บทสรุปราชาเยโฮชาฟัท ๒๕-๖

จะเห็นว่า ราชาเยโฮชาฟัททรงประสบความสำเร็จในการปกครองเป็นอย่างดี  เมื่อสงบศึก พระองค์ก็ทรงสอนให้ประชาชนได้รู้จักพระเจ้าด้วยการส่งครูออกไปตามเมืองต่าง ๆ  นัดกันเรียนรู้จักพระเจ้า  ทำให้ประชาชนยำเกรงพระเจ้า ความชื่นชมยินดีก็มีมากในสมัยของพระองค์

ราชาเยโฮชาฟัททรงเป็นห่วง ทรงประสงค์ให้ประชาชนรู้จักพระเจ้า ภาพจากbibleencyclopedia.com

 

ยามมีศึก ราชาเยโฮชาฟัทซึ่งไม่ทรงเก่งในการรบ  แต่ออกจะทรงกลัวการรบเอามาก ๆ เพราะครั้งที่ไปกับราชาอาหับนั้น ทรงได้ประสบการณ์ที่น่ากลัวมาก  ครั้งนั้นพระองค์ทรงหนีสุดชีวิตกลับมายังนครเยรูซาเล็มอย่างปลอดภัย

พระองค์ทรงเริ่มปกครองประเทศเมื่อทรงอายุ 35  พรรษา  นับเป็นเวลาที่พอเหมาะ เพราะอายุขนาดนี้ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากราชบิดาคือ ราชาอาสา ทรงเห็นสิ่งดีและสิ่งร้ายที่เกิดขึ้น  และส่วนใหญ่พระองค์ก็ทรงทำสิ่งดีตามราชบิดาของพระองค์    พระองค์ทรงปกครองอยู่ 25 ปี จนถึงอายุ 60พรรษา    มีบันทึกไว้ว่า พระองค์ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า  ….  สมมติว่า เราต้องตาย และในงานศพของเรา ถ้ามีใครพูดถึงเราว่า เราเดินตามทางของพระเจ้า มันก็จะดีที่สุดเลยนะเนี่ย
น่าเสียดายอย่างหนึ่งก็คือ ราชาเยโฮชาฟัทไม่ได้ทำลายสถานบูชาในที่สูง  ทำให้ยังมีประชาชนบางกลุ่ม ไม่ได้เดินตามทางของพระเจ้า ….

และก็มีอีกอย่างที่ทำให้เห็นว่า หากไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง  พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงอวยพร…. มีครั้งหนึ่งราชาเยโฮชาฟัทไปร่วมมือกับอาหัสยาห์ ซึ่งเป็นราชาทางเหนือ  อาหัสยาห์เป็นราชาที่ชั่วร้าย แต่คนดี ๆ อย่างราชาเยโฮชาฟัทไม่ได้ทรงคิดอะไรมาก  ทรงมองโลกในแง่ดี  ทรงคิดว่า ไม่เป็นไร

สิ่งที่ทรงทำกับราชาอาหัสยาห์ก็คือ  ไปสร้างเรือเพื่อจะล่องไปยังเมืองทารชิช  โดยไปสร้างเรือที่เมืองริมทะเลคือเมืองเอซิโอน-เกเบอร์

เรือสวยมาก  ประชาชนต่างชมกันใหญ่

แต่มีผู้กล่าวคำของพระเจ้าชื่อเอลีเยเซอร์มาขอเข้าเฝ้า
“ข้าแต่พระราชา  เป็นเพราะพระองค์ทรงร่วมมือกับอาหัสยาห์  พระเจ้าจะทรงทำลายสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา”

และเรือก็แตก ไม่สามารถเดินทางไปยังเมืองทารซิชได้…. ดังคำกล่าวของเอลีเยเซอร์

ทั้งหมดนี้  เยฮู บุตรชายฮานานี เป็นผู้บันทึกสิ่งที่พระราชาทรงกระทำได้อย่างครบถ้วน

บ้านเมืองสงบจากพระเจ้า ๒๕-๕

2 พงศาวดาร 20: -30

จะอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร ในเมื่อศัตรูตายกันเกลื่อน สิ่งที่ต้องทำก่อนที่เจ้านกแร้ง และหมาไน  สัตว์ร้ายต่าง ๆ จะเข้ามารุมกินศพเหล่านี้  …. ต้องริบของที่ศัตรูขนมาให้มากที่สุด   นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำหลังจากชนะศึกแล้ว

ดังนั้น ราชาเยโฮชาฟัทพร้อมกับทหาร และประชาชนจึงเข้าไปสำรวจสิ่งของต่าง ๆ  พบทั้งสินค้า เสื้อผ้า และของมีค่ามากมาย  พวกเขาต้องใช้เวลาถึงสามวันในการรวบรวมของเหล่านั้น  ในขณะที่ศพค่อย ๆ… เน่า และเริ่มส่งกลิ่น   ถึงกระนั้นพวกเขาก็ได้ทรัพย์สมบัติมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ

พากันไปยึดข้าวของศัตรู

ในวันที่สี่ พวกเขารวมตัวกันที่หุบเขาเบราคาห์

ไปทำอะไรกันหรือ? นับสิ่งของ ตรวจจำนวนสิ่งที่ริบมาใช่ไหม?

เปล่าเลย  …

พวกเขารวมตัวกันเพื่อนสรรเสริญพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ

เสียงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าดังก้องหุบเขาเบราคาห์แห่งนั้น ….

อยากฟังจริง ๆ ว่า ไพเราะขนาดไหน

ราชาเยโฮชาฟัทและประชาชน รวมถึงทหารทั้งหลายขนของกลับมายังนครเยรูซาเล็มอย่างชื่นบานทั่วถ้วนหน้า   พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกเขาเย้ยศัตรูของเขาได้อย่างเต็มปาก  ไม่กลัวเหมือนเมื่อก่อน
เมื่อกลับมานครเยรูซาเล็ม  ก็ได้เข้าไปยังพระวิหารทันที พร้อมพิณใหญ่  พิณเขาคู่ และแตรเขาสัตว์  พวกเขาเข้าไปนมัสการพระเจ้าในพระวิหารอีก … โดยไม่คิดทำอะไรก่อนหน้านี้เลย     อย่างเดียวที่อยากทำในเวลานั้นคือขอบคุณ สรรเสริญพระเจ้าสุดใจ

เพื่อน ๆ ลองคิดดูซิว่า ประเทศเพื่อนบ้านจะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ข่าวสงครามครั้งนี้

“อะไรกัน ถูกสังหารจนหมดเลยหรือ?”

“ใช่แล้ว  และเป็นการบุกที่ประหลาดมาก  วันเดียวเท่านั้น พวกเขาต่างฆ่ากันเองด้วย  น่ากลัวเหลือเชื่อ “

พวกเขาต่างกลัวสิ่งที่เกิดขึ้นจนไม่อยากจะพูดถึงสงครามครั้งนี้อีก  เป็นสงครามที่ใคร ๆ รู้ว่า พระเจ้าทรงต่อสู้ให้อิสราเอลด้วยพระองค์เอง

แผ่นดิน สมัยราชาเยโฮชาฟัทจึงสงบ   ประชาชนเป็นสุข  เพราะว่าพระเจ้าของพระองค์ โปรดให้ไม่มีศัตรูอื่นมาทำร้ายอีก….

 

ศึกของพระเจ้า ๒๐-๔

2  พงศาวดาร 20:20-24

เช้าตรู่วันต่อมา   พวกเขาตื่นเต้นกันมาก ลุกขึ้นตั้งแต่ยังไม่ฟ้าสาง ตั้งแถวทหารเพื่อ เดินทางไปยังถิ่นกันดารเทโคอาอย่างพร้อมเพรียงกัน   ใจของพวกเขาเต้นกันโครมครามเพราะอยากจะเห็นจริง ๆ ว่า พระเจ้าจะทรงทำอย่างไรกับศึกครั้งนี้

ก่อนที่จะออกเดินทาง  ราชาเยโฮชาฟัทได้ตรัสกับพวกเขา
“ชาวยูดาห์และชาวนครเยรูซาเล็มทั้งปวง  โปรดฟังข้าพเจ้า… ขอให้ท่านเชื่อองค์พระเจ้าของท่าน และท่านจะมั่นคง  จงเชื่อในคำกล่าวของผู้กล่าวคำของพระเจ้า  และท่านจะสำเร็จในการรบวันนี้”

ราชาเยโฮชาฟัทมิได้ทรงให้เขาวางใจในตัวพระองค์  แต่ทรงกำชับให้ทุกคนวางใจพระเจ้า   และจากการที่ได้ทรงปรึกษากับประชาชนของพระองค์  พระองค์ได้ทรงแตกต่างให้มีคนที่จะร้องเพลงถวายสรรเสริญพระเจ้าโดยสวมเสื้อที่บริสุทธิ์ พวกเขาไม่ได้อยู่ตรงกลางแถว แต่..จะต้องเป็นผู้ที่นำแถวออกไป!! พวกเขาต้องเป็นคนที่กล้าหาญมาก…

ใช่ซิ พวกเขากล้าหาญเพราะวางใจในพระเจ้า  เขาร้องว่า

“จงถวายคำขอบคุณแด่พระเจ้า  เพราะว่า ความรักมั่นคงของพระองค์นั้นดำรงอยู่นิรันดร์”

มหัศจรรย์มากจริง ๆ  เพราะว่า เมื่อเขาตั้งต้นร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  พระเจ้าก็ทรงจัดกองพลซุ่มของพระองค์เองต่อสู้กับคนอัมโมน คนโอมอับและคนจากภูเขาเสอีร์  น่าจะเป็นกองทัพทูตสวรรค์ เพราะไม่ได้มีคนของราชาเยโฮชาฟัทเข้าไปร่วมด้วยเลย !!

แล้วใครจะมาสู้กองทัพของพระเจ้าได้  ศัตรูที่เข้ามาบุกยูดาห์ก็ต้องแตกพ่ายไม่เป็นท่า  สิ่งที่ประหลาดคือ คนโมอับกับอัมโมนได้ฆ่าฟันคนเสอีร์  เมื่อจัดการเสร็จ ก็กลับมาฆ่าฟันกันเองอีก  นี่มันอะไรกัน??

ดังนั้น เมื่อคนยูดาห์พากันขึ้นไปยังเนินสูง  มองลงมาเห็นสิ่งที่น่ากลัว สยอง จริง ๆ

นกแร้ง บินว่อนกันเต็มไปทั่วท้องฟ้า  และยังมีอีกมากมายที่รอดูอยู่บนต้นไม้…. มันกำลังพร้อมที่จะฉีกซากศพเหล่านี้เป็นอาหารโอชะ

และข้างล่างก็มีแต่ศพ  เลือดนองพื้นดิน  ไม่มีใครสักคนรอดชีวิตจากการสู้รบครั้งนี้เลย

 

คำตอบจากพระเจ้า ๒๐-๓

2 พงศาวดาร 20:13-19

ชนเผ่ายูดาห์ และราชาเยโฮชาฟัท หันหน้าเข้าหาพระเจ้า  พวกเขาทูลว่า พวกเขากำลังจับจ้องอยู่ที่พระองค์

ในเวลานั้นเอง พระเจ้าทรงให้ผู้กล่าวคำของพระองค์ชื่อ ยาฮาซีเอลมาให้คำตอบ

ชายผู้นี้ เป็นลูกหลานของอาสาฟ ซึ่งเป็นคนเลวีเคยรับใช้ราชาดาวิดมาก่อน

ยาฮาซีเอลกล่าวด้วยเสียงอันดัง  ก้องลานพระวิหารว่า
“ชนยูดาห์ทั้งหลาย  ชาวนครเยรูซาเล็ม  และพระราชาเยโฮชาฟัท  โปรดตั้งใจฟังคำของพระเจ้า….”

ทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียวกัน
“พระเจ้าจะทรงตอบเราเดี๋ยวนี้เลยหรือ?”
“นั่นซิ  ขอบคุณพระเจ้าจริง ๆ “

“ฟัง ๆ อย่ามัวคุยกันเสียเวลา”

“องค์พระเจ้าตรัสว่า  อย่ากลัวเลย อย่าท้อใจเพราะคนมากมายที่บุกเข้ามา  เพราะว่า การสงคราม การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่เป็นของพวกท่าน แต่เป็นของพระเจ้า”

“อาเมน”…. เสียงผู้คนตอบสนองคำของท่านยาฮาซีเอล

“พรุ่งนี้ ให้ท่านไปสู้กับเขา…. พวกเขาจะขึ้นมาทางตำบลศิส  พวกท่านจะเผชิญหน้ากับเขาที่ปลายลำธาร

แต่ท่านไม่จำเป็นต้องออกแรงสู้ในครั้งนี้

ชนชาวยูดาห์และเยรูซาเล็มเอ๋ย  …. ขอให้ท่านประจำที่  ยืนมั่นอยู่  และดูชัยชนะของพระเจ้าเพื่อพวกท่าน”

“ฮู… อย่างนั้นเลยหรือ?”

“ใช่แล้ว  พวกท่านต้องไม่กลัว ไม่ท้อ  พรุ่งนี้ออกไปสู้กับเขา  พระเจ้าจะทรงอยู่กับพวกท่าน”

เมื่อได้ยินดังนั้น  ราชาเยโฮชาฟัทก็โล่งพระทัย  ทรงน้อมพระพักตร์ลงถึงดิน   ชาวเมืองและคนยูดาห์ก็ทำเช่นเดียวกัน

พวกเขากราบลงต่อพระเจ้า และนมัสการพระองค์

…. แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเพลงสรรเสริญพระเจ้าดังก้องไปทั่วเมือง  เสียงร้องเพลงจากคนเลวีนั้นดังออกไปจากบริเวณวิหาร  ทำให้ทุกคนในเมืองได้ยินอย่างชัดเจน   ทุกคนได้ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงตอบ….

พรุ่งนี้ จะต้องออกไปสู้แบบแค่เผชิญหน้า  และยืนดู…  เป็นการทำสงครามแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ….  จะเป็นอย่างไรนะ?

 

หันหาพระเจ้า ๒๐-๒

2 พงศาวดาร 20:5-12

คนเดินทางเข้ามาในกรุงเยรูซาเล็มเพื่อพร้อมใจกันอธิษฐานต่อพระเจ้า ด้วยเรื่องของข้าศึกที่เข้ามาประชิด

ราชาเยโฮชาฟัททรงยืนอยู่ในที่ประชุมชน  ในลานพระวิหารของพระเจ้า  คนเต็มไปหมด  ทุกคนต่างมีภาระใจที่จะอธิษฐานขอพระเจ้าทรงช่วย

พวกเขาหวังพึ่งพระเจ้า

และเขาหวังว่า กษัตริย์ของเขาจะทรงทำสิ่งที่ถูกต้อง

พวกเขาหวังว่า กษัตริย์ของเขาจะทูลพระเจ้าอย่างถูกต้อง

 

เมื่อประชาชนพร้อมใจกันอยู่ที่นั่นแล้ว ราชาเยโฮชาฟัทได้ทรงแจ้งให้พวกเขารู้ว่า ศึกครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันมาก่อน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ศัตรูจะร่วมมือกันหลายชนชาติมาพร้อม ๆ กันในเวลาเดียวกัน

“ขอให้ข้าพเจ้าและท่านร่วมใจ  น้อมใจลงต่อพระเจ้าแห่งอิสราเอล”

“พวกเราจะร่วมใจกัน”  เสียงประชาชนดังก้องในลานนั้น

พระราชาทรงอธิษฐานว่า

“ข้าแต่องค์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราทั้งหลาย
พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์หรือ?
พระองค์..ทรงเป็นผู้ปกครองเหนืออาณาจักรทั้งปวง

พระหัตถ์ของพระองค์เต็มด้วยอำนาจและฤทธิ์เดช  ไม่มีใครขืนยืนต่อต้านพระองค์ได้

พระเจ้าของเราทั้งหลาย  พระองค์ไม่ได้ไล่คนออกจากแผ่นดินนี้ ต่อหน้าต่อตาคนอิสราเอล  และประทานแผ่นดินนี้ตลอดไป  ให้กับลูกหลานของอับราฮัม ซึ่งเป็นพระสหายของพระองค์หรือ?

พระองค์เจ้าข้า และพวกเขาได้อาศัยแผ่นดิน  และได้สร้างวิหารอันบริสุทธิ์เพื่อพระนามของพระองค์

พวกเขาทูลว่า….  หากมีหายนะเกิดขึ้นกับเรา  ไม่ว่าจะเป็นคมดาบ  การพิพากษา โรคระบาด  หรือความอดหยาก    เราจะเข้ามายืนต่อพระวิหารนี้ ต่อพระพักตรของพระองค์   และจะร้องทูลต่อพระองค์เนื่องด้วยความยากลำบากของพวกเรา  และพระองค์จะทรงสดับฟัง  และทรงช่วยพวกเรา “

เหล่าประชาชนฟังสิ่งที่ราชาเยโฮชาฟัทอธิษฐาน และพวกเขาก็ส่งใจไปถึงพระเจ้าด้วยความถ่อมตน…. เขาทูลขอพระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของพระราชา

 

“พระเจ้าข้า  บัดนี้ คนชาวอัมโมน ชาวโมอับและคนจากภูเขาเสอีร์ ซึ่งในอดีตนั้น ไม่ยอมให้อิสราเอลจากอียิปต์บุกเข้ามา    ตอนนั้น เราก็ไม่ได้ทำลายพวกเขา แต่บัดนี้ พวกเขากลับย้อนมาเพื่อจะไล่เราออกจากดินแดนที่พระองค์ประทานให้เรา”

“พระเจ้าของเหล่าข้าทั้งหลาย   พระองค์จะไม่พิพากษาลงโทษพวกเขาหรือ  เพราะว่าเราไม่มีแรงที่จะสู้กับกองทัพมหึมาเช่นนี้   เราทั้งหลายไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  พระองค์เจ้าข้า  เรากำลังรอคอยพระองค์อยู่ ดวงตาของเราจับจ้องที่พระองค์“

 

สงครามที่ไม่อยากเจอ ๒๐-๑

2 พงศาวดาร 20:1-4

ราชาเยโฮชาฟัททรงตั้งพระทัยดีมาก ในการที่ส่งคนไปสอนประชาชนให้รู้จักทางของพระเจ้า

ในพระทัยลึก ๆ ก็ทรงคิดว่า เรื่องนี้จะทำให้บ้านเมืองสงบสุข

พระเจ้าคงจะทรงช่วย   ให้พระองค์ไม่ต้องเจอกับสงครามเหมือนอย่างที่เพิ่งเอาชีวิตไม่รอดมาไม่นานนี้

แต่…. ไม่นานนัก

ชาวโมอับ  อัมโมน และคนเมอูนี รวมตัวกันที่เอนเกดี  ทางตะวันตกของทะเลตาย

พวกเขาต้องการทำสงครามกับราชาเยโฮชาฟัท

มีผู้สอดแนมมาเฝ้าองค์ราชา

“ข้าแต่พระราชา   มีคนเป็นกองทัพใหญ่ต้องการมาสู้กับพระองค์พะยะค่ะ   ตอนนี้รวมตัวกันเหนียวแน่นที่เอนเกดี”

“จริงรึ  เจ้าแน่ใจนะ”

“พะยะค่ะ ทั้งคนอัมโมนทางตะวันออก  คนโมอับ  และชาวเมอูนี”

ราชาเยโฮชาฟัททรงรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที   พระองค์ทรงรู้ว่า ความตายด้วยน้ำมือศัตรู มันเป็นอย่างไร  และพระองค์ก็ไม่เก่งในการรบด้วย แต่..พระองค์ไม่ได้ทรงส่งผู้สื่อสารไปหากษัตริย์องค์ใด เพื่อให้มาเป็นพันธมิตร

พระองค์ไม่กลับไปหาราชวงศ์อิสราเอลให้ช่วย

ทรงทำสิ่งที่แตกต่างจากราชาอาสา   ทรงทำสิ่งที่ดีจริง ๆ  ….

ทรงมุ่งเข้าไปอธิษฐานแสวงหาพระเจ้า

ภาพจากbibleencyclopedia.com

เรียกให้คนยูดาห์เข้ามารวมตัวกัน  อธิษฐานอดอาหารทั่วทั้งแผ่นดินยูดาห์

โอ…. พระราชา  ทำไมพระองค์ไม่รีบเตรียมกองทัพก่อน   ให้คนอดอาหารเดี๋ยวก็ไม่มีแรงสู้หรอก…… หลายคนคิด  แต่พวกเขาก็ต้่องทำตามพระบัญชา

คนทั้งแผ่นดิน ร่วมใจกันขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า

เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  ไม่มีใครกล้าคิดไปเป็นอื่น

ยิ่งกว่านั้นยังมีคนที่เดินทางเข้ามายังกรุงเยรูซาเล็มด้วย

พวกเขามาทำไมกัน??

การปกครองสมัยเยโฮชาฟัท ๑๙

2 พงศาวดาร 19

ส่วนราชาเยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์เสด็จกลับไปถึงนครเยรูซาเล็มอย่างปลอดภัย…   ระหว่างทางพระองค์ทรงขอบคุณพระเจ้าที่ทรงไว้ชีวิตพระองค์   ขอบคุณที่ทรงปกป้องให้พ้นจากการรบที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระองค์

แต่ ยังมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล

ทำให้เยฮู  ผู้ทำนายคนหนึ่งต้องขอเข้าเฝ้าด่วน…

“ท่านมีอะไรจะบอกเราหรือ  ท่านรู้แล้วนี่นาว่า พระเจ้าทรงปกป้องเราจากกษัตริย์ซีเรีย”

ภาพจาก thebiblerevival

“พะยะค่ะ … แต่ทรงรู้ไหมว่า พระเจ้าทรงพิโรธพระองค์   พระองค์ไปช่วยคนอธรรม ไปรักคนที่เกลียดชังองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างราชาอาหับได้อย่างไร?  มันสมควรแล้วหรือพะยะค่ะ”

ราชาเยโฮชาฟัททรงนิ่ง…. จริงซินะ   ท่านเยฮูพูดถูก  เราไปทำอย่างนั้นไม่สมควรเลย

“เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงโกรธ”

“เราเข้าใจแล้ว ท่านเยฮู  แล้วนี่จะทำอย่างไรดีที่จะแก้ความผิดของข้าได้”

“แต่พระเจ้ายังทรงเห็นว่า พระองค์ทรงมีความดีในการที่ทรงทำลายเทวรูปต่าง ๆ  ออกจากแผ่นดิน  และพระทัยของพระองค์ก็มุ่งแสวงหา อยากพบพระเจ้าอย่างแท้จริง”

การสนทนากับเยฮูในวันนั้น  ทำให้พระราชาทรงทราบว่า พระองค์ควรจะปฏิบัติอย่างไร

 

แล้วพระราชาก็ทำสิ่งที่จะช่วยให้ประเทศชาติรอดพ้นภัย

ด้วยการตั้งผู้วินิจฉัย(ทำหน้าที่เหมือนผู้พิพากษา)  และคนเลวีให้ออกไปสอนคนให้รู้จักพระเจ้า ให้นำคนตั้งแต่แถบเบเออร์เชบา ไปจนเทือกเขาเอฟราอิมกลับมาหาพระเจ้า  สอนละเอียดเลยว่า น้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นอย่างไร

พระองค์ทรงส่งพวกเขาไปยังหัวเมืองป้อม  ทรงกำชับว่า  “ท่านต้องระวังตัวให้ดี  ท่านไม่ได้พิพากษาคดีความเพื่อมนุษย์  แต่ท่านทำเพื่อพระเจ้า  ขอพระเจ้าสถิตกับพวกท่านในการตัดสินคดีต่าง ๆ  และให้ท่านทุกคนยำเกรงพระเจ้า  ระวังตัวเสมอ พระเจ้าของเราทรงไม่เห็นแก่หน้าใคร ไม่รับสินบนจากไคร ไม่มีความชั่วในพระองค์ “

ทุกคนน้อมรับคำบัญชาของราชาเยโฮชาฟัท “พะยะค่ะ พวกเราจะทำตามนั้น”

ยังมีคนที่พระราชาแต่งตั้งให้ทำงานในเมืองหลวงด้วย   สำหรับคนในเมืองหลวงนี้ พระราชาก็ทรงกำชับให้ทำงานด้วยความสัตย์ซื่อ ด้วยสิ้นสุดใจ  ด้วยความยำเกรงพระเจ้า และให้ตักเตือนประชาชนระวังที่จะไม่ละเมิดกฎของพระเจ้า … เพื่อว่าพระเจ้าจะไม่ทรงโกรธ

เราแต่งตั้งให้อามาริยาห์เป็นปุโรหิตใหญ่คอยดูแลสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้   เศบาดิยาห์ดูแลสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์  เลวี ก็จะปรนนิบัติ

ขอให้ทุกคนทำงานอย่างกล้าหาญ   และขอพระเจ้าสถิตกับทุกคน”

 

กลสุดท้ายของราชาอาหับ ๑๘-๕

2 พงศาวดาร 18:28-34

จากนั้น ราชาอาหับตัดสินพระทัยไปรบที่ราโมท-กิเลอาดตามที่ทรงวางแผนตั้งแต่ต้น

ทั้ง ๆ ที่มีคายาห์ได้ทูลบอกแล้วว่า ถ้าไปจะต้องสิ้นพระชนม์   พระองค์ก็ไม่ทรงฟังเสียงของเขา   แต่พระองค์กลับทรงชวนราชาเยโฮชาฟัทไปด้วย  ซึ่งก็ทรงยอมไปอย่างเสียไม่ได้

พระองค์ทรงหลอกราชาเยโฮชาฟัทด้วยคำพูดง่าย ๆ  เหมือนไม่มีพิษมีภัย

“ข้าพเจ้าจะปลอมตัวเข้าสนามรบ  ส่วนพระองค์ก็ขอทรงสวมเครื่องทรงของพระราชาแล้วกัน”

ราชาเยโฮชาฟัทไม่ได้ทรงคิดอะไรมาก  เป็นพระราชาก็สมควรสวมเครื่องทรงพระราชา  จะไปใส่อย่างอื่นทำไมกัน

ดูเหมือนราชาอาหับจะเดาใจของผู้บัญชาการกองทัพซีเรียออกแจ่มแจ้ง   เพราะว่า เขาสั่งทหารไว้อย่างมั่นเหมาะ  “พวกเจ้าอย่าไปเสียเวลารบกับทหารชั้นผู้น้อย   หรือแม้กระทั่งทหารชั้นผู้ใหญ่”

“อ้าว… แล้วจะให้รบกับใครล่ะขอรับ”

“ให้พวกเจ้ามุ่งจัดการราชาแห่งอิสราเอลเท่านั้น”

ดังนั้น แผนก็คือ จะต้องสังหารพระราชาแห่งอิสราเอลให้ได้

เมื่อการสู้รบเริ่มต้นขึ้น  เขาเห็นราชาเยโฮชาฟัท ซึ่งสวมเครื่องทรงของพระราชา  ก็มั่นใจว่า แน่แล้ว ต้องเป็นราชาอาหับ  จึงควบม้าเข้ามาใกล้ประจัญบาญ

กุบกุบ    กุบกุบ   กุบกุบ

ฝุ่นตลบสนามรบ   ทหารมองอะไรไม่ชัดเจนเลย

“โอ…. ไม่นะ   ข้าไม่ใช่ราชาอาหับ  พระเจ้าข้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ด้วย”   ราชาเยโฮชาฟัทร้องเสียงดัง

เสียงของราชาเยโฮชาฟัทแตกต่างจากราชาอาหับมาก  ทั้งน้ำเสียง และสำเนียงก็เป็นคนใต้ด้วย

“ไม่ใช่…. นี่ไม่ใช่พระราชาแห่งอิสราเอล  อย่าไปยุ่งเลย  พระราชาอิสราเอลอยู่ไหน หาให้เจอเดี๋ยวนี้”  เสียงผู้บังคับบัญชาสั่งทันควัน

“ขอบคุณพระเจ้า”  ราชาเยโฮชาฟัททรงหันรถม้าออกจากสนามรบทันที   พระองค์ทรงรู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยไว้ชีวิตพระองค์

ภาพโดยกุสตาฟ ดอเร่ (1832-1883)

 

ขณะนั้นเอง มีทหารคนหนึ่งโก่งคันธนูยิงสุ่มออกไป

“โอ้ย… ข้าถูกยิง”   เพราะว่า ลูกธนูเข้ามาปักในช่องว่างของเกราะราชาอาหับพอดี

ไม่น่าเชื่อ   อะไรจะแม่นขนาดนั้น…

ไม่ใช่ซิ !!  ไม่ใช่พวกเขาแม่น  แต่ธนูลูกนี้ พระเจ้าทรงให้มันมาปักอกราชาอาหับอย่างเหมาะเจาะ  ไม่มีที่ไหนจะดีกว่าตรงนี้อีกแล้วที่จะปลิดพระชนม์ของพระราชา

“กลับ…. เอารถกลับเมืองสะมาเรียเดี๋ยวนี้    เราเจ็บมาก”

แต่มันไม่ใช่ง่าย ที่จะหันรถม้ากลับไปเดี๋ยวนั้น   ราชาอาหับกำลังถูกรุมล้อม

พระราชาต้องสู้กับชนซีเรียทั้ง ๆ ที่บาดเจ็บ

จนกระทั่งพออาทิตย์ตก ก็สิ้นพระชนม์

ตามที่มีคายาห์ได้บอกไว้ล่วงหน้า …..

 

 

 

ทีเด็ดมีคายาห์ ๑๘-๔

2 พงศาวดาร 18:18-27

“ขอพระราชาทั้งสองโปรดสดับฟังพระวจนะจากพระเจ้า พะยะค่ะ”  มีคายาห์น้อมตัวลง
“ข้าพระบาทเห็นพระเจ้าประทับบนพระที่นั่งของพระองค์

และเห็นทูต ….เออ…เห็นบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ ยืนข้าง ๆ พระบัลลังก์ ทั้งซ้ายและขวา”   สิ่งที่มีคายาห์กล่าว ทำให้ราชาอาหับอึ้ง  พระองค์ไม่เคยทรงได้ยินอะไรเช่นนี้มาก่อน… อะไรกัน มีคายาห์เห็นสวรรค์เลยหรือนี่ !!

ส่วนราชาเยโฮชาฟัทยิ่งทรงสนใจมากขึ้น   มันมีอะไรเกิดขึ้นในสวรรค์นะ?  มันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในโลกด้วยหรือ?

จากจินตนาการของจิตรกรอีกท่าน

“พระเจ้าตรัสกับพวกเขาเหล่านั้นว่า… ใครจะไปล่อใจให้ราชาอาหับแห่งอิสราเอล ยกทัพไปโจมตีราโมท-กิเลอาด  เพื่อว่าเขาจะล้มลงที่นั่น?”

น่าสนใจ  นี่มันอะไรกัน?… ราชาเยโฮชาฟัททรงตื่นเต้น

“มีบางตนก็ทูลพระเจ้าอย่างนี้  บางตนก็ทูลอย่างนั้น   แต่แล้วก็มีวิญญาณดวงหนึ่งมาเฝ้าต่อพระพักตร์พระเจ้า ทูลว่า … ข้าทาสจะไปเกลี้ยกล่อม ล่อใจพระราชาเอง….  เจ้าจะทำอย่างไรล่ะ  พระเจ้าตรัสถาม  ”

เอ. … นี่แสดงว่า มันมีการทำงานระหว่างโลกและสวรรค์   ราชาเยโฮชาฟัททรงเริ่มเห็นภาพใหญ่..

“วิญญาณนั้น ทูลพระเจ้าว่า  ข้าทาสจะออกไป และเป็นวิญญาณโกหกมุสาในปากผู้กล่าวคำของพระเจ้าทุกคน”

….อา… เข้าใจแล้ว  ที่เราไม่สบายใจและคิดว่า มันแปลก ๆ  ก็อย่างนี้นี่เอง  ถ้ามีคายาห์ไม่มาบอก เราคงไม่เข้าใจอะไรเลย  ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเปิดเผยให้ทราบ…..  ราชาเยโฮชาฟัททรงพยักหน้า…

“แล้วพระเจ้าตรัสว่าอย่างไร?”

มีคายาห์ทูลตอบ  ..”พระเจ้าตรัสว่า จงไปทำอย่างนั้นเถอะ  เจ้าจะทำสำเร็จ   ดูซิ  ขอพระราชาโปรดพิจารณา  พระองค์ทรงอนุญาตวิญญาณมุสาเข้ามาในคนของฝ่าพระบาท   พระเจ้าได้ทรงบอกให้รู้ถึงหายนะของพระองค์”

อึ้ง….

ฉาด!…. เศเดคียาห์เดินเข้ามาตบหน้ามีคายาห์ต่อหน้าพระราชา

“พระวิญญาณของพระเจ้าไปจากข้า  และพูดกับเจ้าทางใดกัน?”    เศเดคียาห์โกรธจัด  ยั้งความโกรธไม่อยู่

“นี่แนะ”  มีคายาห์ไม่ได้ตบหน้าตอบ  “เจ้าจะรู้ในวันนั้นที่เจ้าเข้าไปซ่อนตัวในห้องชั้นใด”    มีคายาห์กลับทำนายเหตุการณ์ในอนาคตให้เศเดคียาห์อีก

ราชาอาหับจึงทรงสั่งให้คนเอามีคายาห์ไปขัง

“เอาเจ้านี่ไปจำคุก   จำกัดน้ำ อาหาร เพียงให้มันอยู่รอด จนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย”   พระองค์ทรงโกรธไม่แพ้เศเดคียาห์

“ถ้าฝ่าพระบาทเสด็จกลับมาอย่างปลอดภัยจริง ๆ   เท่ากับพระเจ้าไม่ได้ตรัสผ่านข้าพระบาท”   มีคายาห์กล่าวขึ้นมาทันที

“ขอประชาชนฟังเอาไว้แล้วกัน”    ราชาอาหับทรงสรุปห้วน  ๆ

 

 

 

 

มีคายาห์..ของจริง ๑๘-๓

2 พงศาวดาร 18:12-18

คนสื่อสารที่ไปตามมีคายาห์  ไม่ได้ไปตามเปล่า  แต่นำความเห็นของเศเดคียาห์ไปด้วย

หมายความว่าอย่างไรกันล่ะ?

พอเขาพบมีคายาห์  เขาก็เริ่มหว่านล้อมทันที

“ท่านมีคายาห์   ท่านทราบไหมว่า คำจากผู้กล่าวคำเหล่านั้นล้วนแต่เป็นคำพูดดี ๆ   ทำให้พระราชาเกิดความกล้าหาญที่จะไปตีเมืองราโมท-กิเลอาด  พวกเขาพูดอย่างไร  ขอให้ท่านพูดเหมือนกันกับพวกเขา  มันจะได้เป็นพรสำหรับพระราชา”

ผู้สื่อสารคนนี้ไม่รู้จักมีคายาห์….

“พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด  ข้าจะพูดอย่างที่พระเจ้าตรัสให้ข้าพูด”   มีคายาห์ตอบอย่างไม่กลัวเกรง

ผู้สื่อสารจึงนิ่งอึ้ง  ไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อ    จะมามัวต่อล้อต่อเถียง หรือให้สินบนก็ไม่ได้   มีคายาห์ท่านนี้ แม้จะดูเป็นคนธรรมดาที่มีหน้าที่กล่าวคำของรพะเจ้า   แต่ก็มีบารมีของพระเจ้าในตัวจริง ๆ        เขาจึงพามีคายาห์มาพบพระราชาทั้งสอง

อีกภาพที่จิตรกรวาดถึงมีคายาห์ ภาพจาก pitts.emory.edu

เมื่อมาถึง ราชาอาหับทรงถามเขาว่า

“มีคายาห์  บอกเรามาซิว่า เราควรไปโจมตีเมืองราโมท-กิเลอาด  หรือว่าไม่ควรไป”

มีคายาห์ทูลตอบว่า…

“ขอเชิญเสด็จไปพะยะค่ะ  พระองค์จะทรงได้ชัยชนะ   พวกเขาจะถูกมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์”

คำตอบของมีคายาห์ทำให้ทุกคนที่กล่าวคำก่อนหน้านี้ โล่งใจ   พวกเขาหันหนัามามองกัน โธ่เอ๋ย  ไม่เห็นจะมีน้ำยาก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ ไม่น่าเรียกมาถามเลย

แต่… น้ำเสียงของมีคายาห์ทำให้ราชาอาหับทรงรู้ดีว่า     มีคายาห์กำลังประชดพระองค์อยู่

“ก็เราบอกให้เจ้าปฏิญาณไม่ใช่หรือว่า  เจ้าจะพูดความจริงในพระนามของพระเจ้า”   พระองค์ตรัสกับเขา สุรเสียงกร้าว

“อย่างนั้นก็ได้พะยะค่ะ”  มีคายาห์ตอบ

“คือว่า  ข้าพระบาทเห็นคนอิสราเอลกระจัดกระจายบนภูเขา  พวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง”

พอได้ยินเช่นนั้น  ราชาอาหับทรงหันมาที่ราชาเยโฮชาฟัท   ตรัสขึ้นมาทันทีว่า

“ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่า  เขาจะไม่เคยพูดถึงข้าพเจ้าดี ๆ  เลย   มีแต่เรื่องเสียหายทั้งนั้น”

คราวนี้ รู้สึกกริ้วมาก   มีคายาห์ตอนต้นพูดเหมือนว่าจะใช้ได้แล้ว  แต่ในที่สุด ก็เป็นเหมือนเดิม   ราชาอาหับทรงไม่พอใจกับมีคายาห์อย่างยิ่ง

แต่…มีคายาห์ยังมีสิ่งที่จะบอกเล่าอีก  “ขอสดับพระวจนะของพระเจ้า   เป็นเรื่องที่แปลก”

ราชาเยโฮยาฟัททรงสนใจที่จะฟัง  ทรงยิ้มและกล่าวกับมีคายาห์ว่า

“ขอท่านมีคายาห์บอกพวกเรามาเถิดว่า  ท่านเห็นอะไร”

มีคายาห์รู้เห็นอะไรมานะ??

 

 

 

 

สวมเขาสร้างภาพ ๑๘-๒

2 พงศาวดาร 18:8-11

อาหับ  ราชาแห่งอิสราเอลนั้น  จำเป็นต้องทำตามที่ราชาเยโฮชาฟัททรงขอร้อง
“เจ้าไปตามมีคายาห์ มาด่วน”   ราชาอาหับทรงสั่งเสียงดัง

ราชาทั้งสอง ทรงนั่งข้าง ๆ กันที่ลาดนวดข้าวทางเข้าประตูเมือง  ทั้งสององค์ข้าง ๆ กัน ทำให้ประชาชนตื่นเต้น     ขณะที่รออยู่นั้น พระองค์ทรงสนทนากันเบา ๆ  และบางคนก็ได้ยิน บางคนก็ไม่ได้ยิน

เห็นเศเดคียาห์ที่สวมเขาไหม?

แต่เวลาเดียวกัน ผู้กล่าวคำของพระเจ้า  400 คนที่อยู่ตรงนั้น ก็สลับกันทูลสิ่งที่ถูกสั่งมาให้ทูล….. พวกเขาไม่ได้กล่าวคำของพระเจ้าจริง !

คนหนึ่งชื่อเศเดคียาห์ เป็นบุตรของเคนาอะนาห์   ได้ทำสิ่งที่ดึงความสนใจของผู้คนอย่างมาก

เขาเอาเหล็กมาทุบเป็นเขาแล้วสวมหัวไว้    เขาพยายามทำให้คำพูดของเขาน่าเชื่อถือ  ซึ่งดูแล้วก็น่าเชื่อถือ เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ  ที่แค่พูด

“พระเจ้าตรัสดังนี้”   เขากล่าวเสียงดัง  “ด้วยสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าจะจัดการกับคนซีเรียจนกระทั่งพวกเขาพินาศไปหมด”

“ใช่แล้ว  เป็นอย่างนั้นแน่”   เสียงของผู้กล่าวคำคนอื่น ๆ  เห็นด้วยดังทั่วลานนั้น
“ขอพระราชาเสด็จไปโจมตีเมืองราโมท-กิเลอาดเถิด   พระเจ้าจะทรงมอบเมืองนี้ไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา

คำของคนเหล่านี้ทำให้ราชาเยโฮชาฟัทเปลี่ยนพระทัยหรือไม่…

เปล่าเลย

พระองค์ยังทรงรอคนที่ชื่อมีคายาห์….

 

การตัดสินพระทัย ๑๘-๑

2 พงศาวดาร 18:1-7

จากที่เล่ามาว่า ราชาเยโฮชาฟัทนั้น ทรงรุ่งเรือง มีทรัพย์สมบัติมากมาย   และยังเป็นที่นับถือจากชนชาติรอบ ๆ ด้วย

ต่อมา … พระองค์ได้ทำสิ่งที่ทรงคิดว่าดี  แต่จริงแล้ว มันจะสร้างปัญหาใหญ่ในรัชกาลหลังจากพระองค์  ไม่มีใครคิดว่า จะมีอะไรร้าย ๆ เกิดขึ้น  ก็แค่ราชาแห่งภาคใต้  เข้าไปเป็นทองแผ่นเดียวกับราชาภาคเหนือ   ซึ่งก็คือราชาอาหับนั่นเอง
ไม่น่าเลย   ราชาที่ดี ๆ อย่างพระองค์ไม่น่าจะไปสมรสกับเชื้อวงศ์ของอาหับ!

เมื่อพูดถึงราชาอาหับ เราก็รู้ว่า พระองค์ทรงอยู่ใต้กำมือของพระนางเยเซเบล มเหสีผู้โหดร้าย     ราชาอาหับทรงเป็นผู้ชายกลัวภรรยาคนหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ทรงเป็นราชาเหนืออิสราเอล  ทรงทำให้คนอิสราเอลทั้งประเทศหันมากราบไหว้เทวรูปเจ้าบาอัลตามที่พระนางเยเซเบลต้องการ

มีเมืองอยู่เมืองหนึ่งที่ราชาแห่งซีเรียไม่ยอมคืนให้อิสราเอล  คือเมืองราโมท กิเลอาด ซึ่งอยู่ห่างจากนครเยรูซาเล็มเพียง 40 ไมล์   ราชาอาหับจึงทรงชวนราชาเยโฮชาฟัทไปร่วมรบ เพื่อยึดเมืองนี้คืนมา

ภาพจาก pitts.emory.edu

 

“ท่านจะไปราโมทกิเลอาดกับเราไหม?    ราชาอาหับทูลถาม

“อืม… ข้าพเจ้าก็เป็นอย่างที่ท่านเป็น   ทหารของข้าพเจ้าก็เหมือนทหารของท่าน  ข้าพเจ้าจะอยู่กับท่านในการสงคราม  แต่…”  ราชาเยโฮชาฟัททูลตอบ

“ยังไง  ๆ  ข้าพเจ้าอยากทราบว่า พระเจ้าจะทรงสั่งอย่างไรก่อน  ไม่อยากทำอะไรโดยไม่ถามพระองค์ “

“ได้ซิ  เราจะเตรียมผู้กล่าวคำของพระเจ้าไว้ให้ท่าน”  แล้วอาหับก็เตรียมคนไว้ 400 คน  เพื่อให้ได้คำตอบจากพระเจ้า

เมื่อราชาเยโฮชาฟัททรงเห็นคนทั้งหมดนั้น ก็ตรัสว่า
“เราควรไป หรือไม่ควรไปโจมตีเมืองราโมท กิเลอาด?”

พวกเขารู้แล้วว่า จะตอบอะไรอย่างที่ราชาอาหับทรงประสงค์

“ข้าแต่พระราชา   ขอพระองค์เสด็จไปเถิด   เพราะว่า พระเจ้าจะทรงให้พระองค์ได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน”

แต่การที่ทุกคนตอบเหมือนกัน   เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  และดูเสแสร้ง… ราชาเยโฮชาฟัทจึงทรงหันมาถามราชาอาหับ

“ที่นี่ไม่มีคนกล่าวคำของพระเจ้าอีกสักคน ที่ข้าพเจ้าจะคุยด้วยได้เลยหรือ? ”

“มีซิ  ยังมีอีกคน  แต่เจ้าคนนี้ ไม่ถูกใจข้าพเจ้าเลย    เขาไม่เคยพูดความดีของข้าพเจ้า เอาแต่พูดสิ่งที่ร้าย ๆ เท่านั้น”  ราชาอาหับทูลตอบ

“เขาเป็นใครกัน?”

“ชื่อมีคายาห์  เป็นบุตรชายของอิมลาห์”

“ขอราชาอาหับอย่าทรงคิดอย่างนั้นเลย  ขอทรงให้เขามาพูดให้ข้าพเจ้าฟังด้วยเถิด”      ราชาเยโฮชาฟัททรงรู้สึกสนใจที่จะฟังชายคนนี้   แสดงว่า เขาเป็นคนที่พูดความจริง ทำให้คนไม่ชอบ

ราชาเยโฮชาฟัททรงรู้ว่า คนที่ประจบสอพลอ  กับคนที่พูดความจริงนั้นแตกต่างกันมากยิ่งนัก   ….

ราชาอาหับจะทรงยอมไหมนี่?

 

ประชาชนกับความรู้ ๑๗-๒

2 พงศาวดาร 17:7-19

พอราชาเยโฮชาฟัทครองราชย์ได้ 3 ปี  ทรงเห็นแล้วว่า ต้องทำอะไรบ้าง  เป็นสามปีที่พระองค์ทรงเรียนรู้การปกครองประเทศอย่างรวดเร็ว    พระองค์ทรงทำสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นมากก็คือ

ทรงใช้คนของพระองค์ซึ่งเป็นผู้รู้ในพระคำของพระเจ้าออกไปทั่วแผ่นดิน   เขาทั้ง 5 นี้ ไปสั่งสอนประชาชนตามหัวเมืองต่าง ๆ ให้รู้จัก และเข้าใจทางของพระเจ้ามากขึ้น

สมัยก่อน ๆ   สิ่งเหล่านี้ถูกละเลย  ไม่มีปุโรหิต หรือผู้รู้ในพระคำของพระเจ้าออกไปสั่งสอนเช่นนี้

ทำให้ประชาชนเริ่มเข้าใจว่า ตนเองต้องใช้ชีวิตอย่างถูกต้องอย่างไร  สภาพของสังคมยูดาห์ก็ดีขึ้น   การโกงซึ่งกันและกันก็ลดน้อยลง  ผู้คนหันมาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  ความเป็นอยู่ก็ดีขึ้นด้วย

น่าแปลกมาก
พระคัมภีร์บันทึกว่า   … ชนชาติรอบ ๆ ยูดาห์ ต่างเกรงกลัวพระเจ้าไปตาม ๆ กัน พวกเขาไม่กล้ามาทำสงครามกับยูดาห์เลย

นี่เป็นวิธีการยอดเยี่ยมในการใช้ชีวิตของเราด้วย…. เราติดสนิทกับพระเจ้า พระเจ้าจะทรงช่วยให้ศัตรูไม่มาวอแวกับเรา   ยิ่งกว่านั้น ศัตรูอย่างเช่นฟิลิสเตียก็ได้นำทรัพย์สมบัติเงินทองมาถวาย   ชาวอาระเบีย ก็นำสัตว์มากมายมาถวายเป็นหมื่น ๆ ตัว

จากนั้นมา ราชาเยโอชาฟัทก็ทรงอำนาจมากขึ้น  ทรงสร้างป้อม และหัวเมืองที่จะเก็บสมบัติ อาหารไว้   พระองค์ทรงมีที่ดินมากมายตามเมืองต่าง  ๆ

พระราชาทรงมีทหารมากพอด้วย ทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่ได้มีสงคราม

ทหาร 300,000   นาย ในบังคับบัญชาของท่านอัดนาห์
ทหาร 280,000   นาย ในบังคับบัญชาของท่านเยโฮฮานัน
ทหาร 200,000   นาย ในบังคับบัญชาของท่านอามัสยาห์
ทหาร 200,000   นาย ในบังคับบัญชาของท่านเบนยามิน พร้อมธนูและโล่
ทหาร 180,000  นาย ในบังคับบัญชาของท่านเยโฮซาบาด

คนที่น่าสนใจคือ ท่านอามัสยาห์
พระคัมภีร์บันทึกว่า ท่านนี้เต็มใจถวายตัวเข้ามารับใช้ ….  ท่านผู้นี้น่าจะอาสาเข้ามาทำงานโดยไม่ได้มีใครมาขอร้อง  … แต่เขาพร้อมที่จะทำงานแม้จะเป็นทหาร แต่เขาก็รู้ว่า เขากำลังรับใช้พระเจ้าของเขาอยู่

 

ราชาเยโฮชาฟัท ๑๗-๑

2 พงศาวดาร 17:1-6

ราชาอาสาทรงมีราชโอรสที่ทรงปัญญา พระนามว่า เยโฮชาฟัท  ทรงครองต่อจากราชบิดาทันทีที่ราชบิดาสิ้นพระชนม์

ราชาเยโฮชาฟัทขึ้นครองในขณะที่ทางเหนือมีราชาอาหับปกครอง     อาหับมีมเหสีนามว่าเยเซเบล เป็นราชินีที่ร้ายกาจ โหดเหี้ยมมาก    และถ้าเพื่อน ๆ เคยอ่านเรื่องของเขา  ในสมัยของราชาอาหับ มีผู้กล่าวคำของพระเจ้าที่กล้าหาญคือท่านเอลียาห์

ขณะที่ทางเหนือกำลังป่วน วุ่นวายเพราะพระนางเยเซเบลเป็นราชินีที่คอยยุยงให้ราชาอาหับทำสิ่งที่ผิดตลอดเวลา   ทางใต้ กลับมีอีกบรรยากาศหนึ่ง

ราชาเยโฮชาฟัททรงเสริมกำลังกองทัพให้เข้มแข็ง เพื่อต่อสู้กับอิสราเอล

หัวเมืองต่าง ๆ ที่ราชบิดาเคยยึดไว้จากอิสราเอลก็ทรงเสริมกำลังทหารเข้าไปให้เพียงพอ

 

ที่ราชาเยโฮชาฟัททรงทำอะไรก็เจริญก้าวหน้า  เป็นเพราะพระเจ้าสถิตกับพระองค์

พระราชาทรงดำเนินตามแบบอย่างของราชาดาวิด

 

 

ราชาเยโฮชาฟัทไม่ได้ทรงทำตามอย่างอาหับ  ที่คอยแต่จะเฝ้าตามเจ้าบาอัลตามมเหสี

พระองค์ทรงดำเนินตามพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยเต็มพระทัยอย่างยิ่ง

ทรงนำให้ประชากรติดตามพระเจ้าด้วยเช่นกัน  ดังนั้น สิ่้งที่เกิดขึ้นก็คือ  ไม่ว่าพระองค์จะทรงทำอะไร ก็สำเร็จ มีพระพรของพระเจ้านำหน้า และตามหลัง

ผู้คนต่างเอาของมาถวาย    หัวเมืองต่าง ๆ ในยูดาห์ก็นำสิ่งของมาถวาย ทำให้พระองค์ทรงมั่งคั่ง

แต่ที่ดีกว่านั้นคือ

พระนามของพระองค์เป็นที่ชื่นชมของประชาชน

ทรงเป็นกษัตริย์ที่ประชาชนรัก และเคารพอย่างสูง  พวกเขาพร้อมที่จะทำตามอย่างพระราชาของเขา

ทำให้พระองค์ยิ่งปกครองด้วยความเอาใจใส่  และเที่ยงธรรม

ส่วนความสัมพันธ์ของราชาเยโฮชาฟัทกับพระเจ้านั้นก็แนบแน่นยิ่งนัก

พระองค์ทรงเข้มแข็ง  ไม่กลัวสิ่งใด

และทรงทำลายปูชนียสถานสูง  และเทวรูปต่าง ๆ  อย่างมากมาย  ไม่ทรงกลัวผู้ใดต่อต้านเลย ….