อิสยาห์ 39-1

อิสยาห์ 39:1-2

ในเวลานั้น เมโรดัค-บาลาดัน โอรสของบาลาดันซึ่งเป็นราชาแห่งบาบิโนทรงส่งราชทูตมาพร้อมกับคำอวยพรและของขวัญมาถวายแด่ราชาเฮเซคียาห์

พระองค์ทรงได้ข่าวว่า ราชาเฮเซคียาห์ทรงล้มป่วยและบัดนี้หายดีแล้ว  การมาของราชทูตครั้งนี้ทำให้ราชาเฮเซคียาห์ทรงรู้สึกดีมาก ๆ

คงเป็นความรู้สึกแปลกมากทีเดียว  หัวหน้าของประเทศที่เป็นศัตรูกลับส่งสารมาอวยพร และยังมีของขวัญมาถวายอีก  ราชาเฮเซคียาห์ทรงรู้สึกอย่างไร  ลองคิดซิ….

ต่อมา พระองค์ได้ทรงนำราชทูตทั้งคณะไปชมท้องพระคลังในราชวัง และท้องพระคลังหลวง  ให้พวกเขาชมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเงิน ทอง เครื่องเทศ น้ำมันมีค่า และอาวุธ …

Is39hezekiah_babylon

และแน่นอนในเวลานั้น เพื่อน ๆ ลองคิดดูว่า ราชทูตจะต้องพูดคำที่ยกยอราชาเฮเซคียาห์อย่างล้น ๆ เกิน ๆ  พระราชาเองก็หลงคำเหล่านั้นไปด้วยปรากฏว่า ไม่มีของใดที่หลุดหูหลุดตาเหล่าราชทูตนี้ไปเลย พระองค์ไม่เก็บความลับไว้สักนิด

เหมาะหรือเปล่าที่พระราชาจะทำสิ่งนี้?

เหตุใดพระองค์จึงทรงให้พวกเขาดูท้องพระคลัง? ลองจินตนาการวันนั้นที่ทั้งสองฝ่ายพบกัน… แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปนี่?

เวลาที่มีคนชม เวลาที่ถูกชื่นชมมากเกินไป  จะเกิดอะไรในใจของเรา ??

อิสยาห์ 38-3

ข้อเขียนของพระราชา (ต่อ)

ตอนที่ราชาเฮเซคียาห์ทรงป่วยหนัก  ทรงทูลขอต่อพระเจ้าที่จะรักษาให้หาย

อิสยาห์ 38:16-21

ข้าแต่พระเจ้า มนุษย์มีชีวิตได้ด้วยสิ่งเหล่านี้  และชีวิตของจิตวิญญาณของข้าก็อยู่ในสิ่งเหล่านี้  ขอพระเจ้าทรงรื้อฟื้นข้าให้หายเป็นปกติ  ขอทรงให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไป!

ดูเถอะ ที่ข้าต้องขมขื่นมากเช่นนี้ก็เพื่อสวัสดิภาพของข้าเอง  ด้วยความรัก พระองค์ได้ทรงช่วยชีวิตของข้าให้รอดพ้นจากหายนะในหลุมลึก เพราะพระองค์ทรงเขวี้ยงบาปทั้งสิ้นของข้าไว้เบื้องหลังพระองค์

เพราะแดนคนตายไม่ขอบคุณพระองค์ และความตายก็ไม่สรรเสริญพระองค์  และคนที่ตายไปอยู่ที่นั่นก็ไม่อาจจะหวังใจในความซื่อตรงของพระองค์

Is38hezekiah-sick

คนเป็น คนเป็นเท่านั้นที่ขอบคุณพระองค์  เหมือนอย่างที่ข้าทำในวันนี้  พ่อได้ทำให้ลูกได้รู้จักความซื่อตรงของพระองค์

พระเจ้าจะทรงช่วยข้าให้รอดพ้น และเราจะเล่นเครื่องสายทุกวันตลอดชีวิตของเราในพระวิหารของพระองค์

บัดนี้อิสยาห์กล่าวว่า “ให้เอาขนมมะเดื่อมาปะไว้ที่ฝีของพระราชา แล้วพระองค์จะทรงหายดี”  เอเซคียาห์จึงตรัสว่า “อะไรเป็นหมายสำคัญว่า ข้าจะได้ไปยังพระวิหารของพระเจ้า”

อิสยาห์ 38-2

อิสยาห์ 38:9-15

คำเขียนของราชาเฮเซคียาห์แห่งยูดาห์ หลังจากที่พระองค์ทรงป่วย และฟื้นองค์ขึ้นจากอาการป่วย

ข้ากล่าวว่า … ในชีวิตวัยกลางคน ข้าจะต้องจากไป ข้าถูกพาไปที่ประตูเมืองคนตายตลอดชีวิตของข้าที่เหลืออยู่  ข้ากล่าวว่า ข้าจะไม่ได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในแผ่นดินของคนที่มีชีวิตอยู่

ข้าจะไม่ได้มองเห็นมนุษย์ท่ามกลางผู้ที่อาศัยในโลกอีกต่อไป
ที่อาศัยของข้าถูกถอน และเคลื่อนย้ายออกไปจากข้าราวกับกระโจมของคนเลี้ยงแกะ

ข้าได้ม้วนชีวิตของข้าเหมือนกับคนทอผ้า  เขาตัดข้าออกจากหูกทอ  ตั้งแต่เช้าจนค่ำพระเจ้าทรงนำข้ามาถึงอวสาน

ข้าทำตัวให้สงบจนกระทั่งเช้า  พระองค์ทรงหักกระดูกของข้าเหมือนอย่างสิงโต  ตั้งแต่เช้าจนค่ำพระเจ้าทรงนำข้ามาถึงอวสาน

ข้าร้องอย่างนกนางแอ่น หรือนกกระเรียน ข้าร้องครางเหมือนอย่างนกพิราบ

is38king_hezekiah

ดวงตาของข้าอ่อนระโหยเพราะมองขึ้นไป  ข้าแต่พระเจ้า ข้าถูกบีบคั้น ขอทรงเป็นผู้ประกันความปลอดภัยให้ข้าด้วย!

ข้าจะพูดอย่างไร เพราะพระองค์ตรัสกับข้า พระองค์ทรงกระทำสิ่งเหล่านั้น  ข้าเดินไปช้า ๆ ตลอดปีเดือนของชีวิตข้าเพราะจิตวิญญาณของข้าขมขื่นนัก….

ยังมีต่อ

อิสยาห์ 38-1

 

อิสยาห์ 38:1-8

ในช่วงเวลานั้นเอง ราชาเฮเซคียาห์ทรงป่วยจนเกือบจะสิ้นพระชนม์   และอิสยาห์ผู้กล่าวคำของพระเจ้าบุตรของอามอสเข้ามาเฝ้า  ทูลขอให้พระราชาทรงจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เพราะว่า พระองค์จะสิ้นพระชนม์แน่  จะไม่มีพระชนม์อยู่ต่อไป

hezekiahs-illness2

เมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น ….

ราชาเฮเซคียาห์หันพระพักตร์เข้าผนัง และอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า   ตรัสว่า

ขอพระเจ้าทรงโปรดระลึกถึง  ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทูลขอพระกรุณา  ขอทรงระลึกว่า ข้าพระองค์ได้ดำเนินชีวิตอย่างไรต่อพระพักตร์ของพระองค์  ข้าพระองค์เดินอย่างสัตย์ซื่อ ในควาจริง ด้วยสุดใจของข้าพระองค์  และได้ทำสิ่งที่ชอบต่อพระเนตรของพระองค์… แล้วพระราชาก็ทรงร้องไห้ด้วยความขมขื่นพระทัย….

ใช่แล้ว พระองค์ไม่อยากที่จะสิ้นใจไปในเวลานี้!

จากนั้น พระเจ้าตรัสกับอิสยาห์ว่า  “ไป  เจ้าจงไปบอกเฮเซคียาห์ว่า  พระเจ้าของดาวิด บรรพบุรุษของเจ้าตรัสว่า เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว  เราได้เห็นน้ำตาของเจ้า ดูเถอะ เราจะต่อชีวิตให้อีก 15  ปี”

“และเราจะช่วยเจ้าและนครแห่งนี้ให้พ้นจากน้ำมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย  เราจะปกป้องนครเยรูซาเล็มไว้”

เพือเจ้าจะได้รู้ว่านี้เป็นคำของเรา เราจะให้หมายสำคัญแก่เจ้า

นั่นคือ เราจะให้เงาของแสงอาทิตย์บนนาฬิกาแดดของอาหัสนั้น  ย้อนกลับมาสิบขั้น…”

แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง    แสงอาทิตย์ได้ย้อนกลับบนนาฬิกาแดดสิบขั้น…….

อิสยาห์ 37-3

 

อิสยาห์ 37:14-20

คำอธิษฐานของราชาเฮเซคียาห์

ราชาเฮเซคียาห์ทรงรับจดหมายมาจากมือของผู้สื่อข่าว  ทรงอ่าน และพระองค์ก็เสด็จขึ้นไปยังพระวิหารของพระเจ้าทันที…

คิดว่า พระองค์จะทรงทำอย่างไร?

พระองค์ทรงวางจดหมายนั้นต่อพระพักตร์พระเจ้า และทูลอธิษฐานด้วยพระทัยที่ปวดร้าว
“ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงเป็นจอมทัพ  พระเจ้าแห่งอิสราเอล  พระองค์ประทับอยู่เหนือเชรูบิม  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  จากประชาชาติ อาณาจักรทั้งหลายในแผ่นดิน  พระองค์เท่านั้น ทรงเป็นผู้สร้างสวรรค์และโลก hezekiahs_prayer

 

ขอพระเจ้าทรงเงี่ยพระกรรณ  พระเจ้าข้า  และขอพระองค์ทรงฟัง  โปรดทอดพระเนตร

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเห็นและได้ยินคำที่เซนนาเคอริบส่งมาเพื่อเหยียดหยามพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์   จริง ๆ แล้ว พระเจ้าข้า..กษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ทำลายแผ่นดินของหลาย ๆ ประเทศ  ได้โยนพระของเขาเหล่านั้นลงในกองไฟ  เพราะเหล่านั้นไม่ใช่พระ เป็นเพียงสิ่งที่มือมนุษย์ทำขึ้นมา  เป็นไม้และหิน  ดังนั้นมันจึงถูกทำลาย

บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเราทั้งหลาย ขอพระองค์ทรงช่วยเราให้พ้นจากมือของราชาอัสซีเรีย  เพื่อว่า อาณาจักรทั้งหลายในแผ่นดินจะได้รู้ว่า พระองค์เท่านั้นทรงเป็นพระเจ้า

อิสยาห์ 37-2

อิสยาห์ 37:5-12 

ดังนั้นเมื่อข้าราชการของราชาเฮเซคียาห์ไปหาอิสยาห์   อิสยาห์จึงกล่าวกับเขาว่า “ไปบอกเจ้านายของเจ้า … พระเจ้าตรัสดังนี้  อย่ากลัวคำที่เจ้าได้ยิน

กษัตริย์อัสซีเรียส่งคนหนุ่ม ๆ มาเพื่อกล่าวคำดูหมิ่นเรา  ดูเถิด เราจะใส่วิญญาณหนึ่งเข้าไปในเขา เพื่อว่าเขาจะได้ยินข่าวลือและกลับไปแผ่นดินของเขาเอง  และเราจะให้เขาต้องตายด้วยดาบในแผ่นดินของเขา”

กษัตริย์อัสซีเรียองค์นี้คือ เซนนาเคอริบ   สิ่งที่ร้ายกับตัวเซนนาเคอริบเองคือ การที่ดูหมิ่นองค์พระผู้เป็นเจ้าเที่ยงแท้  และพระองค์ทรงคาดโทษเขาไว้ให้เห็นชัดเจน  

กษัตริย์อัสซีเรียตีเมืองต่าง ๆ พ่ายไปทั่วดินแดน
กษัตริย์อัสซีเรียตีเมืองต่าง ๆ พ่ายไปทั่วดินแดน

เพราะเขาได้ยินว่า พระองค์ออกจากเมืองลาคิชไปแล้ว รับชาเคห์จึงกลับไปเฝ้ากษัตริย์อัสซีเรีย และพบว่ากษัตริย์กำลังต้องสู้กับเมืองลิบนาห์  …
แต่กษัตริย์อัสซีเรียเองได้ยินว่า ทีรหะคาห์ กษัตริย์แห่งคูช … กำลังออกมาสู้กับพระองค์

เมื่อได้ยินดังนั้นจึงส่งสารมาหาราชาเฮเซคียาห์ว่า

อย่าให้พระเจ้าที่ท่านวางใจหลอกท่านว่า  นครเยรูซาเล็มจะไม่ตกอยู่ในมือของกษัตริย์อัสซีเรียอย่างข้า …
ดูซิ  ท่านก็ได้ยินข่าวมาแล้วว่า กษัตริย์อัสซีเรียได้ทำอะไรกับแผ่นดินรอบข้างบ้าง  ทำลายจนหมด  แล้วท่านจะได้รอดไปอย่างนั้นหรือ?
พระเจ้าของชาติต่าง ๆ  ช่วยอะไรได้บ้าง  ประเทศที่พ่อของข้าทำลาย ไม่ว่าจะเป็นโกเซน  ฮาราน  เรเซฟ และชนเอเดนที่อยู่ในเทอัสสาร์
แล้วกษัตริย์เหล่านี้ไปอยู่กันที่ไหนแล้ว?  ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ฮามัท กษัตริย์แห่งอารปัด  กษัตริย์แห่งเมืองเสฟารวาอิม  กษัตริย์แห่งเฮนา และกษัตริย์แห่งอิฟวาห์

กับดักจากความมั่งคั่ง ๓๒-๕

2 พงศาวดาร 32:27-33

ในเวลาต่อมา ราชาเฮเซคียาห์ทรงยิ่งเจริญและรุ่งเรืองทั้งราชทรัพย์ พระเกียรติ และพระองค์ได้สร้างพระคลังส่วนพระองค์

คลังส่วนพระองค์!

ไม่ใช่เล็กน้อย  เรื่องนี้เท่ากับราชาเฮเซคียาห์จะต้องลงทุน ลงแรง และเวลาสำหรับทรัพย์สมบัติที่ไม่ยั่งยืนเหล่านี้ … พระองค์ทรงเสียเวลาไปขนาดไหน ไม่มีบันทึกไว้ แต่พระคลังก็ไม่เหมือนพระวิหาร ที่ประโยชน์การใช้สอยนั้นแตกต่างกันสุดขั้ว  พระวิหารได้สร้างไว้เพื่อประชาชนจะได้มาสำนึกบาปและไถ่บาปของตน

ส่วนพระคลังล่ะ? เอาไว้สะสมทรัพย์สิน เงิน ทอง อัญมณี  โล่ อาวุธ รวมไปถึงยุ้งฉางส่วนพระองค์ประกอบด้วยเครื่องเทศ อาหารต่าง ๆ  เหล้าองุ่น น้ำมัน   แถมยังมีคอกสัตว์ส่วนพระองค์ที่มีทั้งวัวควาย และฝูงแพะ แกะ  พระองค์ยังทรงทำพระคลัง ยุ้งฉางปศุสัตว์เหล่านี้ในเมืองอื่น ๆ  เก็บอาหารไว้มากมาย เพราะว่า พระเจ้าได้ประทานอวยพระพรแด่พระองค์มากยิ่ง

ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำราชกิจอะไรก็เจริญไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการก่อสร้าง การปกครอง….

แต่แล้ว วันหนึ่ง กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ส่งทูตมาเยี่ยมชมนครดาวิด และพระเจ้าได้ทรงปล่อยราชาเฮเซคียาห์ให้ทำอะไรตามพระทัยของพระองค์เอง

พระเจ้าทรงต้องการที่จะทดสอบพระทัยของพระราชา  พระองค์ทรงคิดอะไรกันแน่ และจะตัดสินพระทัยอย่างไร !!

ถ้าเพื่อน ๆ อยากทราบว่า ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำอย่างไร ให้คลิกที่นี่

พระเจ้าทรงปล่อยเรา และทดสอบเราอย่างนี้บ้างหรือเปล่า? คงมีหลายครั้งแล้วล่ะ  แต่เราอาจไม่รู้ตัว  กว่าจะรู้ตัวก็ผิดต่อพระเจ้าไปแล้ว….

ไม่นานก็สิ้นรัชกาลเฮเซคียาห์  ราชกิจต่าง ๆ ของพระองค์นั้น ท่านอิสยาห์ก็ได้บันทึกไว้ไม่น้อย  พระศพของพระองค์ถูกเก็บไว้ในถ้ำเก็บพระศพของราชาแห่งยูดาห์  …. และราชโอรสคือ มนัสเสห์ก็ขึ้นครองต่อมา

 

เปลี่ยนใจไปมา ๓๒-๔

2 พงศาวดาร 32: 24-26

หลังจากที่ราชาเฮเซคียาห์ทรงได้มีความสุขกับการที่ได้รับชัยชนะกษัตริย์เซนนาเคอริบ  และการที่มีประชาชาติหลายชาติได้หันมาเกรงกลัวพระองค์

พระองค์ก็ทรงอยู่อย่างสบาย ลืมความทุกข์ยาก และลืมสิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้พระองค์

แล้วต่อมา พระราชาก็ทรงป่วย… ป่วยหนักมากจนแทบจะสิ้นพระชมม์

ไม่มีหมอคนใดรักษาได้  ทุกคนส่ายหัวเมื่อเห็นพระอาการของพระราชา

ขณะที่พระราชาอธิษฐานต่อพระเจ้า …. ก็มีคนหนึ่งมาเยี่ยม นั่นคือท่านอิสยาห์  และได้ทูลพระราชาว่า พระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างแน่นอน

ราชาเฮเซคียาห์ทรงเป็นทุกข์ยิ่งนัก

ทรงหันหาพระเจ้า  กราบลงทูลขอความเมตตาจากพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ  พระองค์ทรงร้องไห้ไม่หยุด คร่ำครวญต่อพระเจ้าไม่ยั้ง

ในที่สุด

พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของพระองค์  และตอบคำอธิษฐาน โดยทรงสัญญาจะให้ชีวิตอีก 15 ปีในการปกครอง

พระราชาทรงดีใจมาก  และพระองค์ทรงกลับใจ ดำเนินชีวิตใหม่ที่ถูกต้อง  จัดการบ้านเมืองอย่างเรียบร้อยตามที่พระเจ้าทรงเตือนไว้ และในที่สุด พระองค์ก็ทรงอยู่ต่อมาอีกหลายปีตามที่พระเจ้าตรัส

แต่… คนเรานี่ก็แปลก  ได้สิ่งดีจากพระเจ้า แล้ว ไป ๆ มา ๆ ก็อาจหลงลืม และระเริงไปตามความคิดเห็นของตัวเอง

ราชาเฮเซคียาห์ก็เช่นเดียวกัน

พระองค์ทรงกลับมาเย่อหยิ่งอีก

ไม่น่าแปลกใจที่ทุกวันนี้  เราเห็นผู้ปกครองดี ๆ หรือนายทหารชั้นดีที่สัตย์ซื่อ ต่อมา อาจกลายเป็นอีกคนที่น่ากลัวไปได้

เราต้องมาดูว่า พระองค์ทรงทำอะไรหรือ ที่ทำให้พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยอีกครั้ง

 

พระเจ้าทรงตอบ ๓๒-๓

2 พงศาวดาร 32:16-23

ไม่ใช่แค่ขู่พระราชา และขู่ประชาชนเท่านั้น  แต่ผู้นำสาส์นของเซนนาเคอริบยังได้กล่าวคำที่หมิ่นประมาทพระเจ้า และดูหมิ่นราชาเฮเซคียาห์อย่างโอหังเหลือที่จะกล่าว

“พระเจ้าของท่านก็เหมือนพระของประชาชาติต่าง ๆ นั่นแหละ ไม่สามารถจะช่วยผู้คนจากเงื้อมมือของเซนนาเคอริบได้   …. พวกท่านไม่เห็นหรือ พวกเขากลายเป็นเชลยของเราไปหมดแล้ว
พวกท่านไม่เห็นหรือว่า พวกเขาลำบากยากเข็ญเพียงไร  บังอาจมาสู้กับกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่จากอัสซีเรียเช่นนี้  ….

พระเจ้าของราชาเฮเซคียาห์   ยังไง ๆ ก็ไม่สามารถช่วยประชากรอิสราเอลให้พ้นมือเราไปได้”

“ฮะฮ้า  ครั้งนี้พวกเจ้าแพ้แน่นอน  ไอ้พวกขี้แพ้!”   เขาตะโกนเสียงก้องลานเมือง

… ยิ่งข้าส่งเสียงดังเท่าไร  ก็จะทำให้ชาวเมืองกลัวมากเท่านั้น โธ่เอ๋ย  ข้าเห็นสีหน้าของพวกเจ้าแล้วก็ขำ   แค่นี้ก็กลัวไปได้  ยังไม่ได้ส่งกองทัพมาเสียด้วยซ้ำ….  ผู้ส่งสาส์นคิดในใจ

แล้วเขาก็ร้องตะโกนด่าว่าพระเจ้าแห่งอิสราเอลราวกับว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยมือ… โดยไม่มีความกลัวเกรงพระองค์สักนิดเดียว

แต่ราชาเฮเซคียาห์จะไม่ยอมแพ้เพียงเพราะฟังคำขู่ของพวกเขา  และพระองค์ก็ไม่ทรงประมาทด้วยเช่นกัน   ราชาเฮเซคียาห์พร้อมกับข้าราชการ  ประชาชน  และท่านอามอส  ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอย่างรีบด่วน  อธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระองค์

“พระเจ้าข้า  โปรดทรงเมตตาข้าพระองค์ทั้งหลายด้วย…. เพราะว่า คนของเราตกใจกลัวกันยิ่งนัก  ขอพระเจ้าทรงให้ทุกคนได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์”

พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเฮเซคียาห์

ด้วยการส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาต่อสู้กับกองทัพของอัสซีเรีย  ทำให้กองทัพนั้นต้องยกทัพกลับไปด้วยความอับอายอย่างยิ่ง

สำหรับเซนนาเคอริบเอง ถูกโอรสองค์หนึ่งฆ่าอย่างเลือดเย็นขณะที่พระองค์กำลังถวายเครื่องบูชาให้กับเทวรูปแห่งอัสซีเรีย

 

พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของพระราชา และประชาชนอิสราเอลมากกว่าที่เขาขอ  พระองค์ทรงให้เขารอดพ้นจากศัตรู และยังทำให้คนมากมายได้นำของถวายมาบรรณาการแด่ราชาเฮเซคียาห์ที่นครเยรูซาเล็ม     และทำให้ประชาชาติรอบข้างเกรงกลัว  ยกย่องพระองค์มากยิ่งนัก

 

คำขู่จากเซนนาเคอริบ ๓๒-๒

2 พงศาวดาร 32:9-19

ขณะที่ราชาเฮเซคียาห์ทรงให้กำลังใจประชาชนของพระองค์  กษัตริย์เซนนาเคอริบแห่งอัสซีเรียกลับทำสิ่งที่ตรงกันข้าม
ขณะนั้นเอง เซนนาเคอริบใช้กองทหารทั้งหมดที่เดินทางมาจากอัสซีเรียทางเหนือนั้น  ตรึงกำลังล้อมเมืองลาคีชอยู่  โดยดูจากเหตุการณ์แล้ว  ก็มองเห็นว่า น่าจะตีเมืองโดยไม่ยากนัก

แต่ว่า…  พระองค์ทรงคิดว่า ก็น่าจะทำสงครามจิตวิทยากับราชาเฮเซคียาห์ไปพร้อม ๆ กัน  จะได้ไม่ต้องเสียกำลังพลมาก   ถ้าตีเมืองลาคีชได้ ก็จะได้เมืองอื่น ๆ จนไปถึงนครเยรูซาเล็ม  เอาให้แพ้แบบเกมโดมิโนไปเลย

พระองค์ทรงส่งสาส์นมายังราชาเฮเซคียาห์ รวมไปถึงคนที่อาศัยในนครเยรูซาเล็มว่า
“ชาวนครเยรูซาเล็มเอ๋ย…. เจ้าทั้งหลายกำลังหวังพึ่งอะไรอยู่  จึงยังตายใจอยู่ในนครเยรูซาเล็มท่ามกลางวงล้อมของพวกเรา  ราชาเฮเซคียาห์กำลังหลอกล่อพวกเจ้าให้อดอาหารอดน้ำจนตาย    พูดกับพวกเจ้าว่า …องค์พระเจ้าของเราจะช่วยเราให้พ้นมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย  ชะ ชะ ก็ราชาองค์นี้เป็นผู้ทำลายสถานบูชาในที่สูงทั่วไปในเยรูซาเล็ม  แถมยังบัญชาให้ประชาชนมานมัสการพระเจ้าที่พระวิหารในนครเยรูซาเล็มเพียงแห่งเดียวเท่านั้น”

กษัตริย์เซนนาเคอริบกำลังดูหมิ่นองค์พระเจ้าของอิสราเอลเห็น ๆ  พยายามให้คนเห็นว่า    ราชาเฮเซคียาห์ต่างหากที่ต้องปกป้องพระเจ้า….

“พวกเจ้าทั้งหลายไม่เห็นหรือว่า  เสด็จพ่อของเรา และตัวเราได้จัดการกับชนชาติต่าง ๆ อย่างไรบ้าง ?  แล้วดูซิว่า พระแห่งชนชาติเหล่านั้นสามารถช่วยพวกเขาให้พ้นมือของเราได้หรือไม่ โธ่เอ๋ย ล้วนแล้วแต่ขี้แพ้ทั้งสิ้น “

 

เมื่อประชาชนทั้งหลายฟังคำจากสาส์นของเซนนาเคอริบ  พวกเขาก็นิ่ง  บางคนกลัว  แต่หลายคนก็ไม่กลัว เขารู้ว่า พระเจ้าของเขาเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ ไม่เหมือนพระอื่น ๆ

“ขอให้ทุกคนจำใส่ใจไว้ว่า  มีพระองค์ไหนในชาติต่าง ๆ ที่ราชบิดาของข้าไปทำลาย สามารถช่วยผู้คนจากมือของข้าได้    แล้วพระเจ้าของเฮเซคียาห์จะช่วยได้หรือ  ไม่มีทาง  ไม่มีพระองค์ไหนจะมาต่อสู้เซนนาเคอริบแห่งอัสซีเรียได้…”

“ดังนั้นอย่า จงอย่าให้ราชาเฮเซคียาห์หลอกพวกเจ้า   และอย่าเชื่อฟังราชาของเจ้า  เพราะไม่มีพระของประเทศใดช่วยคนในชาตินั้นจากมือของข้า หรือราชบิดาของข้าได้    พระเจ้าของเจ้าก็ไม่มีวันที่จะช่วยเจ้าให้พ้นมือข้าเช่นกัน”

และที่พูดนี้ พวกเขาอ่านเป็นภาษาฮีบรูเพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าใจทุกคำที่กษัตริย์เซนนาเคริบต้องการแจ้ง

ราชาเฮเซคียาห์กับประชาชนฟังสาส์นขู่ไปพร้อม ๆ กัน

ทีนี้ พระราชาจะทำอย่างไรล่ะ ? อย่างน้อยประชาชนส่วนหนึ่งก็เริ่มกลัวแล้ว  พวกเขาบางคนยังไม่มีความมั่นคงในพระเจ้า….

 

 

ผู้ที่อยู่ฝ่ายเรา ๓๒-๑

2 พงศาวดาร 32:1-8

ต่อมาไม่นานนัก    กษัตริย์แห่งอัสซีเรียผู้เรืองพระนาม คือเซนนาเคอริบยกกองทัพใหญ่มาบุกยูดาห์  หวังจะยึดเอาเป็นเมืองขึ้น  เมื่อยกทัพมาแล้ว ก็สั่งให้ตั้งค่ายทหารล้อมหัวเมืองที่มีป้อมหลาย ๆ เมือง โดยกษัตริย์เซนนาเคอริบนี้ทรงมีพระทัยแน่วแน่จะยึดนครเยรูซาเล็มและเมืองอื่น ๆ ให้ได้

“ราชาแห่งอัสซีเรียเข้ามาบุกเราแบบโถมเข้ามาล้อมหลาย ๆ เมืองพร้อมกัน”  ราชาเฮเซคียาห์ตรัสกับเหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่

“พะยะค่ะ  และทรงตั้งพระทัยว่าจะยึดเอานครของเราด้วย  ข้าพระบาทได้ส่งคนไปสืบมาแล้ว”

“เอาอย่างนี้  พวกเขายังไม่ได้ล้อมเมืองเรา  เราต้องจัดการปิดตาน้ำนอกเมืองทุกแห่ง  มิฉะนั้น  เมื่อพวกเขามาล้อมเรา  ก็จะมีน้ำอุดมสมบูรณ์”

“เรายอมไม่ได้พะยะค่ะ  ถ้าพวกเขามีน้ำอย่างมากมายเช่นเรามี เขาก็จะเข้มแข็งและอาจตีพวกเรายับได้”

ทั้งพระราชาและข้าราชการได้วางแผนปิดตาน้ำรอบเมืองที่มีอยู่ บ่อน้ำเหล่านี้ มีไว้ให้ประชาชนได้ใช้ในการทำกสิกรรมนอกเมืองอยู่แล้ว

ดังนั้นทั้งทหาร  ข้าราชการ และประชาชนทั่วไปจึงเข้ามาช่วยกันถมลำธาร ปิดตาน้ำทั้งหมด ไม่ให้เป็นประโยชน์แก่กษัตริย์อัสซีเรีย  ทรงทำให้มีอุโมงค์น้ำเข้ามาในเมือง

อย่างไรประชาชนในเมืองยังจะมีน้ำใช้ตลอดเพราะมีอุโมงค์นำน้าเข้ามา

ภาพจาก  http://biblicalstudies.info/hezekiah/hezekiah.htm

พระราชาทรงรีบที่จะรวบรวมคนมาซ่อมกำแพงที่เคยปรักหักพัง และยังสร้างหอคอยขึ้นมา   สร้างกำแพงขึ้นมาอีกชั้น และทำให้ป้อมมิลโลของนครดาวิดแข็งแรงขึ้นอีก

เท่านั้นยังไม่พอ  ยังทรงสั่งสร้างอาวุธอีกหลายอย่าง รวมทั้งโล่มากมาย

“พวกเราต้องรีบทำอาวุธให้ทันก่อนที่ศัตรูจะมาบุกรุกเรา” นายทหารชั้นผู้ใหญ่คุยกับหัวหน้าช่างที่ทำอาวุธ

“ขอรับ  ข้าและเหล่าช่างเหล็กไม่ได้นิ่งนอนใจ  พวกเรารู้ว่า เรื่องนี้สำคัญมาก  ขอท่านวางใจพวกเราเถอะ”

พระราชายังทรงห่วงอีกเรื่อง

“ขอให้ท่านรวบรวมชาวเมืองมาที่ลานเมืองด่วน”   ราชาเฮเซคียาห์ตรัสสั่งคนที่พระองค์ทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการ

และเมื่อประชาชนมาพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วพระองค์ก็ทรงกล่าวคำที่ให้กำลังใจกับประชาชน …..

“ขอให้ท่านทุกคนเข้มแข็ง และกล้าหาญ  อย่ากลัว อย่าไปเกรงกษัตริย์แห่งอัสซีเรียหรือกองทัพใหญ่โตที่มาด้วยนั้น  เพราะว่า ผู้ที่อยู่ฝ่ายเรานั้น มีกำลังมากกว่าพวกเขายิ่งนัก

พวกเขาเป็นกำลังของร่างกาย เนื้อหนังที่เรามองเห็น  แต่กำลังของเรานั้นคือ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา  พระองค์จะทรงช่วยเรา และจะทรงต่อสู้ศัตรูนี้ให้เรา”

“แด่พระเจ้าจอมโยธา…..พวกเราน้อมนมัสการพระองค์!!”

เสียงประชาชนตอบพระราชาดังสนั่นเมือง

ประชาชนรู้แล้วว่า ผู้ที่ฝ่ายเขาคือองค์พระเจ้า  แล้วเขาจะกลัวศัตรูไปทำไม….

 

นมัสการอย่างจริงใจ ๓๑-๓

2 พงศาวดาร 31:11-21

มีการบันทึกไว้ว่า  ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำสิ่งที่ดี  ถูกต้อง และสัตย์ซื่อต่อพระพักตร์ของพระเจ้า  นั่นหมายความว่า พระองค์ทรงทำทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาอย่างซื่อตรง   และยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าจะทรงทำงานในเรื่องเกี่ยวกับการนมัสการพระเจ้า   ในการรักษากฎบัญญัติของพระเจ้า ในการแสวงหาพระเจ้า   ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำด้วยสุดพระทัย  ดังนั้น พระองค์จึงทรงยิ่งจำเริญขึ้นทั้งส่วนพระองค์  และในการปกครองประเทศ!

พระองค์ทรงสั่งให้คนของพระองค์นำสิ่งที่คนทั้งหลายนำมาถวายนั้น ส่วนหนึ่งเก็บไว้ในคลังพระวิหาร    ราชาเฮเซคียาห์ทรงมาควบคุมดูแลใกล้ชิด  โดยมีอาซาริยาห์ท่านปุโรหิตเป็นผู้ช่วย    โดยของถวายเหล่านี้ จะต้องมีการทั้งเก็บ และแจกไปให้กับปุโรหิตและเลวีตามสมควร  ไม่ใช่เฉพาะในนครเยรูซาเล็มเท่านั้น  แต่รวมไปถึงปุโรหิต และเลวีตามหัวเมืองต่าง ๆ  ด้วย

มีการขึ้นทะเบียนปุโรหิตและเลวีอย่างเป็นระบบระเบียบ  ทุกอย่างมีขั้นตอนและมีการบันทึกไว้เป็นอย่างดี  ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่า ครอบครัวใดบ้างที่เข้ามาทำงานในพระวิหาร มีคนกี่คนในครอบครัว  คนเหล่านี้ ต้องรักษาตัวให้บริสุทธิ์เสมอ

จะเห็นว่า ในการนมัสการพระเจ้าสมัยก่อน ไม่เหมือนสมัยนี้เลย     ในสมัยต่อมานั้น  พระเจ้าทรงให้เรานมัสการพระองค์ที่ไหนก็ได้  ไม่จำเป็นต้องไปที่นครเยรูซาเล็ม  ที่พระวิหาร…. แต่พระเจ้าทรงค้นหาคนที่จะนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณ  และด้วยความจริง

นั่นหมายถึงว่า เรานมัสการ ยกย่อง บูชาพระเจ้าจากหัวใจของเรา  จากชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้า  สิ่งที่ยังเหมือนกันในสมัยนี้กับสมัยก่อนคือ  พระเจ้าทรงขอให้ผู้ที่เข้ามานมัสการพระองค์นั้น   มีชีวิตที่บริสุทธิ์  ..เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์

 

 

ผลของการถวาย ๓๑-๒

2 พงศาวดาร 31:5-10

การจัดระเบียบเพื่อให้พระวิหารได้ทำหน้าที่ช่วยประชาชนในการนมัสการ สารภาพบาปในสมัยราชาเฮเซคียาห์นั้น  นอกจากพระราชาจะทรงลงมือทำด้วยพระองค์เอง ทรงถวายให้กับงานในพระวิหารอย่างมากมาย

และพระองค์ก็ทรงบัญชาให้ชาวนครเยรูซาเล็ม ถวายสิ่งที่สมควรเพื่อว่าเหล่าปุโรหิต และเลวี จะได้ไม่ต้องออกไปทำงานหาเลี้ยงชีพ  แต่ให้ตั้งใจทำงานในพระวิหารเต็มกำลัง  สุดใจตามพระบัญญัติของพระเจ้า

“พระราชาทรงชวนให้เราถวาย”

“นั่นซิ   และพระองค์ก็ทรงถวายเองมากด้วย”

“พวกเราน่าจะร่วมใจกันถวายนะ    จะได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน”

ผู้คนต่างพากันเอาของมาถวายในพระวิหาร เพื่อการนมัสการพระเจ้าจะได้สืบต่อเนื่องกันไป  พวกเขาเอาพวกข้าวต่าง ๆ  ผลไม้ น้ำมัน  น้ำผึ้ง ผักต่าง ๆ  และพวกเขาได้นำหนึ่งในสิบของผลผลิต ของรายได้เข้ามาถวายในพระวิหารนั้น

ไม่ใช่แต่เท่านั้น ยังมีสัตว์ต่าง ๆ เช่นวัว แกะ นก ที่ใช้เป็นเครื่องถวายบูชาด้วย

ดูซิ  สมัยก่อนนี้ การจะเข้าเฝ้าพระเจ้า  การจะนมัสการมันช่างเป็นเรื่องใหญ่โตเสียจริง ๆ   แต่พวกเขาไม่ได้คิดเช่นนั้น เขารู้ว่า กำลังทำเพื่อถวายพระเจ้า  เขานำมาถวายจนเป็นกองใหญ่โต

จากเดือนที่สามไปถึงเดือนเจ็ด  ของถวายนั้นเต็มไปหมดเป็นกอง ๆ  เมื่อพระราชาเสด็จมาเห็นเข้า
“ขอบคุณพระเจ้าจริง ๆ  ที่ประชาชนต่างมีน้ำใจเพื่อว่า แผ่นดินของพระเจ้าจะได้ขยายออกไป  ทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน จะได้มานมัสการพระเจ้าด้วยกัน  คนที่ไม่มีก็ได้รับแบ่งปันจากคนที่มีมากสรรเสริญพระเจ้าสูงสุด “

“แล้วพวกท่านจะจัดการอย่างไรกับสิ่งของที่กองมากมายเช่นนี้ “ พระราชาทรงถาม

“พวกเราแบ่งไปตามสัดส่วนของตำแหน่งปุโรหิต เลวีแล้ว ก็ยังเหลืออยู่อีกมากมายพะยะค่ะ ”   อาซาริยาห์ มหาปุโรหิตทูลตอบ

“ท่านลองบอกข้ามาซิว่า ท่านควรจะทำอย่างไรกับของมากมายเช่นนี้”  ราชาเฮเซคียาห์ เป็นพระราชานักจัดการ  ทรงรู้ว่าจะทำอย่างไรอยู่แล้ว….

 

ทำลายต่อ ๓๑-๑

2 พงศาวดาร 31:1-3

เมื่อประชาชน เลวี ปุโรหิต ข้าราชการ และราชารวมทั้งราชวงศ์ของพระองค์ได้ร่วมเทศกาลด้วยกันนั้น  พวกเขาอิ่มใจกันถ้วนหน้า และสิ่งที่พวกเขาทำเป็นอย่างแรกเมื่อจบเทศกาลก็คือ

เขาไปตามที่สูง ในเมืองต่าง ๆ   และทำลายเทวรูป  เสาหลัก และแท่นบูชาอย่างไม่ละเว้น  ก่อนหน้านั้น พวกเขาทำลายเทวรูปที่อยู่ในนครเยรูซาเล็ม


“อย่าให้เหลือ  อย่ายอมที่จะปล่อยเทวรูปเหล่านี้ไว้ เพราะมันเป็นสิ่งที่กั้นพระพรของพระเจ้าไปจากเรา”

พวกเขาเดินทางไปทั่วแผ่นดินยูดาห์  เบนยามิน เอฟราอิม และมานัสเสห์  เป็นพื้นที่กว้างขวางมาก  และเมื่อพวกเขาทำลายจนหมดสิ้นในเมืองเหล่านั้น

“ลาแล้วท่าน  ข้าจะกลับบ้าน ขอพระเจ้าทรงอวยพรท่าน”

“เช่นกัน ขอสันติสุขของพระเจ้าอยู่กับท่าน”

พวกเขาร่ำลากันอย่างชื่นบาน  และมองเห็นอนาคตอันสดใสของบ้านเมือง เพราะว่าพวกเขาได้ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรพระเจ้าแล้ว ….

ส่วนในนครเยรูซาเล็ม

ราชาเฮเซคียาห์ได้แต่งตั้งปุโรหิต และเลวีเพื่อทำงานในหน้าที่ต่าง ๆ  อย่างครบถ้วน
“ขอให้ทุกท่านทำหน้าที่อย่างตั้งใจ เพื่อว่า พระพรของพระเจ้าจะอยู่กับเราเสมอไป”

“พะยะค่ะ”  เสียงตอบขานรับจากกลุ่มปุโรหิตและเลวี
“เราจะเป็นผู้ส่งเครื่องเผาบูชา ศานติบูชา เพื่อที่จะได้รับใช้ปรนนิบัติ โมทนาขอบคุณพระเจ้า  และสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน

ราชาเฮเซคียาห์จึงทรงส่งเครื่องเผาบูชาส่วนพระองค์มาทั้งเช้าเย็น และสำหรับวันสะบาโต วันขึ้นค่ำ  และสำหรับการเลี้ยงที่กำหนดไว้ตามพระบัญญัติของพระเจ้า

แต่ถ้าเพียงพระราชาทำเท่านั้น เหล่าปุโรหิตและเลวีก็จะลำบาก เพราะพวกเขาต้องกินจากส่วนของเครื่องเผาบูชาเหล่านี้  จะทำอย่างไรกันล่ะ  ?

 

นครร่าเริง ๓๐-๖


2 พงศาวดาร 30:22-25

สิ่งดีที่เกิดขึ้นในการนมัสการนั้น นอกจากผู้คนจะได้สัมผัสองค์พระเจ้าแล้ว พวกเขายังเริ่มเข้าใจอะไร ๆ ที่ผ่านมา พวกเขาสำนึกในความบาปที่ได้ทำ …..
ราชาเฮเซคียาห์ทรงให้กำลังใจกับเหล่าคนเลวี เขาเหล่านี้ มีความเข้าใจในราชกิจของพระเจ้าเกี่ยวกับการนมัสการอย่างลึกซึ้ง
“ขอให้พวกท่านทำหน้าที่อันดีนี้ต่อไป ประเทศของเราจะเปลี่ยนแปลง รุ่งเรืองหากว่าท่านทั้งหลายยังสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า เช่นนี้”
เวลานั้น ผู้คนจึงได้กินอาหารในเทศกาลด้วยกัน 7 วัน ไม่ได้กินอย่างเดียว แต่ได้คุยกัน ได้สนทนาถึงสิ่งที่ผ่านมา และสิ่งที่จะมาในอนาคต
สิ่งที่สำคัญยิ่งคือ
พวกเขาสำนึกผิดต่อพระเจ้า ได้สารภาพบาปด้วยน้ำตาไหล หลายคนใช้เวลานานมากในการสารภาพบาป ยิ่งพวกเขาอยู่ใกล้พระเจ้ามากเท่าไร พวกเขาก็เห็นบาปของตัวเองมากมายเท่านั้น



“ขอบคุณพระเจ้าสูงสุด ที่พระองค์ไม่ทรงลงโทษเราทั้งหลายสมกับที่เราได้ทำบาปต่อพระองค์ มิอย่างนั้นแล้ว พวกเราคงไม่ได้มีชีวิตอยู่ในเวลานี้ เพราะบาปของเรานั้น โทษก็คือ เราควรตายไปจากโลก”
“ท่านขอรับ” คนหนึ่งเข้ามาเสนอกับปุโรหิต
“ทำไมเราไม่ทำการเลี้ยงต่ออีกสัก 7 วัน ยังมีหลายคนต้องใช้เวลาในการปรับชีวิตจิตใจของเขา และเขาจะได้สารภาพบาปกัน เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่”
ดังนั้นจึงมีการปรึกษาหารือกันเพื่อต่องานไปอีก 7 วัน ด้วยความยินดีในพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ราชาเฮเซคียาห์ได้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับประชาชนเพื่อมีส่วนในเทศกาลที่ประชาชนจะได้เปลี่ยนชีวิตให้ถูกต้องกับพระเจ้า
วัวผู้หนุ่ม 1,000 ตัว แกะ 7,000 ตัว
เจ้าชายในราชวงศ์ให้วัวผู้หนุ่มอีก 1,000 ตัว แกะอีก 10,000 ตัว และเหล่าปุโรหิตก็ได้ชำระตัวเพื่อเข้าร่วมงานในรอบสองนี้ด้วย
ทุกคนที่อยู่ในเทศกาลต่างพากันยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ทั้งนครเยรูซาเล็มมีแต่ความชื่นชมยินดี
หลายร้อยปีแล้ว …. ไม่เคยมีการฉลองที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาเลย นับแต่สมัยราชาซาโลมอน….
ใจของราษฎรต่างยินดี และเปลี่ยนแปลง
แน่นอน เราเห็นว่า ยิ่งพวกเขากลับมาหาพระเจ้า พวกเขาก็จะยิ่งสัตย์ซื่อต่อพระองค์มากขึ้น

บรรยากาศการนมัสการ ๓๐-๕

2 พงศาวดาร 30:18ก- 21

เกิดปัญหาที่ว่า คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในพิธีปัสกานั้น ไม่ได้เตรียมตัวมาอย่างที่สมควร  พวกเขาเป็นคนทางเหนือที่ไม่รู้ว่า ตัวเองต้องทำอย่างไร  เพราะราชาทางเหนือส่วนใหญ่จะให้คนกราบไหว้เทวรูป ซึ่งไม่ได้ต้องการความบริสุทธิ์ในชีวิตจิตใจ

พวกเขาต้องการแค่ความสนุกสนานในพิธีเหล่านั้น

แต่กับการที่จะนมัสการพระเจ้า  มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทุกคนต้องชำระตัวให้บริสุทธิ์ก่อน

พระราชาเฮเซคียาห์ทรงครุ่นคิดว่า จะทำอย่างไร?

ในที่สุด พระองค์ก็ทรงนึกออก….

พระองค์อธิษฐานขอเพื่อพวกเขา

“ข้าแต่พระเจ้าแห่งชนชาติอิสราเอลทั้งปวง   ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรมาที่พวกเรา    ขอพระองค์ทรงโปรดยกโทษบาปของเราด้วย   ขอพระเจ้าทรงโปรดยกความผิดบาปให้กับทุกคน

พระองค์เจ้าข้า  พวกเขาต้องการแสวงหาพระองค์  อยากจะได้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้า  ผู้ทรงเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา  พวกเขาไม่ได้ทำตามข้อบังคับต่าง ๆ ของพระวิหาร เพราะพวกเขาไม่รู้มาก่อน   ขอพระเจ้าทอดพระเนตรและเมตตาด้วยพระเจ้าข้า”

แล้วพระเจ้าทรงยินคำอธิษฐานของราชาเฮเซคียาห์   และพระองค์ทรงรักษาคนเหล่านั้น ทรงชำระพวกเขาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ดังนั้นพวกเขาจึงได้เข้าร่วมอยู่ในเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ 7 วัน ด้วยความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนปุโรหิต และเลวีก็ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  พร้อมกับเล่นดนตรีด้วยเสียงดังในเวลากลางวัน

“เพลงแบบนี้ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

“ยิ่งใหญ่จริง ๆ  ข้าขอบคุณพระเจ้าที่ข้ามีโอกาสมาที่นี่ ใจของข้าเปลี่ยนไป  ไม่เหมือนเดิมเลย”

“ที่แผ่นดินฝ่ายเหนือไม่เคยมีพระราชาที่รักพระเจ้าเลย   มีแต่พระราชาที่ชอบพิธีกราบไหว้วัวทองคำบ้าง  เทวรูปต่าง ๆ บ้าง และในงานเหล่านั้นก็มีการเลี้ยง การร่ายรำที่ยั่วยวน  มีการหยอกล้อกันระหว่างผู้หญิงผู้ชาย”

ภาพจากpastorerickson.com

แต่การนมัสการที่นี่ไม่เหมือนอย่างนั้น

พระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของการนมัสการ

พวกเขาร้องเพลงถวายพระเจ้า

เล่นดนตรีถวายพระองค์

พวกเขาอธิษฐาน

และถ่อมใจลงต่อพระเจ้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย

 

 

พวกที่ยังไม่ชำระตัว ๓๐-๔

2 พงศาวดาร 30:16-18ก
ในพิธีฉลองเทศกาลนั้น เหล่าปุโรหิตก็ยืนอยู่ตามที่กำหนดไว้สำหรับตน พวกเขาจะรับเลือดมาจากคนเลวี และสาดเลือดนั้นไปที่แท่นบูชา
โอ…. แท่นบูชาเต็มไปด้วยเลือด และกลิ่นคาวเลือดสัตว์
“มันน่ากลัวจริง ๆ ข้าสยองเหลือเกิน”
“ถ้าเป็นเลือดพวกเรากันเองนี่มันสยดสยองกว่านะนาย”

มีการประกาศออกมาในเวลานั้นว่า
“หลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้ ยังไม่ได้ชำระตัวเองให้สะอาด ปราศจากบาป ขอท่านทั้งหลายรออยู่ก่อน เพราะเราต้องสังหารลูกแกะปัสการสำหรับบุคคลเหล่านี้ เพื่อว่าจะชำระให้พวกเขาบริสุทธิ์จำเพาะพระเจ้า”
พวกเขามองหน้ากันกระซิบว่า
“เจ้าดูซิ คนที่ไม่ชำระตัวยังบังอาจเข้ามา เห็นไหมว่า ท่านปุโรหิตไม่ยอม พวกเขาต้องชำระตัวเองก่อน”
“จะเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ทั้งทีนี่มันยากเย็นจริงนะ”
“ก็ใช่… เป็นเพราะพระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยที่มนุษย์หาพระองค์ทั้งที่ยังสกปรกอยู่ เราต้องรับการชำระก่อนจึงจะเข้าเฝ้าพระองค์ได้อย่างถูกต้อง”
ในสมัยโบราณนั้น ก่อนที่พระเยซูจะมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
การเข้าเฝ้าพระเจ้าก็ยากเช่นนี้
มันเป็นภาระหนักที่ต้องเตรียมตัวก่อนล่วงหน้านานพอควร
ต้องเตรียมทั้งใจและกายให้พร้อม
คนจำนวนมากมายจากเอฟราอิม มานัสเสห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุน ก็มาด้วย
และปัญหาคือ พวกเขาไม่ได้ชำระตัวให้สะอาด แต่จะมากินปัสกา ไม่ทำตามอย่างที่ท่านโมเสสได้กำหนดไว้

ทำอย่างไรดี….
คนมากมายเช่นนี้ ไม่ชำระตัว จะไปหาแกะที่ไหนมาเป็นผู้รับบาปแทนพวกเขา??
คนที่เข้ามาก่อนหน้านี้ เราก็หาแกะให้ครบแล้ว
แต่ประชาชนจากทางเหนือนี้เล่า…. พวกเขาลืมคำสอนของโมเสสไปหมดแล้ว
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จะชำระตัวอย่างไร
แล้วจะทำอย่างไรดีนี่……??

ความละอายใจของปุโรหิต ๓๐-๓

2 พงศาวดาร 30:12-15

นอกจากจะมีคนทางเหนือเตรียมตัวเข้ามาร่วมนมัสการพระเจ้าแล้ว  คนชนเผ่ายูดาห์เองก็มีหัวใจที่จะทำตามคำเชิญชวนของพระราชารวมทั้งเจ้าชายตามเมืองต่าง ๆ อย่างเต็มใจ

เป็นความเต็มใจจากส่วนลึกที่พระเจ้าประทานให้พวกเขา

ดังนั้น เดือนที่สอง  ใกล้ถึงเวลากำหนด  จึงมีคนเดินทางเข้ามายังนครเยรูซาเล็มมากมาย เพื่อจะร่วมในเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ

“โอ้ย  ทำไมคนมากมายเช่นนี้?”
“นั่นซิ  พวกเราไม่เคยมีคนเข้ามาในเมืองหลวงจำนวนมหาศาลอย่างนี้มาก่อน  ต้องคอยดูแลความปลอดภัย และความสะอาดให้มาก ๆ นะท่าน”

เมื่อถึงวันนัดหมาย  พวกเขาก็อยู่ร่วมนมัสการพระเจ้า และยังทำสิ่งที่ไม่คาดฝัน
พวกเขาไปเอาแท่นบูชาเทวรูปต่าง ๆ ที่ยังคงค้างอยู่ในนครเยรูซาเล็มออกมา

คนทั้งเมืองมาช่วยกันทำลายเทวรูปต่าง ๆ

“ท่านแน่ใจหรือว่าจะทำลายมัน  ไม่เกรงใจคนอื่นเลยหรือ”

“ยิ่งกว่าแน่ใจ  จะมีเวลาไหนที่เรามีโอกาสทำลายเทวรูปซึ่งพระเจ้าทรงชังได้ดีกว่าเวลานี้อีก   ท่านก็รู้นี่นาว่า เทวรูปเหล่านี้แหละ นำให้คนหลงผิด  และทำให้พระเจ้าเองทรงเมินพระพักตร์จากพวกเรา”

“เราต้องเตรียมนครนี้ให้สะอาด  ไม่มีสิ่งโสโครกอย่างนี้ เพื่อว่า การนมัสการของเรานั้น จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า”

“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะช่วยท่านด้วยแล้วกัน  ส่งเสานั่นมา!”

พวกเขายังขนเครื่องใช้สำหรับเผาเครื่องหอมของสถานบูชาเหล่านี้ออกมาและพากันไปทิ้งที่หุบเขาขิดโรน  ซึ่งเป็นที่ ๆ  รับขยะ ขี้เถ้าของสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังของนครเยรูซาเล็ม

“ข้ารู้สึกโล่งใจ”

“ข้าก็เหมือนกัน  ไปเถอะ  เราไปร่วมพิธีปัสกากัน”

 

 

วันนั้น เป็นวันที่สิบสี่ของเดือนที่สอง   เมื่อพวกเขาเข้าไปในลานพระวิหาร  ก็เห็นเหล่าเจ้าหน้าที่กำลังฆ่าเจ้าแกะน้อยที่น่าสงสารจำนวนไม่น้อย

 

วันนั้นเอง  ทั้งปุโรหิตและเลวีต่างมีเกิดความรู้สึกละอายใจมาก
พวกเขาหัวใจเต้นด้วยความทุกข์   “ทำไมข้าจึงสกปรกในใจ? ไม่มีใครมองเห็นใจของข้าก็จริง  แต่พระเจ้าทรงเห็นทุกอย่าง”

“ดูซิว่า ผู้คนธรรมดากลับมีความกระตือรือร้นในพระเจ้ายิ่งกว่าพวกเรา  นำของโสโครกทั้งหลายในเมืองออกไปทิ้งจนหมด”

 

การที่แกะถูกฆ่าเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปพวกเขา…. ทำให้เขาเข้าใจแล้วว่า บาปในชีวิตของพวกเขานั้น มันมีโทษร้ายแรงเพียงใด

 

การตอบรับของคนทางเหนือ ๓๐-๒

2 พงศาวดาร 30:7-12

ในสารที่พระราชาส่งให้กับประชาชนนั้นเขียนว่า

“ประชาชนอิสราเอล  ขอท่านกลับมาหาพระเจ้า  พระเจ้าแห่งท่านอับราฮัม  อิสอัค และยาโคบ  เพื่อว่า พระเจ้าจะทรงกลับมาเยี่ยมเยียนท่านผู้ยังหลงเหลืออยู่ในแผ่นดิน   ท่านผู้หนีพ้นจากเอื้อมมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย”

“ขอท่านอย่าเป็นเหมือนบรรพบุรุษ  พี่น้องของท่านที่ไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า   เป็นเหตุให้พระองค์ต้องสอนเขา ด้วยกันทำให้เขาต้องถูกบังคับให้ทิ้งแผ่นดินไป  อย่างที่พวกท่านเห็นแล้ว….”

“ขอท่านอย่าเป็นคนคอแข็งเหมือนบรรพบุรุษของท่าน  แต่ยอมตนให้กับพระเจ้า  และกลับมาหาพระองค์ที่พระวิหารซึ่งพระองค์ทรงทำให้บริสุทธิ์… ขอให้ท่านกลับมารับใช้พระองค์  เพื่อว่าความโกรธกริ้วของพระองค์จะได้หันไปจากพวกท่าน “

“เพราะหากว่า ท่านหันกลับมาหาพระเจ้า  พี่น้องของท่าน ลูกหลานของท่าน จะได้รับความเอ็นดูจากผู้ที่จับพวกเขาไปเป็นเชลย  และจะได้กลับมายังแผ่นดินนี้อีก   เพราะว่า พระเจ้าของเราทรงพระคุณ และทรงเมตตา  พระองค์จะไม่ทรงหันพระพักตร์ไปจากท่าน  หากท่านกลับมาหาพระองค์ “

ดังนั้น คนของพระราชาได้นำสารนี้ ไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วแผ่นดินเอฟราอิม และมนัสเสห์ทางเหนือ  เข้าไปในแผ่นดินชนเผ่าเศบูลุนด้วย

“ฮะฮ้า  ราชาเฮเซคียาห์นี่ทรงโอหังเสียเหลือเกิน… คิดจะช่วยพวกเราให้พระเจ้าพอพระทัยรึ   เมินเสียเถอะ  เราทำเองได้  ไม่ต้องให้พระราชาทางใต้มาช่วยหรอก”

ถึงแผ่นดินอิสราเอลจะมีคนยะโสมากมาย   แต่ก็มีคนที่ใจถ่อมด้วยอยู่ผสมปนเปกัน   จึงมีคนจากเผ่าอาเชอร์ มนัสเสห์ และเศบูลุน ฟังสุรเสียงของพระราชา

“ช่างเป็นพระราชาที่ดีเหลือเกิน  พวกเราก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรสำหรับพระองค์  แต่กลับทรงห่วงใย ประสงค์ให้พวกเราได้มีโอกาสกลับมายังแผ่นดินของเราอีกด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า  ขอทรงพระเจริญ …. พวกเราจะไปร่วมนมัสการพระเจ้ากับพระราชาองค์นี้ที่นครเยรูซาเล็ม”  เป็นความเห็นของคนที่เห็นด้วยกับการที่จะกลับมาหาพระเจ้า

เริ่มต้นที่ลูกวัวทองคำ  หลายร้อยปีต่อมาจบด้วยการเป็นเชลย ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้กลับมาแผ่นดินตัวเองอีกเลย

แผ่นดินทางเหนือ เริ่มต้นด้วยราชาเยโรโบอัมที่ไม่เอาพระเจ้า และสร้างรูปวัวทองคำ  และมีกษัตริย์ชั่วร้ายปกครองมาโดยตลอด แม้ว่าพระเจ้าจะทรงส่งคนของพระองค์มาตักเตือน  แต่คนเหล่านี้ก็ไม่ได้ฟัง   มีคนจำนวนไม่มากที่ยังสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า  แต่พวกเขาก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ  อดมื้อกินมื้อ เพราะราชาทางเหนือนั้นหากจับได้ว่า ประชาชนคนใดนมัสการพระเจ้า  ก็จะถูกประหารเป็นส่วนใหญ่!

 

น้ำพระทัยพระราชา ๓๐-๑

2 พงศาวดาร 30:1-6

ช่วงเวลาก่อนหน้านั้น อิสราเอลถูกพระราชาแห่งอัสซีเรียโจมตี และจับไปเป็นเชลยมากมาย   อิสราเอลจะต้องส่งส่วยให้กับอัสซีเรีย ทำให้ประชาชนทำงานหนัก และผลผลิตที่ได้ ก็ต้องกลายเป็นของประเทศที่เข้ามาครองพวกเขา

มีหลายคนร้องทูลต่อพระเจ้าให้ช่วย

หลายคนไม่สนใจที่จะกลับมาหาพระเจ้าสักนิด

แม้ว่าพระเจ้าจะทรงส่งคนของพระองค์ไปหาพวกเขา  แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็ยังไม่กลับมาหาพระเจ้า

ชนอิสราเอลส่วนหนึ่งถูกกวาดไปเป็นเชลย

คนอิสราเอลทางเหนือกลายเป็นเมืองขึ้นของอัสซีเรีย

แต่ยูดาห์ทางใต้ยังคงเป็นอิสระอยู่

ดังนั้นพระราชาเฮเซคียาห์ทรงเห็นว่า    ควรที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อขอให้พระเจ้าทรงช่วยพวกเขาให้ดีขึ้นอีกครั้ง

เมื่อพระราชาเห็นว่า การนมัสการพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดียิ่ง  พระองค์จึงทรงส่งสารไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ทั้งแผ่นดินอิสราเอลทางเหนือ และยูดาห์   รวมทั้งไปที่ดินแดนเอฟราอิม และมนัสเสห์  โดยพระองค์ทรงเชิญให้พวกเขาที่ไม่ได้ถูกกวาดไปเป็นเชลย ให้มารวมกันนมัสการพระเจ้าในพิธีปัสกา ที่พระวิหารในนครเยรูซาเล็ม

 

พระราชา ราชโอรส และขุนนางทั้งหลายในเยรูซาเล็มได้ปรึกษากันแล้วว่า พวกเขาจะฉลองเทศกาลปัสกาในเดือนที่สอง  ซึ่งปกติแล้วพวกเขาจะฉลองกันในเดือนที่หนึ่ง  แต่ทำในเดือนที่หนึ่งไม่ได้เพราะเหล่าปุโรหิตนั้น ไม่สามารถชำระตัวเสร็จทันครบจำนวนที่ต้องการได้   อีกอย่าง ผู้คนก็ยังไม่ได้เข้ามารวมกันพร้อมเพรียง

 

ราชาเฮเซคียาห์ทรงหวังดี จึงออกประกาศตั้งแต่เบเออร์เชบา ไปจรดทางเหนือคือเมืองดาน  เชิญให้ประชาชนที่ยังอยู่ได้เดินทางมาฉลองปัสกาเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งอิสราเอลในนครเยรูซาเล็มกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา    พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งนี้มานานแสนนานแล้ว

ตั้งแต่ที่ทางใต้กับเหนือแยกแผ่นดิน  แยกกษัตริย์กันนั้น  คนทางเหนือไม่ได้มีโอกาสเข้ามานมัสการพระเจ้าในนครเยรูซาเล็ม

ดูซิ  พระองค์ทรงเป็นราชาที่ห่วงใยประชาชน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนทางใต้   แต่ไม่ได้ทรงถือเขาถือเรา  แต่พร้อมที่จะให้พวกเขากลับมาหาพระเจ้า โดยพระองค์ตั้งพระทัยที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้พวกเขากลับมาหาพระเจ้า

 

ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย

แต่… จะมีคนร่วมมือไหมนะ?