แนะนำท่านอาโมส

ท่านอาโมส เป็นผู้กล่าวคำของพระเจ้าต่อคนอิสราเอลทางเหนือเป็นส่วนใหญ่

ในเมือง สะมาเรีย  เบเธล  กิลกาล ในช่วงประมาณ    790-753 ปีก่อนคริสตศักราช  ท่านเป็นคนในยุคเดียวกับท่านโยนาห์  เฮเชยา และอิสยาห์   ราชาเยโรโบอัม 2 แห่งอิสราเอล และ  ราชาอุสซียาห์ แห่งยูดาห์

เพื่อน ๆ จำได้ไหม  อาณาจักรเหนือนั้น ล้วนแต่มีกษัตริย์ที่ชั่วร้ายทั้งสิ้น   มีราชินีผู้โด่งดังชื่อพระนางเยเซเบล  มเหสีของราชาอาหับ   ตั้งแต่กษัตริย์องค์แรก… พวกเขาก็หันไปกราบไหว้เทวรูปต่าง  ๆ  อย่างไม่ลดละ

ช่วงที่อาโมสกล่าวคำของพระเจ้านั้น เป็นช่วงเวลารุ่งเรืองของอาณาจักรเหนือ  แต่สำหรับท่านอาโมสแล้ว  ท่านรู้สึกเป็นภาระหนักมากที่ประชาชน  และข้าราชการ รวมไปถึงพระราชา ไม่ได้ฟังเสียงของท่านเลย

ชื่ออาโมส  แปลว่า ภาระ  หรือผู้แบกภาระ  …. ดูเหมือนว่า คำของท่านน่าจะสะท้อนความรู้สึกของท่านเป็นอย่างดี

 

ส่วนหนึ่งของหนังสือม้วนที่ขุดได้ ภาพจากhttp://en.wikipedia.org/wiki/File:UPennE3074.JPG

ภาพข้างบนนี้ เป็นหนังสือม้วนอาโมสบทที่ 2

ท่านอาโมสกล่าวคำตักเตือน ตำหนิประชาชนอิสราเอลอย่างรุนแรงที่พวกเขาละทิ้งพระวจนะของพระเจ้า   ความอยุติธรรมเกิดขึ้นอย่างดาษดื่น  คนยากจนไม่มีใครดูแล   ทุกคนใฝ่ฝันจะหาแต่ความสุขสำราญแบบต่าง ๆ  เท่าที่จะคิดได้   การกราบไหว้เทวรูปที่ประกอบไปด้วยพิธีอันอุจาด สกปรกเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง

สิ่งที่เป็นเรื่องหนักใจท่านอาโมสมากก็คือ   อิสราเอลนี่แหละที่ทำผิดมากยิ่งกว่าผู้ที่ไม่เชื่อในพระองค์เสียอีก  พวกเขามีสิทธิพิเศษเป็นคนของพระเจ้า  แต่กลับย่ำยี  ดูหมิ่นสิทธินั้น

เราจะได้อ่านว่า  ท่านอาโมสพูดถึงประชาชาติต่าง ๆ ที่พระเจ้าจะทรงลงโทษ   และแน่นอน อิสราเอลก็ไม่ได้หนีพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้าไปได้เลย

บทสรุปโยเอล

เราอ่านโยเอลมาจนจบสามบท  มีอะไรที่ทำให้เราฉุกคิดขิ้นมาบ้างไหม.?

หรือว่าไม่เข้าใจ?…

เรื่องสรุปสั้น ๆ ก็คือ  โยเอลมาเตือนให้คนอิสราเอลเดินในทางของพระเจ้า…  อย่าหันไปหาสิ่งอื่น ๆ …. มิฉะนั้น เหตุร้ายจะเกิดกับเขา

ถึงกระนั้น  พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะรื้อฟื้นพวกเขาให้กลับสู่พระพร ไม่ใช่ความทุกข์ยากลำบาก

ขอบคุณภาพจาก http://www.ndoae.doae.go.th/Data_plant/rice2010.htm

อย่างหนึ่งที่บู้บี้เห็นชัดคือ  พระเจ้าในสมัยพระคัมภีร์เดิมนั้น ทรงเป็นผู้พิพากษาที่เที่ยงธรรม และใครที่ทำผิด… ก็จะต้องรับโทษความผิดนั้น โดยสิ่งที่เห็นชัดมากคือ  เมื่อผู้นำ ได้นำให้ประชาชนละเมิดพระเจ้า  ดูหมิ่นพระองค์  สิ่งนั้นไม่อาจมองข้ามได้  อย่างไรเสีย…ต้องถูกลงโทษ

 

สิ่งสำคัญคือต้องกลับใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะเป็นหนึ่งในชีวิตของเขา

โยเอลบอกหลายสิ่งหลายอย่างกับคนอิสราเอล แต่โยเอลบอกอะไรเราตรง ๆ บ้าง ……

พระเจ้าทรงเมตตาให้เราเห็นในโยเอล  แม้ว่าอิสราเอลเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือก ในโยเอลได้บอกชัดเจนว่า  คนที่ร้องออกพระนามของพระเจ้าก็จะรอด   พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้ามาเป็นพัน ๆ ปีแล้วว่า พระองค์ทรงให้ชาวโลกที่ยอมรับพระนามของพระองค์ ได้มีโอกาสมาเป็นคนของพระองค์ด้วย

สิ่งต่าง ๆ ที่โยเอลได้บอกมาล่วงหน้า  ก็เกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นวิบัติหรือพระพร  และประชากรที่ฟังเสียงของพระเจ้านั้น ก็ต้องช่วยกันที่จะทำให้ตัวเองได้รับพระพร….

 

 

โยเอล 3-3 กู้ยูดาห์

โยเอล 3:16-21

พระสุรเสียงของพระเจ้าดังสนั่นในสงคราม  ท่ามกลางความสับสนโกลาหลของท้องฟ้าและแผ่นดิน   พระเจ้ายังคงเป็นป้อมอันเข้มแข็ง เป็นผู้ปกป้องอิสราเอล

พระเจ้าทรงสัญญาจะอยู่ท่ามกลางประชาชนของพระองค์    เมืองเยรูซาเล็มจะกลายเป็นเมืองบริสุทธิ์

ในวันของพระเจ้านั้น แผ่นดินจะเต็มด้วยความสมบูรณ์    พระเจ้าจะทรงรื้อฟื้นคนของพระองค์  และคนที่ต่อต้านคนของพระองค์นั้น จะถูกลงโทษ

โยเอล 3-2 หุบเขาแห่งการพิพากษา

โยเอล 3:9-15

พออ่านข้อความตอนนี้ เราก็เห็นว่า เมื่อสงครามจะเกิดขึ้น  ทั้งสังคมก็ต้องหันไปทำสงคราม  เครื่องมือทำนาไร่ก็จะต้องกลายเป็นอาวุธ   เหล่าชายหนุ่มก็มักถูกเรียกไปเป็นนักรบ

ชาติทั้งหลายถูกเรียกให้ชุมนุมกันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม

ขณะเดียวกันโยเอลก็ร้องขอพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงส่งนักรบของพระองค์มา”

ชนอิสราเอลจะต้องพึ่งพระเจ้าในสงครามที่จะเกิดขึ้น

หากเขาสู้เองนั้น  คงไม่เหลืออะไร

เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ตัดสินว่า ใครจะัแพ้หรือชนะ

 

โยเอล ๓-๑ รื้อฟื้นเยรูซาเล็ม

โยเอล 3:1-8

จากข้อความข้างบน  โยเอลกำลังบอกว่า เหตุใดพระเจ้าจึงต้องพิพากษาลงโทษชาติทั้งหลายที่เข้ามากดขี่ ทำร้ายอิสราเอล  พวกเขาทั้งจับฉลาก เอาคนไปขายเป็นทาส  เอาไปเป็นโสเภณี

หุบเขาแห่งเยโฮชาฟัทหมายความถึงในวันสุดท้าย ….พระเจ้าจะทรงพิพากษา

และพระเจ้าปฏิบัติต่อชนชาติที่เป็นศัตรู เหมือนกับอยู่ในศาล   พระองค์ทรงแจ้งข้อหาของเขา   ตั้งคำถาม และบอกบทลงโทษ

ฟิลิสเตียอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้  เป็นศัตรูกับอิสราเอลมาโดยตลอด

ไทระและไซดอน เป็นเมืองริมฝั่งทะเลเมดิเตอรเรเนียน  ส่วนเสบาอยู่ทางใต้ของคาบสมุทรอาระเบีย

สิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยต่อมาคือ   ปี 343  กคศ.  กษัตริย์ อาร์ทาเซอร์เซส เข้ามาทำลายไซดอน

ปี 332   ก่อนคศ.  อเล็กซานเดอร์มหาราช  เข้ามาโจมตีไทระ

 

โยเอล ๒-๗ เทพระวิญญาณลงมา

โยเอล 2: 28-32

 

  • ในสมัยของโมเสสจนถึงอาณาจักรยูดาห์ และอิสราเอลนั้น  …. มีบางคนเท่านั้นที่พระคัมภีร์บันทึกว่า เขามีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ด้วย   อย่างเช่น คนที่มีฝีมือในการทำพลับพลา   แซมสัน   ราชาดาวิด ราชาซาอูล  เป็นต้น  แต่ในเวลาต่อมา พระเจ้าจะประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้กับทุกคนที่วางใจพระองค์    สิ่งนี้มาเกิดขึ้นจริงหลังจากที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์   เหล่าสาวกและผู้เชื่อได้รอคอยพระเจ้าอยู่ ณที่แห่งหนึ่ง  และพระวิญญาณของพระเจ้า ได้ลงมายังพวกเขา ทำให้พวกเขากล่าวคำภาษาต่าง ๆ  ในวันนั้น  (กิจการ 2:1-13)
  • ในสมัยโบราณนั้น คนที่จะได้รอดนั้นคือคนที่เป็นอิสราเอลแท้  แต่พระเจ้าตรัสว่า คนที่ร้องทูลออกพระนามของพระเจ้าจะรอดพ้น
  • พระเจ้ากำลังทรงเรียกเราให้กลับมาหาพระองค์  เรียกพระนามของพระเยซู  เชื่อในพระนามของพระองค์ …. แล้วเราจะได้รับสิทธิเป็นบุตรของพระเจ้า(ยอห์น 1:12)

 

โยเอล ๒-๖ คืนสภาพเดิม

โยเอล 2:23-27

ความทุกข์ยากของการกันดาร และสงครามคือ ไม่มีฝน และมีศัตรูพร้อม ๆ กัน

แต่มาตอนนี้ พระเจ้าทรงสัญญาจะให้ฝนต้นฤดู และฝนปลายฤดู

ปีเดือนที่ตั๊กแตนได้ลงมากินพืชพันธุ์   ที่มีศัตรูเข้ามากวาดทุกอย่างไป

กว่าจะได้คืนกลับมานั้น มันใช้เวลานานมาก  แต่พระเจ้าจะทรงรื้อฟื้นเขาอย่างรวดเร็ว

ที่เป็นเช่นนี้เพื่อเขาจะรู้ว่า ทุกสิ่งเป็นมาจากพระเจ้า

และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงทำตามพระสัญญาของพระองค์เสมอ

ความอับอายจะหมดไป  และพระเจ้าจะทรงอยู่กับเขา

โยเอล ๒-๕ ไม่ใช่ว่าหมดหนทาง

โยเอล 2:20-22

ถ้าคนของพระเจ้ากลับใจ  พระเจ้าก็จะทรงกลับมาหาเขาและรื้อฟื้นเขาใหม่   ศัตรูที่พระองค์ทรงส่งมาทำลายพวกเขานั้น พระองค์จะทรงจัดการกับเขาเอง  …. เพราะพวกเขาได้ทำสิ่งที่ร้ายกาจมากกับยูดาห์

พระเจ้าจะทรงพอพระทัยที่จะให้เขาคืนสู่สภาพที่ดี   ความอุดมสมบูรณ์จะกลับคืนมา

โยเอล ๒-๔ ขอพระเจ้าเวทนา

โยเอล 2:15-19

 

ท่านโยเอลผู้นี้ ไม่ได้แค่มาบอกคนยูดาห์ว่า  จะมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นกับพวกเขา  แต่ท่านได้บอกหนทางแก้ไขด้วย  ทุกคนควรมารวมตัวกันเพื่อที่จะกลับใจพร้อม ๆ กัน  แม้เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่กำลังจะแต่งงาน ก็ต้องออกมาจัดการกับบาปของตน  เรื่องนี้ สำคัญยิ่งยวด

และคนที่จะเป็นผู้นำในการกลับใจก็คือเหล่าคนที่เป็นผู้สอน หัวหน้า  …. พวกเขาต้องกลับใจเองด้วย ไม่ใช่ให้คนอื่นกลับใจแต่ตัวเองยังเหมือนเดิม    เขาควรอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าทรงเมตตาไม่ให้ใครมาเยาะเย้ยคนของพระองค์   ขอทรงเวทนาพวกเขา  อย่าให้ใครมาตั้งคำถามว่า พระเจ้าของพวกเขาอยู่ที่ไหน

โยเอลบอกว่า ถ้าเขากลับใจ.. พระเจ้าจะทรงหันมาหาเขา  มาสงสารเขา และช่วยเหลือ

แต่….ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่า คนที่ฟังท่านนั้น จะเอาใจใส่ และทำตามที่ท่านแนะนำหรือเปล่า

โยเอล ๒-๓ ฉีกใจ

โยเอล 2:12-14

การกลับมาหาพระเจ้าไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ   เพราะกลับใจจริงนั้น เมื่อมาหาพระเจ้าก็เท่ากับหันหลังให้กับบาป   เสียใจกับทางเดิมของตัวเอง

ต้องมาหาพระองค์แบบเทใจ  ยอมให้พระองค์หมด  ต้องเปลี่ยนชีวิตและเสียใจจริง ๆ

คนยิวสมัยก่อนพอเสียใจ ก็จะฉีกเสื้อผ้า เพื่อบอกว่า  “ฉันมีความทุกข์มากจนเสื่้อผ้ายังไม่มีความหมายเลย  ถึงฉันจะดูไม่ดี ฉันก็ไม่สนใจเพราะว่า ฉันมีความทุกข์ใจจริง ๆ”   ต่อมา การกระทำเช่นนั้น กลายเป็นแค่ประเพณี….คล้าย ๆ กับจ้างคนมาร้องไห้ในงานศพ  แต่โยเอลบอกให้ฉีกใจ…. เพื่อน ๆ ว่า มันหมายความถึงอะไร  ลองคิดดูซิ

การกลับมาหาพระเจ้านั้น ปลอดภัย.. เพราะพระเจ้าทรงเต็มด้วยพระคุณยิ่งใหญ่  ทรงโกรธช้า … ทรงอดกลั้นมาก   ทรงทนนานแสนนาน  ทรงใช้เวลาให้เรามีโอกาสเปลี่ยนใจ  ….  เพื่อว่า พระพรจะได้เป็นของเรา..

 

 

โยเอล ๒-๒

โยเอล 2:4-11

ท่านโยเอลพูดให้ผู้ฟังได้รับทราบว่า กองทัพของข้าศึกนั้น น่ากลัวเพียงไร มีอำนาจศักดาเพียงไหน   มันเป็นกองทัพที่มีระเบียบวินัยสูง  การมุ่งไปข้างหน้าของกองทัพนี้…ชัดเจน ทหารทุกคนมุ่งมั่น  มุ่งที่จะทำลายยูดาห์ตามคำสั่งที่ได้มา

โยเอลต้องการให้คนที่ฟังเขาได้ทราบว่า   อำนาจสูงสุดนั้นก็ยังไม่ได้อยู่ที่กองทัพอันยิ่งใหญ่   แต่อยู่ที่พระเจ้า  และเหตุการณ์อันน่ากลัว สยองขวัญ เขย่าโลกแบบนี้ จะเกิดขึ้นได้ในวันของพระเจ้าเท่านั้น

 

โยเอล ๒-๑

โยเอล 2: 1-3

 

โยเอลกล่าวถึงกองทัพที่จะมาว่า ใหญ่โตเหมือนเมฆที่ครองแผ่นดินในยามเช้า   และแม้จะรู้สึกว่า เคยอยู่สบายเหมือนอยู่ในสวนเอเดน

แต่กองทัพเหล่านี้จะมาทำหลายความสุขเหล่านั้นจนสิ้น

สำหรับคนที่มีชีวิตติดตามพระเจ้า  เขาอยากจะเห็นวันของพระเจ้า  เขาไม่กลัวเพราะเขาอยู่ในพระองค์  แต่คนที่ไม่ได้เดินอย่างถูกต้องกับพระเจ้า วันนั้น เป็นวันที่น่ากลัวที่สุด  สำหรับยูดาห์ พวกเขาทำสิ่งที่ผิดต่อพระเจ้ามากมาย   วันของพระองค์จึงเป็นวันที่น่ากลัว สยดสยอง

 

 

โยเอล ๑-๓

โยเอล 1:13-20

 

โยเอลได้ทำให้คนที่ฟังคำกล่าวนั้น เข้าใจว่า หากพวกเขากลับใจจากทางบาปจริง ๆ

พระเจ้าจะไม่ทรงถือโทษ

วันแห่งพระเจ้า…. หมายถึงวันที่พระเจ้าจะทรงพิพากษาลงโทษความผิดที่ไม่ได้สำนึก

ทั้งความอดหยาก และเมล็ดพืชที่เหี่ยวแห้ง มันก็น่ากลัวอยู่แล้ว

ไม่ใช่มนุษย์ทำผิดแล้วสัตว์จะสบายเมื่อไร…

สัตว์ทั้งหลายในทุ่งก็ต้องอดอยากตามไปเพราะความผิดของพวกเขา


โยเอล ๑-๒

โยเอล 1:6-12

เมื่อแผ่นดินไร้พืชผล ก็ไม่มีองุ่น เหล่าปุโรหิต ก็ไม่มีน้ำองุ่นที่จะถวายแด่พระเจ้าตามพระบัญชา

จริง ๆ แล้ว เมื่อชาวนาชาวไร่รอคอยพืชผล เขาจะรอคอยวันเก็บเกี่ยวด้วยความสุข

แต่มาตอนนี้ ไม่มีพืชผลให้เก็บเกี่ยว

แล้วใครจะมีความสุขได้เล่า

 

โยเอล ๑-๑

โยเอล 1:1-5

พระคำของพระเจ้าที่ท่านโยเอลกล่าวนั้น  น่ากลัวจริง ๆ  เพราะพูดแต่สิ่งที่เลวร้ายซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น


 

นี่แสดงว่า ในสังคมยุคนั้น   มีคนที่เมาหยำเป ไม่สนใจอะไรอยู่ไม่น้อย

เรื่องของตั๊กแตนนี้ มีหลายคนเล่าว่า มันคือการที่แผ่นดินถูกปล้น บุกรุก โจมตี ซ้ำแล้ว ซ้ำอีกจนพวกเขาไม่เหลืออะไร  เพื่อน ๆ คิดว่าอย่างไรครับ ….

แนะนำท่านโยเอล

อย่างที่เราเคยเห็นมาในหลายเหตุการณ์  …นั่นคือ พระเจ้าทรงส่งคนของพระองค์เข้ามาในยูดาห์หรืออิสราเอลเพื่อตักเตือนให้คนได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นผลดีต่อตนเอง

แม้จะมีคนที่เชื่อฟังทำตามผู้กล่าวคำของพระเจ้าเหล่านั้น  แต่ก็ยังมีไม่น้อยที่ไม่ได้สนใจแม้แต่จะฟัง  ไม่สนใจและยังเยาะเย้ยอย่างไม่แยแส

บู้บี้เองมีความสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง มีคำพูดอะไรบ้างที่เขาพยายามมาเตือนสติประชาชน เราก็จะเริ่มจากท่านโยเอลก่อน เพราะเชื่อกันว่า ท่านมากล่าวคำของพระเจ้าในสมัยของราชาโยอาชซึ่งเป็น พระราชาที่ครองราชย์ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ โดยมีปุโรหิตเยโฮยาดาช่วยดูแล สั่งสอน และปกป้องพระราชาไว้

เพื่อน ๆ ลองกลับไปดูเหตุการณ์สมัยนั้นได้  พระมารดาของราชาโยอาชเป็นราชินีที่โหดร้ายมาหลายปี จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านปุโรหิตพร้อมกับเหล่าทหารได้ร่วมใจกันแต่งตั้งพระราชา  ทำให้ราชินีทรงโกรธมาก  แต่ในที่สุดพระนางก็ถูกสังหารในวันนั้นเอง  …..

ชื่อโยเอล มีความหมายที่ดีเหลือเกิน แปลว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า หรือ พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงเป็นพระเจ้า! สมัยก่อนนี้ คนนิยมชื่อนี้มากด้วย ผู้ที่ค้นคว้าเรื่องของท่านโยเอลเชื่อว่า ท่านกล่าวคำของพระเจ้าในช่วงปี 835-805 ปีก่อนคริสตศักราช  ซึ่งตอนนั้นเอง ยังมีอาณาจักรทั้งสองคือ เหนือ และใต้

แต่ยังมีบางท่านเชื่อว่า ท่านโยเอล กล่าวคำของพระเจ้าแก่แผ่นดินยูดาห์ในสมัยราชาอุสซียาห์ คือประมาณปี  792-740  ที่เป็นอย่างนี้ เพราะหนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกว่า อยู่ในสมัยใด จึงต้องวิเคราะห์เอา  ถึงอย่างไรก็ตาม  สิ่งสำคัญที่สุดคือ ท่านกล่าวพยากรณ์ถึงเหตุการณ์ทีได้เกิดขึ้นจริงในเวลาต่อมา

 

แตกทั้งสองอาณาจักร!

อิสราเอลทางเหนือ และยูดาห์ทางใต้  ทั้งสองอาณาจักรที่เคยเป็นหนึ่งเดียวกันสมัยราชาซาอูลดาวิดและซาโลมอนนั้น ต้องจบลงด้วยการเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจในโลกโบราณ ทางเหนือไปอยู่กับอัสซีเรีย  และทางใต้ไปเป็นเชลยในบาบิโลน

แต่เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นกับทั้งสองแผ่นดิน มีการบอกล่วงหน้ามาแล้ว  มีคนเตือนแล้ว  พระเจ้าทรงส่งคนมาเตือนหลายต่อหลายครั้ง   บางครั้งพระราชาก็ทรงฟังและทำตาม  แต่พระราชาบางองค์ก็ไม่ใส่พระทัย

ในวันท้าย ๆ ก่อนที่นครเยรูซาเล็มจะแตก คนของพระเจ้าหรือผู้กล่าวคำของพระเจ้าก็ได้มาหาพระราชา  แต่ไม่มีใครฟังเขาเลย
คนของพระเจ้าเหล่านี้ หลายคนต้องลำบากยากเข็ญ ต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ดังเช่นท่านเอลียาห์

พระเจ้าทรงให้มีคนของพระองค์คอยดูแลประชาชนให้พวกเขาอยู่เย็นเป็นสุข  ด้วยการมีชีวิตที่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า  และพระพรของพระองค์ก็จะลงมาเหนือเขา  เขาก็จะมีความเจริญก้าวหน้าไม่หยุดยั้ง  จนเมื่อไรพวกเขาละทิ้งพระองค์ไป… ทำสิ่งที่โหดร้ายต่อกัน สิ่งเลวร้ายก็จะเกิดขึ้นกับพวกเขา

หากเราจะมาทบทวนกันสักนิด เพื่อน ๆ ก็จะเห็นภาพง่าย ๆ อย่างนี้คือ

หากแต่ว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นในระหว่างที่พวกเขายังมีความสุขในแผ่นดินนั้น    เรายังไม่ได้เล่าว่า พระเจ้าทรงทำอะไรกับเขาบ้าง  พระองค์ทรงมีความรู้สึกอย่างไรกับพวกเขา    เหล่าคนที่จิตใจดื้อดึง และช่างเยาะเย้ย

เราจะเห็นภาพเหตุการณ์ชัดเจนขึ้น เมื่อเราได้เข้าไปฟังว่า พระเจ้าตรัสอย่างไรกับพวกเขา

 

กรุงแตกสมบูรณ์แบบ ๓๖-๓

2 พงศาวดาร 36:15-23

แม้ว่าพระเจ้าจะทรงส่งคนของพระองค์มาเตือนพระราชา และเจ้านายแห่งแผ่นดินยูดาห์ครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านอาโมส  ท่านเยเรมีห์ และอีกหลาย ๆ ท่าน แต่… ไม่มีใครฟัง

พระเจ้าทรงสงสารประชาชนที่กำลังจะต้องกลายเป็นทาสในเมืองไกล พระองค์ปรารถนาจะให้พวกเขากลับใจเสียก่อนที่สิ่งร้าย ๆ จะเกิดขึ้น แต่ผู้คนกลับเยาะเย้ยคนของพระเจ้า

“พวกท่านมาพูดอะไรให้เรา  อย่างไรเราก็อยู่สบายแล้ว ถึงจะเป็นเมืองขึ้น ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมาก   อย่ามาทำให้เราต้องกลับจงกลับใจเสียให้ยาก”

“พวกท่านเอาบอกว่า กล่าวคำของพระเจ้า  ท่านนะ โง่จริง”  พวกเขาดูหมิ่นคนของพระเจ้า  เท่ากับดูหมิ่นพระองค์ผู้ทรงส่งคนเหล่านั้นมา

พระเจ้าทรงโกรธพวกเขา ที่โง่เขลาแต่ยังอวดฉลาด  พระองค์ทรงโกรธจนไม่อาจยับยั้งความโกรธนั้นได้

น่ากลัวจริง ๆ

เรากลัวไหม?   แต่พวกเขาไม่กลัวกันเลย  คิดว่าจะอยู่กันอย่างสบายใจอย่างนี้ตลอดไป

ในที่สุด พระเจ้าทรงใช้เนบูคัดเนสซาร์มาจัดการกับเขาอีกเป็นครั้งที่สอง!

 

เนบูคัดเนสซาร์สังหารผู้ชายจำนวนมากมายที่อยู่ในสถานนมัสการ   พวกเขาถูกแทง ฟันอย่างโหดเหี้ยม และคนที่เหลือคือเด็ก ผู้หญิงและคนชรา  รวมไปถึงข้าราชการทั้งหลาย คนเก่ง ๆ ต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยในนครบาบิโลน

ราชาแห่งบาบิโลนได้ปล้นเอาเครื่องใช้ทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่อีกไปหมด ไม่ว่าจะจากในพระวิหารหรือราชวัง

ในที่สุด ก็จุดไฟเผานครเยรูซาเล็ม ทำลายทุกสิ่งที่มีค่าซึ่งเอาไปไม่ได้  คนทั้งหลายต้องไปอยู่ในบาบิโลนนานถึง 70 ปี ตามที่พระเจ้าตรัสผ่านท่านเยเรมีห์  ….

ภาพจาก http://www.preteristarchive.com

แต่…สิ่งที่น่าสนใจมากก็คือ

เกิดอะไรขึ้นบ้างในยุคสมัยก่อนที่พวกเขาจะถูกทำลายจริง ๆ

เราได้ยินถึงข่าวพระราชาองค์นั้นดี องค์นี้ชั่ว

ต่อไปเราจะมาดูว่า พระเจ้าทรงห่วงใยคนที่ดื้อดึงเหล่านี้มากเพียงไร พระองค์ทรงทำอย่างไรบ้างกับพวกเขา  และเหตุการณ์ทั้งหมด มันเป็นเรื่องราวที่จะเป็นตัวอย่างให้เรารู้ว่า  เราจะเดินไปกับพระเจ้าผู้ทรงรักเรา ให้เป็นที่พอน้ำพระทัยที่สุดได้อย่างไร

 

 

 

หลานกับลุงขี้แพ้ ๓๖-๒

2 พงศาวดาร 36:6-14

ในช่วงเวลาที่ราชาเยโฮยาคิมครองอยู่นั้นเอง  เนบูคัดเนสซาร์ ราชาแห่งบาบิโลนก็ยกกองทัพมาโจมตีนครเยรูซาเล็ม  ทรงขนเอาทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ในพระวิหารของพระเจ้าไปเก็บไว้ในวิหารนครบาบิโลน

นี่ไง ทรัพย์สินที่ราชาเฮเซคียาห์เคยอวดราชทูตจากบาบิโลน บัดนี้ มันกลายเป็นของคนชาวบาบิโลนไปเสียแล้ว !   เนบูคัดเนสซาร์ทรงสั่งนำเอาราชาเยโฮยาคิม ซึ่งอยู่ในปีที่ 11 ของการครองราชย์ไปเป็นเชลยในนครบาบิโลน

จะมีโอกาสที่นครเยรูซาเล็มจะฟื้นตัวหรือเปล่า?  กลายเป็นว่าตอนนี้ เยโฮยาคีนซึ่งเป็นโอรสอายุ 18 ปีขึ้นครองแทน
อายุ 18 ปี… ต้องขึ้นครองในขณะที่ต้องกลายเป็นเมืองขึ้น กำลังถูกทั้งอียิปต์ทางตะวันตก และบาบิโลนทางตะวันออกบุกรุกอย่างเอาเป็นเอาตาย  จะสามารถพาประเทศไปสู่อิสระได้ไหม?

ยังไม่ทันไร  ราชาเยโฮยาคีนก็เริ่มต้นด้วยการทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า…. สิ้นปีนั้นเอง ราชาเนบูคัดเนสซาร์จึงทรงจับราชาเยโฮยาคีนไปเป็นเชลยอีก ได้ครองเพียง 3 เดือนเท่านั้น  และตั้งลุงที่ยังหนุ่มแน่นของเยโฮยาคีนคือ เศเดคียาห์ให้เป็นกษัตริย์แทน   ตอนนั้นเศเดคียาห์ทรงมีอายุ 21 ปีเท่านั้นเอง!

เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พระเจ้าทรงใช้เยเรมีห์มาชักชวนให้ประชาชนหันกลับไปหาพระเจ้า  ชวนพระราชาให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง

แต่ราชาเศเดคียาห์กลับกลายเป็นคนชั่วร้ายเช่นกัน ! เป็นราชาที่เย่อหยิ่งทั้ง ๆ ที่ปกครองในฐานะเจ้าเมืองขึ้นเท่านั้น  ไม่ยอมฟังสิ่งที่เยเรมีห์เตือนแม้แต่น้อย  ทำแข็งขืนต่อทั้งพระเจ้าและราชาเนบูคัดเนสซาร์

ไม่เพียงพระราชาหลงทาง  บรรดาปุโรหิต เลวี และผู้ใหญ่จำนวนมากมายก็หลงผิดตามไปด้วย  พระวิหารไม่เหลืออะไร และพวกเขาก็ทำให้พระวิหารยิ่งสกปรกไปอีกด้วยการนำสิ่งน่าเกลียดน่าชังเข้ามาในพระวิหารของพระเจ้าอีก

พระเจ้าจะทรงทำอย่างไรกับพวกเขา?

 

 

 

พี่น้องสองราชาหุ่น ๓๖-๑

2 พงศาวดาร 36:1-5
เมื่อสิ้นราชาโยสิยาห์ ประชาชนก็ได้เลือกเยโฮอาหาส ซึ่งเป็นโอรสให้เป็นพระราชาในนครเยรูซาเล็มแทน ตอนนั้นทรงอายุได้ 23 ปี กำลังหนุ่มแน่น …. แต่ฟาโรห์เนโค ซึ่งมีชัยชนะเหนือยูดาห์อย่างไม่ได้ทรงตั้งใจ ได้ปลดเยโฮอาหาสเสีย และทรงนำเยโฮอาหาสไปเป็นเชลยในอียิปต์
ดูซิว่า ประชาชนอยากได้เยโออาหาสพระอนุชาให้เป็นกษัตริย์ แต่… พวกเขาก็ไม่ได้ถามพระเจ้า หรือปรึกษาพระองค์เลย อยากทำอะไรก็ทำ
ตอนนี้ ยูดาห์กำลังดิ่งลงเหว


ฟาโรห์เนโคทรงตั้งพี่ชายของเยโฮอาหาส คือ เยโฮยาคิมเป็นพระราชาแทน และเยโฮยาคิมนี้จะต้องอยู่ในอาณัติของฟาโรห์เนโค ราชาเยโฮยาคิมนี้ จะกลายเป็นพระราชาหุ่นของฟาโรห์เนโค ต้องคอยหาเงินทองตามที่ฟาโรห์ทรงประสงค์ และรีบส่งไปให้ทันเวลาเสมอ
ทรงบังคับให้ยูดาห์ส่งบรรณาการเงินปีละ 100 ตะลันต์ และทองคำปีละ 1 ตะลันต์
ไม่น้อยเลย…. คนที่ต้องทำงานหนักเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้มาก็คือ ประชาชนเท่านั้น
ถ้าราชาโยสิยาห์ยังทรงพระชนม์
ถ้าพระองค์ทรงฟังคำเตือนของฟาโรห์เนโค
เรื่องราวคงไม่มาถึงตอนนี้ … อยู่ดี ๆ กลายเป็นเมืองขึ้นอียิปต์ไปเสีย ไม่เข้าใจจริง ๆ ท่านราชาโยสิยาห์!!

แล้วราชาเยโฮยาคิมที่ฟาโรห์ทรงแต่งตั้งล่ะ ทรงมีลักษณะอย่างไร ?
ทรงเป็นเหมือนราชาโยสิยาห์หรือเปล่า?
ตอนที่ฟาโรห์เนโคแต่งตั้งให้เยโฮยาคิมขึ้นครองนั้น ทรงมีอายุ 25 ปี
ทรงครองราชย์อยู่11 ปี ในนครเยรูซาเล็ม
น่าเสียดายจริง ๆ
เป็นทั้งราชาหุ่น
และยังเป็นราชาที่ใช้ไม่ได้สำหรับประชาชนและประเทศ พระองค์ไม่ได้ทำสิ่งที่พอพระทัยพระเจ้า ไม่พยายามเลยที่จะให้พระเจ้าได้ทรงช่วยเหลือพวกเขา ราชาเยโฮยาคิมทรงคิดว่า การเป็นทาสอียิปต์ไปอย่างนี้คงปลอดภัยดี พระองค์ไม่ทรงสนพระทัยว่า จะให้ประเทศกลับคืนเป็นอิสระอีกครั้ง