เยเรมีย์ 39-1 ในที่สุด..ความจริงก็มาถึง

เยเรมีย์ 39:1-10
ในปีที่เก้า เดือนที่สิบแห่งรัชสมัยของราชาเศเดคียาห์ ราชาแห่งยูดาห์
เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนและกองทัพได้เ้ข้ามาโจมตีนครเยรูซาเล็ม และล้อมนครนั้น

ในปีที่สิบเอ็ด เดือนที่สี่ วันที่เก้าแ่ห่งรัชสมัยของราชาเศเดคียาห์ นครถูกยึด
เหล่าข้าราชการของกษัตริย์บาบิโลนได้เข้ามาและนั่งอยู่ที่ประตูกลาง
เนอร์กัล-ชาเลเซอร์จากสัมการ์
เนบู-ซาร์เสคิมตำแหน่งรับสารีส์
เนอร์กัล-ซาเลเซอร์ตำแหน่งรับมัก
พร้อมกับข้าราชการคนอื่น ๆ ของกษัตริย์แห่งบาบิโลน

เมื่อราชาเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และทหารเห็นพวกเขา
ก็พากันหนีออกจากเมืองในตอนกลางคืน
โดยไปทางสวนของพระราชาผ่านประตูระหว่างกำแพงทั้งสอง พวกเขามุ่งหน้าไปยังอารบา
แต่กองทัพของเคลเดียได้ติดตามพวกเขาไป และจับตัวราชาเศเดคียาห์ได้ที่ทุ่งราบเยรีโค
เมื่อพวกเขาจับตัวมาแล้วก็นำมาเฝ้าเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ริบลาห์ ในแผ่นดินฮามัท
กษัตริย์แห่งบาบิโลนก็ได้พิพากษาเศเดคียาห์ที่นั่นp.319.d.Sargon.puts.out.eyes.of.Zedekiah
โดยสั่งประหารเหล่าโอรสของเศเดคียาห์ที่ริบลาห์ต่อหน้าต่อตา
ยิ่งกว่านั้นก็สั่งประหารเหล่าชนชั้นสูงของยูดาห์ด้วย

จากนั้นก็ควักดวงตาของราชาเศเดคียาห์ และตีตรวนเพื่อนำไปยังบาบิโลน
พวกเคลเดียได้เผาราชวังและบ้านเรือน ทำลายกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม
แล้วเนบู-ซาราดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ก็ได้นำประชาชนที่เหลืออยู่ในเมือง
และคนที่หนีไปหาเขา รวมทั้งคนที่ยังเหลืออยู่กลับไปยังบาบิโลนทั้งหมด
เนบู-ซาราดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์
ทิ้งแผ่นดินยูดาห์ไว้กับเหล่าคนยากจนที่ไม่มีอะไรเลย
โดยมอบสวนองุ่นและไร่นาไว้ให้พวกเขา

เยเรมีย์ 38-4 ความจริงจากสตรี

เยเรมีย์ 38:20-28
เยเรมีย์กล่าวว่า
“พระองค์จะไม่ถูกส่งให้พวกเขา ขอทรงเชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ที่ข้าพระบาททูล และทุกอย่างที่เกิดขึ้น จะเป็นผลดีต่อพระองค์
พระองค์จะทรงถูกละเว้น ไม่เอาชีวิตไป
แต่หากพระองค์ไม่ทรงยอมต่อราชาบาบิโลน นิมิตที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้กับข้าพระบาทเป็นดังนั้น
ดูเถิด.. เหล่าสตรีที่ถูกทิ้งไว้ในราชวังของราชาแห่งยูดาห์
ถูกนำออกไปให้กับเหล่าข้าราชการของราชาบาบิโลน พวกเธอต่างพูดว่า

“เพื่อนที่ท่านไว้ใจ ก็หลอกลวงท่าน
และมีชัยชนะเหนือท่าน
ตอนนี้ เท้าของท่านจมโคลน
พวกเขาก็หนีหน้าท่านไป

jerusalem-burning
ทั้งเหล่าภรรยา และเหล่าโอรสของพระองค์จะถูกนำไปให้คนเคลเดีย
และพระองค์ไม่อาจจะหนีเงื้อมมือพวกเขาไปได้
จะถูกราชาบาบิโลนจับไว้ นครนี้ก็จะถูกเผาด้วยไฟ”

แล้วราชาเศเดคียาตรัสกับเยเรมีย์ว่า “อย่าให้ใครรู้คำเหล่านี้ แล้วเจ้าจะไม่ตาย
หากพวกข้าราชการรู้ว่า ข้าคุยอะไรกับเจ้า มาถามเจ้าว่า
..ไหน บอกมาซิว่า สนทนาอะไรกับพระราชา และพระองค์ตรัสอะไรกับเจ้า
อย่าซ่อนอะไรไว้จากเรา แล้วเราจะไม่สังหารเจ้า..
เจ้าก็จงกล่าวว่า ..ข้าทูลขอพระราชาไม่ให้ส่งข้าให้ไปตายที่บ้านของโยนาธาน..

แล้วเหล่าข้าราชการก็มาหาเยเรมีย์ ถามเขาอย่างนั้นจริง ๆ
เยเรมีย์จึงตอบพวกเขาไปตามที่พระราชาทรงบัญชา
พวกเขาจึงหยุดพูดกับเขา เพราะคำสนทนาของเขากับพระราชานั้น ไม่มีใครได้ยิน
และเยเรมีย์ยังคงอยู่ในลานทหารรักษาพระองค์จนถึงวันที่นครเยรูซาเล็มถูกยึด

เยเรมีย์ 38-3 ความกลัวของพระราชา

เยเรมีย์ 38:14-19

ราชาเศเดคียาห์ ได้ส่งคนไปนำเยเรมีย์ผู้กล่าวคำมาเฝ้า
พระองค์ทรงพบเขาที่ทางเข้าที่สามของพระวิหาร
พระราชาตรัสแก่เยเรมีย์ว่า …”เราจะถามเจ้า และขออย่าซ่อนอะไรจากเรา”
เยเรมีย์ทูลว่า “หากข้าพระบาทบอกพระองค์  พระองค์จะไม่ทรงประหารข้าพระองค์หรือ?
และหากข้าพระบาทถวายคำปรึกษา พระองค์จะไม่ทรงฟังข้าพระบาท”

แล้วราชาเศเดคียาห์จึงทรงสาบานลับกับเยเรมีย์
“ตราบเท่าที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ผู้ทรงสร้างจิตใจของเรา
เราจะไม่ประหารเจ้า จะไม่ส่งตัวเจ้าให้คนที่พยายามเอาชีวิตเจ้า”

jeremiah-zedekiah

แล้วเยเรมีย์จึงทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเป็นจอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้
หากเจ้าจะยอมแพ้เหล่าข้าราชการของราชาบาบิโลน ชีวิตของเจ้าจะปลอดภัย
นครแห่งนี้จะถูกเผาด้วยไฟ  เจ้าและครอบครัวของเจ้าจะรอดชีวิต
แต่หากเจ้าไม่ยอมต่อข้าราชการของราชาบาบิโลน
นครแห่งนี้จะถูกมอบให้อยู่ในมือของชาวเคลเีดีย
พวกเขาจะเผานครด้วยไป และเจ้าจะไม่อาจหนีพ้นมือพวกเขาได้”

ราชาเศเดคียาห์ตรัสกับเยเรมีย์ว่า
“เรากลัวพวกยิวที่หนีไปอยู่กับคนเคลเดีย  กลัวว่าพวกเขาจะมอบข้าไว้ให้พวกเข
และพวกเขาก็จะทรมานข้าอย่างโหดร้าย”….

เยเรมีย์ 38-2 ช่วยชีวิต!

เยเรมีย์ 38:7-13
เมื่อเอเบดเมเลค ขันทีชาวเอธิโอเปีย ซึ่งอยู่ในราชวังของพระราชาได้ยินว่า
พวกเขาได้จับเยเรมีย์หย่อนลงไปในที่ขังน้ำ
เวลานั้น พระราชาอยู่ที่ประตูเบนยามิน
เอเบดเมเลคจึงเดินมาจากราชวัง เพื่อเข้าเฝ้า ทูลว่า
“ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาท
คนเหล่านี้ได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายต่อท่านเยเรมีย์ผู้กล่าวคำของพระเจ้า
พวกเขาหย่อนท่านลงไปในที่ขังน้ำ
ท่านเยเรมีย์จะต้องตายเพราะความหิวเป็นแน่แท้
เพราะตอนนี้ ไม่มีขนมปังเหลืออยู่ในเมืองเลย

ดังนั้น พระราชาจึงทรงบัญชาเอเบดเมเลคชาวเอธิโอเปีย
“เจ้าจงเอาคนจากที่นี่ไป 30 คน และช่วยกันยกท่านขึ้นมาจากที่ขังน้ำ
ก่อนที่ท่านจะตายไป”

rescues-jeremiah

ดังนั้น เอเบดเมเลคจึงนำชายเหล่านั้นไปกับเขา
เข้าไปในพระราชวัง และไปค้นตู้เสื้อผ้าในคลังพัสดุ
ได้ผ้าเก่าๆ และเสื้อขาดมาหลายตัว
ผูกกับเชือกยาว หย่อนลงไปให้เยเรมีย์ในที่ขังน้ำ
แล้วเอเบดเมเลคบอกเยเรมีย์ว่า
ให้ท่านคล้องผ้าและเสื้อเก่าไว้ใต้รักแร้และเชือก”
เยเรมีย์ก็ทำตามนั้น
แล้วพวกเขาก็ดึงเยเรมีย์ขึ้นมาพร้อมกับเชือก
ยกเขาขึ้นมาจากที่ขังน้ำได้สำเร็จ

หลังจากนั้น เยเรมีย์ก็ยังคงค้างอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์

เยเรมีย์ 38-1 โทษของเยเรมีย์

เยเรมีย์ 38:1-6

เชฟาทิยาห์ ลูกชายของมัทธาน
เกดาลิยาห์ ลูกชายปาชเฮอร์  และ
ยูคาล ลูกชายเชเลมียาห์  และ
ปาชเฮอร์ ลูกชายมัลคียาห์  ได้ยินคำที่เยเรมีย์กล่าวแก่ประชาชนว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า ..
คนที่อยู่ในนครเยรูซาเล็มจะต้องตายด้วยดาบ ความอดอยากและโรคระบาด
แต่คนที่ออกไปหาคนเคลเดียจะมีชีวิตอยู่
เขาจะได้มีชีวิตเป็นบำเหน็จแห่งสงคราม และยังมีชีวิตอยู่ได้…

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า
“นครนี้จะถูกมอบให้อยู่ในมือของกองทัพแห่งราชาแห่งบาบิโลน และจะถูกยึดไว้..

บรรดาข้าราชการจึงทูลพระราชาว่า
“ขอทรงสั่งประหารชายคนนี้ เพราะเขาทำให้ทหารอ่อนกำลังลง
ทั้งมือของประชาชนทั้งหมดด้วย
สิ่งที่เขาพูดแสดงว่า เขาไม่ได้หาสวัสดิภาพให้แก่ประชาชน
แต่กลับจะนำหายนะมาให้เรา”

ราชาเศเดคียาห์ตรัสว่า
“นี่ไง… ชีวิตของเขาอยู่ในมือของพวกท่านแล้ว
เพราะเราไม่อาจขัดใจท่านได้”

Jeremiah-in-the-well

พวกเขาจึงหย่อนเยเรมีย์ลงไปในที่ขังน้ำของมัลคียาห์ โอรสองค์หนึ่งของพระราชา
บ่อน้ำนั้นอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์  โดยเอาเชือกหย่อนเขาลงไป
ในที่ขังน้ำนั้น ไม่มีน้ำ มีแต่โคลน…

และเยเรมีย์ก็จมโคลนลงไป!

เยเรมีย์ 37-2 คำสนทนาลับในวัง

เยเรมีย์ 37:11-21

เมื่อกองทัพเคลเดียถอนออกไปจากนครเยรูซาเล็ม
เนื่องจากกองทัพของฟาโรห์กำลังมุ่งมายังนครนี้
เยเรมีย์ก็ออกจากนครเยรูซาเล็ม  มุ่งหน้าไปยังแผ่นดินเบนยามิน
เพื่อไปรับส่วนแบ่งที่ดินของเขาจากประชาชนที่นั่น

เมื่อเขาไปถึงประตูเบนยามิน
หัวหน้ายามชื่ออิรียาห์ ลูกชายเชเลมิยาห์ ลูกชายฮานันยาห์
ก็เข้ามาจับกุมเขากล่าวว่า
“ท่านกำลังแปรพักตร์ หนีไปหาชาวเคลเดีย”

เยเรมีย์กล่าวว่า “ไม่เป็นความจริง เราไม่ได้ไปหาชาวเคลเดีย”
แต่อิรียาห์ก็ไม่ฟังเขา จับกุมเยเรมีย์และนำเขาพบเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่โกรธเยเรมีย์มาก จึงโบยตีเขา และจองจำเขาไว้ในบ้านของโยนาธานซึ่งเป็นเลขานุการ
บ้านนั้นเป็นบ้านที่ดัดแปลงให้เป็นเรือนจำ

เมื่อเยเรมีย์มาถึงคุกมืด.. เขาก็ถูกจองจำไว้ในนั้นหลายวัน
ราชาเศเดคียาห์ส่งคนมาหา และรับเขาไป
พระราชาได้ถามเยเรมีย์อย่างลับ ๆ ในราชวัง กล่าวว่า
“มีพระดำรัสมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าบ้างไหม? ”
“มี พะยะค่ะ”  เยเรมีย์ตอบ
“ฝ่าพระบาทจะถูกส่งไปถึงมือของราชาแห่งบาบิโลน”
และเยเรมีย์ยังทูลต่อไปด้วยว่า
“ข้าพระบาทได้ทำผิดอย่างใดต่อฝ่าพระบาท หรือข้าราชบริพารของพระองค์
หรือได้ทำผิดสิ่งใดต่อประชาชนจึงได้จองจำข้าพระบาทไว้ในคุก?
เหล่าผู้กล่าวคำที่ทำนายต่อฝ่าพระบาทว่า .. ราชาแห่งบาบิโลนจะไม่เข้ามา
ต่อสู้พระองค์หรือแผ่นดินนี้… พวกเขาไปอยู่ที่ไหนกัน ?
ขอฝ่าพระบาทโปรดฟัง ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาท
ข้าพระบาททูลขอต่อพระองค์ว่า อย่าส่งข้าพระบาทกลับไปยังบ้านของโยนาธานผู้เป็นเลขานุการเลย
เพราะว่าข้าพระบาทอาจจะตายที่นั่น”

breads5

ดังนั้นราชาเศเดคียาห์จึงทรงบัญชาให้นำเยเรมีย์ไปไว้ที่ลานทหารรักษาพระองค์
และให้ส่งขนมปังจากคนทำขนมปังตามถนน ให้เขาทุกวัน
จนกระทั่งไม่มีขนมปังเหลือในเมือง
ดังนั้นเยเรมีย์จึงถูกคุมตัวอยู่ที่นั่น

เยเรมีย์ 37-1 เตือนเศเดคียาห์

เยเรมีย์ 37:1-10

เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ตั้งให้ราชาเศเดคียาห์ โอรสราชาโยสิยาห์
เป็นกษัตริย์ครองแผ่นดินยูดาห์ แทนที่โคนิยาห์ซึ่งเป็นโอรสของราชาเยโฮยาคิม
แต่ทั้งเศเดคียาห์ และเหล่าข้าราชการ รวมไปถึงประชาชนต่างก็ไม่สนใจที่จะฟัง
พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้ตรัสผ่านเยเรมีย์ผู้มีหน้าที่กล่าวคำของพระองค์

ราชาเศเดคียาห์ได้ส่งเยฮูคัล ลูกชายเชเลมิยาห์
และปุโรหิตเศฟันยาห์ ลูกชายมาอาเสอาห์มาหาเยเรมีย์ และขอร้องว่า
“ขอท่านโปรดอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราเพื่อพวกเรา”

ตอนนี้เยเรมีย์ยังคงไปมาท่ามกลางประชาชน เพราะเขายังไม่ถูกจำจอง

เมื่อกองทัพของฟาโรห์ออกมาจากอียิปต์ และเมื่อชาวเคลเีดียซึ่งกำลังล้อมนครเยรูซาเล็มได้ข่าว
พวกเขาจึงถอนทัพออกไปจากนครเยรูซาเล็มjeremiah37

แล้วพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ผู้กล่าวคำ
“องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้
เจ้าจงทูลต่อราชาแห่งยูดาห์ที่ได้ส่งคนมาและให้ขอร้องเราว่า
..ดูเถิด กองทัพฟาโรห์ที่ออกมาเพื่อช่วยเจ้านั้น กำลังจะกลับไปยังอียิปต์ บ้านเมืองของพวกเขา
และชาวเคลเดียจะกลับมาต่อสู้กับนครนี้อีก
พวกเขาจะยึดเราได้ และเผาเสียด้วยไฟ

ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า .. อย่าหลอกตัวเองด้วยการกล่าวว่า
.. คนเคลเดียจะถอยออกจากเราไปเป็นแน่  เพราะพวกเขาจะไม่ไป
เพราะถึงแม้เจ้าจะสามารถทำลายกองทัพเคลเดียที่มาต่อสู้เจ้า
และพวกเขาจะเหลือแค่ทหารที่บาดเจ็บ
ทุกคนจะลุกขึ้นมาจากกระโจมของเขา พวกเขาจะลุกขึ้น
และเผานครนี้เสียด้วยไฟ!”

เยเรมีย์ 36-4 เผาได้ก็เขียนใหม่ได้

เยเรมีย์ 36:27-32
แล้วหลังจากที่พระราชาได้ทรงสั่งเผาหนังสือม้วนที่บารุคเขียนตามคำบอกของเยเรมีห์แล้ว
พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มายังเยเรมีย์ว่า
จงไปเอาหนังสือม้วนใหม่มา และเขียนคำที่อยู่ในหนังสือม้วนแรกที่ราชาเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้เผาไปนั้น
และในส่วนที่เกี่ยวข้องกับราชาเยโฮยาคิม กษัตริย์แห่งยูดาห์นั้น ให้เจ้าเขียนว่า
.. องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้.. เจ้าได้เผาหนังสือม้วน และยังกล่าวว่า
.. เหตุใดเจ้าจึงเขียนว่า ราชาแห่งบาบิโลนจะมาและทำลายแผ่นดินนี้ และจะไม่ให้มีทั้งสัตว์หรือมนุษย์อาศัยอยู่?..
baruch
ภาพแกะสลักไม้โดย กุสตาฟ ดอเร่ (1832-1883)

ดังนั้น… องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเยโฮยาคิม กษัตริย์แห่งยูดาห์..
นั่นคือ เขาจะไม่มีใครในลูกหลานที่จะมานั่งบนบัลลังก์ของดาวิด
ศพของเขาจะถูกโยนลงไปในที่โล่ง เจอกับความร้อนของวัน และความหนาวของคืน
และเราจะลงโทษเขา ลูกหลานของเขา เหล่าข้าราชบริพารทั้งหลาย เพราะความผิดบาปของเขา
เราจะนำหายนะมาสู่ตัวเขา คนที่อาศัยในนครเยรูซาเล็ม และคนชาวยูดาห์ทั้งปวง
ตามที่เราเคยบอกเตือนไว้ แต่ก็ไม่มีใครสนใจที่จะัฟัง

แล้วเยเรมีย์จึงไปเอาหนังสือม้วนมาอีกม้วน และมอบให้บารุคผู้เป็นอาลักษณ์ ลูกชายของเนรียาห์
ผู้ที่เขียนหนังสือม้ิวนซึ่งราชาเยโฮยาคิมได้เผาไฟไปเสีย
จึงได้มีการเขียนบันทึกลงไปอีกครั้งเหมือนกับที่เคยเขียนนั้น

เยเรมีย์ 36-3 ไม่เห็นจะกลัว!

เยเรมีย์ 36:20-26
ดังนั้น พวกเขาจึงพากันไปยังท้องพระโรงของพระราชา
โดยเก็บหนังสือม้วนนั้นไว้ในห้องของเลขานุการ คือ เอลีชามา
พวกเขารายงานคำที่อยู่ในหนังสือม้วนแก่พระราชา
ดังนั้น พระราชาจึงส่งเยฮูดีใ้ห้ไปเอาหนังสือม้วนนั้นมาถวาย
เยฮูดีไปเอาหนังสือม้วนออกมาจากห้องของเอลีชามา ผู้เป็นเลขานุการ

จากนั้น เยฮูดีก็ได้อ่านคำจากหนังสือม้วนถวายพระราชา และข้าราชการที่อยู่ข้าง ๆ พระองค์ได้ฟังด้วย
เวลานั้นเป็นเดือนที่เก้า พระราชาประทับในวังฤดูหนาว
จึงมีกองไฟที่ลุกอยู่ในหม้อไฟด้านหน้าพระราชา
cut_it_with_the_penknife

ขณะที่เยฮูดีอ่านไปได้สามสี่ตอน พระราชาก็จะตัดหนังสือนั้นออกด้วยมีดและโยนลงในกองไฟในหม้อไฟนั้น
จนกระทั่งหนังสือม้วนทั้งเล่มถูกไฟในหม้อไฟเผาจนหมด!

ไม่ว่าจะเป็นพระราชา มหาดเล็กที่ได้ยินคำเหล่านี้จะรู้สึกกลัว หรือเสียใจกับความบาป หลั่งน้ำตา หรือฉีกเสื้อผ้าของตน
แม้เวลาที่เอลนาธัน เดไลยาห์ และเกมาริยาห์ ได้ขอให้พระราชาไม่เผาหนังสือม้วน
พระราชาก็ไม่ฟังพวกเขาเลย

และพระราชาทรงบัญชาให้โอรสคือ เยราเมเอล
และเชเลมิยาห์ลูกชายอัสรีเอล กับเชเลมิยาห์ลูกชายอับเดเอลไปจับกุมตัวบารุคผู้บันทึก
และเยเรมีย์ผู้กล่าวคำของพระเจ้ามาลงโทษ
แต่พระเจ้าทรงซ่อนพวกเขาไว้!

เยเรมีย์ 36-2 เพราะหนังสือนี้..ต้องหนี

เยเรมีย์ 36:11-19

เมื่อมีคายาห์ลูกชายเกมาริยาห์ซึ่งเป็นลูกชายของชาฟาน ได้ยินพระดำรัสของพระเจ้าจากหนังสือม้วน  เขาจึงไปยังราชวังของกษัตริย์ เข้าไปในห้องของเลขานุการ  มีข้าราชการหลายคนนั่งอยู่ในนั้น

คือเอลีชามา ราชเลขา
เดไลยาห์ ลูกชายเชไมอาห์
เอลนาธัน  ลูกชายอัคโบร
เกมาริยาห์ ลูกชายชาฟาน
เศเดคียาห์ ลูกชายฮานันยาห์รวมไปถึงข้าราชการคนอื่น ๆ   และมีคายาห์ก็เล่าสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินมาจากการอ่านหนังสือม้วนของบารุค ซึ่งอ่านต่อหน้าประชาชนคนอื่น ๆ ด้วย
แล้วจากนั้น เหล่าข้าราชการก็ส่งเยฮูดี ลูกชายเนธานิยาห์  ลูกชายเชเลมิยาห์ ลูกชายคูชี ให้ไปพูดกับบารุคว่า.. “จงถือหนังสือที่เจ้าอ่านต่อหน้าประชาชน และมากับข้า”… ดังนั้นบารุค ลูกชายเนริยาห์จึงหอบหนังสือมาหาพวกเขา
พวกเขาพูดกับบารุคว่า … “นั่งลง และอ่านให้เราฟัง”  ดังนั้นบารุคจึงอ่านหนังสือนั้นให้พวกเขาฟัง

nungsuemuan
เมื่อพวกเขาได้ยินคำทั้งหมด ก็มองหน้ากันไปมาด้วยความกลัว พวกเขากล่าวกับบารุคว่า  ”เราจะต้องรายงานเรื่องนี้ให้กับพระราชา”.
แล้วพวกเขาก็ถามบารุคว่า   ”ไหนบอกมาซิว่า เจ้าเขียนหนังสือนี้ออกมาได้อย่างไร  เขียนตามคำบอกของเขาใช่ไหม?”
บารุคจึงตอบว่า  ”เขาได้บอกทุกถ้อยคำแก่ข้าพเจ้า ในขณะที่ข้าพเจ้าก็เขียนด้วยน้ำหมึกลงบนหนังสือม้วน ”

ดังนั้น ข้าราชการจึงกล่าวว่า “เจ้าจงไปและซ่อนตัวเสีย ทั้งเจ้าและท่านเยเรมีย์ อย่าให้ใครรู้ว่า เจ้าทั้งสองอยู่ที่ไหน”

เยเรมีย์ 36-1 สื่อที่พระเจ้าทรงใช้

เยเรมีย์ 36:1-10

ในปีที่สี่ ของรัชสมัยเยโฮยาคิม โอรสราชาโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์
มีพระดำรัสของพระองค์พระผู้เป็นเจ้ามายังเยเรมีย์ว่า

“จงเอาหนังสือม้วนมาบันทึกคำที่เรากล่าวต่อต้านอิสราเอล ยูดาห์ และประชาชาติทั้งปวง
บันทึกตั้งแต่วันที่เราพูดกับเจ้าจากสมัยของโยสิยาห์จนทุกวันนี้
เผื่อว่าวงศ์วานของยูดาห์จะได้ยินเรื่องของหายนะที่เราจะทำกับพวกเขา
แล้วจะได้หันจากความบาปชั่ว และเพื่อว่าเราจะได้ยกโทษความผิดและบาปของพวกเขา
แล้วเยเรมีห์จึงเรียกบารุคลูกชายเนริยาห์
และบารุคก็ได้บันทึกพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ตามที่เยเรมีย์บอกลงในหนังสือม้วน
และเยเรมีย์สั่งบารุคว่า
“ข้าถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ดังนั้นเจ้าจงไป และในวันถืออด เจ้าจงอ่านพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จากหนังสือม้วนที่เจ้าได้บันทึกตามคำบอกของข้าให้กับประชาชนได้รับฟัง
เจ้าจะอ่านให้คนยูดาห์ที่มาจากหัวเมืองต่าง ๆ ให้พวกเขาได้รับรู้ ได้ยินด้วย
เผื่อว่าคำทูลขอความเมตตาของพวกเขาจะได้มาถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า
และทุกคนจะหันจากบาป  เพราะความกริ้ว พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ที่ทรงประกาศเหนือคนเหล่านี้ มันใหญ่ยิ่งน่ากลัวนัก “

ภาพวาดโดยกุสตาฟ ดอเร่
ภาพวาดโดยกุสตาฟ ดอเร่

และบารุคลูกชายเนริยาห์ก็ได้ทำทุกอย่างตามที่เยเรมีย์ผู้กล่าวคำของพระเจ้าได้สั่งไว้
ในเรื่องการอ่านพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า  จากหนังสือม้วนให้ประชาชนในพระวิหารฟัง
ในปีที่ห้า รัชสมัยของเยโฮยาคิม โอรสราชาโยสิยาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์
ตอนนั้นเป็นเดือนที่เก้า เหล่าคนที่มายังนครเยรูซาเล็มจากหัวเมืองต่าง ๆ ในยูดาห์
ก็ได้เข้ามาร่วมในพิธีถืออดอาหารต่อพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

และบารุคก็ได้อ่านคำที่บันทึกจากปากของเยเรมีย์
ให้ประชาชนทั้งหลายฟังในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ในห้องของเกมาริยาห์ลูกชายชาฟานซึ่งเป็นเลขานุการ
ห้องนั้นอยู่ในลานวิหาร บนทางเข้าประตูใหม่แห่งพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า

เยเรมีย์ 35-2 พรสำหรับตระกูลเรคาบ

เยเรมีย์ 35:12-19

แล้วพระดำรัสของพระเจ้าก็มาถึงเยเรมีย์

“องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้..
จงไปและกล่าวแก่ประชาชนยูดาห์และคนที่อาศัยในเยรูซาเล็ม ว่า
เจ้าจะไม่รับคำสอนและจะไม่ฟังคำของเราหรือ?..
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศ
คำสั่งของโยนาดับ ลูกชายเรคาบที่สั่งลูกๆ ของเขาไว้ว่าไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่น
ลูก ๆ เขายังเชื่อฟัง ไม่ดื่มเหล้าองุ่นจนทุกวันนี้

rechabites
ที่เป็นอย่างนั้นเพราะพวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของพ่อ
เราเองได้พูดกับเจ้าไม่หยุดหย่อน แต่เจ้าก็ไม่ฟังเสียงของเรา
เราส่งคนรับใช้ของเรา ทั้งผู้กล่าวคำ ส่งไปหาเจ้าอยู่เรื่อย ๆ  เตือนเจ้าว่า ..
ให้เจ้าทุกคนหันจากทางแห่งความชั่ว และแก้ไขการกระทำของตน
และไม่ให้วิ่งตามไปปรนนิบัติพระอื่น
เพื่อว่าเจ้าจะได้อาศัยในแผ่นดินที่เรามอบให้เจ้าและบรรพบุรุษของเจ้า
แต่เจ้าก็ไม่เอียงหูของเจ้าเพื่อฟังเรา
พวกลูกชายของโยนาดับ ลูกเราคาบได้รักษาคำสั่งที่พ่อสั่งไว้ แต่ประชาชนเหล่านี้ไม่เชื่อฟังเรา

ดังนั้น … องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า
ดูเถอะ เราจะนำหายนะมายังยูดาห์และคนที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม
เป็นหายนะที่เราได้บอกล่วงหน้าไว้ เพราะเราพูดกับพวกเขา แต่เขาก็ไม่ฟัง
เราเรียกเขา แต่ก็ไม่มีใครตอบ”

แต่สำหรับตระกูลเรคาบนั้น เยเรมีย์กล่าวว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า
เพราะเจ้าได้เชื่อฟังคำสั่งของพ่อเจ้า และรักษากฎเกณฑ์ทั้งกลาย
รวมทั้งยังได่ทำทุกสิ่งที่พ่อสั่งไว้ ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพ
พระเจ้าแห่งอิสราเอลจึงได้ตรัสว่า โยนาดับ ลูกชายของเรคาบ
จะไม่ขาดชายที่จะยืนอยู่ต่อหน้าเราเลย

เยเรมีย์ 35-1 ก็จะเชื่อฟัง..

เยเรมีย์ 35:1-11

ความเชื่อฟังของคนตระกูลเรคาบ

พระดำรัสของพระเจ้ามายังเยเรมีย์ ในรัชสมัยของราชาเยโฮยาคิม
โอรสราชาโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์
“เจ้าจงไปที่บ้านของคนตระกูลเรคาบและพูดกับเขา

และนำเขามายังพระวิหารของพระเจ้า  มายังห้อง ๆ หนึ่ง
และให้พวกเขาดื่มเหล้าองุ่น

ดังนั้น ข้าจึงนำยาอาซันยาห์ บุตรเยเรมีย์ซึ่งเป็นบุตรฮาบาซินยาห์กับพี่น้องชาย รวมกับลูกชายทุกคน และคนทั้งตระกูลเรคาบ
ข้านำเข้าไปยังพระวิหารของพระเจ้า
เข้าไปในห้องของลูกชายฮานันซึ่งเป็นลูกชายของอิกดาลิยาห์คนของพระเจ้า
ห้องนี้อยู่ใกล้ห้องของเจ้าหน้าที่
อยู่เหนือห้องของมาอาเสอาห์ลูกชายของชัลลูมคนที่มีหน้าที่ดูแลธรณีประตู

เมื่อข้าวางไหซึ่งมีเหล้าองุ่นบรรจุอยู่เต็ม รวมทั้งถ้วยอีกหลายใบ กล่าวกับพวกเขาว่า
..ดื่มเหล้าองุ่นซิขอรับ..

 

ภาพเอื้อเฟื้อจาก http://www.visualbiblealive.com/
ภาพเอื้อเฟื้อจาก http://www.visualbiblealive.com/

แต่พวกเขาตอบว่า ..เราไม่ดื่มเหล้าองุ่น
เพราะท่านพ่อของเราคือโยนาดับบุตรเรคาบได้สั่งเราไว้ว่า..
เจ้าจะต้องไม่ดื่มเหล้าองุ่น ทั้งตัวเจ้าและลูกหลานของเจ้าตลอดไป
พวกเจ้าจะต้องไม่สร้างบ้าน หรือหว่านเมล็ดพืช ปลูกหรือมีสวนองุ่น
แต่เจ้าจะต้องอาศัยในกระโจมตลอดไป
เพื่อว่าเจ้าจะได้มีชีวิตยืนนานในแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่

เราได้เชื่อฟังคำสั่งของท่านพ่อ คือโยนาดับ ลูกชายของเรคาบ
ที่ท่านพ่อสั่งเรื่องไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่นตลอดชีวิตของเรา
ทั้งตัวเรา ภรรยา ลูกชาย ลูกสาวของเราด้วย
และเราจะต้องไม่สร้างบ้านเรือนเพื่ออาศัย เราจะไม่มีส่วนองุ่นหรือท้องนา หรือเมล็ดพันธุ์
แต่เราได้อาศัยในกระโจม และได้เชื่อฟังทุกอย่างที่พ่อของเราบัญชาเรา
แต่เมื่อราชาเนบูคัดเนสซาร์ได้เข้ามาโจมตีแผ่นดิน เรากล่าวว่า
”มาเถอะ ให้เราเข้าไปที่เยรูซาเล็ม
เพราะเรากลัวกองทัพของคนเคลเดียและคนซีเรีย”
ดังนั้นตอนนี้เราจึงอาศัยในนครเยรูซาเล็ม

เยเรมีย์ 34-3 เมื่อละเมิดสัญญา

เยเรมีย์ 34:17-22

“ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
เจ้าไม่ได้เชื่อฟังเรา  เจ้าไม่ประกาศอิสรภาพให้กับพี่น้องและเพื่อนบ้านของเจ้า
ดูเถิด เราจะประกาศให้เจ้าพบกับดาบ โรคระบาดและความอดอยาก
เราจะทำให้เจ้าเป็นที่หวาดหวั่นต่อเหล่าอาณาจักรทั้งหลายในโลก

และคนที่ได้ล่วงละเมิดพันธสัญญาของเรา และไม่รักษาสัญญา
ตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ได้ทำต่อหน้าเรา
เราจะทำให้เขาเป็นเหมือนวัวที่ถูกตัดเป็นสองท่อน
และมีคนเดินผ่านท่อนเหล่านั้น
เหล่าข้าราชการของยูดาห์  ขันที ปุโรหิต
และประชาชนทั้งหลายในแผ่นดินคือคนที่เดินผ่านท่อนวัวนั้น

และเราจะมอบเขาไว้ในมือของศัตรู  ให้ไปอยู่ในมือของคนที่พยายามเอาชีวิตของเขา

ซากศพของพวกเขาจะกลายเป็นอาหารของนกในอากาศ และสัตว์ป่าบนแผ่นดิน

zedekiah (2)

และเศเดคียาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์พร้อมกับข้าราชการของเขานั้น
เราจะมอบให้ไว้ในมือของศัตรู  ของคนที่พยายามจะเอาชีวิตของเขา
ให้ไว้ในมือของกองทัพแห่งกษัตริย์แห่งบาบิโลนซึ่งตอนนี้ได้ถอยทัพไปจากเจ้า
ดูเถิด… องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศ …
เราจะบัญชา และเราจะนำพวกเขากลับมายังนครนี้
พวกเขาจะสู้และสามารถยึดเมืองได้ จะเผาเมืองเสียด้วยไฟ
เราจะทำให้เมืองต่าง ๆ ในยูดาห์กลายเป็นเมืองรกร้าง ไม่มีคน

เยเรมีย์ 34-2 เอาทาสของข้าคืนมา

เยเรมีย์ 34:8-16

พระวจนะของพระเจ้าที่มาถึงเยเรมีย์จากองค์พระผู้เป็นเจ้า
หลังจากที่ราชาเศเดคียาห์ได้ทำพันธสัญญากับประชาชนทั้งปวงในนครเยรูซาเล็ม
เพื่อประกาศอิสรภาพให้กับพวกเขา
นั่นคือ ทุกคนควรจะปล่อยทาสที่เป็นชาวฮิบรู ทั้งชายและหญิง
เพื่อว่าจะไม่มีใครทำให้ยิวซึ่งเป็นพี่น้องของเขาต้องเป็นทาสเลย

พวกเขาเชื่อฟัง ทั้งข้าราชการและคนที่ได้เข้ามาทำพันธสัญญาปลดปล่อยทาสทั้งชายหญิง
เพื่อว่าพวกเขาจะไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป  พวกเขาเชื่อฟัง และปล่อยให้ทาสเป็นอิสระ

แต่หลังจากนั้นมา พวกเขาก็หันกลับ และเอาทั้งชายหญิงที่เคยเป็นทาสนั้น ให้กลับมาเป็นทาสอีกครั้ง

พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงมายังเยเรมีห์ว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า
เราเองได้ทำสัญญากับบรรพบุรุษของพวกเจ้า
เมื่อเรานำเขาออกมาจากอียิปต์ ซึ่งเป็นดั่งเรือนทาสกล่าวด้วยว่า
.. ทุก ๆ ปีที่เจ็ดเจ้าจะต้องปล่อยเพื่อนชาวฮิบรูด้วยกันที่ถูกขายมาให้เจ้า
และได้รับใช้เจ้ามาหกปี  เจ้าจะต้องปล่อยเขาให้เป็นอิสระ
แต่บรรพบุรุษของเจ้าไม่ได้ฟังเสียงของเรา ไม่เอียงหูฟังเรา  freeslave

ไม่นานมานี้ พวกเจ้าก็ได้กลับใจ และทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา
โดยการประกาศอิสรภาพให้เพื่อนบ้านของตน
และเจ้าก็ได้ทำพันธสัญญาต่อหน้าเรา ในวิหารที่เรียกตามชื่อของเรา
แต่แล้วเจ้ากลับหันหลังและทำให้นามของเราเป็นที่เสื่อมเสีย
เมื่อเจ้าได้นำชายและหญิงเหล่านั้นกลับมาเป็นทาสตามใจของเจ้า
และเจ้าทำให้พวกเขาต้องยอมเป็นทาสใต้บังคับของเจ้าอีก

เยเรมีย์ 34-1 ทำนายถึงความตาย

เยเรมีย์ 34:1-7

พระดำรัสของพระเจ้ามาถึงเยเรมีย์

เมื่อเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนและกองทัพ
รวมไปถึงราชอาณาจักรต่างๆในโลกที่อยู่ใต้อำนาจ
และประชาชนที่เข้ามารุมต่อสู้กับเยรูซาเล็มและเมืองบริวาร

องค์พระผู้เป็นเจ้า  พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า
เจ้าจงไปพูดกับราชาเศเดคียาห์แห่งยูดาห์ว่า
..องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้
..ดูเถิด เรากำลังมอบเมืองนี้ให้อยู่ในมือของราชาแห่งบาบิโลน  เขาจะเผาเมืองนี้ด้วยไฟ

เจ้าจะไม่สามารถหนีพ้นเงื้อมมือเขาได้
แต่จะถูกจับกุมและส่งตัวไปให้เขา
เจ้าจะได้พบราชาแห่งบาบิโลนตัวต่อตัว พูดกับเขาด้วยตัวเจ้าเอง
และเจ้าจะต้องไปอยู่บาบิโลนjere-Zede

จงฟังคำของพระเจ้า  โอ เศเดคียาห์ ราชาแห่งยูดาห์
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรื่องของท่านว่า… “ท่านจะไม่ตายด้วยดาบ
แต่จะตายอย่างสงบ
เขาได้เผาเครื่องหอมให้กับบรรพบุรุษของท่าน
คือกษัตริย์องค์ก่อนๆ อย่างไร
เขาก็จะเผาเครื่องหอมให้และคร่ำครวญให้ท่านอย่างนั้น
กล่าวว่า ..โอ้อนิจจา…  องค์พระผู้เป็นเจ้า..
เพราะเราได้กล่าวไว้แล้ว …  องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส”

แล้วเยเรมีย์ผู้กล่าวคำของพระเจ้าก็ได้กล่าวคำทั้งสิ้น
แก่ราชาเศเดคียาห์  กษัตริย์แห่งยูดาห์  ในนครเยรูซาเล็ม 

ขณะนั้น กองทัพของราชาบาบิโลนกำลังต่อสู้กับเยรูซาเล็ม
และเมืองในยูดาห์ที่ยังเหลืออยู่
คือเมืองลาคิชและเมืองอาเซคา เพราะเป็นเมืองที่มีป้อมเข้มแข็ง

เยเรมีย์ 33-4 ผู้จัดระเบียบเอกภพ

เยเรมีย์ 33.23-26
พระดำรัสของพระเจ้ามายังเยเรมีย์ ว่า
“เจ้าสังเกตสิ่งที่คนเหล่านี้พูดไหมว่า
…องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิเสธเผ่าสองเผ่าที่พระองค์ทรงเลือก?
พวกเขากำลังดูหมิ่นคนของเรา
ไม่ให้มีฐานะเป็นประเทศในสายตาของพวกเขา

แอนโดรมีดา กาแลกซี่ที่สวยงาม
แอนโดรมีดา กาแลกซี่ที่สวยงาม

ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“ถ้าเราไม่ได้แต่งตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับวันและคืน
และจัดระบบของสวรรค์และโลกแล้ว
เราก็จะปฏิเสธ ไม่รับลูกหลานของยาโคบและดาวิดผู้รับใช้ของเรา
และจะไม่เลือกคนหนึ่งในเชื้อสายของดาวิด
เพื่อปกครองเหนือลูกหลานของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ
เพราะเราจะรื้อฟื้นพวกเขาขึ้นใหม่ และจะเมตตาพวกเขา”

เยเรมีย์ 33-3 นับทรายไปสิ

เยเรมีย์ 33.14-22
ดูเถิด วันนั้นจะมาถึง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศ
เมื่อเราจะทำให้คำสัญญาที่เราให้ไว้กับวงศ์วานอิสราเอลและยูดาห์สำเร็จ
ในวันเหล่านั้น เวลานั้น เราจะทำให้กิ่งแห่งความชอบธรรม
เกิดขึ้นมาเพื่อดาวิด และเขาจะให้แผ่นดินนั้นมีความยุติธรรมและชอบธรรม
ในวันเหล่านั้น ยูดาห์จะรอด และเยรูซาเล็มจะอยู่อย่างปลอดภัย
และเขาจะเรียกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นความชอบธรรมของเรา”

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
ดาวิดจะไม่ขาดบุรุษที่นั่งอยู่บนบัลลังก์แห่งวงศ์วานอิสราเอล
และปุโรหิตเผ่าเลวี จะไม่ขาดชายผู้หนึ่งที่จะถวายเครื่องเผาบูชา
เครื่องธัญบูชา และที่จะสักการบูชาต่อหน้าเราตลอดไป

Emilian Robert Vicole via flickr
Emilian Robert Vicole via flickr

พระวจนะของพระเจ้ามายังเยเรมีย์ว่า
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้
หากว่าเจ้าหักพันธสัญญาของวันและคืนที่เรามีให้นั้น จนวันและคืนไม่กลับมาตามที่เรากำหนด
เมื่อนั้นแหละที่เราจะหักพันธสัญญาที่เราให้ไว้แก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา
เพื่อว่าเขาจะไม่มีลูกชายที่จะครองบัลลังก์ของเขา
และพันธสัญญาที่เรามีต่อปุโรหิตเผ่าเลวีผู้ปรนนิบัติเรา
ในเมื่อไม่อาจนับเหล่าดวงดาวในท้องฟ้า และไม่อาจนับจำนวนทรายในทะเลได้
ดังนั้นเราจะเพิ่มลูกหลานของดาวิดผู้รับใช้ของเรา
และปุโรหิตเผ่าเลวีผู้ปรนนิบัติเราให้ทวีมากขึ้นเช่นดาวและทรายเหล่านั้น

เยเรมีย์ 33-2 แม้แกะก็กลับคืน

เยรมีย์ 33.10-13
ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ในสถานที่ซึ่งเจ้ากล่าวว่า..
เป็นที่ร้างไม่มีคนหรือสัตว์อาศัยอยู่..
ในเมืองต่าง ๆ ของยูดาห์และถนนในนครเยรูซาเล็มซึ่งเผป็นที่ร้าง ไม่มีมนุษย์อาศัย ไม่มีสัตว์เหลืออยู่นั้น
จะได้ยินเสียงเหล่านี้อีก คือเสียงของความร่าเริงยินดี
เสียงของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว
เสียงร้องเพลงในขณะที่พวกเขานำเครื่องบูชาเข้ามายังพระวิหารของพระเจ้า

“จงร้องเพลงขอบคุณองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพ
เพราะว่า พระเจ้าทรงดี
ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์”

เพราะเราจะรื้อฟื้นสภาพดีอย่างสมัยแรกๆ ของแผ่นดินให้คืนกลับมา
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส

ภาพจากhttp://en.wikipedia.org/wiki/Shepherd
ภาพจากhttp://en.wikipedia.org/wiki/Shepherd

ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพตรัสว่า ..
ในที่นี้ซึ่งเป็นสถานที่ร้างเปล่าไม่มีคนหรือสัตว์อาศัยในเมือง
จะกลายเป็นที่ ๆ เหล่าผู้เลี้ยงแกะนำแกะของเขามาพักผ่อน
ตามเมืองแถบเทือกเขา  ในเมืองเชเฟลาห์  และในเมืองแถบเนเกบ
ในแผ่นดินเบนยามิน และสถานที่ในนครเยรูซาเล็ม
ในเมืองต่าง ๆ ของยูดาห์ ฝูงแกะจะเดินผ่านมือของคนที่นับจำนวนของมันอีกครั้งหนึ่ง …

เยเรมีย์ 33-1 ลงโทษแล้ว..รักษาให้

เยเรมีย์ 33: 1-9

พระดำรัสของพระเจ้ามาถึงเยเรมีย์เป็นครั้งที่สอง
ในขณะที่เขายังถูกจำจองอยู่ในเขตทหารรักษาพระองค์
“องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างโลกนี้
พระองค์ผู้ทรงสร้างและจัดตั้งมันไว้  พระนามของพระองค์คือ องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสว่า ..
จงร้องเรียกหาเรา และเราจะตอบเจ้า
และเราจะบอกถึงสิ่งยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ซึ่งเจ้าไม่เคยรู้ให้แก่เจ้า

rongkau
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล
ตรัสถึงบ้านทั้งหลายในเมือง
และราชวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์ซึ่งถูกรื้อถอนไปทำเป็นที่กำบังจากการล้อมเมือง และอาวุธ..
พวกเขาจะเข้ามาต่อสู้คนเคลเดีย
และทำให้เมืองเต็มไปด้วยซากศพ เป็นศพของเหล่าคนที่เราสังหารเพราะความโกรธเกรี้ยวของเรา
เราได้ซ่อนหน้าของเราไว้จากเมืองนี้ เพราะความชั่วร้ายของพวกเขา

ดูเถิด เราจะรักษาเขา ให้เขามีสุขภาพดี
เราจะรักษาเขาให้หาย และทำให้เขาเห็นถึงความอุดมสมบูรณ์  ความมั่งคั่ง และความปลอดภัย

เราจะรื้อฟื้นยูดาห์และอิสราเอลให้กลับสู่สภาพเดิม และสร้างพวกเขาใหม่ให้เป็นเหมือนเดิม
เราจะชำระบาปของเขาที่ทำต่อเรา และเราจะยกโทษบาปและความดื้อดึงทั้งปวงที่เขาทำต่อเรา
และเมืองนี้จะเป็นเมืองที่มีชื่อแห่งความชื่นบานต่อหน้าเรา
เป็นความสรรเสริญ และเป็นศักดิ์ศรีต่อบรรดาประชาชาติในโลกที่ได้ยินถึงสิ่งดีที่เราทำให้กับพวกเขา
คนเหล่านั้นจะเกรงกลัวและตจัวสั่นเพราะสวัสดิภาพและความมั่งคั่งที่เราให้ พวกเขา