บทเพลงโบราณ ๒๙-๕

2 พงศาวดาร 29:25-30

เมื่อสมัยราชาดาวิดนั้น  พระราชาได้ทรงกำหนดวิธีการที่จะนมัสการพระเจ้าด้วยนักร้อง และเครื่องดนตรีไว้  …. ไม่ว่าพระเจ้าทรงบัญชาอย่างไร ผ่านท่านกาด หรือท่านนาธัน  พระราชาก็จะทรงทำตามทุกอย่าง  และประชาชนก็ได้นมัสการพระเจ้าตามแบบที่พระเจ้าพอพระทัย

ดังนั้น ราชาเฮเซคียาห์จึงทรงตามรอยพระบาทของราชาดาวิด  ทรงสั่งให้คนเลวีประจำพระวิหาร ถือฉาบ  พิณใหญ่ และพิณเขาคู่ พร้อมที่จะบรรเลงเพลงเมื่อมีการนมัสการพระเจ้า

คนเลวีถือเครื่องดนตรีแบบพระราชาดาวิด

คนปุโรหิตถือแตร  พร้อมที่จะเป่า

เมื่อมีการถวายเครื่องบูชาทั้งตัวนั้นเอง…. พวกนักดนตรีก็บรรเลงเพลงไปพร้อมกัน  ทำให้ประชาชนที่อยู่ข้างนอกไกล ๆ  ได้รู้ว่า ตอนนี้ กำลังทำอะไร และพวกเขาก็จะร่วมใจการนมัสการพระเจ้าด้วยบทเพลงนั้น

สำคัญมาก  เพราะว่า สมัยนั้น ไม่มีกล้อง ไม่มีจอใหญ่ให้ดูว่า เกิดอะไรขึ้น

พวกเขาต้องคอยฟังเสียงเพลง   เมื่อนักร้องฟังดนตรีเริ่ม พวกเขาก็รอจนถึงที่ๆ เขาจะต้องร้อง และพวกเขาก็ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าเสียงดังมาก

“เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่  และทรงทำการอัศจรรย์

พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า   พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

เราทั้งหลายจะเดินในทางแห่งความจริงของพระองค์

ขอพระเจ้าทรงให้เรายำเกรงพระองค์

เราจะถวายสรรเสริญพระเจ้าด้วยสุดใจ

เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์”

เมื่อประชาชนได้ยินเสียงร้อง  เขาก็ก้มลงนมัสการพระเจ้า   พวกเขาทำอย่างนี้ซ้ำ ๆ กันจนถวายเครื่องบูชาเสร็จทั้งตัว

เมื่อถวายเครื่องบูชาเสร็จ

พระราชาก็กราบนมัสการพระเจ้า  แล้วพระราชาก็ทรงบัญชาให้เลวีร้องเพลงอีก  ร้องสรรเสริญพระเจ้าด้วยเพลงสดุดีของพระราชาดาวิดและท่านอาสาฟ   …..

ร้องสรรเสริญพระเจ้า

แล้วกราบนมัสการ

สัตว์ที่ต้องตายแทนคน ๒๙-๔

2 พงศาวดาร 29:20-24

เช้าวันต่อมา ราชาเฮเซคียาห์ทรงตื่นตั้งแต่ยังมืดอยู่ พระองค์ทรงเรียกให้ข้าราชการในเมืองเข้ามารวมตัวกัน
ทุกคนรีบแต่งตัวออกมากันให้ทันที่พระราชวัง
บางคนก็มารอตั้งแต่ที่พระราชายังไม่ทรงตื่นบรรทม
บางคนก็มาพอดีกับพระราชา
แต่ไม่มีใครทำให้พระราชาต้องรอเลย….
มีการเตรียมวัวผู้ 7 ตัว แกะผู้ 7 ตัว ลูกแกะผู้ 7 ตัว แพะผู้ 7 ตัว เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับราชอาณาจักร พระวิหาร และเพื่อชนยูดาห์

พวกปุโรหิตซึ่งเป็นลูกหลานของท่านอาโรน ได้ฆ่าสัตว์ทั้งหมด เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปต่อพระเจ้า ตามคำบัญชาของพระราชา
เขาประพรมเลือดของสัตว์เหล่านั้น บนแท่นบูชา เลือดแดงฉานบนแท่นนั้น ดูน่ากลัวยิ่งนัก เขาฆ่าสัตว์และประพรมเลือดโดยเริ่มจากวัวผู้ทั้งเจ็ด แล้วก็ฆ่าแกะ ลูกแกะ ตามลำดับ
ส่วนแพะนั้น เขานำมายังพระราชาและที่ประชุม จากนั้นก็วางมือลงบนหัวของแพะ แล้วจึงสังหารมันทำเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ถวายเป็นเครื่องบูชาพร้อมกับเลือดของมัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการไถ่บาปสำหรับคนอิสราเอลทั้งหมด ตามคำบัญชาที่พระราชาขอให้ทำการถวายเครื่องเผาบูชาเพื่อไถ่บาปของประชาชนทั้งสิ้น

ดูซิ สมัยก่อนนี้ กว่าจะได้รับการอภัยบาปจากพระเจ้าได้นั้น
ต้องทำพิธีที่คาวเลือดยิ่งนัก
ต้องเจอกับความตายของสัตว์ที่ไม่รู้ประสีประสา มันไม่ได้ทำบาปอย่างเราเลย แต่มันก็ต้องมาตายเพราะบาปของคน
พระเจ้าทรงให้คนอิสราเอลเห็นว่า พระองค์ทรงเกลียดความบาปมากเพียงไร
พวกเขาเข้าใจกันหรือไม่นะ?

น้ำหนึ่งใจเดียว ๒๙-๓

2 พงศาวดาร 29:12-19

เพื่อทำให้น้ำพระทัยดีในการซ่อมแซมพระวิหารสำเร็จ

เหล่าเลวี ก็ร่วมมือกันเป็นอย่างดี  พวกเขามาจากพงศ์พันธุ์ต่าง ๆ  รวมตัวกันโดยไม่มีการเกี่ยงงาน  ไม่ก้าวล้ำกัน  แต่ต่างช่วยกันที่จะทำให้พระวิหารนั้นกลับมาบริสุทธิ์สะอาดอีกครั้ง

พวกเขาชำระตัวเองให้บริสุทธิ์เป็นประการแรก

แล้วจากนั้นก็เข้าไปในพระวิหาร เพื่อชำระพระวิหารให้บริสุทธิ์

คนที่เป็นปุโรหิต ได้เข้าไปในห้องด้านใน  และนำสิ่งที่เป็นมลทินทุกอย่างออกมาจากพระวิหาร

“เอาหยากไย่ออกไป   เช็ดฝุ่นออกไปให้หมด

อะไรที่เป็นของใช้ที่ยังหลงเหลืออยู่  ก็เอาออกมา  เพราะทุกอันมันแตกหักหมดแล้ว ไม่มีของดีเหลืออยู่เลย”

“อ้าว ทำไมมีเทวรูปมาอยู่ในนี้  เอาออกไป ด่วน”

พวกเขาเอาของที่แตกหักเหล่านั้นมากองไว้ข้างนอก  ที่ลาน

จากนั้นคนเลวีทั้งหลายก็ขนกันไปที่ลำธารขิดโรน

ในที่สุดวันที่ 16  ก็ทำสำเร็จหมด

“ไชโย  สำเร็จแล้ว  พวกเราทำให้พระวิหารสะอาดเอี่ยม ”   หลายคนดีใจ

“ใช่  แต่เป็นพระวิหารโล่ง ๆ   ข้าอยากเห็นพระวิหารที่งดงามเหมือนเก่า ”  อีกคนหนึ่งตอบโต้

 

พวกเขาไปรายงานพระราชาว่า ทำทุกอย่างสำเร็จตามที่พระองค์ทรงสั่งแล้ว
“พวกข้าพระบาทได้ชำระพระวิหารของพระเจ้าสำเร็จแล้วพะยะค่ะ
และได้นำเครื่องใช้ทุกอย่างมาใหม่  ทดแทนที่ราชาอาหัสได้นำไปทิ้งตอนที่พระองค์ไม่สัตย์ซื่อต่อองค์พระเจ้า”

“ดีมาก  ข้าขอบใจท่านทุกคน” พระราชาตรัส

“ตอนนี้ขอพระราชาทรงเตรียมพร้อมสำหรับการนมัสการพะยะค่ะ”

พวกเขาได้นำแท่นเครื่องบูชาเผา  เครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด  รวมไปถึงเครื่องใช้อื่น ๆ   ชิ้นเล็ก ๆ  ซึ่งมีรายละเอียดมากมาย กลับคืนมาให้มากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้

ทุกคนดีใจกันถ้วนหน้า  หวังว่า จะได้นมัสการพระเจ้าเหมือนอย่างที่เคย….

 

ทางแก้ผิดของบรรพบุรุษ ๒๙-๒

2 พงศาวดาร 29:7-11

ราชาเฮเซคียาห์ทรงมองไปรอบ ๆ พระวิหาร  พระองค์ตรัสว่า  “ดูซิ  บรรพบุรุษของเราไม่ได้สัตย์ซื่อต่อองค์พระเจ้า  และยังทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระองค์    ได้ละทิ้งพระเจ้า ……”

“เท่านั้นยังไม่พอ  ได้ปิดประตูประวิหาร และดับตะเกียง ดับมดยอบ และเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้าก็ห้ามไม่ให้ทำในวิหารอันบริสุทธิ์ของพระเจ้าแห่งอิสราเอลด้วย    แล้วเห็นไหมล่ะ … พระเจ้าทรงกริ้วทั้งยูดาห์และอิสราเอล  พระองค์ทรงทำให้พวกเราเจอสิ่งที่น่าหวาดกลัว  เราเจอสิ่งที่ไม่คาดคิด  เรากลายเป็นคนที่ใคร ๆ ก็นินทา เยาะเย้ย”

 

ทุกคนที่ฟังพระราชาตรัส รู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก

“พวกท่านก็เห็นด้วยตาแล้ว   ภาพที่คนของเรา ทั้งพ่อก็ถูกฆ่าฟันอย่างทารุณ เลือดนองแผ่นดิน  ลูกชาย ลูกสาว ภรรยาของพวกเราต้องตกไปเป็นเชลย… “

“พระราชาทรงทราบทุกสิ่ง   ขอพระองค์ทรงบอกเราด้วยว่า จะทำอย่างไร” คนหนึ่งทูล

“นี่ไง..  เราอยากทูลขอพระเจ้า ขอทำพันธสัญญากับพระองค์  พระเจ้าแห่งอิสราเอล  เพื่อว่า ความกริ้วของพระองค์จะได้หันไปจากเรา  ลูกชายของเราเอ๋ย….”  พระราชาทรงหันมามองรอบ ๆ ข้างพระองค์

“ตอนนี้ พวกเจ้าก็อย่าทำเฉย  เพราะพระเจ้าทรงเลือกให้พวกเจ้ายืนต่อพระพักตร์ของพระองค์  เพื่อจะปรนนิบัติพระองค์  เพื่อที่จะรับใช้พระองค์  เพื่อเผาเครื่องหอมถวายพระองค์”

พระราชาทรงหาทางที่จะให้ความกริ้วของพระเจ้าหายไป

พวกเขาจะตอบสนองพระประสงค์ของพระราชาอย่างไรกันดี ?

 

ราชาองค์ใหม่.. ๒๙-๑

2 พงศาวดาร 29:1-6

ราชาเฮเซคียาห์ทรงอายุ 25 ปี เมื่อขึ้นครองประเทศ ทรงครองอยู่ถึง 29 ปีทีเดียว  แต่เฮเซคียาห์ไม่ทรงเหมือนราชบิดาสักนิด  พระองค์กลับกลายเป็นคนที่ติดตามพระเจ้าอย่างบรรบุรุษ คือ ราชาดาวิด

ทำไมเป็นอย่างนั้น  พ่อเลวร้าย ลูกกลับดี มันเป็นไปได้อย่างไร

เชื่อว่าเป็นเพราะราชมารดาของพระองค์ที่นามว่า อาบียาห์  ซึ่งเป็นธิดาของเศคาริยาห์   พระนางคงจะดูแลเจ้าชายเฮเซคียาห์ให้เป็นเด็กที่ติดตามพระเจ้ามาตั้งแต่ยังเยาว์  และในสมัยของพระองค์นั้น  ทรงเห็นการที่อัสซีเรียได้กวาดคนอิสราเอลทางเหนือไปเป็นเชลย… พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ยูดาห์ต้องเจอเหตุการณ์อันเลวร้ายเหมือนกับคนอิสราเอล

พระวิหารถูกปิดมาตั้งแต่สมัยของราชาอาหัส  แต่เมื่อราชาเฮเซคียาห์เริ่มขึ้นครองนั้นเอง พระองค์ก็ทรงเปิดประตูพระวิหาร  ทรงนำปุโรหิต และนายช่าง และคนงานเข้าไปดูในพระวิหารนั้น

“ไม่น่าเชื่อเลย!”  คนหนึ่งอุทาน
“หยากไย่เต็มไปหมด …. ไม่มีเครื่องใช้เหลืออยู่เลย”  อีกคนเสริม
“ท่านพ่อของข้า ส่งข้าวของเครื่องใช้ไปให้ราชาอัสซีเรียเสียหมด  ท่านพ่อไม่น่าทำเลย”   ราชาอุสซียาห์ทรงกล่าวเบา ๆ
“ทำไมมันทรุดโทรมเช่นนี้?”

พระราชาทรงมองไปรอบ ๆ ด้วยความเศร้าพระทัย  “ไม่น่าเลย ท่านพ่อไม่น่าทำกับพระวิหารเช่นนี้… ขอพระเจ้าทรงโปรดอภัยโทษแก่ท่านพ่อ และข้าพระบาทด้วยเถิด”    ราชาเฮเซคียาห์ทรงคิดในใจ
แล้วพระราชาก็ทรงสั่งให้ปุโรหิต  นายช่างเข้ามาประชุมกันเพื่อวางแผนซ่อมแซมพระวิหาร
“เหล่าเลวี  ขอท่านฟังข้าฯ   บัดนี้ ขอให้ท่านท้งหลายชำระตัวให้สะอาด และชำระพระวิหารของพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษ   ขอให้ท่านช่วยกันกำจัดสิ่งที่เป็นมลทิน ความสกปรกทุกอย่างออกจากพระวิหารอันบริสุทธิ์นี้”

“ขอพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติ….ขอพระราชาจงทรงพระเจริญ…. “เหล่าเลวีน้อมรับคำของพระราชา

“ดูซิว่า ปู่ย่าตายายของเราไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า  และทำสิ่งที่เลวร้ายในสายพระเนตรพระเจ้าของเรา    ได้ละทิ้งพระองค์ และหันหน้าของพวกเขาออกไปจากที่ประทับของพระเจ้า  หันหลังให้พระองค์  …”

ขณะที่พระราชาตรัสนั้น

ในพระทัยปวดร้าวยิ่งนัก

 

อาหัสผู้นี้….๒๘-๖

2 พงศาวดาร 28:22-27

ยิ่งถูกศัตรูรุกทำร้ายมากเท่าไร  ราชาอาหัสก็ยิ่งห่างไกลจากพระเจ้าไปเพียงนั้น  ราชาอาหัสทรงหันหลังให้กับพระเจ้า  และคิดหาทางที่จะรอดพ้นด้วยวิธีของพระองค์เอง

มีอย่างที่ไหน  แพ้ซีเรียแล้ว แทนที่จะซมซานมาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า กลับนำเอาเทวรูปของซีเรียมาตั้งในเยรูซาเล็ม  …ทรงกล่าวว่า “เพราะว่าชาวซีเรียมีพระของเขาช่วยเหลืออยู่   เดี๋ยวเราจะกราบไหว้ บูชา ถวายเครื่องสักการะพระเหล่านั้น   เผื่อว่า พระของซีเรียจะช่วยเราได้”

ราชาอาหัสตัวจริงคือผู้นี้…

คิดเอง ทำเองตามใจ  ไม่เกรงใจใครทั้งสิ้นแม้แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่บรรพบุรุษของพระองค์ได้วางใจมาโดยตลอด

อาหัสทรงตั้งใจว่า พระของซีเรียนี่แหละ  จะเป็นพระที่พระองค์นับถือ

ไปกันใหญ่….  เพราะว่า ยิ่งอาหัสทำอย่างนั้น  ความหายนะก็ยิ่งโถมเข้ามาในยูดาห์    ราชาอาหัสทรงรวบรวมภาชนะต่าง ๆ ที่ใช้ในพระวิหารออกมา  เอาออกมาทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และปิดประตูพระวิหาร

ยิ่งกว่านั้น ก็สร้างแท่นบูชาตามเมืองต่าง ๆ  สร้างที่สูงขึ้นมาเพื่อถวายเครื่องบูชากับเทวรูปสารพัดแบบ    ราชาอาหัสทรงทำให้พระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพระองค์ทรงกริ้วยิ่งนัก

ยังมีหลายอย่างที่ราชาอาหัสได้กระทำ และบันทึกไว้ในหนังสือของกษัตริย์แห่งยูดาห์และอิสราเอล

เมื่อราชาอาหัสสิ้นพระชนม์   เฮเซคียาห์ โอรสก็ขึ้นครองแทน

 

 

ศึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ๒๘-๕

2 พงศาวดาร 28:16-21
ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์กวาดเชลยไปสะมาเรีย  แล้วนำกลับมายังเมืองเยรีโคนั้นเอง  ราชาอาหัส ก็ได้ส่งสาส์นขอความช่วยเหลือไปยังราชาแห่งอัสซีเรีย

ไม่แต่อิสราเอลมาโจมตีจากทางเหนือเท่านั้น  แต่ยังมีชาวเอโดมทางใต้เข้ามาบุกและชนะศึก  กวาดคนยูดาห์ไปด้วยมากมาย

ส่วนทางตะวันตกเฉียงใต้   นักรบตัวใหญ่ผู้กล้าจากฟิลิสเตียก็จู่โจมเข้ามาใกล้เคียงกัน ไม่มีทางที่ยูดาห์จะเงยหน้าอ้าปากได้เลย

ฟิลิสเตียปล้นหัวเมืองเชเฟลาห์  เบธเชเมธ  อัยยาโลน  เกเกโรธ  โสโค และเมืองเล็ก ๆ รอบ ๆ    มิหนำซ้ำ ยังพาคนของพวกเขาเข้ามาตั้งถิ่นฐานแทรกไปกับชาวเมืองด้วย  …. ขืนเป็นอย่างนี้นาน ๆ ไป จะไม่มีคนยูดาห์เหลือ เพราะพวกเขาจะต้องพยายามเปลี่ยนเชื้อชาติด้วยการบังคับการแต่งงานระหว่างสองชนชาติ

ยูดาห์โดนโจมตีรอบด้าน

ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?

พระเจ้าทรงกระทำให้ยูดาห์ตกต่ำสุด ๆ เพราะว่า ตัวพระราชาเองนั่นแหละ   ราชาอาหัสได้ทำผิดต่อพระเจ้าอย่างร้ายแรง… และไม่ได้คิดแม้จะปรับเปลี่ยนพระองค์เพื่อความอยู่รอดของชาติ….  ราชาอาหัสนำให้ประชาชนจำนวนมากมายร่าเริงไปกับการกราบไหว้เทวรูป   พาพวกเขาไปนมัสการสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้า แต่ยกย่องมันเป็นพระ

ราชาอาหัสไม่ได้หันมาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า  ไม่กลับใจ  แต่ ทรงซ้ำเติมชนชาติยูดาห์ด้วยการไปขอความช่วยเหลือจากราชาอัสซีเรียผู้อหังการ!

ราชาอาหัสขนของในพระวิหารของพระเจ้า ทั้งเงิน ทอง และโลหะต่าง ๆ รวมทั้งอัญมณีที่มีค่า ไปเป็นเครื่องบรรณาการแก่ทิกลัสปิเลเสอร์….ซึ่งเป็นราชาแห่งอัสซีเรีย

เมื่อได้ของบรรณาการ แทนที่จะมาช่วยราชาอาหัส

กลับโจมตีทั้งอิสราเอลทางเหนืออย่างย่อยยับ (ประมาณ 722 ปีก่อนคริสตศักราช)   และรุกรานยูดาห์ซ้ำเติมเข้าไปอีก…  คราวนี้ยูดาห์แทบสิ้นชาติ  สิ้นเนื้อประดาตัว

ประชาชนรู้สึกโกรธแค้นพระราชา  และศัตรูยิ่งนัก  แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้  จำต้องรับเคราะห์กรรมจากสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   แล้วจะทำอย่างไรต่อไปกันดี ??

 

ราชาอาหัสครองประมาณ    735-719   ปี ก่อนคริสตศักราช

ทหารเหนือเปลี่ยนใจ ๒๘-๔

2 พงศาวดาร  28:12-15

คำเตือนของโอเดดนั้น จำเป็นสำหรับอิสราเอล แผ่นดินทางเหนือมาก  พวกเขาไม่ควรที่จะต้องเจอกับหายนะ  และตกต่ำไปกว่านี้

ช่วงเวลานั้นเอง  ผู้นำของทหารเผ่าเอฟราอิมหลายคนคือ อาซาริยาห์   เบเรคิยาห์ เยอิสคียาห์ อามาสา  ได้คุยกันและรู้ว่า พวกเขาต้องทำอะไรจึงจะถูกต้อง

ดังนั้น จึงออกไปรับคนที่กลับมาจากสงคราม  และป้องกันไม่ให้เขาทำอย่างที่ตั้งใจ คือการจับคนยูดาห์มาเป็นเชลย…

“พวกเจ้า  อย่านำคนยูดาห์เข้ามาเป็นเชลยของเรา   เพราะถ้าเจ้าทำอย่างนั้น เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว  ทำให้พระเจ้าทรงกริ้วยิ่งขึ้น   พวกนายก็รู้อยู่แล้วว่า ตอนนี้ พระเจ้าไม่พอพระทัยเราหลายเรื่อง”

ผู้นำทั้งสี่อธิบายให้เห็นว่า การที่พวกเขาได้ชัยชนะ ไม่ได้หมายความว่า เขาจะเอาพี่น้องร่วมบรรพบุรุษเหล่านี้มาบังคับเป็นทาสใช้แรงงานได้

“จริงซิ”  ทหารที่คุมเชลย และรู้สึกฮึกเหิมกลับเริ่มเข้าใจสิ่งที่ผู้นำทั้งสี่เตือน  “พวกเรา… ให้ปล่อยเชลย และใครถูกมัดเชือกไว้ก็ให้แก้เชือก”

“ท่านผู้นำขอรับ”  นายทหารคนหนึ่งกล่าวต่อผู้นำทั้งสี่   “พวกเราจะทิ้งของที่ริบมา  และจะปล่อยเชลยกลับไปตามที่ท่านตักเตือน   ขอบคุณที่ท่านช่วยให้เราไม่ต้องรับโทษจากพระเจ้าไปกว่านี้”

เสียงดังมาจากกลุ่มเชลยว่า “ขอบคุณพระเจ้า”     “ขอบคุณพระเจ้า”    “ขอบคุณพระเจ้า”  พวกเขาดีใจที่ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป  แต่ยังมีคนที่เดินเปลือยมาด้วยดังนั้น  จึงมีคนเอาเสื้อผ้าจากของที่ริบไปสวมให้เขา

พวกเขาจัดหารองเท้าให้เชลยเหล่านั้น

หาอาหาร และน้ำดื่ม  น้ำองุ่นให้พวกเขา

คนไหนมีบาดแผลก็ขโลมด้วยน้ำมันซึ่งเป็นยา

ยิ่งกว่านั้น บางคนถึงกับเดินไม่ได้  พวกเขาก็ช่วยเอาขึ้นลา พากลับมายังเมืองเยรีโคทางใต้อีกด้วย

“ท่านขอรับ  เราขอบคุณท่านมาก  ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรท่าน”  เชลยคนหนึ่งกล่าวแก่ทหารอิสราเอล

“ไม่เป็นไรหรอก  ข้าก็เสียใจนะ ที่ทำกับพวกเจ้าอย่างนั้น จริง ๆ แล้วอย่างไร เราก็สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน  ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรพวกเจ้ามาก ๆ “

จากนั้น พวกเขาก็เดินทางไปทางเหนือ มุ่งสู่เมืองสะมาเรีย

 

ผู้มาเตือน ๒๘_๓

2 พงศาวดาร  28:7-11

ทหารยูดาห์ถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก  แสนกว่าคน  เพื่อน ๆ คิดดูซิว่า แผ่นดินจะโกลาหลขนาดไหน  ประชาชนต้องมาช่วยกันฝังศพทหารเหล่านั้น  แค่ฝังคนเดียวยังเหน็ดเหนื่อย  แต่ครั้งนี้กลับเป็นแสนศพ!

เสียงร่ำไห้ของลูกเมียทหารเหล่านั้น ดังไปทั่ว …..

เด็กชายวัยรุ่นคิดแก้แค้นให้พ่อ  ความเจ็บปวดที่พ่อต้องมาตายทำให้พวกเขากลายเป็นคนเก็บกด… ตั้งใจว่า เมื่อโตขึ้นจะต้องทำลายทหารอิสราเอลทางเหนือให้ได้    เด็กมากมายที่ร้องทูลต่อพระเจ้าด้วยน้ำตาว่า ขอพระเจ้าทรงโปรดแก้แค้นให้เขาด้วย  ……

นี่เป็นผลของสงคราม!!

แล้วศครี  ซึ่งเป็นทหารกล้าของเผ่าเอฟราอิม ก็ได้สังหารโอรสของราชาอาหัส  อธิบดีกรมวัง และอุปราชด้วย  แต่พระราชารอดชีวิต

จากนั้นคนอิสราเอลก็ได้กวาดคนยูดาห์ไป 200,000 กว่าคน   ทั้งชายหญิง เด็ก ผู้ใหญ่

“อย่าทำเป็นอ้อยสร้อย  พวกเจ้านะรีบหน่อย ของทั้งหมดที่มีอยู่เอาไปด้วย  เงิน ทอง เพชร พลอย พวกข้าจะช่วยเก็บให้  ฮะ ฮ้า!!”

“ท่านจะกวาดเราไปที่ไหนกัน  ทำไมไม่ให้เราอยู่บ้านเมืองเรา  ท่านอยากได้อะไรก็เอาไปเถิด”

“ไปอยู่กับพวกข้าที่เมืองสะมาเรียดีกว่า… พวกเจ้านะ จะได้รับใช้่ข้าไง… สบายออก ไม่ต้องคิดอะไร  วัน ๆ ก็ทำงานให้พวกข้า”

มีผู้มาเตือนทหารอิสราเอล

แต่มีผู้กล่าวคำของพระเจ้าท่านหนึ่ง  เข้ามาพบผู้บัญชาการทหารอิสราเอล ขณะที่กำลังกวาดต้อนผู้คนไป
“ท่านดูซิ   พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราทรงกริ้วยูดาห์    และพระองค์ทรงให้พวกเขาอยู่ในกำมือของท่าน ”

“ข้าก็ว่าอย่างนั้นแหละ   ครั้งนี้เป็นการสู้รบที่ง่ายเหลือหลาย”  แม่ทัพตอบกลับมา   พร้อมกับยิ้มกว้าง

“แต่… พวกท่านกลับสังหารพวกเขาอย่างโหดร้าย  ท่านไม่ควรทำอย่างนั้น   ดูซิ  เรื่องราวนี้ไปถึงฟ้าสวรรค์แล้ว “

“หา… พระเจ้าไม่พอพระทัยหรือ?”

“ใช่แล้ว  ท่านพยายามกดขี่ทั้งคนยูดาห์ และคนในนครเยรูซาเล็ม  ทั้งชายหญิง พยายามจะเอาพวกเขาไปเป็นทาสของท่าน  … ท่านไม่คิดหรือว่า บาปของท่านเองก็อยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้า? “

แม่ทัพเริ่มกระสับกระส่าย

“ขอท่านฟังข้าหน่อย  ขอท่านส่งคนเหล่านี้กลับคืนบ้านเมืองของพวกเขา   เพราะว่า ตอนนี้ พระเจ้าทรงกริ้วพวกท่านมาก”

 

 

 

ผลของการทำชั่ว ๒๘-๒

 

ราชาอาหัส โดย  Guillaume Rouille (1518?-1589)

2  พงศาวดาร 28:5-7

ในเมื่ออาหัสไม่ยอมติดตามพระเจ้า แต่กลับไปถวายลูกชายเป็นเครื่องบูชาเทวรูปต่าง ๆ  พระเจ้าจึงทรงมอบราชาอาหัสไว้ให้ตกอยู่ใต้ราชาแห่งซีเรีย และราชาแห่งอิสราเอลที่ชื่อเปคาห์ บุตรเรามาลิยาห์

ไม่ไหวแล้ว  ประชาชนแตกตื่น และกลัวลานกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา

“ข้าว่าเราต้องอพยพไปแล้ว  อยู่ไม่ได้”

“ท่านไปได้เพราะท่านมีเงิน  แต่ข้าเป็นคนจน ยังไงก็ต้องเจอกับสิ่งร้าย ๆ เหมือนกับคนอื่น”

 

ช่วงเวลานั้น  ไม่มีความปลอดภัยในอิสราเอลเลย

ราชาเปคาห์แห่งอิสราเอลเข้ามาโจมตี และฆ่าทหารยูดาห์เก่ง ๆ  ตายไปถึง 120,000  คน  ภายในวันเดียว!!

วันเดียวเท่านั้น คนตายเป็นแสน

นี่มันน่ากลัวยิ่งกว่าอะไร  แล้วราชาอาหัสทรงคิดบ้างไหมว่า…. ที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ เป็นเพราะพระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น??

ยิ่งเกิดเหตุการณ์เช่นนี้  ประชาชนต่างขวัญหนีดีฝ่อไปตาม ๆ กัน   คนที่หนีได้ก็อพยพไป   ส่วนคนที่ยากจนก็หนีไม่พ้น

พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า

“ที่เกิดเหตุเช่นนี้ เป็นเพราะเขาทั้งหลายได้ทอดทิ้งพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย”

คราวนี้ ยูดาห์ซึ่งเคยเก่งกล้า ใคร ๆ ก็ยำเกรงสมัยราชาโยธาม กลับกลายเป็นยูดาห์ที่ใคร ๆ หัวเราะเยาะ

พวกเขาไม่ได้ทำตัวให้ถูกต้อง  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า อะไรดีไม่ดี….

พรุ่งนี้เราจะมาดูว่า พวกเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง

ผู้ตามรอยกษัตริย์ที่ชั่วร้าย ๒๘-๑

2 พงศาวดาร 28:1-4

อายุเพียง 20 ปี  ราชาอาหัสก็ขึ้นครองต่อจากราชบิดาโยธาม  แต่ราชาอาหัส ได้ทรงหักมุมจากความดีงามของเสด็จพ่อ และเสด็จปู่

และพระองค์ไม่ทรงทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าเลย แต่กลับทรงกระทำทุกอย่างตามแบบของกษัตริย์อิสราเอลทางภาคเหนือ

นอกจากไม่เข้าในพระวิหารของพระเจ้า ไม่นมัสการพระเจ้าแล้ว  ราชาอาหัสยังสร้างเทวรูปจ้าวบาอัลจากโลหะ  และถวายเครื่องสักการะที่หุบเขาแห่งบุตรฮินนอม และที่ร้ายไปกว่านั้น…

“ฮ้า พระราชาทำอย่างนี้ได้ไง?”

“มันโหดเหี้ยมมาก  ข้ากลัวจริง พระเจ้าจะทรงลงโทษพวกเรานะเนี่ย”

“เราจะไปห้ามพระองค์อย่างไรกัน  กับลูกชายของพระองค์ยังทำลงได้”

 

ไม่ใช่โอรสคนเดียว   แต่ราชาอาหับได้เอาโอรสจากมเหสี จากสนม มาเผาเป็นเครื่องบูชา !!

การบูชาแบบนี้ ทำให้เราประมาณการได้ว่า ราชาอาหัสบูชาจ้าวโมเลคด้วย  ซึ่งพวกเขาจะทำให้เทวรูปนั้นร้อนจัด  จากนั้นก็เอาเด็กตัวเล็ก ๆ  วางบนมือโลหะร้อนที่ยื่นออกมา

พวกเขาจะตีกลองเสียงดังจนกระทั่งเด็กคนนั้นร้องจนหมดลมหายใจ

น่าขยะแขยงจริง ๆ กับการทำเช่นนี้

ขณะที่ประชาชนต่างกลัวกันลนลาน

“ข้ากลัวว่า พระราชาจะบังคับให้ข้าบูชายัญลูกชายของข้า”

“เจ้าควรจะเอาลูกหลบไปให้ไกล  ไปอยู่เมืองอื่นก็ได้นะ”

แต่สำหรับราชาอาหัส  กลับทรงคิดอีกอย่าง

“ดูซิ  นี่ข้าทำเหมือน ๆ  ชาติต่าง ๆ ที่อยู่ล้อมรอบข้าแล้ว  ตอนนี้ ก็อยู่ในกระแสแล้วล่ะ   เหมือนกัน จะได้เป็นเพื่อนบ้านกัน”

ไม่เท่านั้น

ราชาอาหัสยังถวายเครื่องบูชามากมายตามที่สูง  ตามเนินเขา  ตามใต้ต้นไม้ต่าง ๆ  อย่างสม่ำเสมอ…..

 

ราชาโยธาม ๒๗

2 พงศาวดาร 27:1-9

ตอนที่ราชาอุสซียาห์สิ้นพระชนม์ไปพร้อมกับการเป็นโรคเรื้อน  ราชโอรสคือราชาโยธาม ขึ้นครองราชย์เมื่อทรงอายุได้ 25 ปี   พระมารดาคือ พระนางเยรูชาซึ่งเป็นธิดาของท่านศาโดก

สิ่งที่ดีจากราชาโยธามคือ ตลอด 16 ปีที่ครองราชย์นั้น พระองค์ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้าเสมอ  ทำสิ่งดีเหมือนกับราชบิดา  แต่พระองค์ไม่เสด็จเข้าไปในพระวิหารของพระเจ้า

ทำไมหรือ??

อาจเป็นเพราะว่า เห็นราชบิดาเป็นโรคเรื้อนเพราะได้ก้าวล้ำหน้าที่ของปุโรหิต พระองค์ก็ทรงหลีกเลี่ยงที่จะไม่เจอเหตุการณ์อย่างนั้นอีก ก็เป็นได้

แม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นพระราชาที่ดี  แต่ประชาชนส่วนหนึ่งยังคงติดตามสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  และพระองค์ก็ไม่ได้ทำอะไรพวกเขา

แต่สำหรับเรื่องของพระวิหารแล้ว  พระราชาได้ทรงดูแลให้พระวิหารงดงาม และทรงสร้างประตูบนเพิ่มเติมที่พระวิหาร และยังสร้างกำแพงของตำบลโอเฟล  ทรงสร้างเมืองในเขตเนินเขา  สร้างหอและป้อมในเขตที่เป็นป่าด้วย

ส่วนการทหารนั้น พระองค์ก็ไม่ได้น้อยหน้ากษัตริย์องค์ใด   ทรงต่อสู้กับราชาแห่งอัมโมน  ได้ชัยชนะ  และได้รับของบรรณาการมากมายทั้งแร่เงิน และอาหาร  ทำให้ประเทศแข็งแรงขึ้นอีก

พระคัมภีร์บันทึกว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ราชาโยธามดำเนินตามน้ำพระทัยของพระเจ้า   พระองค์ทรงทำเช่นนั้นตลอดมา สม่ำเสมอ ไม่หันเหไปไหน….

น่าดีใจที่อย่างน้อย ราชาองค์นี้ไม่มีอะไรที่ทำให้พระเจ้าต้องทรงกริ้วเหมือนกับราชบิดา   ดีใจที่พระองค์ทรงติดตามพระเจ้าตลอดชีวิตของพระองค์

พระองค์ทรงครอง 16 ปี  ก็สิ้นพระชนม์   ราชโอรสจึงขึ้นครอง

 

ตอนจบที่แสนเศร้า ๒๖-๔

2 พงศาวดาร 26:19-23

“ข้าแต่พระราชา ขอทรงโปรดฟังข้าพระบาท   โปรดฟังด้วย  …. เสด็จออกจากที่นี่ เดี๋ยวนี้ พะยะค่ะ  ข้าพระบาทกลัวแทนพระองค์จริง ๆ”

ไม่เลย  ราชาอุสซียาห์ไม่ทรงฟังเสียงของปุโรหิต ที่เตือนพระองค์ด้วยความหวังดี

“อย่ามายุ่งกับข้า  ข้าจะทำอะไร มันก็เรื่องของข้า” ขณะนั้น ราชาอุสซียาห์ทรงอุ้มกระถางไฟ พร้อมที่จะเผาเครื่องหอม

ทรงกริ้วเหล่าปุโรหิตมาก

….ทำไมต้องมาห้ามด้วย  ข้าเป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน  ยังจะมีกฎเกณฑ์ใดใหญ่ยิ่งกว่าความต้องการของข้ารึ?   และสิ่งที่ข้ากำลังจะทำนี้ ก็ทำเพื่อถวายพระเจ้า….

ราชาอุสซียาห์ลืมกฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า

 

ขณะนั้นเอง

“โอ๊ะ… ดู  ดูนั่น”  ปุโรหิตคนหนึ่งร้องออกมา  พร้อมกับมองไปที่หน้าผากของพระราชา

เกิดมีรอยขาว ๆ ขึ้น ….  นั่น  นั่นมันโรคเรื้อนนี่นา   อะไรกัน โรคเรื้อนปรากฏกันรวดเร็ว  ง่าย ๆ อย่างนี้เอง  เกิดขึ้นในพระวิหารด้วย….

ภาพจาก visualbiblealive.com

พวกเขาร้องเสียงหลง

มีคนหนึ่งผลักพระราชาออกไป

“ไปเถอะ  ขอพระองค์รีบออกไปจากพระวิหาร!”

พระราชาเองตกพระทัยมาก

“โอย… อะไรนี่  มันผุดออกมาบนหน้าผากข้าได้อย่างไร?”

พระราชารีบรุดออกไปจากพระวิหารทันที  พระเจ้าทรงลงโทษพระองค์ เพราะพระองค์ไม่ยอมฟังเสียงของคนที่เตือนก่อนหน้านี้
และแล้ว พระราชาต้องทรงอยู่ในกฎเกณฑ์ของพระเจ้า   พระองค์ต้องอยู่ในพระราชวังที่แยกออกไปจากคนอื่น ๆ   ไม่มีโอกาสดำเนินเข้าไปในพระวิหารอีกเลย  พระองค์ทรงเป็นโรคเรื้อนจนวันที่สิ้นพระชนม์

น่าเสียดายเหลือเกิน

พระราชาที่แสนดี

กลับกลายมาเสียทีกับความเย่อหยิ่งของพระองค์เองในบั้นปลาย

พระองค์ทรงถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษในทุ่งอันเป็นฝังพระศพของพระราชา  เพราะว่า พระองค์ทรงเป็นโรคเรื้อน  จึงไม่ได้ถูกเก็บอยู่ในถ้ำเหมือนพระราชาองค์อื่น ๆ

 

โยธาม  ราชโอรส ขึ้นครองราชย์แทน….

 

 

ล้ำเส้น ๒๖-๓

2 พงศาวดาร 26:16-18

บ้านเมืองเจริญมั่งคั่ง

การทหารเข้มแข็ง มีการป้องกันประเทศรอบด้าน

การประดิษฐ์อาวุธแบบใหม่ขึ้นมา ทำให้ประชาชาติทั้งหลายต่างเกรงขาม

เมืองใหม่ ๆ  เกิดขึ้นในถิ่นกันดาร

การค้าระหว่างเมืองก็อยู่ในขั้นที่ดี ประชาชนอยู่ดีมีสุข

….ดี  ดีจริงที่ประเทศนี้เจริญได้ขนาดนี้ในมือของเรา… ราชาอุสซียาห์เริ่มคิดเป็นอื่นไปจากพระเจ้า    ทรงคิดว่า  “ฉันนี่ยอดจริง ๆ “

 

ในพระวิหาร พระเจ้าทรงกำหนดให้ปุโรหิตทำหน้าที่เผาเครื่องหอม  ปุโรหิตยังคงเป็นตัวกลางระหว่างพระเจ้ากับประชาชน และองค์กษัตริย์   ไม่มีอะไรเปลี่ยน

แต่ด้วยความที่ราชาอุสซียาห์ทรงคิดว่า พระองค์ทำได้ทุกอย่าง

 

จึงก้าวล้ำเข้าไปในหน้าที่ของปุโรหิต   ทรงคิดว่า ทำอย่างอื่นได้  ก็ทำอะไรในพระวิหารได้เหมือนกัน  ทรงเดินเข้าไปในพระวิหาร และเริ่มต้นที่จะเผาเครื่องหอม!

พวกเราอาจไม่เข้าใจว่า ทำไมมันเป็นเรื่องใหญ่โต… เรื่องใหญ่ซิ  .. พระเจ้าทรงสั่งอะไร เราต้องทำตามพระเจ้า ไม่ใช่นึกจะทำอะไรก็ได้

“ท่านปุโรหิตขอรับ   พระราชาเสด็จเข้าไปเผาเครื่องหอมขอรับ”  มีคนหนึ่งรีบเข้าไปแจ้งกับปุโรหิต

ดังนั้นปุโรหิตอาซาริยาห์จึงเรียกปุโรหิตอีก 80 คนเข้าไปในพระวิหารด้วยกัน พวกเขาขัดขวางพระราชา

“ขอพระราชาโปรดหยุดที่จะทำสิ่งต้องห้ามนี้พะยะค่ะ”   อาซาริยาห์กราบทูล
“พระราชาไม่ทรงมีหน้าที่เผาเครื่องหอมถวายพระเจ้า  แต่มันเป็นหน้าที่ของปุโรหิต ลูกหลานท่านอาโรน  พวกเขาถูกชำระตัวให้บริสุทธิ์แล้ว จึงมาเผาเครื่องหอม”

ภาพจาก jesusfootprints.wordpress.com

“อะไรนะ  เจ้าว่าอะไร”  ราชาอุสซียาห์ทรงกริ้ว

“ขอประทานอภัยด้วยพะยะค่ะ   ขอเสด็จออกจากสถานบริสุทธิ์    เพราะบัดนี้ พระองค์ทรงล่วงเกินพระเจ้า  และพระองค์จะไม่ได้ทรงรับเกียรติยศจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย”

ราชาอุสซียาห์จะฟังพวกเขาไหม?

 

ยอดพระราชา ๒๖-๒

2 พงศาวดาร 26:6-15

ความเจริญในสมัยของราชาอุสซียาห์นั้น ทำให้ประชาชนเริ่มสบายใจขึ้นมาก  ผู้คนอยู่ดีกินดี  ทำสงครามกับใครก็ชนะ

ที่ต้องทำสงครามก็เพราะในโลกโบราณนั้น หากอยู่เฉยนานไป ทหารก็จะอ่อนแอ  อาจถูกประเทศอื่นเข้ามาโจมตีได้

ราชาอุสซียาห์เองทรงเริ่มต้นต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย  ซึ่งมีความเก่งกาจในการรบเป็นอย่างยิ่ง

ภาพเขียนของไมเคิลแอนเจโล

พระองค์ทรงพังกำแพงเมืองกัททางใต้  เมืองยับเนห์และอัชโดด ยิ่งกว่านั้น ทรงสร้างเมืองในเขตแดนของคนฟิลิสเตียด้วย  นี่อาจหาญมากทีเดียว  ทำให้คนทั้งหลายมองว่า พระองค์ทรงเข้มแข็งในการทหาร

ที่ราชาอุสซียาห์เก่งอย่างนี้ได้  ก็เพราะพระเจ้าทรงช่วยพระองค์ ในการทำสงครามกับคนฟิลิสเตีย  คนอะราเบีย และคนเมอูนิมด้วย   ไม่ว่าไปทำศึกครั้งใด พระเจ้าทรงอยู่ด้วย และทรงช่วยให้พระองค์ได้รับชัยชนะ

กลายเป็นว่าตอนนี้  คนชาวอัมโมนก็ต้องมาส่งส่วยให้กับราชาอุสซียาห์แห่งยูดาห์

พระนามอุสซียาห์กลายเป็นนามที่โดดเด่น   ประชาชาติในตะวันออกกลางต่างยกนิ้วให้   พวกเขาเห็นว่า พระองค์ทรงเข้มแข็งไม่แพ้กษัตริย์ที่เข้มแข็งแห่งราชวงศ์ยูดาห์ในอดีต

แน่นอน ราชาอุสซียาห์ย่อมรู้สึกกระหยิ่มอยู่บ้าง….
พระองค์ทรงสร้าง ซ่อมแซมป้อมนครเยรูซาเล็มให้แข็งแรง  และยังทรงไปดูเมืองอื่น ๆ รอบ ๆ ด้วย

 

พระราชาองค์นี้ไม่เฉพาะเก่งทางการต่อสู้เท่านั้น  แต่ยังดูแลบ้านเมือง ความเป็นอยู่ของราษฎร พระองค์ไม่ทรงทิ้ง  ทรงสร้างเมืองในทะเลทราย ขุดบ่อน้ำ   ทรงให้คนเลี้ยงสัตว์ ทำไร่องุ่น   ราชาอุสซียาห์รักการทำไร่ทำสวนไม่น้อยไปกว่าการปกครอง การทหาร   เป็นพระราชาที่ทรงทำงานรอบด้าน

พระองค์ทรงมีทหารในกองทัพถึง  307,500 คน    มีผู้บังคับบัญชา 2,600 คน แน่อน ยิ่งกองทัพใหญ่ ก็ต้องมีโล่ หอก ธนู  สลิง  เสื้อเกราะ หมวกเหล็ก มากมาย  นี่ทำให้คนมีงานทำอีก  เศรษฐกิจของประเทศก็ดีตามไปด้วย

และนี่เองทำให้มีการคิดค้นเครื่องกลเพื่อทำสงคราม  ประดิษฐ์อาวุธแปลกใหม่ที่ในโลกโบราณไม่เคยมีมาก่อน  เป็นเครื่องยิงลูกธนู และหินใหญ่ให้ไปไกล ๆ  อย่างนี้แล้ว  จะไม่ให้พระนามอุสซียาห์ระบือไปไกลได้อย่างไร

 

รัชสมัยอุสซียาห์ ๒๖-๑

2 พงศาวดาร 26:1-5

ราชาอามาซิยาห์ทรงถูกสังหาร และพระศพก็ถูกนำมาเก็บไว้ตามประเพณี    หากพระองค์ไม่ทรงไปยุ่งกับราชาแห่งอิสราเอล   ยูดาห์ก็จะไม่กลายเป็นเมืองขึ้นของอิสราเอล

สิ้นราชาอามาซิยาห์แล้ว  ราชโอรสคือ อุสซียาห์ก็ขึ้นครองแทนราชบิดาทันที   ตอนนั้นทรงอายุเพียง 16 พรรษา  ยังเป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นอยู่  แต่พระองค์ทรงมีท่านเศคาริยาห์คอยถวายการดูแล  ถวายการสอนให้พระองค์

พระมารดาคือพระนางโยโคลียาห์ก็คอยดูแลเช่นกัน   ดังนั้น อุสซียาห์จึงไม่ทรงลำบากในการปกครองมากนัก

พระองค์ยังทรงถูกเรียกว่า อาซาริยาห์ในบางครั้ง

พระองค์ทรงสร้างเมืองและพยายามนำเมืองต่าง ๆ กลับมาคืนแก่ยูดาห์ด้วย   และสิ่งที่สำคัญก็คือ พระองค์ทรงทำสิ่งที่ชอบพระทัยพระเจ้าตามที่ราชาอามาซิยาห์เคยทรงทำ

 

นี่เป็นสิ่งที่พระราชาแห่งยูดาห์พึงกระทำ

นั่นคือการยำเกรงพระเจ้า และแสวงหาพระองค์   ซึ่งเมื่อทำสิ่งนั้น  พระราชาและประเทศชาติก็จำเริญขึ้นเสมอไป

น่าเสียดายที่พระองค์ยังทรงปล่อยให้มีการถวายสัตวบูชา และเครื่องหอมบนที่สูง  พระองค์น่าจะทรงกำจัดสิ่งเหล่านี้้ออกไปให้หมด  แต่ก็มิได้ทรงลงมือทำสิ่งใด  ….

จุดจบอามาซิยาห์ ๒๕-๖

2 พงศาวดาร 25:20-28

ราชาเยโฮอาชทรงเตือนราชาอามาซิยาห์ว่า  ไม่ควรคิดจะมาสู้รบกัน เพราะจะแพ้แน่นอน  แต่อามาสซิยาห์ไม่ฟัง  ไม่พอใจ    ตั้งใจแล้วนี่นาว่า จะต้องรบกัน  ก็ออกมารบให้รู้แพ้รู้ชนะกันไปเลย   ลึก ๆ  ราชาอามาซิยาห์มั่นใจว่า พระองค์จะทรงชนะ

แต่ การที่ราชาอามาซิยาห์ดึงดันเช่นนี้ เป็นเพราะพระเจ้าจะทรงมอบอามาซิยาห์เองไว้ให้กับศัตรู    เนื่องจากได้หันไปหาพระแห่งเอโดม แทนที่จะเชื่อและวางใจพระเจ้า

กษัตริย์จากเหนือและใต้ ได้เผชิญหน้ากันที่ เบธเชเมธ  แต่ฝ่ายอามาซิยาห์กลับพ่ายแพ้ หนีหัวซุกหัวซุน

“เตือนแล้ว  ข้าเตือนเจ้าแล้วว่า อย่ามาหือกับข้า”  ราชาเยโฮอาช ตรัสกับอามาซิยาห์

“คุมตัวกลับไปเยรูซาเล็มเดี๋ยวนี้  เราจะให้มันพาเราไปเก็บข้าวของ  เงินทองที่มันสะสมไว้”…..  ราชาเยโฮอาชสั่งแม่ทัพ

เมื่อมาถึงนครเยรูซาเล็ม

ทหารอิสราเอลทางเหนือได้รับคำสั่งที่แปลกมาก

“พวกเจ้าไปพังกำแพงเมืองลงมา   แล้วเราราชาอามาซิยาห์มาดูด้วย  ริบทองคำ เงิน ในพระวิหาร  ในวังมาให้หมด  อย่าให้เหลือ”

“แล้วอย่าลืมจับตัวประกันคนสำคัญไปด้วย  พวกนี้จะได้ไม่มาโอหังกับข้าอีก”

ภาพจาก thebiblerevival.com

ดูเหมือนว่า เขาจะทิ้งราชาอามาซิยาห์ไว้ในนครเยรูซาเล็ม กับวังและพระวิหารที่ไร้เครื่องใช้สอย  ในที่สุด อามาซิยาห์หนีไปเมืองลาคีช    แต่เขาก็ตามพระองค์ไปและประหารพระองค์ที่นั่น

ยังดีที่เอาพระศพกลับมาเก็บไว้ในถ้ำเดียวกับบรรพบุรุษของพระองค์

 

 

เตือนแล้วนะ… ๒๕-๔

2 พงศาวดาร 25:17-20

หลังจากที่ชนะศึกเอโดมไม่นาน  ราชาอามาซิยาห์ก็ทรงคิดว่า พระองค์น่าจะทำศึกอีกครั้ง  คราวนี้ จะทำศึกกับราชาเยโฮอาชแห่งอิสราเอลทางเหนือ   พระองค์ทรงปรึกษากับข้าราชบริพาร และแม่ทัพ  ทุกคนต่างมีความเห็นว่า น่าจะรบชนะ  เพราะตอนนั้น เราชาเยโฮอาชไม่มีกองทัพใหญ่ เหมือนยูดาห์   พระองค์ส่งสารไปว่า

“มาเถอะ  ให้เราทั้งสองมาต่อสู้กัน”

เมื่อราชาเยโฮอาชได้รับสารนั้น  ก็ทรงไม่พอพระทัย  แต่ไม่ได้ต้องการที่จะทำสงครามกับยูดาห์  จึงให้คนส่งสารตอบกลับมาว่า

“ต้นหนามแห่งเลบานอน  ส่งสารมาหาต้นสีดาร์แห่งเลบานอน กล่าวว่า จงยกบุตรสาวของท่านให้แต่งงานกับลูกชายของเรา… “

ราชาเยโฮอาชได้เปรียบเทียบราชาอามาซิยาห์ว่าเป็นเพียงต้นหนาม  ส่วนเยโฮอาชเป็นสนสีดาร์ที่งดงาม  สารของเยโฮอาชจบลงที่ว่า

“พอดีมีสัตว์ป่าในทุ่งตัวหนึ่งเดินผ่านมา  และย่ำต้นหนามนั้นจนราบ  ท่านอามาซิยาห์คิดว่า … ดูซิข้าได้โจมตีเอโดมสำเร็จ… และท่านก็โอ้อวด    แต่เราขอเตือนท่านว่า  อยู่กับบ้านสบาย ๆ เถอะ  ทำไมต้องเหิมเกริมให้มามีเรื่องต่อสู้ แล้วเจอกับอันตรายที่จะทำให้ท่านล้มลงไปเล่า   ไม่เฉพาะตัวท่านเท่านั้น  แต่ทั้งยูดาห์ด้วย”

ราชาเยโฮอาชเตือนราชาอามาซิยาห์ในสารนั้น

แต่อามาซิยาห์ไม่ฟัง

กลับโกรธ….  พร้อมที่จะออกไปสู้กับราชาเยโฮอาช   คิดว่า ตนเองเก่งกล้าสามารถ

อามาซิยาห์หาทราบไม่ว่า

นี่เป็นมาจากพระเจ้า เพราะว่า อามาซิยาห์ได้ดูหมิ่นพระองค์ด้วยการไปกราบไหว้นมัสการเทวรูปแห่งเอโดม ซึ่งเป็นพระของศัตรู…..

ความโง่เขลาของอามาซิยาห์เกิดขึ้นและจะนำไปสู่หายนะ  เพราะว่า ไม่ฟังคำเตือนดี ๆ ของราชาเยโฮอาช  พระเจ้าจะทรงปล่อยให้อามาซิยาห์เข้าสู่สงครามกับอิสราเอล  เทวรูป…นำอามาซิยาห์ไปสู่การตัดสินใจที่โง่เขลา ….และแน่นอน พระราชาจะได้ชิมผลของการตัดสินใจนั้น

คำเตือนที่ไร้ผล ๒๕-๓

แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิด ก็เกิดขึ้นกับราชาอามาซิยาห์

แทนที่จะขอบคุณพระเจ้ากับการปราบชาวเสอีร์จนอยู่มือ  ราชาอามาซิยาห์กลับนำรูปเคารพของศัตรูมาตั้งเป็นพระ  ทั้งกราบไหว้ นมัสการรูปเหล่านั้น และเผาเครื่องหอมถวายด้วย

ใครกัน ที่ยุให้พระราชาทำเช่นนี้

แต่จะใครยุแหย่ก็ตาม  ราชาอามาซิยาทรงตัดสินใจได้ว่า พระองค์จะทรงทำสิ่งที่ถูกต้อง หรือสิ่งที่จะนำหายนะมาสู่พระองค์
พระเจ้าทรงกริ้วต่อการกระทำของอามาซิยาห์

พระองค์เป็นผู้ประทานชัยชนะให้กับเขา  แต่เขากลับหันไปหาพระของศัตรู!! นี่มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่มันก็เป็นไปแล้ว….

พระเจ้าจึงทรงใช้ผู้กล่าวคำของพระองค์ไปเฝ้าราชาอามาซิยาห์


“ทำไมเจ้า จึงแสวงหาพระของชนชาติที่ไม่สามารถช่วยตนเองให้พ้นมือของเจ้าได้?” เขาทูลพระราชาว่า พระเจ้าตรัสอย่างไร   เป็นคำถามที่แทงใจราชาอามาซิยาห์  มันทำให้เห็นว่า พระองค์นั้นทรงโง่เขลาเพียงใด

“ข้าแต่งตั้งให้เจ้าเป็นที่ปรึกษาข้ารึ  เจ้าจึงมาพูดอย่างนี้  หยุดเดี๋ยวนี้!”  ราชาอามาซิยาห์ทรงกริ้วยิ่งนักที่ถูกกล่าวหา

“พะยะค่ะ”  ผู้กล่าวคำของพระเจ้าคนนั้นจึงหยุดพูดไปสักพัก

แต่แล้วเขาก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ข้าพระบาทรู้ว่า  พระเจ้าทรงตั้งพระทัยจะทำลายพระองค์อย่างแน่นอน    เพราะพระองค์ทรงกระทำเยี่ยงนี้ และไม่ได้ฟังคำปรึกษาของข้าพระบาท”

“ไป  ไปให้พ้นหน้าข้า… เจ้าคงไม่อยากตายนะ”

เขาจึงรีบออกไปจากพระพักตร์พระราชาโดยไม่รีรอ…

 

ทั้งขึ้นทั้งล่อง ๒๕-๓

2 พงศาวดาร 25:10-13

แม้ว่า ราชาอามาซิยาห์จะไม่ได้ยึดเงินคืน   เมื่อบอกเลิกบริการรับจ้างรบของทหารอิสราเอล   แต่พวกเขาก็โกรธกันหัวฟัดหัวเหวี่ยง   ตลอดทางพวกเขาก่นด่าราชาอามาซิยาห์

“ไม่น่ามาจ้างพวกเรา แล้วก็บอกเลิก”

“นั่นซิ  ไม่ให้เกียรติกันเลย”

“ใคร ๆ จะว่า พวกเราไม่เชี่ยวการรบ  จึงถูกบอกเลิก”

“แต่เราก็ได้เิงินมามากโขอยู่นะท่าน”

“ไม่มากพอ  เดี๋ยวจะได้เห็นว่า พวกเรานั้นราคาแพงกว่านั้นมากนัก!”

 

ในเวลาเดียวกัน อามาสิยาห์ พาทหารของพระองค์ไปยังหุบเขาเกลือ ทางใต้ของแผ่นดินยูดาห์

ที่นั่นพระองค์ทรงโจมตีคนชาวเสอีร์ 10,000 คน!    และยังจับเป็นได้อีก 10,000 คน

ทหารยูดาห์ทำได้!

“ไชโย!!  พระราชาของเราไม่น่าไปเสียเงินจ้างทหารอิสราเอลเลย   ถ้าพระองค์ทรงเก็บไว้ให้เป็นรางวัลของพวกเราน่าจะดีกว่า”

“จริงด้วย”

พวกเขาจับคนเสอีร์บังคับให้เดินขึ้นไปบนยอดเขา เป็นหน้าผา     แล้วก็ผลักพวกเขาลงมาข้างล่างจนสิ้นชีวิตหมดทุกคน

ขณะที่พวกเขากำลังชื่นชมกับชัยชนะนั้นเอง

มีม้าเร็วจากหัวเมืองขอเข้าเฝ้าพระราชา

“พวกทหารเอฟราอิมเข้าโจมตีหัวเมืองตั้งแต่สะมาเรียไปถึงเบธโฮโรนพะยะค่ะ”

 

“พวกเขาฆ่าประชาชนไป 3000 คน  และปล้นข้าวของไปด้วยมากมายพะยะค่ะ”

 

ถ้าทหารพวกนี้มาช่วยรบ  จะเกิดอะไรขึ้น  อาจจะหักหลังทัพยูดาห์กลางคนก็เป็นได้?

ไม่ช่วยรบ ก็พาลไปทำร้ายคนอื่นอีก …. ร้ายทั้งขึ้นทั้งล่อง