ตอนจบที่แสนเศร้า ๒๖-๔

2 พงศาวดาร 26:19-23

“ข้าแต่พระราชา ขอทรงโปรดฟังข้าพระบาท   โปรดฟังด้วย  …. เสด็จออกจากที่นี่ เดี๋ยวนี้ พะยะค่ะ  ข้าพระบาทกลัวแทนพระองค์จริง ๆ”

ไม่เลย  ราชาอุสซียาห์ไม่ทรงฟังเสียงของปุโรหิต ที่เตือนพระองค์ด้วยความหวังดี

“อย่ามายุ่งกับข้า  ข้าจะทำอะไร มันก็เรื่องของข้า” ขณะนั้น ราชาอุสซียาห์ทรงอุ้มกระถางไฟ พร้อมที่จะเผาเครื่องหอม

ทรงกริ้วเหล่าปุโรหิตมาก

….ทำไมต้องมาห้ามด้วย  ข้าเป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน  ยังจะมีกฎเกณฑ์ใดใหญ่ยิ่งกว่าความต้องการของข้ารึ?   และสิ่งที่ข้ากำลังจะทำนี้ ก็ทำเพื่อถวายพระเจ้า….

ราชาอุสซียาห์ลืมกฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า

 

ขณะนั้นเอง

“โอ๊ะ… ดู  ดูนั่น”  ปุโรหิตคนหนึ่งร้องออกมา  พร้อมกับมองไปที่หน้าผากของพระราชา

เกิดมีรอยขาว ๆ ขึ้น ….  นั่น  นั่นมันโรคเรื้อนนี่นา   อะไรกัน โรคเรื้อนปรากฏกันรวดเร็ว  ง่าย ๆ อย่างนี้เอง  เกิดขึ้นในพระวิหารด้วย….

ภาพจาก visualbiblealive.com

พวกเขาร้องเสียงหลง

มีคนหนึ่งผลักพระราชาออกไป

“ไปเถอะ  ขอพระองค์รีบออกไปจากพระวิหาร!”

พระราชาเองตกพระทัยมาก

“โอย… อะไรนี่  มันผุดออกมาบนหน้าผากข้าได้อย่างไร?”

พระราชารีบรุดออกไปจากพระวิหารทันที  พระเจ้าทรงลงโทษพระองค์ เพราะพระองค์ไม่ยอมฟังเสียงของคนที่เตือนก่อนหน้านี้
และแล้ว พระราชาต้องทรงอยู่ในกฎเกณฑ์ของพระเจ้า   พระองค์ต้องอยู่ในพระราชวังที่แยกออกไปจากคนอื่น ๆ   ไม่มีโอกาสดำเนินเข้าไปในพระวิหารอีกเลย  พระองค์ทรงเป็นโรคเรื้อนจนวันที่สิ้นพระชนม์

น่าเสียดายเหลือเกิน

พระราชาที่แสนดี

กลับกลายมาเสียทีกับความเย่อหยิ่งของพระองค์เองในบั้นปลาย

พระองค์ทรงถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษในทุ่งอันเป็นฝังพระศพของพระราชา  เพราะว่า พระองค์ทรงเป็นโรคเรื้อน  จึงไม่ได้ถูกเก็บอยู่ในถ้ำเหมือนพระราชาองค์อื่น ๆ

 

โยธาม  ราชโอรส ขึ้นครองราชย์แทน….

 

 

ล้ำเส้น ๒๖-๓

2 พงศาวดาร 26:16-18

บ้านเมืองเจริญมั่งคั่ง

การทหารเข้มแข็ง มีการป้องกันประเทศรอบด้าน

การประดิษฐ์อาวุธแบบใหม่ขึ้นมา ทำให้ประชาชาติทั้งหลายต่างเกรงขาม

เมืองใหม่ ๆ  เกิดขึ้นในถิ่นกันดาร

การค้าระหว่างเมืองก็อยู่ในขั้นที่ดี ประชาชนอยู่ดีมีสุข

….ดี  ดีจริงที่ประเทศนี้เจริญได้ขนาดนี้ในมือของเรา… ราชาอุสซียาห์เริ่มคิดเป็นอื่นไปจากพระเจ้า    ทรงคิดว่า  “ฉันนี่ยอดจริง ๆ “

 

ในพระวิหาร พระเจ้าทรงกำหนดให้ปุโรหิตทำหน้าที่เผาเครื่องหอม  ปุโรหิตยังคงเป็นตัวกลางระหว่างพระเจ้ากับประชาชน และองค์กษัตริย์   ไม่มีอะไรเปลี่ยน

แต่ด้วยความที่ราชาอุสซียาห์ทรงคิดว่า พระองค์ทำได้ทุกอย่าง

 

จึงก้าวล้ำเข้าไปในหน้าที่ของปุโรหิต   ทรงคิดว่า ทำอย่างอื่นได้  ก็ทำอะไรในพระวิหารได้เหมือนกัน  ทรงเดินเข้าไปในพระวิหาร และเริ่มต้นที่จะเผาเครื่องหอม!

พวกเราอาจไม่เข้าใจว่า ทำไมมันเป็นเรื่องใหญ่โต… เรื่องใหญ่ซิ  .. พระเจ้าทรงสั่งอะไร เราต้องทำตามพระเจ้า ไม่ใช่นึกจะทำอะไรก็ได้

“ท่านปุโรหิตขอรับ   พระราชาเสด็จเข้าไปเผาเครื่องหอมขอรับ”  มีคนหนึ่งรีบเข้าไปแจ้งกับปุโรหิต

ดังนั้นปุโรหิตอาซาริยาห์จึงเรียกปุโรหิตอีก 80 คนเข้าไปในพระวิหารด้วยกัน พวกเขาขัดขวางพระราชา

“ขอพระราชาโปรดหยุดที่จะทำสิ่งต้องห้ามนี้พะยะค่ะ”   อาซาริยาห์กราบทูล
“พระราชาไม่ทรงมีหน้าที่เผาเครื่องหอมถวายพระเจ้า  แต่มันเป็นหน้าที่ของปุโรหิต ลูกหลานท่านอาโรน  พวกเขาถูกชำระตัวให้บริสุทธิ์แล้ว จึงมาเผาเครื่องหอม”

ภาพจาก jesusfootprints.wordpress.com

“อะไรนะ  เจ้าว่าอะไร”  ราชาอุสซียาห์ทรงกริ้ว

“ขอประทานอภัยด้วยพะยะค่ะ   ขอเสด็จออกจากสถานบริสุทธิ์    เพราะบัดนี้ พระองค์ทรงล่วงเกินพระเจ้า  และพระองค์จะไม่ได้ทรงรับเกียรติยศจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย”

ราชาอุสซียาห์จะฟังพวกเขาไหม?

 

ยอดพระราชา ๒๖-๒

2 พงศาวดาร 26:6-15

ความเจริญในสมัยของราชาอุสซียาห์นั้น ทำให้ประชาชนเริ่มสบายใจขึ้นมาก  ผู้คนอยู่ดีกินดี  ทำสงครามกับใครก็ชนะ

ที่ต้องทำสงครามก็เพราะในโลกโบราณนั้น หากอยู่เฉยนานไป ทหารก็จะอ่อนแอ  อาจถูกประเทศอื่นเข้ามาโจมตีได้

ราชาอุสซียาห์เองทรงเริ่มต้นต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย  ซึ่งมีความเก่งกาจในการรบเป็นอย่างยิ่ง

ภาพเขียนของไมเคิลแอนเจโล

พระองค์ทรงพังกำแพงเมืองกัททางใต้  เมืองยับเนห์และอัชโดด ยิ่งกว่านั้น ทรงสร้างเมืองในเขตแดนของคนฟิลิสเตียด้วย  นี่อาจหาญมากทีเดียว  ทำให้คนทั้งหลายมองว่า พระองค์ทรงเข้มแข็งในการทหาร

ที่ราชาอุสซียาห์เก่งอย่างนี้ได้  ก็เพราะพระเจ้าทรงช่วยพระองค์ ในการทำสงครามกับคนฟิลิสเตีย  คนอะราเบีย และคนเมอูนิมด้วย   ไม่ว่าไปทำศึกครั้งใด พระเจ้าทรงอยู่ด้วย และทรงช่วยให้พระองค์ได้รับชัยชนะ

กลายเป็นว่าตอนนี้  คนชาวอัมโมนก็ต้องมาส่งส่วยให้กับราชาอุสซียาห์แห่งยูดาห์

พระนามอุสซียาห์กลายเป็นนามที่โดดเด่น   ประชาชาติในตะวันออกกลางต่างยกนิ้วให้   พวกเขาเห็นว่า พระองค์ทรงเข้มแข็งไม่แพ้กษัตริย์ที่เข้มแข็งแห่งราชวงศ์ยูดาห์ในอดีต

แน่นอน ราชาอุสซียาห์ย่อมรู้สึกกระหยิ่มอยู่บ้าง….
พระองค์ทรงสร้าง ซ่อมแซมป้อมนครเยรูซาเล็มให้แข็งแรง  และยังทรงไปดูเมืองอื่น ๆ รอบ ๆ ด้วย

 

พระราชาองค์นี้ไม่เฉพาะเก่งทางการต่อสู้เท่านั้น  แต่ยังดูแลบ้านเมือง ความเป็นอยู่ของราษฎร พระองค์ไม่ทรงทิ้ง  ทรงสร้างเมืองในทะเลทราย ขุดบ่อน้ำ   ทรงให้คนเลี้ยงสัตว์ ทำไร่องุ่น   ราชาอุสซียาห์รักการทำไร่ทำสวนไม่น้อยไปกว่าการปกครอง การทหาร   เป็นพระราชาที่ทรงทำงานรอบด้าน

พระองค์ทรงมีทหารในกองทัพถึง  307,500 คน    มีผู้บังคับบัญชา 2,600 คน แน่อน ยิ่งกองทัพใหญ่ ก็ต้องมีโล่ หอก ธนู  สลิง  เสื้อเกราะ หมวกเหล็ก มากมาย  นี่ทำให้คนมีงานทำอีก  เศรษฐกิจของประเทศก็ดีตามไปด้วย

และนี่เองทำให้มีการคิดค้นเครื่องกลเพื่อทำสงคราม  ประดิษฐ์อาวุธแปลกใหม่ที่ในโลกโบราณไม่เคยมีมาก่อน  เป็นเครื่องยิงลูกธนู และหินใหญ่ให้ไปไกล ๆ  อย่างนี้แล้ว  จะไม่ให้พระนามอุสซียาห์ระบือไปไกลได้อย่างไร

 

รัชสมัยอุสซียาห์ ๒๖-๑

2 พงศาวดาร 26:1-5

ราชาอามาซิยาห์ทรงถูกสังหาร และพระศพก็ถูกนำมาเก็บไว้ตามประเพณี    หากพระองค์ไม่ทรงไปยุ่งกับราชาแห่งอิสราเอล   ยูดาห์ก็จะไม่กลายเป็นเมืองขึ้นของอิสราเอล

สิ้นราชาอามาซิยาห์แล้ว  ราชโอรสคือ อุสซียาห์ก็ขึ้นครองแทนราชบิดาทันที   ตอนนั้นทรงอายุเพียง 16 พรรษา  ยังเป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นอยู่  แต่พระองค์ทรงมีท่านเศคาริยาห์คอยถวายการดูแล  ถวายการสอนให้พระองค์

พระมารดาคือพระนางโยโคลียาห์ก็คอยดูแลเช่นกัน   ดังนั้น อุสซียาห์จึงไม่ทรงลำบากในการปกครองมากนัก

พระองค์ยังทรงถูกเรียกว่า อาซาริยาห์ในบางครั้ง

พระองค์ทรงสร้างเมืองและพยายามนำเมืองต่าง ๆ กลับมาคืนแก่ยูดาห์ด้วย   และสิ่งที่สำคัญก็คือ พระองค์ทรงทำสิ่งที่ชอบพระทัยพระเจ้าตามที่ราชาอามาซิยาห์เคยทรงทำ

 

นี่เป็นสิ่งที่พระราชาแห่งยูดาห์พึงกระทำ

นั่นคือการยำเกรงพระเจ้า และแสวงหาพระองค์   ซึ่งเมื่อทำสิ่งนั้น  พระราชาและประเทศชาติก็จำเริญขึ้นเสมอไป

น่าเสียดายที่พระองค์ยังทรงปล่อยให้มีการถวายสัตวบูชา และเครื่องหอมบนที่สูง  พระองค์น่าจะทรงกำจัดสิ่งเหล่านี้้ออกไปให้หมด  แต่ก็มิได้ทรงลงมือทำสิ่งใด  ….