อาโมส 1-2

อาโมส 1:9-13


 

เมืองต่าง ๆ รอบอิสราเอลยังมีคดีอีกหลายเมือง
ลองมองแผนที่ข้างล่างซิว่า เจอที่ไหนบ้าง

อาโมส 1-1

อาโมส 1:1-8


 

ทางเหนือคือซีเรีย   ดามัสกัสเป็นเมืองสำคัญของพวกเขา   พวกเขาไปทรมานคนเผ่ากิเลอาด   คำว่าเลื่อนฟันเหล็กนั้น  ทำให้เราคิดถึงการที่เมือง ๆ หนึ่งถูกบุก และไถราบเป็นหน้ากลอง  ถูกทรมาน ทำรัายอย่างโหดเหี้ยม   พวกเขาจะถูกอัสซีเรียจับไป

ส่วนทางใต้นั้น   ฟิลิสเตียไม่ได้แค่เอาคนเป็นทาส   เพราะจริง ๆ เมืองกาซา ไม่น่าจะต้องการทาส  แต่พวกเขากลับเอาคนไปขาย เพื่อพวกเขาจะได้มั่งคั่งขึ้น นั่น เป็นสิ่งที่พระเจ้าจะทรงจัดการกับพวกเขา

ดูแผนที่ข้างล่าง  แล้วหาชื่อเมืองที่อยู่ในเรื่องราวซิ


แนะนำท่านอาโมส

ท่านอาโมส เป็นผู้กล่าวคำของพระเจ้าต่อคนอิสราเอลทางเหนือเป็นส่วนใหญ่

ในเมือง สะมาเรีย  เบเธล  กิลกาล ในช่วงประมาณ    790-753 ปีก่อนคริสตศักราช  ท่านเป็นคนในยุคเดียวกับท่านโยนาห์  เฮเชยา และอิสยาห์   ราชาเยโรโบอัม 2 แห่งอิสราเอล และ  ราชาอุสซียาห์ แห่งยูดาห์

เพื่อน ๆ จำได้ไหม  อาณาจักรเหนือนั้น ล้วนแต่มีกษัตริย์ที่ชั่วร้ายทั้งสิ้น   มีราชินีผู้โด่งดังชื่อพระนางเยเซเบล  มเหสีของราชาอาหับ   ตั้งแต่กษัตริย์องค์แรก… พวกเขาก็หันไปกราบไหว้เทวรูปต่าง  ๆ  อย่างไม่ลดละ

ช่วงที่อาโมสกล่าวคำของพระเจ้านั้น เป็นช่วงเวลารุ่งเรืองของอาณาจักรเหนือ  แต่สำหรับท่านอาโมสแล้ว  ท่านรู้สึกเป็นภาระหนักมากที่ประชาชน  และข้าราชการ รวมไปถึงพระราชา ไม่ได้ฟังเสียงของท่านเลย

ชื่ออาโมส  แปลว่า ภาระ  หรือผู้แบกภาระ  …. ดูเหมือนว่า คำของท่านน่าจะสะท้อนความรู้สึกของท่านเป็นอย่างดี

 

ส่วนหนึ่งของหนังสือม้วนที่ขุดได้ ภาพจากhttp://en.wikipedia.org/wiki/File:UPennE3074.JPG

ภาพข้างบนนี้ เป็นหนังสือม้วนอาโมสบทที่ 2

ท่านอาโมสกล่าวคำตักเตือน ตำหนิประชาชนอิสราเอลอย่างรุนแรงที่พวกเขาละทิ้งพระวจนะของพระเจ้า   ความอยุติธรรมเกิดขึ้นอย่างดาษดื่น  คนยากจนไม่มีใครดูแล   ทุกคนใฝ่ฝันจะหาแต่ความสุขสำราญแบบต่าง ๆ  เท่าที่จะคิดได้   การกราบไหว้เทวรูปที่ประกอบไปด้วยพิธีอันอุจาด สกปรกเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง

สิ่งที่เป็นเรื่องหนักใจท่านอาโมสมากก็คือ   อิสราเอลนี่แหละที่ทำผิดมากยิ่งกว่าผู้ที่ไม่เชื่อในพระองค์เสียอีก  พวกเขามีสิทธิพิเศษเป็นคนของพระเจ้า  แต่กลับย่ำยี  ดูหมิ่นสิทธินั้น

เราจะได้อ่านว่า  ท่านอาโมสพูดถึงประชาชาติต่าง ๆ ที่พระเจ้าจะทรงลงโทษ   และแน่นอน อิสราเอลก็ไม่ได้หนีพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้าไปได้เลย

บทสรุปโยเอล

เราอ่านโยเอลมาจนจบสามบท  มีอะไรที่ทำให้เราฉุกคิดขิ้นมาบ้างไหม.?

หรือว่าไม่เข้าใจ?…

เรื่องสรุปสั้น ๆ ก็คือ  โยเอลมาเตือนให้คนอิสราเอลเดินในทางของพระเจ้า…  อย่าหันไปหาสิ่งอื่น ๆ …. มิฉะนั้น เหตุร้ายจะเกิดกับเขา

ถึงกระนั้น  พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะรื้อฟื้นพวกเขาให้กลับสู่พระพร ไม่ใช่ความทุกข์ยากลำบาก

ขอบคุณภาพจาก http://www.ndoae.doae.go.th/Data_plant/rice2010.htm

อย่างหนึ่งที่บู้บี้เห็นชัดคือ  พระเจ้าในสมัยพระคัมภีร์เดิมนั้น ทรงเป็นผู้พิพากษาที่เที่ยงธรรม และใครที่ทำผิด… ก็จะต้องรับโทษความผิดนั้น โดยสิ่งที่เห็นชัดมากคือ  เมื่อผู้นำ ได้นำให้ประชาชนละเมิดพระเจ้า  ดูหมิ่นพระองค์  สิ่งนั้นไม่อาจมองข้ามได้  อย่างไรเสีย…ต้องถูกลงโทษ

 

สิ่งสำคัญคือต้องกลับใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะเป็นหนึ่งในชีวิตของเขา

โยเอลบอกหลายสิ่งหลายอย่างกับคนอิสราเอล แต่โยเอลบอกอะไรเราตรง ๆ บ้าง ……

พระเจ้าทรงเมตตาให้เราเห็นในโยเอล  แม้ว่าอิสราเอลเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือก ในโยเอลได้บอกชัดเจนว่า  คนที่ร้องออกพระนามของพระเจ้าก็จะรอด   พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้ามาเป็นพัน ๆ ปีแล้วว่า พระองค์ทรงให้ชาวโลกที่ยอมรับพระนามของพระองค์ ได้มีโอกาสมาเป็นคนของพระองค์ด้วย

สิ่งต่าง ๆ ที่โยเอลได้บอกมาล่วงหน้า  ก็เกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นวิบัติหรือพระพร  และประชากรที่ฟังเสียงของพระเจ้านั้น ก็ต้องช่วยกันที่จะทำให้ตัวเองได้รับพระพร….

 

 

โยเอล 3-3 กู้ยูดาห์

โยเอล 3:16-21

พระสุรเสียงของพระเจ้าดังสนั่นในสงคราม  ท่ามกลางความสับสนโกลาหลของท้องฟ้าและแผ่นดิน   พระเจ้ายังคงเป็นป้อมอันเข้มแข็ง เป็นผู้ปกป้องอิสราเอล

พระเจ้าทรงสัญญาจะอยู่ท่ามกลางประชาชนของพระองค์    เมืองเยรูซาเล็มจะกลายเป็นเมืองบริสุทธิ์

ในวันของพระเจ้านั้น แผ่นดินจะเต็มด้วยความสมบูรณ์    พระเจ้าจะทรงรื้อฟื้นคนของพระองค์  และคนที่ต่อต้านคนของพระองค์นั้น จะถูกลงโทษ

โยเอล 3-2 หุบเขาแห่งการพิพากษา

โยเอล 3:9-15

พออ่านข้อความตอนนี้ เราก็เห็นว่า เมื่อสงครามจะเกิดขึ้น  ทั้งสังคมก็ต้องหันไปทำสงคราม  เครื่องมือทำนาไร่ก็จะต้องกลายเป็นอาวุธ   เหล่าชายหนุ่มก็มักถูกเรียกไปเป็นนักรบ

ชาติทั้งหลายถูกเรียกให้ชุมนุมกันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม

ขณะเดียวกันโยเอลก็ร้องขอพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงส่งนักรบของพระองค์มา”

ชนอิสราเอลจะต้องพึ่งพระเจ้าในสงครามที่จะเกิดขึ้น

หากเขาสู้เองนั้น  คงไม่เหลืออะไร

เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ตัดสินว่า ใครจะัแพ้หรือชนะ

 

โยเอล ๓-๑ รื้อฟื้นเยรูซาเล็ม

โยเอล 3:1-8

จากข้อความข้างบน  โยเอลกำลังบอกว่า เหตุใดพระเจ้าจึงต้องพิพากษาลงโทษชาติทั้งหลายที่เข้ามากดขี่ ทำร้ายอิสราเอล  พวกเขาทั้งจับฉลาก เอาคนไปขายเป็นทาส  เอาไปเป็นโสเภณี

หุบเขาแห่งเยโฮชาฟัทหมายความถึงในวันสุดท้าย ….พระเจ้าจะทรงพิพากษา

และพระเจ้าปฏิบัติต่อชนชาติที่เป็นศัตรู เหมือนกับอยู่ในศาล   พระองค์ทรงแจ้งข้อหาของเขา   ตั้งคำถาม และบอกบทลงโทษ

ฟิลิสเตียอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้  เป็นศัตรูกับอิสราเอลมาโดยตลอด

ไทระและไซดอน เป็นเมืองริมฝั่งทะเลเมดิเตอรเรเนียน  ส่วนเสบาอยู่ทางใต้ของคาบสมุทรอาระเบีย

สิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยต่อมาคือ   ปี 343  กคศ.  กษัตริย์ อาร์ทาเซอร์เซส เข้ามาทำลายไซดอน

ปี 332   ก่อนคศ.  อเล็กซานเดอร์มหาราช  เข้ามาโจมตีไทระ

 

โยเอล ๒-๗ เทพระวิญญาณลงมา

โยเอล 2: 28-32

 

  • ในสมัยของโมเสสจนถึงอาณาจักรยูดาห์ และอิสราเอลนั้น  …. มีบางคนเท่านั้นที่พระคัมภีร์บันทึกว่า เขามีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ด้วย   อย่างเช่น คนที่มีฝีมือในการทำพลับพลา   แซมสัน   ราชาดาวิด ราชาซาอูล  เป็นต้น  แต่ในเวลาต่อมา พระเจ้าจะประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้กับทุกคนที่วางใจพระองค์    สิ่งนี้มาเกิดขึ้นจริงหลังจากที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์   เหล่าสาวกและผู้เชื่อได้รอคอยพระเจ้าอยู่ ณที่แห่งหนึ่ง  และพระวิญญาณของพระเจ้า ได้ลงมายังพวกเขา ทำให้พวกเขากล่าวคำภาษาต่าง ๆ  ในวันนั้น  (กิจการ 2:1-13)
  • ในสมัยโบราณนั้น คนที่จะได้รอดนั้นคือคนที่เป็นอิสราเอลแท้  แต่พระเจ้าตรัสว่า คนที่ร้องทูลออกพระนามของพระเจ้าจะรอดพ้น
  • พระเจ้ากำลังทรงเรียกเราให้กลับมาหาพระองค์  เรียกพระนามของพระเยซู  เชื่อในพระนามของพระองค์ …. แล้วเราจะได้รับสิทธิเป็นบุตรของพระเจ้า(ยอห์น 1:12)

 

โยเอล ๒-๖ คืนสภาพเดิม

โยเอล 2:23-27

ความทุกข์ยากของการกันดาร และสงครามคือ ไม่มีฝน และมีศัตรูพร้อม ๆ กัน

แต่มาตอนนี้ พระเจ้าทรงสัญญาจะให้ฝนต้นฤดู และฝนปลายฤดู

ปีเดือนที่ตั๊กแตนได้ลงมากินพืชพันธุ์   ที่มีศัตรูเข้ามากวาดทุกอย่างไป

กว่าจะได้คืนกลับมานั้น มันใช้เวลานานมาก  แต่พระเจ้าจะทรงรื้อฟื้นเขาอย่างรวดเร็ว

ที่เป็นเช่นนี้เพื่อเขาจะรู้ว่า ทุกสิ่งเป็นมาจากพระเจ้า

และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงทำตามพระสัญญาของพระองค์เสมอ

ความอับอายจะหมดไป  และพระเจ้าจะทรงอยู่กับเขา

โยเอล ๒-๕ ไม่ใช่ว่าหมดหนทาง

โยเอล 2:20-22

ถ้าคนของพระเจ้ากลับใจ  พระเจ้าก็จะทรงกลับมาหาเขาและรื้อฟื้นเขาใหม่   ศัตรูที่พระองค์ทรงส่งมาทำลายพวกเขานั้น พระองค์จะทรงจัดการกับเขาเอง  …. เพราะพวกเขาได้ทำสิ่งที่ร้ายกาจมากกับยูดาห์

พระเจ้าจะทรงพอพระทัยที่จะให้เขาคืนสู่สภาพที่ดี   ความอุดมสมบูรณ์จะกลับคืนมา

โยเอล ๒-๔ ขอพระเจ้าเวทนา

โยเอล 2:15-19

 

ท่านโยเอลผู้นี้ ไม่ได้แค่มาบอกคนยูดาห์ว่า  จะมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นกับพวกเขา  แต่ท่านได้บอกหนทางแก้ไขด้วย  ทุกคนควรมารวมตัวกันเพื่อที่จะกลับใจพร้อม ๆ กัน  แม้เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่กำลังจะแต่งงาน ก็ต้องออกมาจัดการกับบาปของตน  เรื่องนี้ สำคัญยิ่งยวด

และคนที่จะเป็นผู้นำในการกลับใจก็คือเหล่าคนที่เป็นผู้สอน หัวหน้า  …. พวกเขาต้องกลับใจเองด้วย ไม่ใช่ให้คนอื่นกลับใจแต่ตัวเองยังเหมือนเดิม    เขาควรอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าทรงเมตตาไม่ให้ใครมาเยาะเย้ยคนของพระองค์   ขอทรงเวทนาพวกเขา  อย่าให้ใครมาตั้งคำถามว่า พระเจ้าของพวกเขาอยู่ที่ไหน

โยเอลบอกว่า ถ้าเขากลับใจ.. พระเจ้าจะทรงหันมาหาเขา  มาสงสารเขา และช่วยเหลือ

แต่….ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่า คนที่ฟังท่านนั้น จะเอาใจใส่ และทำตามที่ท่านแนะนำหรือเปล่า

โยเอล ๒-๓ ฉีกใจ

โยเอล 2:12-14

การกลับมาหาพระเจ้าไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ   เพราะกลับใจจริงนั้น เมื่อมาหาพระเจ้าก็เท่ากับหันหลังให้กับบาป   เสียใจกับทางเดิมของตัวเอง

ต้องมาหาพระองค์แบบเทใจ  ยอมให้พระองค์หมด  ต้องเปลี่ยนชีวิตและเสียใจจริง ๆ

คนยิวสมัยก่อนพอเสียใจ ก็จะฉีกเสื้อผ้า เพื่อบอกว่า  “ฉันมีความทุกข์มากจนเสื่้อผ้ายังไม่มีความหมายเลย  ถึงฉันจะดูไม่ดี ฉันก็ไม่สนใจเพราะว่า ฉันมีความทุกข์ใจจริง ๆ”   ต่อมา การกระทำเช่นนั้น กลายเป็นแค่ประเพณี….คล้าย ๆ กับจ้างคนมาร้องไห้ในงานศพ  แต่โยเอลบอกให้ฉีกใจ…. เพื่อน ๆ ว่า มันหมายความถึงอะไร  ลองคิดดูซิ

การกลับมาหาพระเจ้านั้น ปลอดภัย.. เพราะพระเจ้าทรงเต็มด้วยพระคุณยิ่งใหญ่  ทรงโกรธช้า … ทรงอดกลั้นมาก   ทรงทนนานแสนนาน  ทรงใช้เวลาให้เรามีโอกาสเปลี่ยนใจ  ….  เพื่อว่า พระพรจะได้เป็นของเรา..

 

 

โยเอล ๒-๒

โยเอล 2:4-11

ท่านโยเอลพูดให้ผู้ฟังได้รับทราบว่า กองทัพของข้าศึกนั้น น่ากลัวเพียงไร มีอำนาจศักดาเพียงไหน   มันเป็นกองทัพที่มีระเบียบวินัยสูง  การมุ่งไปข้างหน้าของกองทัพนี้…ชัดเจน ทหารทุกคนมุ่งมั่น  มุ่งที่จะทำลายยูดาห์ตามคำสั่งที่ได้มา

โยเอลต้องการให้คนที่ฟังเขาได้ทราบว่า   อำนาจสูงสุดนั้นก็ยังไม่ได้อยู่ที่กองทัพอันยิ่งใหญ่   แต่อยู่ที่พระเจ้า  และเหตุการณ์อันน่ากลัว สยองขวัญ เขย่าโลกแบบนี้ จะเกิดขึ้นได้ในวันของพระเจ้าเท่านั้น

 

โยเอล ๒-๑

โยเอล 2: 1-3

 

โยเอลกล่าวถึงกองทัพที่จะมาว่า ใหญ่โตเหมือนเมฆที่ครองแผ่นดินในยามเช้า   และแม้จะรู้สึกว่า เคยอยู่สบายเหมือนอยู่ในสวนเอเดน

แต่กองทัพเหล่านี้จะมาทำหลายความสุขเหล่านั้นจนสิ้น

สำหรับคนที่มีชีวิตติดตามพระเจ้า  เขาอยากจะเห็นวันของพระเจ้า  เขาไม่กลัวเพราะเขาอยู่ในพระองค์  แต่คนที่ไม่ได้เดินอย่างถูกต้องกับพระเจ้า วันนั้น เป็นวันที่น่ากลัวที่สุด  สำหรับยูดาห์ พวกเขาทำสิ่งที่ผิดต่อพระเจ้ามากมาย   วันของพระองค์จึงเป็นวันที่น่ากลัว สยดสยอง

 

 

โยเอล ๑-๓

โยเอล 1:13-20

 

โยเอลได้ทำให้คนที่ฟังคำกล่าวนั้น เข้าใจว่า หากพวกเขากลับใจจากทางบาปจริง ๆ

พระเจ้าจะไม่ทรงถือโทษ

วันแห่งพระเจ้า…. หมายถึงวันที่พระเจ้าจะทรงพิพากษาลงโทษความผิดที่ไม่ได้สำนึก

ทั้งความอดหยาก และเมล็ดพืชที่เหี่ยวแห้ง มันก็น่ากลัวอยู่แล้ว

ไม่ใช่มนุษย์ทำผิดแล้วสัตว์จะสบายเมื่อไร…

สัตว์ทั้งหลายในทุ่งก็ต้องอดอยากตามไปเพราะความผิดของพวกเขา


โยเอล ๑-๒

โยเอล 1:6-12

เมื่อแผ่นดินไร้พืชผล ก็ไม่มีองุ่น เหล่าปุโรหิต ก็ไม่มีน้ำองุ่นที่จะถวายแด่พระเจ้าตามพระบัญชา

จริง ๆ แล้ว เมื่อชาวนาชาวไร่รอคอยพืชผล เขาจะรอคอยวันเก็บเกี่ยวด้วยความสุข

แต่มาตอนนี้ ไม่มีพืชผลให้เก็บเกี่ยว

แล้วใครจะมีความสุขได้เล่า

 

โยเอล ๑-๑

โยเอล 1:1-5

พระคำของพระเจ้าที่ท่านโยเอลกล่าวนั้น  น่ากลัวจริง ๆ  เพราะพูดแต่สิ่งที่เลวร้ายซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น


 

นี่แสดงว่า ในสังคมยุคนั้น   มีคนที่เมาหยำเป ไม่สนใจอะไรอยู่ไม่น้อย

เรื่องของตั๊กแตนนี้ มีหลายคนเล่าว่า มันคือการที่แผ่นดินถูกปล้น บุกรุก โจมตี ซ้ำแล้ว ซ้ำอีกจนพวกเขาไม่เหลืออะไร  เพื่อน ๆ คิดว่าอย่างไรครับ ….

แนะนำท่านโยเอล

อย่างที่เราเคยเห็นมาในหลายเหตุการณ์  …นั่นคือ พระเจ้าทรงส่งคนของพระองค์เข้ามาในยูดาห์หรืออิสราเอลเพื่อตักเตือนให้คนได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นผลดีต่อตนเอง

แม้จะมีคนที่เชื่อฟังทำตามผู้กล่าวคำของพระเจ้าเหล่านั้น  แต่ก็ยังมีไม่น้อยที่ไม่ได้สนใจแม้แต่จะฟัง  ไม่สนใจและยังเยาะเย้ยอย่างไม่แยแส

บู้บี้เองมีความสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง มีคำพูดอะไรบ้างที่เขาพยายามมาเตือนสติประชาชน เราก็จะเริ่มจากท่านโยเอลก่อน เพราะเชื่อกันว่า ท่านมากล่าวคำของพระเจ้าในสมัยของราชาโยอาชซึ่งเป็น พระราชาที่ครองราชย์ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ โดยมีปุโรหิตเยโฮยาดาช่วยดูแล สั่งสอน และปกป้องพระราชาไว้

เพื่อน ๆ ลองกลับไปดูเหตุการณ์สมัยนั้นได้  พระมารดาของราชาโยอาชเป็นราชินีที่โหดร้ายมาหลายปี จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านปุโรหิตพร้อมกับเหล่าทหารได้ร่วมใจกันแต่งตั้งพระราชา  ทำให้ราชินีทรงโกรธมาก  แต่ในที่สุดพระนางก็ถูกสังหารในวันนั้นเอง  …..

ชื่อโยเอล มีความหมายที่ดีเหลือเกิน แปลว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า หรือ พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงเป็นพระเจ้า! สมัยก่อนนี้ คนนิยมชื่อนี้มากด้วย ผู้ที่ค้นคว้าเรื่องของท่านโยเอลเชื่อว่า ท่านกล่าวคำของพระเจ้าในช่วงปี 835-805 ปีก่อนคริสตศักราช  ซึ่งตอนนั้นเอง ยังมีอาณาจักรทั้งสองคือ เหนือ และใต้

แต่ยังมีบางท่านเชื่อว่า ท่านโยเอล กล่าวคำของพระเจ้าแก่แผ่นดินยูดาห์ในสมัยราชาอุสซียาห์ คือประมาณปี  792-740  ที่เป็นอย่างนี้ เพราะหนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกว่า อยู่ในสมัยใด จึงต้องวิเคราะห์เอา  ถึงอย่างไรก็ตาม  สิ่งสำคัญที่สุดคือ ท่านกล่าวพยากรณ์ถึงเหตุการณ์ทีได้เกิดขึ้นจริงในเวลาต่อมา

 

กรุงแตกสมบูรณ์แบบ ๓๖-๓

2 พงศาวดาร 36:15-23

แม้ว่าพระเจ้าจะทรงส่งคนของพระองค์มาเตือนพระราชา และเจ้านายแห่งแผ่นดินยูดาห์ครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านอาโมส  ท่านเยเรมีห์ และอีกหลาย ๆ ท่าน แต่… ไม่มีใครฟัง

พระเจ้าทรงสงสารประชาชนที่กำลังจะต้องกลายเป็นทาสในเมืองไกล พระองค์ปรารถนาจะให้พวกเขากลับใจเสียก่อนที่สิ่งร้าย ๆ จะเกิดขึ้น แต่ผู้คนกลับเยาะเย้ยคนของพระเจ้า

“พวกท่านมาพูดอะไรให้เรา  อย่างไรเราก็อยู่สบายแล้ว ถึงจะเป็นเมืองขึ้น ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมาก   อย่ามาทำให้เราต้องกลับจงกลับใจเสียให้ยาก”

“พวกท่านเอาบอกว่า กล่าวคำของพระเจ้า  ท่านนะ โง่จริง”  พวกเขาดูหมิ่นคนของพระเจ้า  เท่ากับดูหมิ่นพระองค์ผู้ทรงส่งคนเหล่านั้นมา

พระเจ้าทรงโกรธพวกเขา ที่โง่เขลาแต่ยังอวดฉลาด  พระองค์ทรงโกรธจนไม่อาจยับยั้งความโกรธนั้นได้

น่ากลัวจริง ๆ

เรากลัวไหม?   แต่พวกเขาไม่กลัวกันเลย  คิดว่าจะอยู่กันอย่างสบายใจอย่างนี้ตลอดไป

ในที่สุด พระเจ้าทรงใช้เนบูคัดเนสซาร์มาจัดการกับเขาอีกเป็นครั้งที่สอง!

 

เนบูคัดเนสซาร์สังหารผู้ชายจำนวนมากมายที่อยู่ในสถานนมัสการ   พวกเขาถูกแทง ฟันอย่างโหดเหี้ยม และคนที่เหลือคือเด็ก ผู้หญิงและคนชรา  รวมไปถึงข้าราชการทั้งหลาย คนเก่ง ๆ ต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยในนครบาบิโลน

ราชาแห่งบาบิโลนได้ปล้นเอาเครื่องใช้ทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่อีกไปหมด ไม่ว่าจะจากในพระวิหารหรือราชวัง

ในที่สุด ก็จุดไฟเผานครเยรูซาเล็ม ทำลายทุกสิ่งที่มีค่าซึ่งเอาไปไม่ได้  คนทั้งหลายต้องไปอยู่ในบาบิโลนนานถึง 70 ปี ตามที่พระเจ้าตรัสผ่านท่านเยเรมีห์  ….

ภาพจาก http://www.preteristarchive.com

แต่…สิ่งที่น่าสนใจมากก็คือ

เกิดอะไรขึ้นบ้างในยุคสมัยก่อนที่พวกเขาจะถูกทำลายจริง ๆ

เราได้ยินถึงข่าวพระราชาองค์นั้นดี องค์นี้ชั่ว

ต่อไปเราจะมาดูว่า พระเจ้าทรงห่วงใยคนที่ดื้อดึงเหล่านี้มากเพียงไร พระองค์ทรงทำอย่างไรบ้างกับพวกเขา  และเหตุการณ์ทั้งหมด มันเป็นเรื่องราวที่จะเป็นตัวอย่างให้เรารู้ว่า  เราจะเดินไปกับพระเจ้าผู้ทรงรักเรา ให้เป็นที่พอน้ำพระทัยที่สุดได้อย่างไร

 

 

 

หลานกับลุงขี้แพ้ ๓๖-๒

2 พงศาวดาร 36:6-14

ในช่วงเวลาที่ราชาเยโฮยาคิมครองอยู่นั้นเอง  เนบูคัดเนสซาร์ ราชาแห่งบาบิโลนก็ยกกองทัพมาโจมตีนครเยรูซาเล็ม  ทรงขนเอาทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ในพระวิหารของพระเจ้าไปเก็บไว้ในวิหารนครบาบิโลน

นี่ไง ทรัพย์สินที่ราชาเฮเซคียาห์เคยอวดราชทูตจากบาบิโลน บัดนี้ มันกลายเป็นของคนชาวบาบิโลนไปเสียแล้ว !   เนบูคัดเนสซาร์ทรงสั่งนำเอาราชาเยโฮยาคิม ซึ่งอยู่ในปีที่ 11 ของการครองราชย์ไปเป็นเชลยในนครบาบิโลน

จะมีโอกาสที่นครเยรูซาเล็มจะฟื้นตัวหรือเปล่า?  กลายเป็นว่าตอนนี้ เยโฮยาคีนซึ่งเป็นโอรสอายุ 18 ปีขึ้นครองแทน
อายุ 18 ปี… ต้องขึ้นครองในขณะที่ต้องกลายเป็นเมืองขึ้น กำลังถูกทั้งอียิปต์ทางตะวันตก และบาบิโลนทางตะวันออกบุกรุกอย่างเอาเป็นเอาตาย  จะสามารถพาประเทศไปสู่อิสระได้ไหม?

ยังไม่ทันไร  ราชาเยโฮยาคีนก็เริ่มต้นด้วยการทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า…. สิ้นปีนั้นเอง ราชาเนบูคัดเนสซาร์จึงทรงจับราชาเยโฮยาคีนไปเป็นเชลยอีก ได้ครองเพียง 3 เดือนเท่านั้น  และตั้งลุงที่ยังหนุ่มแน่นของเยโฮยาคีนคือ เศเดคียาห์ให้เป็นกษัตริย์แทน   ตอนนั้นเศเดคียาห์ทรงมีอายุ 21 ปีเท่านั้นเอง!

เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พระเจ้าทรงใช้เยเรมีห์มาชักชวนให้ประชาชนหันกลับไปหาพระเจ้า  ชวนพระราชาให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง

แต่ราชาเศเดคียาห์กลับกลายเป็นคนชั่วร้ายเช่นกัน ! เป็นราชาที่เย่อหยิ่งทั้ง ๆ ที่ปกครองในฐานะเจ้าเมืองขึ้นเท่านั้น  ไม่ยอมฟังสิ่งที่เยเรมีห์เตือนแม้แต่น้อย  ทำแข็งขืนต่อทั้งพระเจ้าและราชาเนบูคัดเนสซาร์

ไม่เพียงพระราชาหลงทาง  บรรดาปุโรหิต เลวี และผู้ใหญ่จำนวนมากมายก็หลงผิดตามไปด้วย  พระวิหารไม่เหลืออะไร และพวกเขาก็ทำให้พระวิหารยิ่งสกปรกไปอีกด้วยการนำสิ่งน่าเกลียดน่าชังเข้ามาในพระวิหารของพระเจ้าอีก

พระเจ้าจะทรงทำอย่างไรกับพวกเขา?