มีคาห์ 4-3 แผนการที่ไม่รู้

มีคาห์ 4:10-13

จงเจ็บปวด และคลอดออกมา  โอ..ธิดาแห่งศิโยน  เหมือนกับผู้หญิงที่เจ็บท้องจะคลอดลูก    เพราะตอนนี้ เจ้าจะออกไปจากเมือง  เจ้าจะไปอยู่ในทุ่ง  เจ้าจะไปยังบาบิโลน    และเจ้าจะได้รับการช่วยกู้ที่นั่น   จากที่นั่น  องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไถ่เจ้าออกมาจากดินแดนของศัตรู

บัดนี้ เช่นกัน.. หลายประเทศต่างพากันมาต่อสู้เจ้า  คนที่กล่าวว่า “ให้ศิโยนกลายเป็นมลทิน  และให้เรามองศิโยนด้วยความสะใจ”  แต่พวกเขาไม่รู้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงคิดอะไร    พวกเขาไม่เข้าใจแผนการของพระองค์   เพราะว่า พระองค์จะทรงรวบรวมเขาเข้ามาเหมือนกับฟ่อนข้าวลงบนลานนวดข้าว

“ลุกขึ้นและตีข้าวได้แล้ว  ธิดาแห่งศิโยน!  เพราะว่าเราจะทำให้เขาของเจ้าเป็นเขาเหล็ก   และเขาจะทำให้กีบเท้าของเจ้าเป็นกีบเท้าทองสัมฤทธิ์   เจ้าจะตีคนจำนวนมากแตกกระจายไป  เราจะถวายสิ่งที่พวกเขาได้มาแด่องค์พระเจ้า  และ.ถวายความมั่งคั่งของเขา แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งแผ่นดินโลกนี้

ยูดาห์จะถูกจับไปเป็นเชลย  ถูกนำไปถึงบาบิโลน  แต่พระเจ้าจะทรงปล่อยพวกเขาจากที่นั่น  และในเวลาต่อมา เหตุการณ์จริงก็เกิดขึ้นด้วย
หลายประเทศจะรวมกันเข้ามาต่อสู้อิสราเอล  แต่พระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเขา  พวกเขาไม่รู้จักพระเจ้าว่า ทรงคิดอะไร และแผนการของพระองค์เป็นอย่างไร… ทั้ง ๆ ที่พระองค์ก็ได้ตรัสไว้แล้วอย่างชัดเจน น่าแปลกจริง ๆ   พระเจ้าสามารถจัดการกับศัตรูนั้นได้ง่าย ๆ เหมือนชาวนาที่รวมรวมรวงเข้าเพื่อนวด

เวลาที่พระเจ้าจะทรงรื้อฟื้นศิโยนนั้น     พระเจ้าทรงให้เขาแข็งแกร่ง  จากการที่พระเจ้าทรงกล่าวว่าจะให้เขามีเขาเหล็ก และกีบเท้าทองสัมฤทธิ์นั้น  มีความหมายว่า เขาจะแข็งแรงสามารถตีศัตรูให้พ่ายไปได้

 

มีคาห์ 4-2 อนาคตศิโยน

มีคาห์ 4:6-9

พระเจ้าตรัสว่า “ในวันนั้น  เราจะรวบรวมคนที่ง่อยเปลี้ยเสียขา   เราจะรวบรวมคนที่ถูกเนรเทศ และคนที่เราเคยทำให้เขาทรมานเป็นทุกข์   เราจะให้ผู้ที่เป็นง่อย กลายเป็นคนที่คงเหลืออยู่ในแผ่นดิน  และคนที่ถูกเนรเทศไปนั้นกลายเป็นชนชาติที่เข้มแข็ง  และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงครอบครองเหนือพวกเขาจากภูเขาศิโยน   จากนี้ไปจนนิรันดร์

และเจ้า  หอคอยดูแลฝูงสัตว์เลี้ยง  เจ้าผู้เป็นป้อมเข้มแข็งของธิดาแห่งศิโยน  มันจะมาหาเจ้า  แม้กระทั่งชนชาติที่เคยยิ่งใหญ่จะมาหาเจ้า  อาณาจักรแห่งธิดาเยรูซาเล็ม บัดนี้ ทำไมเจ้าจึงร้องเสียงดัง?  ไม่มีราชาท่ามกลางเจ้ารึ?  คนที่วางแผนให้เจ้าพินาศไปแล้วใช่ไหม?    เพราะว่า ตอนนี้เจ้าเจ็บปวดเหมือนผู้หญิงที่กำลังจะคลอดลูก

การรื้อฟื้นของพระเจ้าไม่ได้ทำกับคนที่ปกติเท่านั้น แต่กับคนที่เป็นง่อย  คนที่ด้อยโอกาส  คนเหล่านี้จะได้สัมผัสกับพระพรของการที่พระเจ้าทรงช่วยเหลือเขาเต็ม  ๆ สิ่งที่มีคาห์พูดต่อมาคืออนาคตของศิโยน  ดูซิ  พระเจ้าทรงให้พวกเขาเห็นถึงการที่เขาจะถูกจับไปเป็นเชลย  แต่พระเจ้าจะทรงรวบรวมเขากลับมาอีก   และพวกเขาจะยอมให้พระเจ้าทรงครอบครองเหนือพวกเขา  ….

เวลาพระเจ้าทรงกล่าวถึงธิดาแห่งศิโยนนั้น  หมายถึงคนอิสราเอลและพระเจ้าในฐานะที่ทรงเป็นพระบิดาที่ทรงรัก  พระเจ้าทรงรักคนของพระองค์ แม้ว่าพวกเขาจะปฏิเสธพระองค์   การใช้คำว่า ธิดาแห่งศิโยน ทำให้เรารู้ว่าพระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรกับคนอิสราเอลที่ดื้อดึง และทำให้พระองค์ทั้งเสียพระทัยและโกรธ   แต่พระองค์ทรงนึกถึงอนาคตที่จะมีการคืนดีอยู่เสมอ แต่ก่อนที่การรื้อฟื้นจะเกิดขึ้นนั้น พวกเขาจะเจ็บปวดมาก ที่เป็นอย่างนั้นเพราะไม่มีผู้นำเลย….

มีคาห์ 4-1 ภูเขาของพระเจ้า

มีคาห์4:1-5

ในวันเวลาสุดท้าย จะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้
คือ ภูเขาซึ่งพระวิหารของพระเจ้าตั้งอยู่ จะได้รับการตั้งให้เป็นภูเขาที่สูงสุดในบรรดาภูเขาทั้งปวง. มันจะถูกยกให้สูงเหนือเนินเขาทั้งหลาย
และ….. ผู้คนจะเดินทางหลั่งไหลเข้ามา
หลายชาติจะเข้ามาที่นี่ และกล่าวว่า “มา ให้เราพากันไปยังภูเขาของพระเจ้า ไปยังพระนิเวศของพระเจ้าของยาโคบ เพื่อว่าพระองค์จะทรงสอนหนทางของพระองค์ให้เรา. และเราจะได้เดินในวิถีของพระองค์”

ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะ กฎเกณฑ์ของพระเจ้าจะออกมาจากศิโยน. และพระดำรัสของพระองค์จะออกมาจากเยรูซาเล็ม
พระเจ้าจะทรงวินิจฉัยคดีระหว่างชาติต่างๆ และจะทรงตัดสินเพื่อชาติมหาอำนาจซึ่งอยู่ไกล

พวกเขาจะตีดาบให้กลายเป็นผาลไถนา จะตีหอกให้กลายเป็นขอลิด. ชาติต่างๆจะไม่ต่อสู้ทำสงครามกันต่อไป. เขาจะไม่เรียนรู้สู้รบอีกต่อไป
แต่พวกเขาต่างนั่งอยู่ใต้ต้นองุ่น และมะเดื่อของตน ไม่มีใครทำให้เขาหวาดกลัวได้ เพราะพระเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพได้ตรัสโดยพระโอษฐ์ของพระองค์
คนทั้งหลายดำเนินชีวิตตามพระของตน แต่เราจะเดินในพระนามพระเจ้าของเราตลอดไปเป็นนิตย์

มีคาห์ 3-1

และพระเจ้าตรัสว่า

“ส่วนเรื่องของผู้กล่าวพระคำให้เป็นเท็จ  ทำให้คนของเราหลงผิดไปนั้น    ใครให้ของดีกับเขา  เขาจะร้องก้องว่า “สันติสุข!!”

ส่วนคนที่ไม่มีอะไรให้พวกเขากิน  พวกเขาก็จะประกาศสงคราม ต่อสู้กับคนเหล่านั้น

ดังนั้น มันจะกลายเป็นกลางคืนสำหรับเจ้า  เพื่อว่าเจ้าจะมองไม่เห็น
ใช่แล้ว มันจะมืดสำหรับเจ้า จะไม่มีการทำนายใด ๆ เกิดขึ้น    และดวงอาทิตย์จะลับหายไปจากผู้กล่าวพระคำให้เป็นเท็จ   กลางวันจะกลายเป็นสีดำมิด

และคนที่ทำนายอนาคต จะต้องอับอาย หมอดูจะตกตะลึงหน้าแดงก่ำ ใช่…. เขาจะปิดปากตัวเองเพราะว่า ไม่มีคำตอบมาจากพระเจ้า

แต่เรา  มีคาห์  เรามีฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณของพระเจ้า มีความเที่ยงธรรมและพลัง เพื่อจะบอกให้ยาโคบรู้ถึงการล่วงละเมิด  บอกให้อิสราเอลรู้ถึงบาปของตน
ฟังนี่นะ  ขอร้องล่ะ  หัวหน้าแห่งวงศ์วานยาโคบและผู้ปกครองอิสราเอล ท่านผู้ซึ่งเกลียดชังและปฏิเสธความยุติธรรม คนที่บิดเบือนความจริง คนที่สร้างศิโยนขึ้นมาด้วยเลือด  สร้างเยรูซาเล็มขึ้นมาด้วยความชั่วร้าย   คนที่เป็นหัวหน้านั้นพิพากษาเพราะเห็นแก่สินบน และเหล่าปุโรหิตก็ทำหน้าที่ของตนเพื่อเงินเท่านั้น   แม้กระนั่นยังทำทีว่า พึ่งพิงพระเจ้า กล่าวว่า “พระเจ้าไม่ได้อยู่ท่ามกลางพวกเราหรอกหรือ?  จะไม่มีความชั่วร้ายตกมาที่เราเลย”

ดังนั้น ศิโยนจะถูกไถเหมือนไร่นา  เยรูซาเล็มจะกลายเป็นกองซากปรักหักพัง  และภูเขาแห่งพระวิหารของพระเจ้าจะเป็นป่ารกรุงรัง
คนที่เป็นผู้นำ แต่ทำทุกอย่างจากความตะกละความโลภ และยังได้หลอกลวงประชาชนให้เข้าใจผิด เขาทำให้คนอื่นตาบอด เขาเองจะมองอะไรไม่เห็น ไม่อาจรู้อนาคตได้อีก

แต่มีคาห์แตกต่างจากคนหลอกลวงเหล่านั้น เพราะเขาพูดออกมาด้วยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ คำพูดของเขาจึงมีอำนาจและเป็นจริง
เหล่าผู้นำคิดว่าตัวเองอยู่ฝ่ายพระเจ้า ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาทำทุกอย่างเพราะเห็นแก่ตนเอง ดังนั้นประเทศบ้านเมืองจึงเสียหายเพราะผู้นำเลวร้าย

มีคาห์ 3-1

มีคาห์ 3:1-4

และมีคาห์กล่าวว่า “ฟัง ขอร้องล่ะ  ท่านหัวหน้าวงศ์วานยาโคบและผู้ปกครองอิสราเอล  หน้าที่ของพวกท่านคือต้องรู้จักความยุติธรรมมิใช่หรือ?”
“ท่านเกลียดชังความดี และรักความชั่วร้าย  ท่านกระชากและขโมยหนังออกจากคนของเรา  และเลาะเอาเนื้อของเขาออกจากกระดูก!

ใช่..ท่านกินเนื้อของคนของเรา และแล่หนังออกจากพวกเขา  ท่านทุบกระดูกของเขา และสับมันเป็นชิ้น ๆ ราวกับสับลงหม้อ  เหมือนเอาก้อนเนื้อใส่ลงในหม้อใหญ่ ๆ

แล้วพวกเขาจะร้องหาพระเจ้า แต่พระองค์จะไม่ทรงตอบเขา  ในเวลานั้น  พระองค์จะทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากพวกเขาด้วยซ้ำ   เพราะว่า เขาทำการชั่วร้ายยิ่งนัก”

 
เหล่าคนที่เป็นผู้ปกครองทำร้ายคนจนอย่างไร้ความปราณี ดังนั้นเมื่อเขาจะขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพระองค์.

มีคาห์ 2-2

มีคาห์ 2:6-13

มีคาห์เตือนประชาชนไม่ให้ฟังคนที่พูดตามใจอย่างที่เขาอยากจะฟัง   นักพูดที่พูดตามใจคนฟัง มักเป็นที่นิยม  แต่คนที่พูดเพื่อให้คนกลับตัวกลับใจจากความบาป เป็นคนที่ไม่มีใครอยากจะฟังสักเท่าไร    การที่นักพูด นักเทศน์ กลายเป็นคนหว่านคำไร้สาระนั้น มันน่ากลัวมากที่สุด    เพราะจะนำให้ประชาชนหลงผิด

เรื่องราวตอนนี้  มีคาห์กำลังพยายามจะบอกว่า   วันหนึ่งพระเจ้าจะรวบรวมคนของพระองค์  แม้ว่าเขาจะเจอสิ่งร้าย ๆ มาก่อนหน้านี้     พระเจ้าจะทรงทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน


“อย่าเทศนานะ “  แต่ก็ยังเทศน์    “ใคร ๆไม่ควรเทศนาเรื่องนั้น   เพราะความน่าอับอายจะไม่มีวันมาถึงเรา “

วงศ์วานของยาโคบเอ๋ย  ควรจะพูดหรือว่า พระเจ้าทรงไม่อดทนต่อไปแล้ว  เหล่านี้เป็นการกระทำของพระองค์หรือ   คำของเราไม่ส่งผลดีให้กับคนที่เดินอย่างเที่ยงธรรมหรือ?

แต่ไม่นานมานี้ คนของเราลุกขึ้นราวกับเป็นศัตรู  เจ้าได้ฉีกเสื้อผ้าของคนที่ผ่านไปอย่างไม่ระวังตัว  ทั้งที่คนเหล่านี้ไม่ได้คิดถึงสงครามสักนิด

เจ้าได้ไล่ผู้หญิงในหมู่คนของเราออกไปจากบ้านที่พวกเธออยู่อย่างมีความสุข  เจ้าเอาพระสิริของเราไปจากลูกหลานของพวกเขาตลอดไป

จงลุกขึ้นและไป… เพราะไม่มีที่ ๆ จะพักได้   ความโสโครกได้ทำลายจนพินาศป่นปี้

หากใครสักคนจะเดินไปและกล่าวคำไร้สาระ คำโกหก กล่าวว่า “เราจะพูดเรื่องเหล้าองุ่นและเหล้าแรง ๆ “  ใคร ๆ ก็จะฟังเขา

 

ยาโคบเอ๋ย   เราจะรวบรวมเจ้าทุกคน     เราจะรวบรวมคนอิสราเอลที่ยังหลงเหลืออยู่   เราจะเอาเขามาอยู่ด้วยกันเหมือนแกะที่อยู่ในคอก เหมือนฝูงแกะในทุ่งหญ้า  ที่นั่นจะมีผู้คนมากมายส่งเสียงดังขรมไปหมด

คนที่นำร่องเปิดทางไปก่อน เขาจะทะลวงเข้าไป และผ่านประตู

องค์ราชาจะผ่านพวกเขาไป   พระผู้เป็นเจ้าจะทรงนำเขา

 

มีคาห์ 2-1

มีคาห์ 2:1-5

วิบัติจะเกิดขึ้นกับเหล่าคนที่คิดแผนการชั่ว และคิดร้ายบนเตียงนอนของตน   ยามเช้า พวกเขาก็ทำสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้น  เพราะว่าเขามีอำนาจในมือ

พวกเขาโลภไร่นาของผู้อื่น และยึดทั้งไร่นา บ้าน และเอามาเป็นของตน พวกเขาผู้อื่น ทั้งครอบครัวของเขา  โกงมรดกของพวกเขา
ดังนั้น พระเจ้าตรัสว่า  ดูเถิด เราจะนำวิบัติมาให้คนพวกนี้   คอของเจ้าจะไม่อาจรอดพ้นไปได้เลย   เจ้าจะไม่เดินอย่างเย่อหยิ่งได้อีกต่อไป  เพราะมันจะเป็นเวลาแห่งความพินาศ

ในวันนั้น เขาจะเยาะเย้ยเจ้า จะร้องเพลงคร่ำครวญว่า    เราถูกทำลายจนหมดตัวแล้ว   กรรมสิทธิ์ก็ถูกยึดไปแบ่งกัน   และพระองค์ทรงเอาส่วนของเราออกไป    ทรงเอาเรือกสวนไร่นาของเราไปให้คนทรยศ

ดังนั้น จะไม่มีใครสักคนในชุมชนขององค์พระเจ้ามาจับฉลากแบ่งดินแดน

มีคาห์ได้สาปแช่งคนที่คิดแผนการชั่วเวลานอน  แล้วตอนเช้าก็ลุกขึ้นมาทำตามที่คิด  คนที่โลภนั้น ไม่ใช่แค่คิดว่าจะเอาของ ๆ คนอื่นไป แล้วก็จบกัน  แต่พวกเขาจะมีความตะกละ  กระหาย อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเองอย่างไม่มีวันสิ้นสุด  ดูเหมือนได้เท่าไรก็ไม่เคยพอ

ขณะที่เขาวางแผนชั่ว พระเจ้าก็ทรงมีแผนจัดการพวกเขาเช่นกัน และเขาจะหนีไม่พ้น

พระเจ้าจะทรงเอาของที่คนโกงมาจากคนอื่นนั้นไป  และยกให้กับคนที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าพวกเขา

คนที่โกงคนอื่นนั้น  จะไม่มีสิทธิ์ในการแบ่งดินแดน  พระเจ้าจะทรงเอาสมบัติของเขาไป เหมือนกับที่เขาเอาของคนอื่นมา   และพวกเขาไม่มีญาติพี่น้องหลงเหลืออยู่เลย

 

มีคาห์ 1-2

มีคาห์  1:8-16

อ่านมีคาห์ตอนนี้ จะพบชื่อเมืองที่อยู่ใกล้ๆเยรูซาเล็มหลายเมือง. มีคาห์เองคร่ำครวญ เพราะเขารู้ว่า สิ่งที่เขาเห็นจะเกิดขึ้นแน่นอน บางเมืองนั้น เราพอจะรู้ว่าอยู่ประมาณไหน แต่บางเมืองก็สาบสูญหาร่องรอยไม่ได้    พระคำตอนนี้ อาจจะยากที่จะเข้าใจทั้งหมด  แต่ที่ชัด ๆ คือ ยูดาห์และอิสราเอล ตกเป็นเชลยแน่


ดังนั้นข้าพเจ้าจึงร้องไห้คร่ำครวญและร้องโหยหวน เดินเปลือยกาย ร้องเหมือนหมาไน ครางเหมือนนกเค้า
บาดแผลของสะมาเรียนั้นรักษาไม่หายมันยังลามมาถึงยูดาห์ ถึงประตูเมืองเยรูซาเล็ม

อย่าไปบอกคนเมืองกัท อย่าไปบอกคนเมืองเบธเลอัฟราห์   จงกลิ้งตัวในฝุ่น
ชาวเมืองชาฟีร์ จงเดินเปลือยไปด้วยความอับอายขายหน้า
ชาวเมืองศานาอันก็จะไม่ออกมา
ชาวเบธเอเซลจะคร่ำครวญเพราะไม่ได้รับการปกป้องแล้ว


ชาวเมืองทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด. เพราะวิบัติจากพระเจ้ามาถึงประตูเยรูซาเล็มแล้ว
ชาวเมืองลาคีชจงเตรียมม้าศึก ท่านทำให้ธิดาแห่งศิโยนทำบาป และก็ได้พบการล่วงละเมิดอิสราเอลในท่าน  ม้าศึกนี้มีไว้หนี ไม่ใช่สู้

ดังนั้นท่านจะให้ของขวัญแก่โมเรเชทกัท
เมืองอัคซิบ ท่านล่อลวงกษัตริย์แห่งอิสราเอล
ชาวเมืองมาเรชาห์ ท่านจะเจอผู้พิชิต
ศักดิ์ศรีของอิสราเอลจะมายังอดุลลัม
จงโกนหัวให้โล้น. ให้ลูกแสนรัก
โกนให้โล้นเหมือนนกแร้ง. เพราะลูกๆของเจ้าจะจากไปเป็นเชลย

 

มีคาห์ 1-1

มีคาห์ 1:1-7
ใครจะเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า….. เป็นความหมายของชื่อมีคาห์
มีคาห์เป็นชาวเมืองโมเรเชท เขากล่าวคำของพระเจ้าถึงสามสมัย จากราชาโยธาม ราชาอาหัส และราชาเฮเซคียาห์แห่งยูดาห์ทางใต้
สิ่งที่เขาเห็นนั้น เป็นสิ่งที่จะเกิดกับเมืองสะมาเรียซึ่งเป็นเมืองหลวงทางเหนือ
และสิ่งที่จะเกิดกับเมืองเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นเมืองหลวงทางใต้

“คนทั่วโลก ขอจงฟัง สารพัดที่อยู่ในโลก จงฟังให้ดี
พระเจ้า ทรงกล่าวโทษท่านจากพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์…
ดูซิ พระเจ้าเสด็จออมาจากพระวิหารของพระองค์
และทรงเหยีบย่ำที่สูงของแผ่นดินโลก

ภูเขาจะละลายใต้พระองค์
หุบเขาจะถูกแยกออกเหมือนกับขี้ผึ้งที่อยู่หน้าไฟอันร้อนแรง
มันละลาย และถูกเทออกมาเหมือนน้ำไหลตามทางลาดชัน

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ก็เพราะยาโคบได้ทรยศ

เพราะบาปของวงศ์วานอิสราเอล
ที่ว่าทรยศนั้น ก็มาจากไหนเล่า ไม่ใช่จากสะมาเรียหรือ?
เพราะบาปของวงศ์วานยูดาห์
ที่ว่าบาปนั้น ก็มาจากไหนเล่า ไม่ใช่จากเยรูซาเล็มหรือ?

ดังนั้นเราจะทำให้เมืองสะมาเรีย กลายเป็นกองสิ่งปรักหักพังในที่โล่ง
ให้มันกลายเป็นที่ทำสวนองุ่น

เราจะเทหินที่สร้างเมืองนั้นลงในหุบเขา ทำให้เห็นรากฐานของเมือง
รูปเคารพในเมืองจะถูกทุบแตกหักให้หมด
เครื่องถวายในเมืองจะถูกไฟเผา
คนจะทิ้งรูปเคารพทั้งหลายไปเสีย
นี่เป็นเพราะเมืองนั้น ซื้อรูปเคารพด้วยเงินค่าจ้างโสเภณี
มันก็จะกลับกลายไปเป็นค่าจ้างโสเภณี

อ่านข้อความนี้ เรารู้สึกกลัว  พระเจ้าทรงให้คนทั้งโลกได้เห็นว่า พระองค์กำลังจะจัดการคนของพระองค์ ที่ละทิ้งพระองค์ไปหารูปเคารพ     พระองค์จะทรงเหยียบย่ำเมืองทั้งสองคือ สะมาเรีย   และเยรูซาเล็มซึ่งเป็นเมืองที่ถูกยกสูงขึ้น   …. พระองค์จะทรงเหยี่ยบย่ำ ทำลายทุกแห่งหนที่มนุษย์ยกให้สูงขึ้นเพื่อบูชารูปเคารพ

เมื่อพระเจ้าทรงกล่าวถึงยาโคบ… พระองค์ทรงหมายถึงอาณาจักรทางเหนือ  ส่วนยูดาห์นั้น ก็หมายความถึงอาณาจักรทางใต้

การทำลายสะมาเรียนั้น เป็นการทำลายแบบไม่ให้เมืองเกิดขึ้นอีก …. ให้กลายเป็นที่ปลูกสวนองุ่นไปเสีย

นี่เป็นเพราะเมืองนั้น ซื้อรูปเคารพด้วยเงินค่าจ้างโสเภณี     มันก็จะกลับกลายไปเป็นค่าจ้างโสเภณี    เป็นเพราะการบูชารูปเคารพเหล่านั้น มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง  ดังนั้น เมื่ออัสซีเรียมาตีพวกเขา   อัสซีเรียก็จะลอกวิธีการไหว้รูปเคารพเหล่านี้ให้วิหารของพวกเขาด้วยเช่นกัน

แนะนำมีคาห์

มีคาห์  กล่าวคำของพระเจ้าในสมัยราชาโยธาม อาหัส และเฮเซคียาห์แห่งยูดาห์    เขาจดจ่อไปที่เรื่องอาณาจักรอัสซีเรีย  ซึ่งนับเป็นศัตรูสำคัญในสมัยของกษัตริย์ทั้งสาม  ประมาณปี 730 ก่อนคริสตศักราช อัสซีเรียมุ่งมาที่อิสราเอล  ส่วนช่วงปี 700 ปีก่อนคริสศักราชนั้น ก็หวนมาที่ยูดาห์ด้วย

มีคาห์จะกล่าวย้ำเตือนให้กลับใจ บอกล่วงหน้าว่า ประเทศชาติจะวิบัติอย่างไร  แต่ดูเหมือนเหล่าปุโรหิต ผู้นำทางจิตวิญญาณกลับไม่สนใจ คิดว่า ไม่มีภัยใดจะเกิดขึ้นได้  ถึงอย่างนั้นมีคาห์ยังยืนกรานถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น แม้กระทั่งภูเขาศิโยนที่พวกเขาคิดว่า ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ก็ไม่อาจต้านทานศัตรูได้

ใครจะรู้ ที่มีคาห์ได้มีโอกาสนานมากถึงสามรัชกาลนั้น อาจเป็นเพราะพระเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเขากลับใจ  แม้ว่าพระองค์จะทรงนำวิบัติเหล่านั้นมาเอง  และถึงแม้ว่า ในช่วงมีคาห์ ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับยูดาห์ แต่ในที่สุด ประมาณ 586 ปีก่อนคริสตศักราช ยูดาห์ก็ล่มสลายจากการโจมตีของบาบิโลน

หนังสือมีคาห์มีการกล่าวถึงทั้งพระเมตตา และพระพิโรธของพระเจ้าสลับกันไป  แม้ว่าพระองค์จะทรงกริ้วยิ่งนัก  แต่ก็ทรงระลึกถึงพระเมตตาของพระองค์เสมอ
อีกอย่างที่เราน่าจะรู้คือ มีคาห์กับอิสยาห์พูดสิ่งที่คล้ายกันมาก

 

โยนาห์ 4-2

แต่ตอนเช้าของวันถัดมา  พระเจ้าทรงให้หนอนตัวหนึ่งมาแทะกินต้นไม้จนเหี่ยวแห้งไป  เมื่ออาทิตย์ขึ้น  พระเจ้าก็ทรงให้ลมร้อนทางตะวันออกพัดมา และแสงอาทิตย์ก็แผดเผาศีรษะโยนาห์จนเป็นลม

เขาจึงขอตายอีก  และกล่าวว่า “ ที่ข้าพเจ้าจะตายก็ดีกว่ามีชีวิตอยู่”
แต่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ว่า “เจ้าทำดีแล้วหรือที่มาโกรธต้นไม้?”

“ใช่แล้วพระเจ้าข้า  ข้าพเจ้าทำดีแล้วที่จะโกรธ  โกรธมากพอที่จะตายไปเลย”


และพระเจ้าตรัสว่า “เจ้าเสียดายเถาไม้ที่เจ้าเองไม่ได้ปลูก เจ้าไม่ได้ทำให้มันโต มันงอกขึ้นตอนกลางคืน และเหี่ยวแห้งไปชั่วคืนเดียว   คนชาวเมืองนีนะเวห์ที่มีคนตั้ง 120,000  คน  พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก แล้วสัตว์เลี้ยงอีกมากมายนั้นเล่า?  โยนาห์ เราไม่ควรจะสงสารพวกเขารึ?”

หลายคนรู้สึกสมน้ำหน้าโยนาห์ที่ต้นไม้เลื้อยนั้นกลับเหี่ยวแห้งตายไป

พระเจ้าทรงดีต่อเขา แต่เขาไม่เห็นน้ำพระทัยนั้น กลับปั่นป่วนในใจที่ชาวนีนะเวห์จะรอดพ้นภัยพิบัติ  โยนาห์ทำให้เราเห็นลึก ๆ ในใจของตัวเราเองไหม     โยนาห์หลงคิดว่า เขาไม่ควรจะช่วยให้คนที่หลงผิดรอดตาย  เขาคิดได้อย่างไรนะนี่  เขาสนใจต้นไม้ตายยิ่งกว่าคนจะต้องตายเสียอีก

พระเจ้าทรงทำให้เราเห็นว่า

พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของมนุษย์ทุก ๆ คนจริง ๆ

 

โยนาห์ 4-1

ที่พระเจ้าไม่ทรงทำลายเมืองนีนะเวห์…. โยนาห์กลับไม่พอใจอย่างยิ่ง
เขาโกรธ   ดังนั้นจึงทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า  ตอนที่ข้าพเจ้ายังอยู่ที่บ้านเกิดนั้น  ข้าพเจ้าก็ได้พูดแล้วนี่นา  ข้าพเจ้าจึงหนีไปยังเมืองทารชิช

ข้าพเจ้ารู้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เต็มด้วยพระคุณ และทรงเมตตายิ่งนัก  พระองค์ทรงโกรธช้า และในพระทัยเต็มด้วยความรักมั่นคง

ดังนั้น บัดนี้ พระเจ้าข้า  ขอทรงโปรดเอาชีวิตของข้าพเจ้าไป  สำหรับข้าพเจ้าแล้วที่จะตายก็ดีกว่ามีชีวิตอยู่”  พระเจ้าตรัสกับเขาว่า  “เจ้าทำดีแล้วหรือที่มาโกรธเกรี้ยวอย่างนี้?”

โยนาห์เดินทางออกจากเมืองนีนะเวห์ และนั่งอยู่ทางตะวันออกของเมือง  แล้วเขาก็ทำเพิงเล็ก ๆ เพื่อว่าจะได้นั่งหลบแดด   เขาจะนั่งตรงนั้นจนกว่าจะเห็นว่า เกิดอะไรขึ้นกับเมือง

แล้วพระเจ้าก็ทรงให้มีต้นพืชเกิดขึ้นมา เลื้อยขึ้นไปบนเพิงเพื่อว่ามันจะได้เป็นที่หลบแดดให้กับเขา  จะได้สบายตัว  โยนาห์ดีใจมากที่มีต้นไม้เลื้อยนี้ขึ้นมา

จากคำพูดของโยนาห์นั้น แสดงว่า ที่เขาไม่อยากไปเมืองนีนะเวห์เพราะเขาเชื่อว่า พระเจ้าจะไม่ทรงทำลายเมืองนี้แน่   ก็ทรงห่วงใย และส่งเขาไป  แน่นอน พระองค์ทรงมีแผนที่จะให้ชาวนีนะเวห์ได้รอดพ้น  เขารู้พระทัยของพระเจ้าดีว่า พระองค์ทรงเมตตาขนาดไหน

แถมยังย้ำเหมือนกับเด็กดื้อด้วยว่า  ที่หนีไปก็เพราะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

โยนาห์นี่เป็นคนอย่างไรกัน  มีโอกาสทำสิ่งที่ดี ไม่อยากทำ  แล้วเมื่อต้องทำ ได้ช่วยเหลือคนมากมาย ก็ยังมาโกรธแล้วอยากตายไปให้พ้น ๆ เสียอีก

แต่เวลานั้นเอง พระเจ้าทรงเห็นว่า เขาจะร้อน จึงทรงส่งต้นไม้มาให้…

จะเกิดอะไรต่อไป…

 

โยนาห์ 3-2

โยนาห์ 3:6-10

เมื่อราชาแห่งนีนะเวห์ได้ยินเรื่องของโยนาห์  ก็ทรงลุกจากบัลลังก์ ถอดฉลองพระองค์อันงดงามออก และทรงสวมเสื้อที่ทำจากผ้ากระสอบ  และทรงนั่งลงในขี้เถ้า   พระองค์ทรงบัญชาออกไปจนทั่วเมืองว่า

“โดยคำสั่งจากพระราชาและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่   อย่าให้คน สัตว์ สัตว์เลี้ยง กินอะไรเลย  ไม่ต้องกินอาหาร หรือดื่มน้ำ  ให้ทั้งคนและสัตว์สวมผ้ากระสอบ  และร้องทูล เรียกหาพระเจ้าอย่างสุดใจ

ให้ทุกคนหันจากความบาปชั่วและความโหดร้ายที่มือของพวกเขากระทำ

ใครจะรู้บ้างว่า พระเจ้าอาจทรงเปลี่ยนพระทัย และไม่โกรธเรา เพื่อว่าเราจะไม่พินาศ”

เมื่อพระเจ้าทรงเห็นสิ่งที่พวกเขาทำ  การหันจากความบาป  พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ส่งความหายนะมายังเมืองนีนะเวห์   ตามที่พระองค์ทรงคาดโทษเขาไว้

 

 

 

ดูซิ  เมื่อโยนาห์เชื่อฟังพระเจ้า    สิ่งที่ตอบแทนมันยิ่งใหญ่เหลือเกิน

คนเป็นอันมากไม่ต้องถูกลงโทษเพราะความผิด  เนื่องจากว่า เขากลับใจทัน  กลับใจอย่างจริงใจ ลึกซึ้ง

พระราชาของนีนะเวห์ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ช่วยให้ภัยพิบัติไม่ต้องมาถึง   คำสั่งจากพระราชาย่อมไปถึงคนทุกคน

ที่น่าแปลกคือ ถึงทั้งสัตว์เลี้ยงด้วย  พวกเขาคิดอะไรกันนะ?


โยนาห์ 3-1

โยนาห์ 3:1-5

และพระเจ้าได้ตรัสกับโยนาห์อีกเป็นครั้งที่สอง “จงลุกขึ้น ไปยังเมืองนีนะเวห์ เมืองยิ่งใหญ่ และประกาศ ร้องบอกสิ่งที่เราบอกเจ้าไปนั้น”
ดังนั้นโยนาห์จึงลุกขึ้น เดินมุ่งหน้าไปยังเมืองนีนะเวห์ตามที่พระเจ้าตรัสสั่ง นีนะเวห์ เป็นเมืองใหญ่มากต้องใช้เวลา 3 วันเดินกว่าจะทั่วเมือง (เมืองนั้นกว้างยาวประมาณ 60 ไมล์)
ส่วนโยนาห์เองก็เริ่มเดินทางเข้าไปในเมือง วันนั้น เขาร้องว่า

“ท่านทั้งหลาย โปรดฟังทางนี้ อีก 40 วัน เมืองนีนะเวห์จะถึงหายนะ!”
เขาพูดอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
น่าแปลกมาก ชาวเมืองนีนะเวห์ฟังเสียงของเขา และพวกเขาก็เชื่อพระเจ้า ประกาศให้ชาวเมืองอดอาหาร ใส่เสื้อผ้ากระสอบเพื่อจะคร่ำครวญ พวกเขาสำนึกในความผิดต่าง ๆ ที่ได้ทำลงไป ชาวเมืองที่มาอดอาหารกันนั้น ตั้งแต่คนชั้นสูงจนถึงคนยากจนค่นแค้นที่สุด

ภาพเขียนโดย กุสตาฟ ดอเร่ (1832-1883)

โยนาห์ ซึ่งเป็นคนที่ดื้อดึงกับพระเจ้า เปลี่ยนนิสัยใจคอไปเสียแล้ว พอพระเจ้าตรัสสั่งเขาอีกครั้ง เขาก็ไม่โอ้เอ้อีก แต่มุ่งหน้าไปยังเมืองนีนะเวห์ทันที
การเดินทางเท้าครั้งนี้ น่าจะนานโขอยู่ เพราะต้องเดินเท้า ใช้เวลานานเท่าไรไม่ทราบ แต่ระหว่างทางนั้น โยนาห์คงมีโอกาสคิดอะไรอีกมากมาย …..
ที่จริง โยนาห์ไม่ใช่คนใหญ่โตอะไรเลย การเดินทางเข้าไปในเมืองนีนะเวห์ครั้งนี้ เปรียบเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง และยังต้องไปประกาศให้คนเหล่านั้นกลับใจใหม่ ไม่ดำเนินชีวิตชั่วร้ายอีกต่อไป คราวนี้เขาจะโดนหินขว้างหรือเปล่านะ?
แต่เหตุการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิด โยนาห์ร้องบอกให้คนกลับใจ
และผู้คนก็หันมาฟังเขา เมื่อเขาบอกว่า ภัยพิบัติกำลังจะมา ชาวนีนะเวห์ก็กลัว
และเขาก็เชื่อ! นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์มาก โยนาห์ไม่ได้ทำให้เขาเชื่อ แต่พระเจ้าทรงบันดาลใจพวกเขา เมื่อได้ยินข่าวสารจากพระเจ้า เขาก็ถ่อมใจ ไม่ยะโสอีกต่อไป และเชื่อในพระองค์
ทั้งนี้ เกิดขึ้นเพราะโยนาห์ที่เคยดื้อ เปลี่ยนใจเป็นเชื่อฟังพระเจ้า และทำทุกสิ่งตามที่พระองค์ทรงสั่ง…..

โยนาห์ 2-2

โยนาห์ 2: 6-10
ที่ฐานรากของภูเขา ข้าพระองค์ ลงไปยังดินแดนที่มีกรงเหล็กกั้นข้าพเจ้าไว้ตลอดไป แต่พระเจ้ายังทรงนำชีวิตของข้าพระองค์ ออกมาจากหลุมลึก
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ เมื่อชีวิตของข้าพระองค์ กำลังจะหมดลมไป ข้าพระองค์ระลึกถึงพระเจ้า และคำอธิษฐานก็มาถึงพระองค์ ยังพระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์
ผู้ที่กราบไหว้รูปเคารพอันอนิจจัง ได้ละทิ้งความหวังที่มีต่อความรักมั่นคงของพระเจ้า แต่ข้าพระองค์จะถวายคำโมทนาพระคุณเป็นเครื่องบูชาแด่พระองค์
สิ่งที่ข้าพระองค์ปฏิญาณไว้ ข้าพระองค์จะทำตามนั้น ความรอดพ้นเป็นของพระเจ้า “

ภาพเขียนโดย Jan Brueghel the Elder, ca. 1600, Oil on Panel

และพระเจ้าได้ตรัสกับสัตว์มหึมา และมันก็คายโยนาห์บนหาดทรายแห้ง

โยนาห์กล่าวถึงฐานรากของภูเขาและหลุมลึก มันหมายถึงแดนคนตายนั่นเอง เขาเกือบจะตายอยู่แล้ว แต่เมื่อเขาระลึกถึงพระเจ้า เขาก็มีความหวังขึ้นมา อธิษฐานต่อพระองค์ และมั่นใจว่า คำอธิษฐานนั้นขึ้นไปถึงพระเจ้าโดยตรง
ที่เขากล่าวอ้างถึงรูปเคารพนั้น เพราะเขาเห็นความแตกต่างของรูปเคารพที่ไร้ชีวิตกับพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่อย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวออกมาตรง ๆ ด้วยความเต็มใจแล้วว่า เขาจะทำตามสิ่งที่เขาปฏิญาณเอาไว้
โธ่ ท่านโยนาห์ ต้องลงไปอยู่ในทะเลลึก … หวาดหวั่น น่ากลัว ..จึงจะมั่นใจว่า ตนเองจะทำอะไร …. แต่ถ้าท่านไม่ดื้อต่อพระเจ้า พวกเราคงไม่ได้ยินเรื่องราวที่ตื่นเต้นเช่นนี้เหมือนกัน …
แล้วโยนาห์ก็ถูกปล่อยออกมาจากท้องปลาใหญ่…. ตามคำสั่งของพระเจ้า
พระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ….. สรรเสริญพระองค์

โยนาห์ 2-1

จากท้องเจ้าสัตว์ทะเลตัวมหึมา โยนาห์ได้ทูลอธิษฐานต่อพระเจ้า กล่าวว่า
“ข้าพระองค์ร้องทูลต่อพระเจ้า จากความทุกข์ยาก และพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์
จากที่ลึกแห่งแดนคนตาย ข้าพระองค์ร้องหาพระองค์ และพระองค์ทรงยินเสียงของข้าพระองค์
เพราะพระองค์ทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ลงมาในที่ลึก ลงมายังก้นบึ้งของทะเล
และน้ำก็ท่วมข้าพระองค์ ทั้งคลื่น และคลื่นลมผ่านข้าพระองค์ไป
และข้าพระองค์กล่าวว่า ข้าพระองค์ถูกไล่ออกมาจากสายพระเนตรของพระองค์
แต่ข้าพเจ้าจะยังมองไปยังพระวิหารบริสุทธิ์ของพะรองค์
น้ำก็ท่วมทับข้าพระองค์ เพื่อจะเอาชีวิตของข้าพระองค์ไป ที่ลึกล้อมรอบข้าพระองค์
สาหร่ายก็พันศีรษะของข้าพระองค์

โยนาห์คร่ำครวญร้องหาพระเจ้าจากที่ลึกของทะเล เขามีอากาศหายใจจากท้องเจ้าสัตว์ยักษ์.
นี่มันเรือดำน้ำโบราณของแท้เลยนะ!

ที่เขากล่าวว่าจากแดทนคนตายนั้น. หมายความว่ามัันเหมือนกับตายไปแล้ว!
เขารู้ชัดว่า การที่เขาอยู่ในสภาพเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่พระเจ้าทรงให้เกิดขึ้น. โยนาห์เข้าใจแล้วว่า ไม่มีทางหนีพระเจ้าพ้น

โยนาห์ 1-4

โยนาห์1:11-17

ดังนั้น พวกเขาจึงกล่าวกับโยนาห์ว่า “แล้วเราจะทำอย่างไรกับเจ้าดี เพื่อว่าทะเลจะได้สงบ ฮึ?” ตอนนั้น ทะเลยังคงปั่นป่วน และลมแรงมากขึ้น     เขาจึงว่า “ขอพวกท่านโยนข้าพเจ้าลงไปในทะเล  แล้วทะเลจะสงบ เพราะว่าที่ท้องทะเลมีพายุเช่นนี้เป็นเพราะข้าพเจ้าเอง”

แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็พยายามที่จะพายเรือกลับไปยังแผ่นดิน  แต่ทำไม่ได้  เพราะบัดนี้ทั้งคลื่นลมในท้องทะเลและพายุยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น   ดังนั้นพวกเขาจึงร้องต่อพระเจ้า  “ข้าแต่พระเจ้าผู้สูงสุด  ขอพระเจ้าอย่าให้เราต้องพินาศเพราะชีวิตของชายคนนี้  ขอพระเจ้าอย่าเอาผิดกับพวกเราหากเขาไม่มีความผิด  ข้าแต่พระเจ้า … พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่พระองค์เห็นพอพระทัย”

แล้วพวกเขาจึงจับโยนาห์โยนลงไปในทะเล….”โครม!”  ทันใดนั้นเอง ลมพายุรอบ ๆ นั้นก็สงบลงทันที

ภาพเขียนโดย Carlo-Antonio-Tavella

เขาเหล่านั้นกลัวพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง  และพวกเขาได้ถวายเครื่องบูชาแด่พระองค์ ทั้งยังปฏิญาณตนไว้ด้วย

แล้วดูซิ พระเจ้าทรงสั่งให้ปลาใหญ่ตัวหนึ่งกลืนโยนาห์เข้าไป   โยนาห์จึงอยู่ในท้องปลา สามวันสามคืน

 

อัศจรรย์แรก … พระเจ้าทรงส่งลมพายุมายังเรือที่โดยสารโยนาห์   ต่อมา สลากก็ตกที่โยนาห์  แล้วเมื่อโยนโยนาห์ลงทะเล  พายุก็หยุดทันที  แถมยังมีสัตว์น้ำตัวใหญ่ที่สามารถอ้าปากรับโยนาห์ลงไปในท้องของมันแบบเป็น ๆ  …. โยนาห์ไม่ได้ตาย ทั้ง ๆ ที่เขาพร้อมจะตายเพราะรู้ตัวดีว่า ได้ทำผิดต่อพระเจ้าแล้ว   แค่นี้นับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติได้ตั้ง  5 อย่าง!

ดูซิ   โยนาห์ยอมจมน้ำตาย  ดีกว่าไปนีนะเวห์   แต่พระเจ้าไม่ทรงตามใจเขาสักนิด….

ก่อนที่จะถูกโยนลงน้ำ  เขาน่าจะได้พูดเรื่องของพระเจ้าให้กับคนบนเรือ  พวกเขาน่าจะสงสัยว่า โยนาห์จะไปเมืองนีนะเวห์ทำไมกัน   …  จากนั้นดูเหมือนว่า พวกเขาก็ได้ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า  ….  พวกเขาร้องทูลต่อพระเจ้า และขอให้ทุกสิ่งที่พระองค์ปรารถนาประสบความสำเร็จตามพระทัยของพระองค์   เขาหันกลับมาเชื่อพระเจ้าไหมนะ?   ที่เราอ่านบันทึก … บอกไว้ว่า พวกเขากลัวพระเจ้ามากจริง ๆ


 

 

โยนาห์ 1-3

โยนาห์ 1:7-10

แล้วพวกเขาก็พูดกันว่า  “เอาอย่างนี้  เรามาจับฉลากกัน  เราจะได้รู้ว่าเหตุการณ์ร้ายครั้งนี้  ใครเป็นต้นเหตุ”  ดังนั้นพวกเขาจึงจับฉลากกัน  และปรากฏว่า โยนาห์ได้ฉลากนั้น

“เจ้าบอกเรามาซิว่า ใครเป็นต้นเหตุให้ความชั่วร้ายครั้งนี้ตกมาที่พวกเรา ? ฮึ  เจ้ามีอาชีพอะไร?  เจ้ามาจากไหน? เจ้าเป็นคนชาติไหน?  เชื้อชาติอะไร?”    โยนาห์ตอบเขาว่า “ข้าเป็นคนเชื้อชาติฮิบรู   เป็นคนที่เกรงกลัวพระเจ้า  พระเจ้าแห่งสวรรค์ผู้ทรงสร้างทะเลและแผ่นดิน”

“ฮ้า!!”  พวกเขาตกใจกลัวกันมาก โยนาห์ได้เล่าให้พวกเขาฟังว่า เขาได้พยายามหนีจากพระเจ้ามา   “แล้วนี่เจ้าทำอะไรลงไป?!!”

ภาพได้รับความเอื้อเฟื่อจาก dsmedia.org

ลองคิดถึงเรือที่กำลังโคลงเคลงโยนตัวขึ้นไปบนยอดคลื่น  แล้วก็หล่นลงมา  มีคลื่นอีกลูกซัดน้ำเข้ามาเต็มลำเรือ  …  … พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว เพราะว่า ทำอย่างไร ร้องขอพระของตัวเองเท่าไร  คลื่นก็ไม่สงบ  และไม่มีท่าทีว่าจะสงบด้วย

คนในสมัยนั้น เมื่อต้องการคำตอบของพระที่เขาเชื่อ  ก็จะใช้วิธีทอยสลากกัน  มันเป็นวิธีง่าย  ตัดสินได้เลย  แต่ครั้งนี้ พระเจ้าทรงตอบพวกเขา  พระเจ้าทรงให้โยนาห์รู้ว่า ทรงเอาจริงแน่คราวนี้

คำถามที่โยนาห์ต้องตอบนั้น มากมายเป็นชุด

แค่บอกว่าเป็นฮิบรู พวกเขาก็รู้ว่า โยนาห์ไม่ได้เชื่อเทวรูปเหมือนอย่างพวกเขา แถมโยนาห์ยังบอกด้วยว่า พระเจ้าของเขาคือพระผู้สร้างทะเลและแผ่นดิน  โอโฮ…  ขณะที่พายุกำลังพัดกล้านี่นะ  โยนาห์ยังบอกว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหนือทะเลนี้

โยนาห์หนีพระเจ้าด้วยความเข้าใจว่า เขาอาจจะหนีพระองค์ได้  แต่จากคำพูดของเขา ทำให้เราเห็นแล้วว่า โยนาห์รู้ว่า พระเจ้ากำลังทรงจัดการกับเขาตรงไปตรงมา

เมื่อพวกเขารู้ว่า หน้าที่ของโยนาห์คือการกล่าวคำของพระเจ้า เป็นคนเกรงกลัวพระเจ้า  แต่กลายเป็นผู้นำภัยพิบัติมาให้พวกเขา     พวกเขากลัวมาก  กลัวจริง ๆ  ทั้งกลัวตาย  และกลัวพระเจ้า …..พระองค์ผู้ทรงกำลังตามติดโยนาห์มา

 

โยนาห์ 1-2

โยนาห์ 1:4-6

แต่พระเจ้าบันดาลให้เกิดลมพัดแรงในทะเล  และมันกลายเป็นพายุปั่นป่วนท้องทะเล ทำให้เรือเกือบจะแตกอยู่แล้ว   เหล่าลูกเรือต่างตกใจกลัว  ทุกคนเรียกร้องพระเจ้าของตน   พวกเขาช่วยกันเอาข้าวของ สินค้าโยนลงไปในทะเลเพื่อจะทำให้เรือเบาขึ้น

แต่โยนานั้น ได้เข้าไปในเรือ นอนหลับไป

กัปตันเรือได้เข้ามาหาและกล่าวกับเขาว่า “ผู้โดยสารขี้เซา  นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ลุกขึ้น เร็ว ทูลขอพระเจ้าของท่านให้ช่วยพวกเรา  บางทีพระองค์จะทรงคิดถึงเราบ้าง เราจะได้ไม่ต้องพินาศ”

ครั้งนี้ พระเจ้าทรงเป็นผู้ส่งพายุมาให้โยนาห์โดยเฉพาะ  เขาคิดว่าจะหนีพระองค์ไปได้  ขนาดมีพายุยังอุตส่าห์ลงไปนอนเสียอีก  เขาปิดหูปิดตากับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่า พระเจ้าทรงเตือนเขาแล้ว

พายุครั้งนี้ต้องไม่ธรรมดาเหมือนลมพายุที่มักจะเกิดขึ้นในทะเล  เพราะว่า เหล่ากลาสีเรือนั้น ไม่คาดคิดว่าจะมีลมแรงขนาดนี้  และพวกเขาก็กลัวกันมากด้วย

แต่ความแรงของพายุ

เสียงร้องทูลต่อพระเจ้าของเหล่ากลาสี !

เสียงโวยวาย เร่งช่วยกันเอาของโยนลงทะเล….

ไม่ได้ทำให้โยนาห์สนใจอะไรได้เลย…. เขาหลับสนิท….

อี๋ย… เราเคยเป็นอย่างโยนาห์ไหมนี่… มีอะไรเกิดขึ้นเตือนเราตั้งมากมาย  แต่เรายังไม่สนใจ ไม่คิดว่า พระเจ้าทรงเตือน กลับอยู่เฉย ไม่ใส่ใจ  สิ่งที่ใครพูด ก็ไม่สน  รอบตัวเป็นอย่างไรก็ช่าง ฉันจะเป็นของฉันอย่างนี้…..

แล้วดูซิ  กัปตันเรือ ซึ่งน่าจะเป็นเรือของชาวฟินิเชียซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการเดินเรือในทะเลเมดิเตอเรเนียน  ได้บอกให้โยนาห์อธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งอิสราเอล …. เขารู้ว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์ ถ้าพระองค์ทรงฟัง พระองค์ก็จะทรงช่วยพวกเขาได้

คนที่ไม่ได้เชื่อในพระองค์ยังรู้เลยว่า พระองค์ทรงฤทธิ์มากยิ่ง

แล้วยังไงกันนี่  โยนาห์อุตส่าห์หนีพระเจ้ามา  แล้วตอนนี้มีคนมาบังคับให้อธิษฐานต่อพระองค์ที่เขาพยายามหนี…. เป็นอย่างไรล่ะ ท่านโยนาห์

 

โยนาห์ 1-1

โยนาห์ 1:1-3

คำของพระเจ้ามายังโยนาห์ ลูกชายอามิททัย

“เจ้าจงลุกขึ้น เดินทางไปยังเมืองนีนะเวห์ เมืองใหญ่  และร้องตักเตือนพวกเขา  เพราะว่า ความชั่วช้าของพวกเขานั้นมาถึงเรา”

แต่เมื่อโยนาห์ได้ยินดังนั้น เขากลับลุกขึ้นเพื่อจะหนีไปยังเมืองทารชิช  คิดว่าจะหนีไปให้พ้นพระพักตร์ของพระเจ้า  เขาเดินทางไปยังเมืองยัฟฟา และที่นั่นก็พบเรือโดยสารที่จะไปยังทารชิช เมืองเป้าหมายปลายทางของเขา

ภาพเอื้อเฟื้อจาก http://www.dsmedia.org

เขาไปที่ท่าเรือและจ่ายค่าโดยสาร  เมื่อลงเรือก็พร้อมที่จะหนีไปจากพระพักตร์ของพระเจ้า

โยนาห์เป็นผู้กล่าวคำของพระเจ้าในอิสราเอล  และทั้ง ๆ ที่นีนะเวห์ เป็นเมืองของอัสซีเรีย ซึ่งเป็นศัตรูของอิสราเอล  พระเจ้ากลับทรงให้โยนาห์ไปช่วยให้ศัตรูกลับใจ  นี่มันยังไงกัน… โยนาห์รับความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เลย  เขาเองเป็นผู้กล่าวคำของพระเจ้าคอยตักเตือนคนอิสราเอลที่ทำบาป ให้มาหาพระเจ้า  เขาไม่ได้รู้สึกอะไร รู้สึกดีเสียด้วยซ้ำ

แต่ที่พระเจ้าทรงใช้เขาอย่างนี้  ไม่สมเหตุสมผลเลย…

หนีดีกว่า

โยนาห์เข้าใจผิดไปอีกอย่าง  เขาคิดว่า เขาจะหนีให้พ้นสายพระเนตรของพระเจ้าได้ด้วย

เอ ยังไงกัน

ก็พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าทรงฤทธิ์  ทรงเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลก  ทำไม โยนาห์จึงสามารถคิดอย่างนั้นได้.