ทีเด็ดมีคายาห์ ๑๘-๔

2 พงศาวดาร 18:18-27

“ขอพระราชาทั้งสองโปรดสดับฟังพระวจนะจากพระเจ้า พะยะค่ะ”  มีคายาห์น้อมตัวลง
“ข้าพระบาทเห็นพระเจ้าประทับบนพระที่นั่งของพระองค์

และเห็นทูต ….เออ…เห็นบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ ยืนข้าง ๆ พระบัลลังก์ ทั้งซ้ายและขวา”   สิ่งที่มีคายาห์กล่าว ทำให้ราชาอาหับอึ้ง  พระองค์ไม่เคยทรงได้ยินอะไรเช่นนี้มาก่อน… อะไรกัน มีคายาห์เห็นสวรรค์เลยหรือนี่ !!

ส่วนราชาเยโฮชาฟัทยิ่งทรงสนใจมากขึ้น   มันมีอะไรเกิดขึ้นในสวรรค์นะ?  มันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในโลกด้วยหรือ?

จากจินตนาการของจิตรกรอีกท่าน

“พระเจ้าตรัสกับพวกเขาเหล่านั้นว่า… ใครจะไปล่อใจให้ราชาอาหับแห่งอิสราเอล ยกทัพไปโจมตีราโมท-กิเลอาด  เพื่อว่าเขาจะล้มลงที่นั่น?”

น่าสนใจ  นี่มันอะไรกัน?… ราชาเยโฮชาฟัททรงตื่นเต้น

“มีบางตนก็ทูลพระเจ้าอย่างนี้  บางตนก็ทูลอย่างนั้น   แต่แล้วก็มีวิญญาณดวงหนึ่งมาเฝ้าต่อพระพักตร์พระเจ้า ทูลว่า … ข้าทาสจะไปเกลี้ยกล่อม ล่อใจพระราชาเอง….  เจ้าจะทำอย่างไรล่ะ  พระเจ้าตรัสถาม  ”

เอ. … นี่แสดงว่า มันมีการทำงานระหว่างโลกและสวรรค์   ราชาเยโฮชาฟัททรงเริ่มเห็นภาพใหญ่..

“วิญญาณนั้น ทูลพระเจ้าว่า  ข้าทาสจะออกไป และเป็นวิญญาณโกหกมุสาในปากผู้กล่าวคำของพระเจ้าทุกคน”

….อา… เข้าใจแล้ว  ที่เราไม่สบายใจและคิดว่า มันแปลก ๆ  ก็อย่างนี้นี่เอง  ถ้ามีคายาห์ไม่มาบอก เราคงไม่เข้าใจอะไรเลย  ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเปิดเผยให้ทราบ…..  ราชาเยโฮชาฟัททรงพยักหน้า…

“แล้วพระเจ้าตรัสว่าอย่างไร?”

มีคายาห์ทูลตอบ  ..”พระเจ้าตรัสว่า จงไปทำอย่างนั้นเถอะ  เจ้าจะทำสำเร็จ   ดูซิ  ขอพระราชาโปรดพิจารณา  พระองค์ทรงอนุญาตวิญญาณมุสาเข้ามาในคนของฝ่าพระบาท   พระเจ้าได้ทรงบอกให้รู้ถึงหายนะของพระองค์”

อึ้ง….

ฉาด!…. เศเดคียาห์เดินเข้ามาตบหน้ามีคายาห์ต่อหน้าพระราชา

“พระวิญญาณของพระเจ้าไปจากข้า  และพูดกับเจ้าทางใดกัน?”    เศเดคียาห์โกรธจัด  ยั้งความโกรธไม่อยู่

“นี่แนะ”  มีคายาห์ไม่ได้ตบหน้าตอบ  “เจ้าจะรู้ในวันนั้นที่เจ้าเข้าไปซ่อนตัวในห้องชั้นใด”    มีคายาห์กลับทำนายเหตุการณ์ในอนาคตให้เศเดคียาห์อีก

ราชาอาหับจึงทรงสั่งให้คนเอามีคายาห์ไปขัง

“เอาเจ้านี่ไปจำคุก   จำกัดน้ำ อาหาร เพียงให้มันอยู่รอด จนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย”   พระองค์ทรงโกรธไม่แพ้เศเดคียาห์

“ถ้าฝ่าพระบาทเสด็จกลับมาอย่างปลอดภัยจริง ๆ   เท่ากับพระเจ้าไม่ได้ตรัสผ่านข้าพระบาท”   มีคายาห์กล่าวขึ้นมาทันที

“ขอประชาชนฟังเอาไว้แล้วกัน”    ราชาอาหับทรงสรุปห้วน  ๆ

 

 

 

 

มีคายาห์..ของจริง ๑๘-๓

2 พงศาวดาร 18:12-18

คนสื่อสารที่ไปตามมีคายาห์  ไม่ได้ไปตามเปล่า  แต่นำความเห็นของเศเดคียาห์ไปด้วย

หมายความว่าอย่างไรกันล่ะ?

พอเขาพบมีคายาห์  เขาก็เริ่มหว่านล้อมทันที

“ท่านมีคายาห์   ท่านทราบไหมว่า คำจากผู้กล่าวคำเหล่านั้นล้วนแต่เป็นคำพูดดี ๆ   ทำให้พระราชาเกิดความกล้าหาญที่จะไปตีเมืองราโมท-กิเลอาด  พวกเขาพูดอย่างไร  ขอให้ท่านพูดเหมือนกันกับพวกเขา  มันจะได้เป็นพรสำหรับพระราชา”

ผู้สื่อสารคนนี้ไม่รู้จักมีคายาห์….

“พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด  ข้าจะพูดอย่างที่พระเจ้าตรัสให้ข้าพูด”   มีคายาห์ตอบอย่างไม่กลัวเกรง

ผู้สื่อสารจึงนิ่งอึ้ง  ไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อ    จะมามัวต่อล้อต่อเถียง หรือให้สินบนก็ไม่ได้   มีคายาห์ท่านนี้ แม้จะดูเป็นคนธรรมดาที่มีหน้าที่กล่าวคำของรพะเจ้า   แต่ก็มีบารมีของพระเจ้าในตัวจริง ๆ        เขาจึงพามีคายาห์มาพบพระราชาทั้งสอง

อีกภาพที่จิตรกรวาดถึงมีคายาห์ ภาพจาก pitts.emory.edu

เมื่อมาถึง ราชาอาหับทรงถามเขาว่า

“มีคายาห์  บอกเรามาซิว่า เราควรไปโจมตีเมืองราโมท-กิเลอาด  หรือว่าไม่ควรไป”

มีคายาห์ทูลตอบว่า…

“ขอเชิญเสด็จไปพะยะค่ะ  พระองค์จะทรงได้ชัยชนะ   พวกเขาจะถูกมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์”

คำตอบของมีคายาห์ทำให้ทุกคนที่กล่าวคำก่อนหน้านี้ โล่งใจ   พวกเขาหันหนัามามองกัน โธ่เอ๋ย  ไม่เห็นจะมีน้ำยาก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ ไม่น่าเรียกมาถามเลย

แต่… น้ำเสียงของมีคายาห์ทำให้ราชาอาหับทรงรู้ดีว่า     มีคายาห์กำลังประชดพระองค์อยู่

“ก็เราบอกให้เจ้าปฏิญาณไม่ใช่หรือว่า  เจ้าจะพูดความจริงในพระนามของพระเจ้า”   พระองค์ตรัสกับเขา สุรเสียงกร้าว

“อย่างนั้นก็ได้พะยะค่ะ”  มีคายาห์ตอบ

“คือว่า  ข้าพระบาทเห็นคนอิสราเอลกระจัดกระจายบนภูเขา  พวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง”

พอได้ยินเช่นนั้น  ราชาอาหับทรงหันมาที่ราชาเยโฮชาฟัท   ตรัสขึ้นมาทันทีว่า

“ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่า  เขาจะไม่เคยพูดถึงข้าพเจ้าดี ๆ  เลย   มีแต่เรื่องเสียหายทั้งนั้น”

คราวนี้ รู้สึกกริ้วมาก   มีคายาห์ตอนต้นพูดเหมือนว่าจะใช้ได้แล้ว  แต่ในที่สุด ก็เป็นเหมือนเดิม   ราชาอาหับทรงไม่พอใจกับมีคายาห์อย่างยิ่ง

แต่…มีคายาห์ยังมีสิ่งที่จะบอกเล่าอีก  “ขอสดับพระวจนะของพระเจ้า   เป็นเรื่องที่แปลก”

ราชาเยโฮยาฟัททรงสนใจที่จะฟัง  ทรงยิ้มและกล่าวกับมีคายาห์ว่า

“ขอท่านมีคายาห์บอกพวกเรามาเถิดว่า  ท่านเห็นอะไร”

มีคายาห์รู้เห็นอะไรมานะ??

 

 

 

 

สวมเขาสร้างภาพ ๑๘-๒

2 พงศาวดาร 18:8-11

อาหับ  ราชาแห่งอิสราเอลนั้น  จำเป็นต้องทำตามที่ราชาเยโฮชาฟัททรงขอร้อง
“เจ้าไปตามมีคายาห์ มาด่วน”   ราชาอาหับทรงสั่งเสียงดัง

ราชาทั้งสอง ทรงนั่งข้าง ๆ กันที่ลาดนวดข้าวทางเข้าประตูเมือง  ทั้งสององค์ข้าง ๆ กัน ทำให้ประชาชนตื่นเต้น     ขณะที่รออยู่นั้น พระองค์ทรงสนทนากันเบา ๆ  และบางคนก็ได้ยิน บางคนก็ไม่ได้ยิน

เห็นเศเดคียาห์ที่สวมเขาไหม?

แต่เวลาเดียวกัน ผู้กล่าวคำของพระเจ้า  400 คนที่อยู่ตรงนั้น ก็สลับกันทูลสิ่งที่ถูกสั่งมาให้ทูล….. พวกเขาไม่ได้กล่าวคำของพระเจ้าจริง !

คนหนึ่งชื่อเศเดคียาห์ เป็นบุตรของเคนาอะนาห์   ได้ทำสิ่งที่ดึงความสนใจของผู้คนอย่างมาก

เขาเอาเหล็กมาทุบเป็นเขาแล้วสวมหัวไว้    เขาพยายามทำให้คำพูดของเขาน่าเชื่อถือ  ซึ่งดูแล้วก็น่าเชื่อถือ เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ  ที่แค่พูด

“พระเจ้าตรัสดังนี้”   เขากล่าวเสียงดัง  “ด้วยสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าจะจัดการกับคนซีเรียจนกระทั่งพวกเขาพินาศไปหมด”

“ใช่แล้ว  เป็นอย่างนั้นแน่”   เสียงของผู้กล่าวคำคนอื่น ๆ  เห็นด้วยดังทั่วลานนั้น
“ขอพระราชาเสด็จไปโจมตีเมืองราโมท-กิเลอาดเถิด   พระเจ้าจะทรงมอบเมืองนี้ไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา

คำของคนเหล่านี้ทำให้ราชาเยโฮชาฟัทเปลี่ยนพระทัยหรือไม่…

เปล่าเลย

พระองค์ยังทรงรอคนที่ชื่อมีคายาห์….

 

การตัดสินพระทัย ๑๘-๑

2 พงศาวดาร 18:1-7

จากที่เล่ามาว่า ราชาเยโฮชาฟัทนั้น ทรงรุ่งเรือง มีทรัพย์สมบัติมากมาย   และยังเป็นที่นับถือจากชนชาติรอบ ๆ ด้วย

ต่อมา … พระองค์ได้ทำสิ่งที่ทรงคิดว่าดี  แต่จริงแล้ว มันจะสร้างปัญหาใหญ่ในรัชกาลหลังจากพระองค์  ไม่มีใครคิดว่า จะมีอะไรร้าย ๆ เกิดขึ้น  ก็แค่ราชาแห่งภาคใต้  เข้าไปเป็นทองแผ่นเดียวกับราชาภาคเหนือ   ซึ่งก็คือราชาอาหับนั่นเอง
ไม่น่าเลย   ราชาที่ดี ๆ อย่างพระองค์ไม่น่าจะไปสมรสกับเชื้อวงศ์ของอาหับ!

เมื่อพูดถึงราชาอาหับ เราก็รู้ว่า พระองค์ทรงอยู่ใต้กำมือของพระนางเยเซเบล มเหสีผู้โหดร้าย     ราชาอาหับทรงเป็นผู้ชายกลัวภรรยาคนหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ทรงเป็นราชาเหนืออิสราเอล  ทรงทำให้คนอิสราเอลทั้งประเทศหันมากราบไหว้เทวรูปเจ้าบาอัลตามที่พระนางเยเซเบลต้องการ

มีเมืองอยู่เมืองหนึ่งที่ราชาแห่งซีเรียไม่ยอมคืนให้อิสราเอล  คือเมืองราโมท กิเลอาด ซึ่งอยู่ห่างจากนครเยรูซาเล็มเพียง 40 ไมล์   ราชาอาหับจึงทรงชวนราชาเยโฮชาฟัทไปร่วมรบ เพื่อยึดเมืองนี้คืนมา

ภาพจาก pitts.emory.edu

 

“ท่านจะไปราโมทกิเลอาดกับเราไหม?    ราชาอาหับทูลถาม

“อืม… ข้าพเจ้าก็เป็นอย่างที่ท่านเป็น   ทหารของข้าพเจ้าก็เหมือนทหารของท่าน  ข้าพเจ้าจะอยู่กับท่านในการสงคราม  แต่…”  ราชาเยโฮชาฟัททูลตอบ

“ยังไง  ๆ  ข้าพเจ้าอยากทราบว่า พระเจ้าจะทรงสั่งอย่างไรก่อน  ไม่อยากทำอะไรโดยไม่ถามพระองค์ “

“ได้ซิ  เราจะเตรียมผู้กล่าวคำของพระเจ้าไว้ให้ท่าน”  แล้วอาหับก็เตรียมคนไว้ 400 คน  เพื่อให้ได้คำตอบจากพระเจ้า

เมื่อราชาเยโฮชาฟัททรงเห็นคนทั้งหมดนั้น ก็ตรัสว่า
“เราควรไป หรือไม่ควรไปโจมตีเมืองราโมท กิเลอาด?”

พวกเขารู้แล้วว่า จะตอบอะไรอย่างที่ราชาอาหับทรงประสงค์

“ข้าแต่พระราชา   ขอพระองค์เสด็จไปเถิด   เพราะว่า พระเจ้าจะทรงให้พระองค์ได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน”

แต่การที่ทุกคนตอบเหมือนกัน   เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  และดูเสแสร้ง… ราชาเยโฮชาฟัทจึงทรงหันมาถามราชาอาหับ

“ที่นี่ไม่มีคนกล่าวคำของพระเจ้าอีกสักคน ที่ข้าพเจ้าจะคุยด้วยได้เลยหรือ? ”

“มีซิ  ยังมีอีกคน  แต่เจ้าคนนี้ ไม่ถูกใจข้าพเจ้าเลย    เขาไม่เคยพูดความดีของข้าพเจ้า เอาแต่พูดสิ่งที่ร้าย ๆ เท่านั้น”  ราชาอาหับทูลตอบ

“เขาเป็นใครกัน?”

“ชื่อมีคายาห์  เป็นบุตรชายของอิมลาห์”

“ขอราชาอาหับอย่าทรงคิดอย่างนั้นเลย  ขอทรงให้เขามาพูดให้ข้าพเจ้าฟังด้วยเถิด”      ราชาเยโฮชาฟัททรงรู้สึกสนใจที่จะฟังชายคนนี้   แสดงว่า เขาเป็นคนที่พูดความจริง ทำให้คนไม่ชอบ

ราชาเยโฮชาฟัททรงรู้ว่า คนที่ประจบสอพลอ  กับคนที่พูดความจริงนั้นแตกต่างกันมากยิ่งนัก   ….

ราชาอาหับจะทรงยอมไหมนี่?

 

ประชาชนกับความรู้ ๑๗-๒

2 พงศาวดาร 17:7-19

พอราชาเยโฮชาฟัทครองราชย์ได้ 3 ปี  ทรงเห็นแล้วว่า ต้องทำอะไรบ้าง  เป็นสามปีที่พระองค์ทรงเรียนรู้การปกครองประเทศอย่างรวดเร็ว    พระองค์ทรงทำสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นมากก็คือ

ทรงใช้คนของพระองค์ซึ่งเป็นผู้รู้ในพระคำของพระเจ้าออกไปทั่วแผ่นดิน   เขาทั้ง 5 นี้ ไปสั่งสอนประชาชนตามหัวเมืองต่าง ๆ ให้รู้จัก และเข้าใจทางของพระเจ้ามากขึ้น

สมัยก่อน ๆ   สิ่งเหล่านี้ถูกละเลย  ไม่มีปุโรหิต หรือผู้รู้ในพระคำของพระเจ้าออกไปสั่งสอนเช่นนี้

ทำให้ประชาชนเริ่มเข้าใจว่า ตนเองต้องใช้ชีวิตอย่างถูกต้องอย่างไร  สภาพของสังคมยูดาห์ก็ดีขึ้น   การโกงซึ่งกันและกันก็ลดน้อยลง  ผู้คนหันมาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  ความเป็นอยู่ก็ดีขึ้นด้วย

น่าแปลกมาก
พระคัมภีร์บันทึกว่า   … ชนชาติรอบ ๆ ยูดาห์ ต่างเกรงกลัวพระเจ้าไปตาม ๆ กัน พวกเขาไม่กล้ามาทำสงครามกับยูดาห์เลย

นี่เป็นวิธีการยอดเยี่ยมในการใช้ชีวิตของเราด้วย…. เราติดสนิทกับพระเจ้า พระเจ้าจะทรงช่วยให้ศัตรูไม่มาวอแวกับเรา   ยิ่งกว่านั้น ศัตรูอย่างเช่นฟิลิสเตียก็ได้นำทรัพย์สมบัติเงินทองมาถวาย   ชาวอาระเบีย ก็นำสัตว์มากมายมาถวายเป็นหมื่น ๆ ตัว

จากนั้นมา ราชาเยโอชาฟัทก็ทรงอำนาจมากขึ้น  ทรงสร้างป้อม และหัวเมืองที่จะเก็บสมบัติ อาหารไว้   พระองค์ทรงมีที่ดินมากมายตามเมืองต่าง  ๆ

พระราชาทรงมีทหารมากพอด้วย ทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่ได้มีสงคราม

ทหาร 300,000   นาย ในบังคับบัญชาของท่านอัดนาห์
ทหาร 280,000   นาย ในบังคับบัญชาของท่านเยโฮฮานัน
ทหาร 200,000   นาย ในบังคับบัญชาของท่านอามัสยาห์
ทหาร 200,000   นาย ในบังคับบัญชาของท่านเบนยามิน พร้อมธนูและโล่
ทหาร 180,000  นาย ในบังคับบัญชาของท่านเยโฮซาบาด

คนที่น่าสนใจคือ ท่านอามัสยาห์
พระคัมภีร์บันทึกว่า ท่านนี้เต็มใจถวายตัวเข้ามารับใช้ ….  ท่านผู้นี้น่าจะอาสาเข้ามาทำงานโดยไม่ได้มีใครมาขอร้อง  … แต่เขาพร้อมที่จะทำงานแม้จะเป็นทหาร แต่เขาก็รู้ว่า เขากำลังรับใช้พระเจ้าของเขาอยู่

 

ราชาเยโฮชาฟัท ๑๗-๑

2 พงศาวดาร 17:1-6

ราชาอาสาทรงมีราชโอรสที่ทรงปัญญา พระนามว่า เยโฮชาฟัท  ทรงครองต่อจากราชบิดาทันทีที่ราชบิดาสิ้นพระชนม์

ราชาเยโฮชาฟัทขึ้นครองในขณะที่ทางเหนือมีราชาอาหับปกครอง     อาหับมีมเหสีนามว่าเยเซเบล เป็นราชินีที่ร้ายกาจ โหดเหี้ยมมาก    และถ้าเพื่อน ๆ เคยอ่านเรื่องของเขา  ในสมัยของราชาอาหับ มีผู้กล่าวคำของพระเจ้าที่กล้าหาญคือท่านเอลียาห์

ขณะที่ทางเหนือกำลังป่วน วุ่นวายเพราะพระนางเยเซเบลเป็นราชินีที่คอยยุยงให้ราชาอาหับทำสิ่งที่ผิดตลอดเวลา   ทางใต้ กลับมีอีกบรรยากาศหนึ่ง

ราชาเยโฮชาฟัททรงเสริมกำลังกองทัพให้เข้มแข็ง เพื่อต่อสู้กับอิสราเอล

หัวเมืองต่าง ๆ ที่ราชบิดาเคยยึดไว้จากอิสราเอลก็ทรงเสริมกำลังทหารเข้าไปให้เพียงพอ

 

ที่ราชาเยโฮชาฟัททรงทำอะไรก็เจริญก้าวหน้า  เป็นเพราะพระเจ้าสถิตกับพระองค์

พระราชาทรงดำเนินตามแบบอย่างของราชาดาวิด

 

 

ราชาเยโฮชาฟัทไม่ได้ทรงทำตามอย่างอาหับ  ที่คอยแต่จะเฝ้าตามเจ้าบาอัลตามมเหสี

พระองค์ทรงดำเนินตามพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยเต็มพระทัยอย่างยิ่ง

ทรงนำให้ประชากรติดตามพระเจ้าด้วยเช่นกัน  ดังนั้น สิ่้งที่เกิดขึ้นก็คือ  ไม่ว่าพระองค์จะทรงทำอะไร ก็สำเร็จ มีพระพรของพระเจ้านำหน้า และตามหลัง

ผู้คนต่างเอาของมาถวาย    หัวเมืองต่าง ๆ ในยูดาห์ก็นำสิ่งของมาถวาย ทำให้พระองค์ทรงมั่งคั่ง

แต่ที่ดีกว่านั้นคือ

พระนามของพระองค์เป็นที่ชื่นชมของประชาชน

ทรงเป็นกษัตริย์ที่ประชาชนรัก และเคารพอย่างสูง  พวกเขาพร้อมที่จะทำตามอย่างพระราชาของเขา

ทำให้พระองค์ยิ่งปกครองด้วยความเอาใจใส่  และเที่ยงธรรม

ส่วนความสัมพันธ์ของราชาเยโฮชาฟัทกับพระเจ้านั้นก็แนบแน่นยิ่งนัก

พระองค์ทรงเข้มแข็ง  ไม่กลัวสิ่งใด

และทรงทำลายปูชนียสถานสูง  และเทวรูปต่าง ๆ  อย่างมากมาย  ไม่ทรงกลัวผู้ใดต่อต้านเลย ….

วาระสุดท้ายของราชาอาสา ๑๖-๓

2 พงศาวดาร 16:7-14

เรื่องไม่ได้จบง่าย ๆ   ราชาอาสาทรงคิดว่า เบนฮาดัดทรงช่วยแล้ว ก็จบไปแล้ว  แต่… พระเจ้าทรงส่งคนหนึ่งมาเฝ้าราชาอาสา   เขาผู้นี้ชื่อ ฮานานี….

“เจ้าต้องการอะไร?”  ราชาอาสาทรงถาม

“ข้าแต่พระเจ้า  เพราะว่า พระองค์ทรงไปพึ่งราชาของซีเรีย และไม่ได้พึ่ง วางใจพระเจ้าองค์เที่ยงแท้   ดังนั้น กองทัพอิสราเอลจึงได้หลุดมือของพระองค์ไป “

“เจ้ามาต่อว่าข้ารึ?”

“ขอพระราชาโปรดฟังข้าพระบาท   ทรงจำได้ไหมพะยะค่ะ  ครั้งที่กองทัพเอธิโอเปียได้ยกมาเป็นล้านคน   แต่พระองค์ทรงพึ่งพระเจ้า ดังนั้น พระเจ้าก็ได้ทรงมอบพวกเขาไว้  พระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างงดงาม  ทรงจำได้ไหมพะยะค่ะ”  ฮานานีตอบ

“ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า พระเนตรของพระเจ้าไปมาอยู่เหนือแผ่นดินโลกเพื่อทรงสำแดงอานุภาพของพระองค์แก่คนที่จริงใจต่อพระองค์  แทนที่พระองค์จะทรงพึ่งพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์  กลับทรงพึ่งพามนุษย์ด้วยกัน

ต่อจากนี้ไป ประเทศของเราจะมีแต่ศึกสงครามไม่เว้น…”

“เจ้าอวดดีอย่างไรมาต่อว่าข้าเช่นนี้   เอามันไปขังไว้ในคุก”  ราชาอาสาทรงหันไปสั่งมหาดเล็ก

“แล้วคนใดเห็นด้วยกับเจ้านี้ ก็จับมันเข้าคุกให้หมดเช่นกัน”

พระราชาไม่ได้ทรงฟังเสียงของฮานานีเลย  น่าเสียดายที่ตอนหนุ่มทรงรักพระเจ้า

แต่อายุมากขึ้น ทำไมจึงเปลี่ยนไป?

ปีที่ 39  อยู่ดีๆ  พระราชาก็ทรงเป็นโรคร้ายแรงที่พระบาท  แต่พระองค์ไม่ทรงหาพระเจ้าเลย

ทรงเอาแต่แพทย์อย่างเดียว ….

และไม่นานก็สิ้นพระชนม์

ทรงครองอยู่ 41 ปี

พระองค์เคยทรงเตรียมถ้ำฝังพระศพไว้ โดยเจาะเข้าไปในภูเขา  พวกเขาจึงนำพระศพไปวางไว้ และนำเครื่องหอมมากมาย ไปวางไว้ด้วย

 

แลกครั้งนี้คุ้มไหม? ๑๖-๒

2 พงศาวดาร  16:2-6

แทนที่จะหันมาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า   พระเจ้าผู้ฟังคำอธิษฐานของคนที่ถ่อมตน และแสวงหาพระองค์สุดใจ

ราชาอาสากลับทรงเอาเงิน และทองคำไปถวายให้กับเบนฮาดัด  กษัตริย์แห่งซีเรีย

เงินและทองคำเหล่านี้  ไปเอาออกมาจากพระวิหารของพระเจ้าและราชวังของพระองค์

เอาเงินและทองออกมาจากพระวิหารรึ?

พระองค์ไม่มีสิทธิจะทำเช่นนั้นด้วยซ้ำ

พระวิหารเป็นของ ๆ พระเจ้า   ราชาอาสาทรงคิดอะไรอยู่?

 

พร้อมกับเงินและทอง พระองค์ทรงส่งข้อความไปพร้อม ๆ กันว่า

“ขอให้เราทั้งสองฝ่ายเป็นพันธมิตรกัน  เหมือนอย่างที่ราชบิดาของข้าพเจ้าและของท่านได้เป็นมิตรกัน

ข้าพเจ้าได้ส่งเงินและทองคำมาให้ท่าน

เพียงขอให้ท่านโปรดเลิกสัญญาไมตรีกับบาอาชา  กษัตริย์แห่งอิสราเอล   และเขาจะได้ถอยทัพ  เลิกคิดจะโจมตียูดาห์ของข้าพเจ้า”

 

ดีจริง  ดีสำหรับเบนฮาดัด  อยู่ดี ๆ  ก็ได้รับทรัพย์สมบัติมากมายเพียงเพื่อจัดการกับบาอาชา  กษัตริย์แห่งอิสราเอล

 

ดังนั้น เบนฮาดัดจึงส่งกองทัพซีเรียไปต่อสู้กับหัวเมืองของอิสราเอล
พระองค์ทรงโจมตีหลายเมือง

มีคนส่งข่าวให้บาอาชาทราบ  ดังนั้นบาอาชาจึงเลิกล้มการสร้างเมืองด่านรามาห์เสีย
“พอ  พอ  เราไม่สร้างเมืองแล้ว เราจะกลับไปเมืองหลวงของเรา เดี๋ยวกษัตริย์ซีเรียมาโจมตี เราจะพ่ายแพ้ “   บาอาชาทรงรีบยกทัพกลับเมืองหลวง  ทิ้งการก่อสร้างเมืองรามาห์ไว้กลางคัน

 

ราชาอาสาได้ที จึงทรงส่งคนให้ขนหิน และวัสดุก่อสร้างที่เตรียมไว้ในเมืองรามาห์   ย้ายมาสร้างเมืองเกบา และเมืองมิสปาห์

 

ราชาอาสาทรงคิดว่า นี่มันคุ้มแล้ว  แค่ส่งเงินและทองคำไปให้กษัตริย์ซีเรีย  ดูซิ ได้เมืองใหม่มาสองเมือง

 

แต่…. มันดีจริงหรือ??

หาพันธมิตรใหม่ ๑๕-๓

2 พงศาวดาร 16:1

 

35 ปีที่ราชาอาสาครองราชย์  ประเทศไม่มีสงครามเลย  ประชาชนมีความสุขสงบ และต่างทำมาหากิน  สร้างสรรค์งานสวยงามให้เกิดขึ้น   เวลาไม่มีสงคราม ส่วนใหญ่แล้ว ก็จะมีเวลาคิดสิ่งที่ทำให้การเป็นอยู่ดีขึ้น

 

แต่ความสบายก็ทำให้หลาย ๆ คนเฉื่อยชาได้เช่นกัน  ความกระตือรือร้นที่เคยมีเนื่องจากความยากลำบากก็หายไป   สบายมากก็เฉยชา  ลืมไปว่า ผู้ที่ทำให้ชีวิตเป็นสุขคือใคร…

ระหว่างที่ราชาอาสาครองในยูดาห์ทางใต้

ผู้ที่ครองทางเหนือคือ ราชาบาอาชา

บาอาชาทรงยกทัพมาต่อสู้กับยูดาห์    วิธีการคือ สร้างเมืองด่านขึ้น เพื่อว่า ไม่ให้คนเดินทางเข้าออกโดยสะดวกอีกต่อไป

บาอาชาทรงสร้างเมืองรามาห์ขึ้นในเขตของอิสราเอลเอง  …..

 

ความที่ราชาอาสาทั้งชราแล้ว   และไม่สามารถจะไปสู้รบกับศัตรูที่ไม่คาดฝัน พระองค์จึงคิดแผนการที่จะไม่ต้องรบเอง

ถ้าเป็นแต่ก่อน เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว  ราชาอาสาจะพึ่งพาพระเจ้าอย่างแน่นอน

มาวันนี้  พระองค์ทรงหลงลืมความดีของพระเจ้าที่ทรงมีต่อพระองค์

เราไม่ทราบว่า เหตุใดการตัดสินใจครั้งนี้ของพระองค์จึงออกมาในรูปนี้

สิ่งที่ราชาอาสาทรงทำก็คือ  ทรงคิดหาเพื่อนที่จะช่วยจัดการกับบาอาชา

พระองค์ไม่อธิษฐานแล้ว

แต่กลับไปหาพันธมิตร  โดยยอมเสียบางอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ…. ชัยชนะเหนือบาอาชา

พระองค์ทรงไปหาใครกันนะ ?

รัชกาลแสนสงบ ๑๕-๒

2 พงศาวดาร 15:9-19

พระราชา จะเป็นผู้ตัดสินว่า ทั้งประเทศจะอยู่ภายใต้พระพรของพระเจ้าหรือไม่ …. นี่เป็นความรับผิดชอบของผู้นำ   เขาจะต้องเดินตามที่พระเจ้าทรงพอพระทัย    เมื่อเขาทำเช่นนั้น พระพรจะตามมา….

เมื่อผู้กล่าวคำของพระเจ้าได้ทูลให้กำลังใจ  ราชาอาสาก็มีพระทัยกล้าหาญขึ้นมาก ไม่ทรงกลัวคำต่อต้านของใครทั้งนั้น

 

มีประชาชนเป็นจำนวนมากที่หลบหนีมาจากเอฟราอิม มหัสเสห์ทางเหนือ และสิเมโอน   พวกเขาพูดกันว่า
“ดูซิ  เจ้าเห็นไหม พระเจ้าสถิตอยู่กับราชาอาสา  แล้วดูซิว่า ประเทศที่พระองค์ปกครองนั้น เจริญขึ้นขนาดไหน… เราไปอยู่กับพระองค์ดีกว่า”

 

ปีนั้น ที่รบชนะและมีข้าวของริบมาด้วย   เป็นปีที่ 15  ที่ราชาอาสาครองอิสราเอล

ประชาชนเข้ามาชุมนุมในกรุงเยรูซาเล็ม และถวายเครื่องบูชาเป็นวัวผู้ 700 ตัว และแกะอีก 7000  ตัว  มากมายมหาศาลเหลือเกิน!
ที่ทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นที่จดจำเพราะ  ……ประชาชนได้ทำพันธสัญญากันว่า ในชีวิตของพวกเขา  พวกเขาจะแสวงหาพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจ

หมายความว่าอย่างไรกันหรือ?

เขาจะยกย่องพระเจ้าในชีวิตประจำวันของเขา ทำอะไรก็เกรงกลัวพระเจ้า ไม่ทำบาป พวกเขาจะคอยฟังและดำเนินตามพระบัญญัติของพระเจ้า … และไม่ใช่เดี๋ยวทำ เดี๋ยวเลิก  แต่เขาจะทำสิ่งเหล่านี้ตลอดไป

 

พวกเขายังเสนอว่า ใครไม่แสวงหาพระเจ้า สมควรตาย!

“พวกเราจะติดตามพระเจ้า”   คนหนึ่งตะโกนนำ

“ใช่แล้ว  เราจะติดตามพระเจ้าตลอดไป”  คนอื่น ๆ  ร้องตอบ

อู่    อู๊     อู่  อู๊     เสียงแตรดังตามมา

วันนั้น พวกเขามีความสุขมากที่ได้สัญญากับพระเจ้าอย่างสุดใจ

พวกเขาดีใจที่จะตั้งใจแสวงหาพระเจ้าด้วยสุดกำลังของเขา

และเมื่อเขาทำเช่นนั้น

พระเจ้าก็ทรงพบกับเขา ทุกวัน

เขาได้ยินเสียงของพระเจ้า  เดินตามพระองค์ทุกวัน

เมื่อเขาทำสิ่งที่ถูกต้อง พระเจ้าก็อวยพรพวกเขาให้สงบรอบด้าน ไม่มีศึกสงครามเข้ามา

 

ส่วนพระราชาทำสิ่งที่มากไปกว่านั้น

พระองค์ทรงถอดตำแหน่งพระราชชนนีออกจากพระมารดาของพระงอค์เอง  เพราะพระมารดามาอาคาห์องค์นี้ สร้างเทวรูปและชักชวนให้คนมากมายไปบูชากราบไหว้เทวรูปเหล่านั้น

พระองค์ทรงทำลายสิ่งที่พระมารดาบูชาทั้งหมด และนำไปเผา ไปบดให้ละเอียดจนไม่เห็นซากเลย

พระองค์นำข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ และของ ๆ พระราชบิดา มาถวายเพื่อให้ใช้ประโยชน์ในพระวิหารอย่างมากมาย

และประเทศปลอดสงครามเป็นเวลานาน

พระราชาก็มีพระทัยดี บริสุทธิ์ติดตามพระเจ้ามาตลอด

จนกระทั่งปีที่ 35 ของรัชกาล

 

กำลังใจ ๑๕-๑

2 พงศาวดาร 15:1-8

เมื่อราชาอาสาเสด็จกลับมาจากการรบ   อาซาริยาห์บุตรโอเดด มาเฝ้าพระองค์ เพราะว่า พระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่เหนือเขา  และมีบางสิ่งที่เขาต้องทูลพระราชาให้ทรงทราบ

 

สิ่งนี้สำคัญมาก

จะช่วยให้ราชาอาสาได้ปกครองประเทศต่อไป

 

เมื่อเขาได้เข้าเฝ้า  จึงทูลว่า  “ขอพระราชาโปรดทรงฟังข้าพเจ้า  ทั้งชนเผ่ายูดาห์ และชนเผ่าเบนยามิน  ขอโปรดฟังข้าพเจ้า”

เขาหันไปมองทุก ๆ คนที่ล้อมกันอยู่ ณ ที่นั่น

“พระเจ้าตรัสว่า  พระองค์สถิตกับท่านทั้งหลายเมื่อท่านอยู่กับพระองค์  หากพวกท่านแสวงหาพระองค์   ท่านจะพบพระองค์แน่นอน”

“เอเมน”  เสียงทุกคนร้องตอบ  พวกเขาขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงย้ำเตือนการที่พระองค์ทรงอยู่ด้วยกับพวกเขา

“แต่ว่า”   อาซาริยาห์กล่าวต่อไป  “หากพวกท่านละทิ้งพระองค์   พระองค์ก็จะทรงละทิ้งท่าน    นานแล้วนะที่อิสราเอล ประเทศของเรานี้ อยู่กันไปอย่างไม่มีพระเจ้า  ไม่มีปุโรหิตผู้สอนความจริง   ไม่มีแม้กระทั่งบทบัญญัติ”

พวกเขาหันหน้ามองกันและพยักหน้า

“แต่ในยามลำบากครั้งนี้  ศึกที่ผ่านมา  พวกท่านได้แสวงหาพระเจ้า  แล้วพวกท่านก็ได้พบพระองค์”

“ใช่แล้ว…  ท่านต้องการบอกอะไรเราหรือ?”  ราชาอาสาถาม

“พระราชาพะยะค่ะ   ก่อนหน้านี้ บ้านเมืองวุ่นวายสับสน  ไม่มีใครกล้าเดินทางไปไหนมาไหนเพราะว่า ไม่ปลอดภัยเลย โจรผู้ร้ายชุกชุม    ยิ่งกว่านั้นยังมีสงครามระหว่างเมือง  ระหว่างประเทศอีก   ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระเจ้าทรงให้ความทุกข์เหล่านั้นแก่พวกเขา”

“เอ๊ะ ท่านหมายความว่า   ความทุกข์ยากกระหน่ำเข้ามาก็เพราะพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่แล้วพะยะค่ะ   แต่ส่วนองค์ราชา  ขอทรงพระเจริญ

ขอพระองค์ทรงเข้มแข็ง

ขออย่าทรงยอมแพ้ หรือท้อถอย   และพระเจ้าจะประทานรางวัลให้กับผลงานของพระองค์พะยะค่ะ”

 

ช่างเป็นคำดีจริง  เป็นคำหนุนกำลังให้กับพระราชาหลังจากสงครามครั้งใหญ่ที่พระองค์เองทรงทราบดีว่า เป็นการช่วยเหลือของพระเจ้าอย่างแน่นอน

พระราชาทรงรู้สึกมีกำลังขึ้นมา  พร้อมที่จะทำงานรับใช้พระเจ้าและประชาชนอย่างถูกทาง

ประชาชนกลับมาหาพระเจ้าอีกครั้ง

หลังจากนั้น ราชาอาสาก็ได้กวาดล้างรูปเคารพอีก  ทั่วดินแดนยูดาห์  เบนยามิน และหัวเมืองต่าง ๆ  ในเทือกเขาเอฟราอิม   ประชาชนจะพอใจหรือไม่ พระราชาเป็นผู้ทรงตัดสินพระทัยให้พวกเขา  ทรงชักชวนให้ประชาชนกลับมานมัสการพระเจ้าอีก  และวิหารของพระเจ้าที่เสียไปครั้งนั้นจากการบุกของฟาโรห์ชิชัก  พระองค์ก็ทรงสั่งให้ซ่อมแซมจนกลับมาใช้ได้อีกครั้ง

 

สงครามของราชา ๑๔-๒

2 พงศาวดาร 14:8-15

ใช่ว่าประเทศสงบสุขแล้ว จะละเลยการป้องกันประเทศ

ราชาอาสาทรงจัดให้มีการเกณฑ์ทหารเพื่อการป้องกันตนเอง  พระองค์ไม่ได้ทรงตั้งพระทัยที่จะไปตีใครก่อน    ดังนั้นจึงรวบรวมทหารกล้าที่มีฝีมือ จากเผ่ายูดาห์ จำนวน 300,000  คน  และจากเผ่าเบนยามิน 280,000 คน    โดยทั้งสองเผ่ามีความสามารถต่างกัน

เผ่ายูดาห์จะใช้โล่ใหญ่ และหอก

ส่วนเผ่าเบนยามินจะใช้โล่ และธนู

ทายซิว่า พวกไหนเวลารบจะต้องรบแบบประชิดตัว??

 

อยู่มาไม่นาน

ศัตรูทางตะวันตกก็ยกมา   พวกนี้มาจากเอธิโอเปีย ซึ่งอยู่ไกลออกไป ทางใต้ของอียิปต์    แม่ทัพเศ-ราห์ชาวเอธิโอเปีย  ยกกองทัพมีทหารจำนวน 1,000,000 คนมาบุกอิสราเอล!

 

ทหารหนึ่งล้านรึ??

ราชาอาสามีทหารเพียง 580,000 คนเท่านั้น  อีกแล้ว  อีกครั้งที่จะต้องสู้กับทัพใหญ่กว่าหนึ่งเท่าตัว

เพียงรู้ข่าว  ไม่ทันไร….

เศ-ราห์ก็มาพร้อมกับรถรบ 300 คันที่เมืองมาเรชาห์

ราชาอาสา  ซึ่งเป็นราชาแห่งสันติภาพ  ต้องออกไปรบโดยตั้งแนวรบที่หุบเขาเศฟาธาห์

ราชาอาสาทรงทราบดีว่า  พระองค์ไม่มีทางชนะ

ทรงร้องต่อพระเจ้าสุดพระทัยว่า

“ข้าแต่พระเจ้าแห่งอิสราเอล   พระองค์เจ้าข้า  ไม่มีใครจะช่วยพวกเราได้อย่างพระองค์   ดูซิพระเจ้าข้า   มันเป็นการรบของคนแข็งแรงกับคนอ่อนแอ”

ราชาอาสาทรงตระหนักว่า พระองค์นั่นแหละคือคนที่อ่อนแอ

พระองค์ไม่ทรงเชี่ยวชาญในการรบแม้แต่น้อย

 

พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของราชาอาสา

และทรงบันดาลให้ชาวเอธิโอเปียพ่ายแพ้กองทัพของราชาอาสา

พวกเขาหนีเตลิดเปิดเปิง

และด้วยความที่ไม่ชินกับสภาพแวดล้อม  พวกเขาหลงทิศหลงทาง

ทำให้ราชาอาสาและกองทัพตามไปได้จนถึงเมืองเก-ราห์

 

ทหารเอธิโอเปียล้มตายหมด  ไม่เหลือสักคนเดียว!!

 

ทำให้ทหารอิสราเอลได้ริบข้าวของกลับมามากมาย  และแถมยังโจมตีเมืองรอบ ๆ เมืองเก-ราห์อีก  ผู้คนต่างเกิดความรู้สึกเกรงกลัวพระเจ้าไปตาม ๆ  กัน

กองศพที่มากมาย มหึมา ทำให้พวกเขารู้ว่า ครั้งนี้ พระเจ้าทรงช่วยกองทัพของราชาอาสาจริง ๆ

มันเป็นไปไม่ได้ที่กองทัพเล็กกว่าครึ่งหนึ่งจะรบชนะขาดลอย

 

คนทั้งหลายเห็นชัดว่า พระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายทัพราชาอาสาจริง ๆ

 

 

 

รัชกาลอาสา ๑๔-๑

2 พงศาวดาร 14:1-7

หลังจากที่ราชาอาบียาห์ครองราชย์เพียง 3 ปี  ก็สิ้นพระชนม์

กษัตริย์องค์ต่อไปจึงเป็นราชาอาสา ซึ่งเป็นราชโอรส

ราชาอาสาองค์นี้ ไม่เหมือนราชาเรโหโบอัมเสด็จปู่ และราชาอาบียาเสด็จพ่อ…

 

พระองค์ทรงเป็นราชาที่ใส่พระทัยที่จะดำเนินตามพระเจ้า   พระองค์ทำสิ่งที่ดี สิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย

 

มีอะไรบ้างล่ะ ที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยราชาอาสา

พระองค์ทรงกำจัดแท่นบูชาเทวรูปต่าง ๆ   รวมไปถึง ทำลายปูชนียสถาน และพังเสาศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่เต็มเมือง

พระองค์ทรงโค่นอาเชราห์ที่คนกราบไหว้

ของเหล่านี้มีมาตั้งแต่สมัยเสด็จทวด  นั่นคือราชาซาโลมอนที่ทรงมีมเหสีมากมายจากประเทศต่าง ๆ   มเหสีและนางสนมทั้งหลายเหล่านั้นต่างขนเทวรูปของตัวเองมาด้วย  และชักชวนให้พระราชามาสนพระทัยในสิ่งเหล่านี้

ยิ่งกว่านั้น ราชาอาสาทรงสั่งให้ประชาชนแสวงหาพระเจ้าเที่ยงแท้  และดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยความเอาใจใส่

 

แน่นอน มีหลายคนไม่พอใจ เพราะพวกเขาชอบเทวรูป

แต่มีหลายคนที่ขอบคุณพระเจ้าที่เขาได้พระราชาองค์ใหม่  เป็นพระราชาที่รักพระเจ้า พวกเขามีความสุขมาก

 

เมื่อเป็นเช่นนี้

พระเจ้าก็ทรงอวยพระพร

พระเจ้าได้ทรงให้แผ่นดินสงบ ไม่มีสงครามในช่วงต้นของรัชกาลราชาอาสา  ประชาชนมีสันติสุข   ทำมาหากินกันไปด้วยความสงบ  ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องคอยคิดว่า เมื่อไร พ่อ หรือลูกชายในบ้านจะต้องกลายไปเป็นทหารอีก   พวกเขาอยากอยู่อย่างสงบอย่างนี้ไปนาน  ๆ

 

เมื่อไม่ต้องทำสงคราม

พระราชาก็ทรงหันมาสร้างหัวเมืองให้มีกำแพงล้อมรอบ  อย่างนี้ต้องใช้แรงงานอีกแล้ว  แต่ประชาชนก็พอใจมากกว่าที่จะต้องไปสู้รบ

 

“ขอบคุณพระเจ้าที่แผ่นดินยังเป็นของพวกเรา

เพราะว่า เราได้แสวงหาพระเจ้า  และพระเจ้าทรงอวยพระพร  ให้เรามีความสงบสุขทุกด้านไป”   ราชาอาสาทรงกล่าวแก่ข้าราชการของพระองค์

 

“พะยะค่ะ  พระเจ้าทรงดีต่อเรา  พระเจ้าทรงดีต่อพระราชาที่แสวงหาพระองค์”   พวกเขาน้อมรับคำของพระราชาด้วยความปลาบปลื้ม

 

 

ศึกกับทางเหนือ ๑๓-๓

2 พงศาวดาร 13:13-22

แต่ขณะที่ราชาอาบียาห์กำลังกล่าวคำเตือนสติทัพอิสราเอลทางเหนือนั่นเอง พวกเขาก็ได้แบ่งกำลังคนเข้ามาโอบทางด้านหลัง

เมื่อราชาอาบียาห์ทรงหันมาอีกครั้ง

อ้าว… อะไรกันนี่?

ปรากฏว่า มีทัพอิสราเอลทั้งข้างหน้า และข้างหลังทัพของยูดาห์

 

“พระราชาไม่น่ามัวตรัสสอนทหารตอนนี้เล้ย”  ทหารยูดาห์คนหนึ่งกล่าว

“นั่นซิ  ข้าก็ว่าอย่างนั้น”

“แล้วทีนี่จะทำอย่างไร?”

“ข้าว่ามีทางเดียว”

“อะไรล่ะ?”

“ขอพระเจ้าทรงช่วยเราซิ”

พวกเขาพากันคุกเข่าทูลอธิษฐานต่อพระเจ้า เพราะการศึกครั้งนี้มันเกินกำลังเสียแล้ว

ทัพใหญ่ของอิสราเอลมีกำลังพลมากกว่าเท่าตัว

 

ราชาอาบียาห์ร้องทูลพระเจ้าพร้อมกันกับอิสราเอล
“พระเจ้าแห่งอิสราเอล…. ขอทรงโปรดช่วยเราด้วยพระเจ้าข้า!”

 

UUUU   UUUUU   อู้     อู่

 

ปุโรหิตเป่าแตรเสียงก้อง

คนยูดาห์ร้องเพลงศึกออกมาพร้อม ๆ กัน     และพวกเขาตะโกนร้องขอพระเจ้าทรงช่วย

ทันใดนั้นเอง

ทหารของอิสราเอลทางเหนือก็ตกใจ และแตกตื่นไปตาม ๆ กัน

“อะไรกันนั่น?”

ภาพจาก biblepictures.ca

พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น  ทำให้ไม่ฟังเสียงของผู้บังคับบัญชา  วิ่งหนีออกไปจากที่นั่นกันอย่างรวดเร็ว

ความโกลาหลเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

มีการตามไปสังหาร ทำให้มีทหารทางเหนือตายไปถึง 500,000  คน ! มากมายอะไรเช่นนั้น !

ชนะแล้ว  เราชนะแล้ว  เสียงของทหารยูดาห์ตะโกนลั่น

ไชโย! สรรเสริญพระเจ้า! ไชโย

ที่ยูดาห์ได้รับชัยชนะในครั้งนั้น เพราะว่าเขาพึ่งพาพระเจ้า   เขาไม่ได้พึ่งตนเองว่าเก่งกาจ   สามารถแต่ประการใด   พวกเขารู้อยู่ว่า ตั้งแต่ต้น  ทหารอิสราเอลทางเหนือก็มีมากกว่าเท่าตัว…. ถ้าเขาไม่พึ่งพระเจ้า เขาจะไม่มีวันทำสงครามชนะได้

 

ราชาอาบียาห์สั่งทหารตามติดทัพอิสราเอลไปทางเหนือ

จนยึด เมืองเบธเอล และเมืองใกล้เคียง  รวมทั้งเมืองเยชานาห์และเมืองเล็ก ๆ ใกล้เคียง

ราชาอาบียาห์จึงทรงมีอำนาจมากขึ้น ในขณะที่ราชาเยโรโบอัมตกต่ำลง และสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา

 

ราชาอาบียาห์ทรงมีมเหสีถึง 14 องค์  มีโอรส  22 องค์  มีธิดา  16 องค์    แต่ครองเพียง 3 ปี ก็สิ้นพระชนม์

 

 

คำเตือนจากราชา ๑๓-๒

2  พงศาวดาร 13:8-12

ขณะที่กองทัพทั้งสองฝ่ายจะเริ่มรบกัน  ราชาอาบียาห์ก็ทรงตะโกนท่ามกลางทหารจำนวนมากมาย  ทรงกล่าวว่า เยโรโบอัมเป็นคนที่กบฎต่อราชาซาโลมอน

ทรงกล่าวต่อไปว่า

“แล้วตอนนี้ ท่านคิดต่อต้านอาณาจักรของพระเจ้าที่ ลูกหลานของราชาดาวิดปกครอง

พวกท่านเชื่อว่า พวกท่านมีทหารมากมาย และยังมีวัวทองคำเป็นพระ

ท่านขับไล่ปุโรหิตและเลวีออกไป  แล้วยังแต่งตั้งปุโรหิตของตนเองขึ้นมา

คนไหนเอาโคหนุ่มและแกะผู้ 7 ตัวมาชำระตัวก็กลายเป็นปุโรหิตไปได้  แต่… พวกนี้ไม่ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าองค์เที่ยงแท้”

คำที่ราชาอาบียาห์ตรัสนั้น…. ทหารทุกคนได้ยิน

ภาพวาดโดย Jean-Honore Fragonard

ราชาอาบียาห์ทรงกล่าวถึงการที่ราชาเรโหโบอัมละทิ้งพระเจ้า และไปกราบไหว้รูปเคารพ

 

“สำหรับพวกเราชาวยูดาห์ทางใต้นี้

เราไม่ได้ละทิ้งพระเจ้าอย่างท่าน

ปุโรหิตของเราก็เป็นลูกหลานของท่านอาโรน   มีเลวีทำหน้าที่ของพวกเขาในพระวิหารอย่างถูกต้อง

คนเหล่านี้ถวายเครื่องเผาบูชาทุกเช้า ทุกเย็น และถวายเครื่องหอม ดูแลทุกสิ่งทุกอย่างตามที่พระเจ้าทรงสั่งไว้

พวกเรารักษาพระบัญญัติของพระเจ้า

ท่านได้ยินไหม?

แต่พวกท่านกลับละทิ้งพระองค์”

ทำไมราชาอาบียาห์จึงเน้นย้ำสิ่งเหล่านี้นัก?   ทำไมราชาอาบียาห์จึงไม่ทำสงครามทันทีเลย

เพราะราชาอาบียาห์ทรงต้องการที่จะเตือนสติราชาเยโรโบอัมเสียก่อน

“ขอให้ท่านรู้ว่า พระเจ้าทรงอยู่กับเรา  และพระองค์ทรงนำหน้าเรา

ปุโรหิตของพระเจ้าพร้อมที่จะเป่าแตรศึกเพื่อทำสงครามกับพวกท่าน

อย่าต่อสู้กับพระเจ้าเลย

พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกท่าน

ท่านรู้ไหมว่า ท่านสู้พระองค์ไม่ชนะหรอก”

 

ศึกอาบียาห์-เยโรโบอัม ๑๓-๑

2  พงศาวดาร 13:1-7

18  ปีแล้ว ที่ราชาเยโรโบอัมครองอิสราเอล 10  เผ่าทางเหนือ

ส่วนทางใต้ มีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นมา คือ ราชาอาบียาห์   ซึ่งบางท่านที่บันทึกประวัติศาสตร์ก็เรียก  อาบียัม ด้วย

กษัตริย์องค์นี้ ครองเพียง 3 ปี   แต่ได้ทำสงคราม กับอาณาจักรเหนือ

อ้างอิงเวลาจาก http://www.kchanson.com/chron/isrkings.html

คือราชาอาบียาห์ออกทำสงครามโดยเกณฑ์คนมา 400,000 คน  ส่วนเยโรโบอัมทางเหนือ เกณฑ์ทหารมาถึง 800,000 คน!

ทหารทั้งสองฝ่ายถูกคัดเลือกแล้วเป็นอย่างดี

แต่… ใต้มีทหารน้อยกว่าเหนือตั้ง 400,000 คน

ช่างมีทรัพยากรมากมายที่จะเลี้ยงทหารเหล่านี้จริงนะ   แค่ครอบครัวเดียว หรือหมู่บ้านเดียวยังยาก  แต่นี่กองทหารใหญ่โต ผู้ชายก็กินเก่งอีกด้วย  …..

อาบียาห์ไม่ได้สั่งทหารโจมตีทันที

แต่พระองค์ขึ้นไปที่ภูเขาเศมาราอิม  เทือกเขาเอฟราอิมที่ทหารทั้งสองฝ่ายตั้งค่ายกันอยู่

เสียงแตรเขาสัตว์ดังขึ้นเพื่อเรียกความสนใจของทุกคน

อู   อู่   อู………………….

พระองค์ตรัสเสียงก้องเทือกเขาแถบนั้น ……

“ข้าแต่ราชาเยโรโบอัมและประชาชนอิสราเอลทั้งหลาย  ขอโปรดฟังข้าฯ…”

แค่เสียงของพระราชา ก็พอที่จะทำให้ทุกคนต่างเงี่ยหูฟังให้ชัด

“ท่านทั้งหลายควรจะรู้ว่า  พระเจ้าแห่งอิสราเอล ได้ประทานตำแหน่งกษัตริย์เหนืออิสราเอลตลอดไปแก่ราชาดาวิด…”  ราชาอาบียาห์ทรงรู้ประวัติศาสตร์เป็นอย่างดี

“พระองค์ทรงทำพันธสัญญาเกลือกับวงศ์วานของพระราชา”

“แต่ถึงอย่างนั้น ท่านเยโรโบอัมข้าราชการของราชาซาโลมอนได้กบฏต่อพระราชา  และได้สู้กับราชาเรโหโบอัมขณะที่ยังทรงเป็นเด็กอยู่ และสู้ไม่ไหว”

ราชาอาบียาห์ทรงอ้างถึง  ราชาดาวิด  ราชาซาโลมอน  ราชาเรโหโบอัม ก่อนที่จะสู้กับ ราชาเยโรโบอัม  …..

พระองค์ทรงอ้างสิทธิแห่งการเป็นราชาเหนือประเทศนี้

แต่…. ใครจะฟังเล่า?

 

พันธสัญญาเกลือนั้น เป็นสัญญาที่ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับคำสัญญาที่ให้ต่อกัน

ราชาองค์ที่สามราชวงศ์ดาวิด ๑๒-๓

2 พงศาวดาร  12:10-16

เมื่อฟาโรห์ชิชักยกทัพกลับไป   เยรูซาเล็มก็ไม่เหมือนเดิม  ยามที่ราชาซาโลมอนอยู่นั้น ทองคำเต็มบ้านเต็มเมือง  แต่มาบัดนี้ ทองคำถูกเขาริบไปเกือบหมด   ที่ซ่อนเอาไว้ได้ก็ปลอดภัย

โล่ทองคำที่ถูกเอาไปนั้น มันมีความหมายต่อราชาเรโหโบอัมไม่น้อย     ดังนั้นพระองค์จึงทรงสั่งให้สร้างโล่ทองสัมฤทธิ์ขึ้นแทน  คนดูแลคือ ทหารรักษาพระองค์   เมื่อราชาเข้ามายังพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาก็จะมาถือโล่เป็นเกียรติแก่กษัตริย์  เมื่อไม่ได้ใช้ก็เก็บเอาไว้ในห้องทหารรักษาพระองค์

ราชาเรโหโบอัมไม่ได้ถูกจับไปเป็นเชลย  ฟาโรห์ชิชักก็เพียงต้องการสมบัติและแสดงอานุภาพของพระองค์   แต่การถูกโจมตีครั้งนี้  ทำให้ราชาเรโหโบอัมถ่อมพระทัยลงต่อพระเจ้า   และพระเจ้าก็ทรงเมตตา ไม่ทำลายยูดาห์อย่างที่น่าจะเป็น

ขณะนั้น ทางเหนือ มีราชาเยโรโบอัมครองอยู่       ราชาเยโรโบอัมนี้   แต่ก่อนเป็นข้าราชการของราชาซาโลมอนราชบิดา   และไม่เป็นมิตรกับทางใต้เลย  เพราะราชาเรโหโบอัมได้แสดงอาการที่เย่อหยิ่งและโหดร้ายต่อพวกเขา  ทำให้อาณาจักรแยกออกเป็นเหนือและใต้    ความโอหังของราชาเรโหโบอัมเอง เป็นเหตุให้บ้านเมืองแยกเป็นสองฝ่ายเช่นนี้

ดังนั้น  หลังจากถูกปล้นพระวิหารและราชวัง    ราชาเรโหโบอัมจึงทรงสถาปนาพระองค์เองเป็นกษัตริย์ปกครองในเยรูซาเล็ม   พระองค์ทรงครองอยู่  17  ปีในกรุงเยรูซาเล็ม     กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองที่พระเจ้าทรงเลือกไว้เพื่อจะตั้งพระนามของพระองค์…

แม้จะถ่อมใจในครั้งที่ฟาโรห์ชิชักมาโจมตี   แต่ราชาเรโหโบอัมก็ทรงปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไม่สมควรหลายต่อหลายครั้ง  เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย   พระองค์ไม่ได้ตั้งพระทัยที่จะแสวงหาพระเจ้าเหมือนอย่างราชาดาวิดซึ่งเป็นเสด็จปู่  แม้แต่น้อย

และในรัชกาลของพระองค์ก็มีสงครามกับอิสราเอลทางเหนือไม่หยุดหย่อน  ในที่สุด  ราชาเรโหโบอัมก็สิ้นพระชนม์ไปก่อน ราชาเยโรโบอัมทางเหนือ…..

อาบียาห์ราชโอรส ขึ้นครองแทน…..

 

ฟาโรห์ชิชัก…๑๒-๒

2 พงศาวดาร  12:7-9

 

ราชาเรโหโบอัมไม่ใช่คนไร้สติปัญญา

พระองค์ทรงรู้ว่า  ถ้าเหินห่างไปจากทางของพระเจ้า  ความหายนะจะมาถึงอย่างแน่นอน

แต่คนเรา มักมีจิตใจคิดชั่วเสมอ  ไม่ค่อยที่จะหันมาทางดี  ราชาเรโหโบอัมไม่ได้ต่างจากคนอื่น  อยากทำดี  แต่ทำไม่สำเร็จ พยายามแล้ว  แต่ความชั่วร้ายกลับชนะเหนือใจ

ราชาเรโหโบอัมพร้อมกับเจ้านาย  ทหารชั้นผู้ใหญ่ ต่างถ่อมตนลงกล่าวว่า พระเจ้าทรงทำสิ่งที่ถูกต้อง

พวกเขารู้ว่า ที่เป็นอย่างนี้เพราะพวกเขาเอง

เขาก้มลงอธิษฐานของอภัยจากพระเจ้าในวันนั้น อย่างทันที  เขาไม่รีรอเลย ….  รอช้าไม่ได้….

และัวันนั้น ที่พระเจ้าทรงเห็นเขากลับใจจริง

ถ่อมตนลงจริง

พระองค์ทรงกล่าวกับเชไมอาห์  ผู้เผยพระวจนะว่า

“เอาล่ะ   เมื่อเขาทุกคนถ่อมตัวลง  และรู้ว่า ตนเองทำผิด  เราจะไม่ทำลายเขา  เราจะช่วยเขาบางอย่าง   เราจะไม่เทความโกรธของเราลงบนเมืองเยรูซาเล็ม

แต่… เขาจะต้องเป็นทาสรับใช้ของฟาโรห์ชิชัก”

เชไมอาห์ก้มลงฟังพระเจ้าอย่างตั้งใจ

“ที่ให้เป็นอย่างนี้ เพื่อเขาจะได้เห็นความแตกต่างของการรับใช้เรา  กับการรับใช้กษัตริย์แห่งประเทศทั้งหลาย  จะได้รู้ว่า ควรจะทำอะไร”

เชไมอาห์นำทุกอย่างไปกราบทูลราชาเรโหโบอัม และเจ้านาย

พวกเขากราบขอบคุณพระเจ้าที่จะไม่ทรงทำลายล้างเขา…. และยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

 

แล้วฟาโรห์ชิชักก็ยกทัพมาถึงเยรูซาเล็ม  …

ทรัพย์สมบัติในพระวิหารที่เป็นโลหะมีค่านั้น   ทรงยึดเอาไปเกลี้ยง  รวมไปถึงโล่ทองคำที่ราชาซาโลมอนเคยทรงสั่งทำเอาไว้มากมาย ทั้งโล่ใหญ่และเล็ก

ทั้งที่อยู่ในราชวังก็ไม่เว้น     สมบัติมีค่าต่าง ๆ   ฟาโรห์สั่งให้คนรื้อ ค้น  ปล้นออกมาเสียมากมาย   เสียงระงม  เสียงด่าทอของมเหสี  นางห้ามทั้งหลายดังไปทั่ว

ในเมือง   ไม่ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้   มีแต่เสียงทหารขู่ดังก้องไปทั่วเมือง

พ่อ แม่ ต่างพากันตกใจพาลูกไปหลบ  และป้องกันไม่ให้ลูกส่งเสียงดัง

“เงียบ ๆ ลูกรัก  เดี๋ยวทหารมาจับตัวไปนะ”

 

ครั้งนี้ ฟาโรห์ชิชักแค่เอาสมบัติไป….

ยังไม่ได้สังหารราชาเรโหโบอัม    เฮ้อ… โล่งใจ !

 

ผู้บุกรุกจากตะวันตก ๑๒-๑

2 พงศาวดาร 13:1-6

เมื่อราชาเรโหโบอัมมีประเทศที่เข้มแข็ง  เศรษฐกิจดี การเมืองมั่งคง  ผู้คนอยู่กันอย่างมีสันติสุข  …ปีแรก  ปีที่สอง ปีที่สาม ยังไม่เป็นไร  แต่ปีที่สี่   ราชาเรโหโบอัมก็เริ่มทอดทิ้งพระเจ้า!  น่าเสียดาย…. น่าเสียดายมาก

แล้วในปีที่ห้า  ราชาแห่งอียิปต์คือ ฟาโรห์ชิชักได้เข้ามาตีกรุงเยรูซาเล็ม      ฟาโรห์องค์นี้ไม่ได้นำแค่คนอียิปต์มา  แต่ได้ชักชวนประเทศอื่น ๆ เข้ามาด้วย    ทรงแน่ใจว่า จะเอาชนะราชาเรโหโบอัมได้อย่างแน่นอน

มีรถรบ 1200 คัน   พลม้า 60,000 คน  ทหารเดินเท้าจากลิเบีย สุคีอิม เอธิโอเปียมากมายจนนับไม่ถ้วน

ฟาโรห์ชิชัก โจมตีเมืองป้อมชายแดนแล้วค่อย ๆ รุกเข้ามาถึงกรุงเยรูซาเล็ม  ทางเปิด  โล่ง  สะดวกจริง ๆ   ตีเมืองไหนก็ราบเป็นหน้ากลอง

ภาพฟาโรห์ชิชักทำลายศัตรู จากปิรามิดอามุน เมืองคาร์นาคในอียิปต์

ราชาเรโหโบอัมตกพระทัยมาก ๆ  ไม่สามารถต่อสู้ศัตรูได้เลย อะไรกันนี่ ก็สร้างเมืองป้อมอย่างแข็งแรง  ส่งผู้บัญชาการทหารออกไป  พวกเขาทำอะไรกันอยู่   นี่ไม่สนใจที่จะป้องกันประเทศกันเลยรึอย่างไร….

ประชุม ! รีบเรียกประชุมผู้ใหญ่   เจ้านายแห่งยูดาห์ในกรุงเยรูซาเล็ม  ด่วน!

ราชาเรโหโบอัม พร้อมกับเจ้านาย   ทหาร  มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว…  และคนสำคัญที่สุดคือ ท่านเชไมอาห์ ผู้กล่าวคำของพระเจ้า

“ทำไมพวกเราจึงพ่ายแพ้น่าอายเช่นนี้?”

“นั่นซิ   จริง ๆ  เราก็เตรียมตัวพร้อมนี่นา”

แต่ท่านเชไมอาห์กล่าวว่า

“พระเจ้าตรัสดังนี้…. เจ้านะ  ได้ละทิ้งเรา   เราจึงละทิ้งเจ้าให้อยู่ในกำมือของฟาโรห์ชิชัก”

“โอ… อย่างนี้นี่เอง”  เจ้านายคนหนึ่งเข้าใจทันที   เขาเห็นที่ราชาเรโหโบอัมหันไปกราบไหว้เทวรูปต่าง ๆ ตามที่สูง  มันเป็นเทวรูปที่มเหสี และสนม นางห้ามของราชาซาโลมอนเอาเข้ามาในประเทศ  พระเจ้าจึงทรงให้ศัตรูมีชัยชนะเหนือพวกเขา   เห็นชัด ๆ ว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงอยู่ฝ่ายเขา

“เราจะปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้ไม่ได้…. ”

“ข้าผิดไปแล้ว”  ราชาเรโหโบอัมก็เข้าพระทัยเช่นกัน

ทั้งเจ้านาย  ทหาร และพระราชาต่างถ่อมตนลงกล่าวว่า

“พระเจ้าทรงทำสิ่งที่เที่ยงธรรมแล้ว”….

แปลก…. พวกเขายอมรับทันทีว่า ที่เขาแพ้เพราะเขาห่างเหินและปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไม่ถูกต้อง

พระเจ้าทรงเห็นจากเบื้องบน

พระองค์จะทรงทำกับเขาอย่างไรต่อไป?

 

 

จุดเริ่มต้นสองอาณาจักร ๑๑-๒

2 พงศาวดาร 12:5-17

แทนที่ประเทศอิสราเอลซึ่งเล็กอยู่แล้ว จะรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว  มาบัดนี้กลับกลายแยกออกเป็น 10 เผ่าอิสราเอลทางเหนือ  และ 2 เผ่ายูดาห์ทางใต้

พระเจ้าทรงให้เกิดการแยกตัวกัน …. จากประวัติศาสตร์ในหนังสือ 2 พงศ์กษัตริย์ เราพบว่า อิสราเอลทางเหนือได้ละทิ้งพระเจ้าหันไปหารูปเคารพ

ในเมื่อพระเจ้าทรงห้าม   ไม่ให้ราชาเรโหโบอัมไปสู้รบกับราชาเยโรโบอัมซึ่่งตอนนี้เป็นกษัตริย์ทางเหนือ    ราชาเรโหโบอัมจึงหันมาสร้างเมืองต่าง ๆ ในแผ่นดินยูดาห์ให้เข้มแข็ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองชายแดน  ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าศึกรุกเข้ามาได้ง่าย  โดยมีการเสริมป้อมปราการ   เครื่องป้องกันต่าง ๆ  และแต่ละเมืองจะมีผู้บังคับบัญชาการทหารคอยดูแล  มีการเตรียมเสบียงอาหาร  และสะสมอาวุธไว้ในแต่ละเมืองอย่างรอบคอบ

ราชาเรโหโบอัมทรงทำเช่นนี้ก็เพื่อว่าจะรักษายูดาห์ให้เป็นของพระองค์ต่อไป ไม่แน่  …. ศัตรูอาจมาโจมตีโดยง่ายหากไม่เตรียมตัวให้พร้อม

ทางเหนือ เกิดความยุ่งยากขึ้น เพราะราชาเยโรโบอัมนั้น ทรงสั่งถอดตำแหน่งปุโรหิตของพระเจ้า รวมทั้งคนเลวีด้วย    ราชาเยโรโบอัมสร้างเทวรูปเป็นรูปแพะ และลูกวัวเอาไว้แทนพระเจ้าไปเสียแล้ว ดังนั้น การถวายเครื่องบูชาต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงสั่งไว้ พวกเขาไม่ต้องการทำตาม

ปุโรหิตและเลวีจึงทิ้งบ้านเรือน  อพยพเข้ามาอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มกันมากมาย  ยิ่งกว่านั้น ประชาชนที่ยังติดตามพระเจ้าก็ตามปุโรหิตและเลวีเข้ามาด้วย  นี่เป็นการอพยพคนขนานใหญ่โดยที่ราชาทั้งเหนือและใต้ไม่ได้วางแผนมาก่อนเลย

การที่คนของพระเจ้าเข้ามาอยู่รวมตัวกัน และพวกเขาทำสิ่งที่ถูกต้องทั้งในการดำรงชีวิต และการนมัสการพระเจ้า  ยูดาห์จึงเข้มแข็งอย่างเห็นได้ชัด  ตลอดเวลาสามปีที่เรโหโบอัมทรงดำเนินตามเสด็จปู่ และเสด็จพ่อ ในเรื่องของการปกครองและการนมัสการพระเจ้า   ยูดาห์ก็รุ่งเรือง

เสียดายที่เป็นเวลาเพียง 3 ปีเท่านั้น  ที่ราชาเรโหโบอัมทรงติดตามพระเจ้า….

ราชาเรโหโบอัมมีมเหสีถึง 18 คน  สนมอีก 60 คน โอรส 28 องค์ ธิดา 60 องค์   เป็นครอบครัวใหญ่โต     พระองค์ทรงตั้งอาบียาห์ให้เป็นใหญ่ และให้เป็นรัชทายาท   ส่วนโอรสองค์อื่น ๆ  พระองค์ก็ทรงจัดสรรเมือง ที่ดิน ให้ดูแลกันอย่างทั่วถึง  นับได้ว่า เป็นราชาที่ฉลาดในการจัดการปกครองเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาทางการเมืองตามมา

ไม่เพียงแต่จัดให้โอรสไปประจำตามเมืองต่าง ๆ   ราชาเรโหโบอัมยังจัดชายาหลายคน ให้โอรสแต่ละองค์

เป็นการสร้างวัฒนธรรมของการมีภรรยาหลายคน  ทั้งนี้เพราะเรโหโบอัมทรงต้องการให้ราชวงศ์กุมอำนาจการเมืองให้อยู่มือ   ยุ่งยากจริงนะเนี่ย ….