเจ้าได้นั้น
ต้องทำพิธีที่คาวเลือดยิ่งนัก
ต้องเจอกับความตายของสัตว์ที่ไม่รู้ประสีประสา มันไม่ได้ทำบาปอย่างเราเลย แต่มันก็ต้องมาตายเพราะบาปของคน
พระเจ้าทรงให้คนอิสราเอลเห็นว่า พระองค์ทรงเกลียดความบาปมากเพียงไร
พวกเขาเข้าใจกันหรือไม่นะ?

น้ำหนึ่งใจเดียว ๒๙-๓

2 พงศาวดาร 29:12-19

เพื่อทำให้น้ำพระทัยดีในการซ่อมแซมพระวิหารสำเร็จ

เหล่าเลวี ก็ร่วมมือกันเป็นอย่างดี  พวกเขามาจากพงศ์พันธุ์ต่าง ๆ  รวมตัวกันโดยไม่มีการเกี่ยงงาน  ไม่ก้าวล้ำกัน  แต่ต่างช่วยกันที่จะทำให้พระวิหารนั้นกลับมาบริสุทธิ์สะอาดอีกครั้ง

พวกเขาชำระตัวเองให้บริสุทธิ์เป็นประการแรก

แล้วจากนั้นก็เข้าไปในพระวิหาร เพื่อชำระพระวิหารให้บริสุทธิ์

คนที่เป็นปุโรหิต ได้เข้าไปในห้องด้านใน  และนำสิ่งที่เป็นมลทินทุกอย่างออกมาจากพระวิหาร

“เอาหยากไย่ออกไป   เช็ดฝุ่นออกไปให้หมด

อะไรที่เป็นของใช้ที่ยังหลงเหลืออยู่  ก็เอาออกมา  เพราะทุกอันมันแตกหักหมดแล้ว ไม่มีของดีเหลืออยู่เลย”

“อ้าว ทำไมมีเทวรูปมาอยู่ในนี้  เอาออกไป ด่วน”

พวกเขาเอาของที่แตกหักเหล่านั้นมากองไว้ข้างนอก  ที่ลาน

จากนั้นคนเลวีทั้งหลายก็ขนกันไปที่ลำธารขิดโรน

ในที่สุดวันที่ 16  ก็ทำสำเร็จหมด

“ไชโย  สำเร็จแล้ว  พวกเราทำให้พระวิหารสะอาดเอี่ยม ”   หลายคนดีใจ

“ใช่  แต่เป็นพระวิหารโล่ง ๆ   ข้าอยากเห็นพระวิหารที่งดงามเหมือนเก่า ”  อีกคนหนึ่งตอบโต้

 

พวกเขาไปรายงานพระราชาว่า ทำทุกอย่างสำเร็จตามที่พระองค์ทรงสั่งแล้ว
“พวกข้าพระบาทได้ชำระพระวิหารของพระเจ้าสำเร็จแล้วพะยะค่ะ
และได้นำเครื่องใช้ทุกอย่างมาใหม่  ทดแทนที่ราชาอาหัสได้นำไปทิ้งตอนที่พระองค์ไม่สัตย์ซื่อต่อองค์พระเจ้า”

“ดีมาก  ข้าขอบใจท่านทุกคน” พระราชาตรัส

“ตอนนี้ขอพระราชาทรงเตรียมพร้อมสำหรับการนมัสการพะยะค่ะ”

พวกเขาได้นำแท่นเครื่องบูชาเผา  เครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด  รวมไปถึงเครื่องใช้อื่น ๆ   ชิ้นเล็ก ๆ  ซึ่งมีรายละเอียดมากมาย กลับคืนมาให้มากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้

ทุกคนดีใจกันถ้วนหน้า  หวังว่า จะได้นมัสการพระเจ้าเหมือนอย่างที่เคย….

 

ทางแก้ผิดของบรรพบุรุษ ๒๙-๒

2 พงศาวดาร 29:7-11

ราชาเฮเซคียาห์ทรงมองไปรอบ ๆ พระวิหาร  พระองค์ตรัสว่า  “ดูซิ  บรรพบุรุษของเราไม่ได้สัตย์ซื่อต่อองค์พระเจ้า  และยังทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระองค์    ได้ละทิ้งพระเจ้า ……”

“เท่านั้นยังไม่พอ  ได้ปิดประตูประวิหาร และดับตะเกียง ดับมดยอบ และเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้าก็ห้ามไม่ให้ทำในวิหารอันบริสุทธิ์ของพระเจ้าแห่งอิสราเอลด้วย    แล้วเห็นไหมล่ะ … พระเจ้าทรงกริ้วทั้งยูดาห์และอิสราเอล  พระองค์ทรงทำให้พวกเราเจอสิ่งที่น่าหวาดกลัว  เราเจอสิ่งที่ไม่คาดคิด  เรากลายเป็นคนที่ใคร ๆ ก็นินทา เยาะเย้ย”

 

ทุกคนที่ฟังพระราชาตรัส รู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก

“พวกท่านก็เห็นด้วยตาแล้ว   ภาพที่คนของเรา ทั้งพ่อก็ถูกฆ่าฟันอย่างทารุณ เลือดนองแผ่นดิน  ลูกชาย ลูกสาว ภรรยาของพวกเราต้องตกไปเป็นเชลย… “

“พระราชาทรงทราบทุกสิ่ง   ขอพระองค์ทรงบอกเราด้วยว่า จะทำอย่างไร” คนหนึ่งทูล

“นี่ไง..  เราอยากทูลขอพระเจ้า ขอทำพันธสัญญากับพระองค์  พระเจ้าแห่งอิสราเอล  เพื่อว่า ความกริ้วของพระองค์จะได้หันไปจากเรา  ลูกชายของเราเอ๋ย….”  พระราชาทรงหันมามองรอบ ๆ ข้างพระองค์

“ตอนนี้ พวกเจ้าก็อย่าทำเฉย  เพราะพระเจ้าทรงเลือกให้พวกเจ้ายืนต่อพระพักตร์ของพระองค์  เพื่อจะปรนนิบัติพระองค์  เพื่อที่จะรับใช้พระองค์  เพื่อเผาเครื่องหอมถวายพระองค์”

พระราชาทรงหาทางที่จะให้ความกริ้วของพระเจ้าหายไป

พวกเขาจะตอบสนองพระประสงค์ของพระราชาอย่างไรกันดี ?

 

ราชาองค์ใหม่.. ๒๙-๑

2 พงศาวดาร 29:1-6

ราชาเฮเซคียาห์ทรงอายุ 25 ปี เมื่อขึ้นครองประเทศ ทรงครองอยู่ถึง 29 ปีทีเดียว  แต่เฮเซคียาห์ไม่ทรงเหมือนราชบิดาสักนิด  พระองค์กลับกลายเป็นคนที่ติดตามพระเจ้าอย่างบรรบุรุษ คือ ราชาดาวิด

ทำไมเป็นอย่างนั้น  พ่อเลวร้าย ลูกกลับดี มันเป็นไปได้อย่างไร

เชื่อว่าเป็นเพราะราชมารดาของพระองค์ที่นามว่า อาบียาห์  ซึ่งเป็นธิดาของเศคาริยาห์   พระนางคงจะดูแลเจ้าชายเฮเซคียาห์ให้เป็นเด็กที่ติดตามพระเจ้ามาตั้งแต่ยังเยาว์  และในสมัยของพระองค์นั้น  ทรงเห็นการที่อัสซีเรียได้กวาดคนอิสราเอลทางเหนือไปเป็นเชลย… พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ยูดาห์ต้องเจอเหตุการณ์อันเลวร้ายเหมือนกับคนอิสราเอล

พระวิหารถูกปิดมาตั้งแต่สมัยของราชาอาหัส  แต่เมื่อราชาเฮเซคียาห์เริ่มขึ้นครองนั้นเอง พระองค์ก็ทรงเปิดประตูพระวิหาร  ทรงนำปุโรหิต และนายช่าง และคนงานเข้าไปดูในพระวิหารนั้น

“ไม่น่าเชื่อเลย!”  คนหนึ่งอุทาน
“หยากไย่เต็มไปหมด …. ไม่มีเครื่องใช้เหลืออยู่เลย”  อีกคนเสริม
“ท่านพ่อของข้า ส่งข้าวของเครื่องใช้ไปให้ราชาอัสซีเรียเสียหมด  ท่านพ่อไม่น่าทำเลย”   ราชาอุสซียาห์ทรงกล่าวเบา ๆ
“ทำไมมันทรุดโทรมเช่นนี้?”

พระราชาทรงมองไปรอบ ๆ ด้วยความเศร้าพระทัย  “ไม่น่าเลย ท่านพ่อไม่น่าทำกับพระวิหารเช่นนี้… ขอพระเจ้าทรงโปรดอภัยโทษแก่ท่านพ่อ และข้าพระบาทด้วยเถิด”    ราชาเฮเซคียาห์ทรงคิดในใจ
แล้วพระราชาก็ทรงสั่งให้ปุโรหิต  นายช่างเข้ามาประชุมกันเพื่อวางแผนซ่อมแซมพระวิหาร
“เหล่าเลวี  ขอท่านฟังข้าฯ   บัดนี้ ขอให้ท่านท้งหลายชำระตัวให้สะอาด และชำระพระวิหารของพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษ   ขอให้ท่านช่วยกันกำจัดสิ่งที่เป็นมลทิน ความสกปรกทุกอย่างออกจากพระวิหารอันบริสุทธิ์นี้”

“ขอพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติ….ขอพระราชาจงทรงพระเจริญ…. “เหล่าเลวีน้อมรับคำของพระราชา

“ดูซิว่า ปู่ย่าตายายของเราไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า  และทำสิ่งที่เลวร้ายในสายพระเนตรพระเจ้าของเรา    ได้ละทิ้งพระองค์ และหันหน้าของพวกเขาออกไปจากที่ประทับของพระเจ้า  หันหลังให้พระองค์  …”

ขณะที่พระราชาตรัสนั้น

ในพระทัยปวดร้าวยิ่งนัก

 

อาหัสผู้นี้….๒๘-๖

2 พงศาวดาร 28:22-27

ยิ่งถูกศัตรูรุกทำร้ายมากเท่าไร  ราชาอาหัสก็ยิ่งห่างไกลจากพระเจ้าไปเพียงนั้น  ราชาอาหัสทรงหันหลังให้กับพระเจ้า  และคิดหาทางที่จะรอดพ้นด้วยวิธีของพระองค์เอง

มีอย่างที่ไหน  แพ้ซีเรียแล้ว แทนที่จะซมซานมาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า กลับนำเอาเทวรูปของซีเรียมาตั้งในเยรูซาเล็ม  …ทรงกล่าวว่า “เพราะว่าชาวซีเรียมีพระของเขาช่วยเหลืออยู่   เดี๋ยวเราจะกราบไหว้ บูชา ถวายเครื่องสักการะพระเหล่านั้น   เผื่อว่า พระของซีเรียจะช่วยเราได้”

ราชาอาหัสตัวจริงคือผู้นี้…

คิดเอง ทำเองตามใจ  ไม่เกรงใจใครทั้งสิ้นแม้แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่บรรพบุรุษของพระองค์ได้วางใจมาโดยตลอด

อาหัสทรงตั้งใจว่า พระของซีเรียนี่แหละ  จะเป็นพระที่พระองค์นับถือ

ไปกันใหญ่….  เพราะว่า ยิ่งอาหัสทำอย่างนั้น  ความหายนะก็ยิ่งโถมเข้ามาในยูดาห์    ราชาอาหัสทรงรวบรวมภาชนะต่าง ๆ ที่ใช้ในพระวิหารออกมา  เอาออกมาทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และปิดประตูพระวิหาร

ยิ่งกว่านั้น ก็สร้างแท่นบูชาตามเมืองต่าง ๆ  สร้างที่สูงขึ้นมาเพื่อถวายเครื่องบูชากับเทวรูปสารพัดแบบ    ราชาอาหัสทรงทำให้พระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพระองค์ทรงกริ้วยิ่งนัก

ยังมีหลายอย่างที่ราชาอาหัสได้กระทำ และบันทึกไว้ในหนังสือของกษัตริย์แห่งยูดาห์และอิสราเอล

เมื่อราชาอาหัสสิ้นพระชนม์   เฮเซคียาห์ โอรสก็ขึ้นครองแทน

 

 

ศึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ๒๘-๕

2 พงศาวดาร 28:16-21
ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์กวาดเชลยไปสะมาเรีย  แล้วนำกลับมายังเมืองเยรีโคนั้นเอง  ราชาอาหัส ก็ได้ส่งสาส์นขอความช่วยเหลือไปยังราชาแห่งอัสซีเรีย

ไม่แต่อิสราเอลมาโจมตีจากทางเหนือเท่านั้น  แต่ยังมีชาวเอโดมทางใต้เข้ามาบุกและชนะศึก  กวาดคนยูดาห์ไปด้วยมากมาย

ส่วนทางตะวันตกเฉียงใต้   นักรบตัวใหญ่ผู้กล้าจากฟิลิสเตียก็จู่โจมเข้ามาใกล้เคียงกัน ไม่มีทางที่ยูดาห์จะเงยหน้าอ้าปากได้เลย

ฟิลิสเตียปล้นหัวเมืองเชเฟลาห์  เบธเชเมธ  อัยยาโลน  เกเกโรธ  โสโค และเมืองเล็ก ๆ รอบ ๆ    มิหนำซ้ำ ยังพาคนของพวกเขาเข้ามาตั้งถิ่นฐานแทรกไปกับชาวเมืองด้วย  …. ขืนเป็นอย่างนี้นาน ๆ ไป จะไม่มีคนยูดาห์เหลือ เพราะพวกเขาจะต้องพยายามเปลี่ยนเชื้อชาติด้วยการบังคับการแต่งงานระหว่างสองชนชาติ

ยูดาห์โดนโจมตีรอบด้าน

ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?

พระเจ้าทรงกระทำให้ยูดาห์ตกต่ำสุด ๆ เพราะว่า ตัวพระราชาเองนั่นแหละ   ราชาอาหัสได้ทำผิดต่อพระเจ้าอย่างร้ายแรง… และไม่ได้คิดแม้จะปรับเปลี่ยนพระองค์เพื่อความอยู่รอดของชาติ….  ราชาอาหัสนำให้ประชาชนจำนวนมากมายร่าเริงไปกับการกราบไหว้เทวรูป   พาพวกเขาไปนมัสการสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้า แต่ยกย่องมันเป็นพระ

ราชาอาหัสไม่ได้หันมาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า  ไม่กลับใจ  แต่ ทรงซ้ำเติมชนชาติยูดาห์ด้วยการไปขอความช่วยเหลือจากราชาอัสซีเรียผู้อหังการ!

ราชาอาหัสขนของในพระวิหารของพระเจ้า ทั้งเงิน ทอง และโลหะต่าง ๆ รวมทั้งอัญมณีที่มีค่า ไปเป็นเครื่องบรรณาการแก่ทิกลัสปิเลเสอร์….ซึ่งเป็นราชาแห่งอัสซีเรีย

เมื่อได้ของบรรณาการ แทนที่จะมาช่วยราชาอาหัส

กลับโจมตีทั้งอิสราเอลทางเหนืออย่างย่อยยับ (ประมาณ 722 ปีก่อนคริสตศักราช)   และรุกรานยูดาห์ซ้ำเติมเข้าไปอีก…  คราวนี้ยูดาห์แทบสิ้นชาติ  สิ้นเนื้อประดาตัว

ประชาชนรู้สึกโกรธแค้นพระราชา  และศัตรูยิ่งนัก  แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้  จำต้องรับเคราะห์กรรมจากสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   แล้วจะทำอย่างไรต่อไปกันดี ??

 

ราชาอาหัสครองประมาณ    735-719   ปี ก่อนคริสตศักราช

ทหารเหนือเปลี่ยนใจ ๒๘-๔

2 พงศาวดาร  28:12-15

คำเตือนของโอเดดนั้น จำเป็นสำหรับอิสราเอล แผ่นดินทางเหนือมาก  พวกเขาไม่ควรที่จะต้องเจอกับหายนะ  และตกต่ำไปกว่านี้

ช่วงเวลานั้นเอง  ผู้นำของทหารเผ่าเอฟราอิมหลายคนคือ อาซาริยาห์   เบเรคิยาห์ เยอิสคียาห์ อามาสา  ได้คุยกันและรู้ว่า พวกเขาต้องทำอะไรจึงจะถูกต้อง

ดังนั้น จึงออกไปรับคนที่กลับมาจากสงคราม  และป้องกันไม่ให้เขาทำอย่างที่ตั้งใจ คือการจับคนยูดาห์มาเป็นเชลย…

“พวกเจ้า  อย่านำคนยูดาห์เข้ามาเป็นเชลยของเรา   เพราะถ้าเจ้าทำอย่างนั้น เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว  ทำให้พระเจ้าทรงกริ้วยิ่งขึ้น   พวกนายก็รู้อยู่แล้วว่า ตอนนี้ พระเจ้าไม่พอพระทัยเราหลายเรื่อง”

ผู้นำทั้งสี่อธิบายให้เห็นว่า การที่พวกเขาได้ชัยชนะ ไม่ได้หมายความว่า เขาจะเอาพี่น้องร่วมบรรพบุรุษเหล่านี้มาบังคับเป็นทาสใช้แรงงานได้

“จริงซิ”  ทหารที่คุมเชลย และรู้สึกฮึกเหิมกลับเริ่มเข้าใจสิ่งที่ผู้นำทั้งสี่เตือน  “พวกเรา… ให้ปล่อยเชลย และใครถูกมัดเชือกไว้ก็ให้แก้เชือก”

“ท่านผู้นำขอรับ”  นายทหารคนหนึ่งกล่าวต่อผู้นำทั้งสี่   “พวกเราจะทิ้งของที่ริบมา  และจะปล่อยเชลยกลับไปตามที่ท่านตักเตือน   ขอบคุณที่ท่านช่วยให้เราไม่ต้องรับโทษจากพระเจ้าไปกว่านี้”

เสียงดังมาจากกลุ่มเชลยว่า “ขอบคุณพระเจ้า”     “ขอบคุณพระเจ้า”    “ขอบคุณพระเจ้า”  พวกเขาดีใจที่ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป  แต่ยังมีคนที่เดินเปลือยมาด้วยดังนั้น  จึงมีคนเอาเสื้อผ้าจากของที่ริบไปสวมให้เขา

พวกเขาจัดหารองเท้าให้เชลยเหล่านั้น

หาอาหาร และน้ำดื่ม  น้ำองุ่นให้พวกเขา

คนไหนมีบาดแผลก็ขโลมด้วยน้ำมันซึ่งเป็นยา

ยิ่งกว่านั้น บางคนถึงกับเดินไม่ได้  พวกเขาก็ช่วยเอาขึ้นลา พากลับมายังเมืองเยรีโคทางใต้อีกด้วย

“ท่านขอรับ  เราขอบคุณท่านมาก  ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรท่าน”  เชลยคนหนึ่งกล่าวแก่ทหารอิสราเอล

“ไม่เป็นไรหรอก  ข้าก็เสียใจนะ ที่ทำกับพวกเจ้าอย่างนั้น จริง ๆ แล้วอย่างไร เราก็สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน  ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรพวกเจ้ามาก ๆ “

จากนั้น พวกเขาก็เดินทางไปทางเหนือ มุ่งสู่เมืองสะมาเรีย