ราชาโยธาม ๒๗

2 พงศาวดาร 27:1-9

ตอนที่ราชาอุสซียาห์สิ้นพระชนม์ไปพร้อมกับการเป็นโรคเรื้อน  ราชโอรสคือราชาโยธาม ขึ้นครองราชย์เมื่อทรงอายุได้ 25 ปี   พระมารดาคือ พระนางเยรูชาซึ่งเป็นธิดาของท่านศาโดก

สิ่งที่ดีจากราชาโยธามคือ ตลอด 16 ปีที่ครองราชย์นั้น พระองค์ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้าเสมอ  ทำสิ่งดีเหมือนกับราชบิดา  แต่พระองค์ไม่เสด็จเข้าไปในพระวิหารของพระเจ้า

ทำไมหรือ??

อาจเป็นเพราะว่า เห็นราชบิดาเป็นโรคเรื้อนเพราะได้ก้าวล้ำหน้าที่ของปุโรหิต พระองค์ก็ทรงหลีกเลี่ยงที่จะไม่เจอเหตุการณ์อย่างนั้นอีก ก็เป็นได้

แม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นพระราชาที่ดี  แต่ประชาชนส่วนหนึ่งยังคงติดตามสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  และพระองค์ก็ไม่ได้ทำอะไรพวกเขา

แต่สำหรับเรื่องของพระวิหารแล้ว  พระราชาได้ทรงดูแลให้พระวิหารงดงาม และทรงสร้างประตูบนเพิ่มเติมที่พระวิหาร และยังสร้างกำแพงของตำบลโอเฟล  ทรงสร้างเมืองในเขตเนินเขา  สร้างหอและป้อมในเขตที่เป็นป่าด้วย

ส่วนการทหารนั้น พระองค์ก็ไม่ได้น้อยหน้ากษัตริย์องค์ใด   ทรงต่อสู้กับราชาแห่งอัมโมน  ได้ชัยชนะ  และได้รับของบรรณาการมากมายทั้งแร่เงิน และอาหาร  ทำให้ประเทศแข็งแรงขึ้นอีก

พระคัมภีร์บันทึกว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ราชาโยธามดำเนินตามน้ำพระทัยของพระเจ้า   พระองค์ทรงทำเช่นนั้นตลอดมา สม่ำเสมอ ไม่หันเหไปไหน….

น่าดีใจที่อย่างน้อย ราชาองค์นี้ไม่มีอะไรที่ทำให้พระเจ้าต้องทรงกริ้วเหมือนกับราชบิดา   ดีใจที่พระองค์ทรงติดตามพระเจ้าตลอดชีวิตของพระองค์

พระองค์ทรงครอง 16 ปี  ก็สิ้นพระชนม์   ราชโอรสจึงขึ้นครอง

 

ตอนจบที่แสนเศร้า ๒๖-๔

2 พงศาวดาร 26:19-23

“ข้าแต่พระราชา ขอทรงโปรดฟังข้าพระบาท   โปรดฟังด้วย  …. เสด็จออกจากที่นี่ เดี๋ยวนี้ พะยะค่ะ  ข้าพระบาทกลัวแทนพระองค์จริง ๆ”

ไม่เลย  ราชาอุสซียาห์ไม่ทรงฟังเสียงของปุโรหิต ที่เตือนพระองค์ด้วยความหวังดี

“อย่ามายุ่งกับข้า  ข้าจะทำอะไร มันก็เรื่องของข้า” ขณะนั้น ราชาอุสซียาห์ทรงอุ้มกระถางไฟ พร้อมที่จะเผาเครื่องหอม

ทรงกริ้วเหล่าปุโรหิตมาก

….ทำไมต้องมาห้ามด้วย  ข้าเป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน  ยังจะมีกฎเกณฑ์ใดใหญ่ยิ่งกว่าความต้องการของข้ารึ?   และสิ่งที่ข้ากำลังจะทำนี้ ก็ทำเพื่อถวายพระเจ้า….

ราชาอุสซียาห์ลืมกฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า

 

ขณะนั้นเอง

“โอ๊ะ… ดู  ดูนั่น”  ปุโรหิตคนหนึ่งร้องออกมา  พร้อมกับมองไปที่หน้าผากของพระราชา

เกิดมีรอยขาว ๆ ขึ้น ….  นั่น  นั่นมันโรคเรื้อนนี่นา   อะไรกัน โรคเรื้อนปรากฏกันรวดเร็ว  ง่าย ๆ อย่างนี้เอง  เกิดขึ้นในพระวิหารด้วย….

ภาพจาก visualbiblealive.com

พวกเขาร้องเสียงหลง

มีคนหนึ่งผลักพระราชาออกไป

“ไปเถอะ  ขอพระองค์รีบออกไปจากพระวิหาร!”

พระราชาเองตกพระทัยมาก

“โอย… อะไรนี่  มันผุดออกมาบนหน้าผากข้าได้อย่างไร?”

พระราชารีบรุดออกไปจากพระวิหารทันที  พระเจ้าทรงลงโทษพระองค์ เพราะพระองค์ไม่ยอมฟังเสียงของคนที่เตือนก่อนหน้านี้
และแล้ว พระราชาต้องทรงอยู่ในกฎเกณฑ์ของพระเจ้า   พระองค์ต้องอยู่ในพระราชวังที่แยกออกไปจากคนอื่น ๆ   ไม่มีโอกาสดำเนินเข้าไปในพระวิหารอีกเลย  พระองค์ทรงเป็นโรคเรื้อนจนวันที่สิ้นพระชนม์

น่าเสียดายเหลือเกิน

พระราชาที่แสนดี

กลับกลายมาเสียทีกับความเย่อหยิ่งของพระองค์เองในบั้นปลาย

พระองค์ทรงถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษในทุ่งอันเป็นฝังพระศพของพระราชา  เพราะว่า พระองค์ทรงเป็นโรคเรื้อน  จึงไม่ได้ถูกเก็บอยู่ในถ้ำเหมือนพระราชาองค์อื่น ๆ

 

โยธาม  ราชโอรส ขึ้นครองราชย์แทน….

 

 

ล้ำเส้น ๒๖-๓

2 พงศาวดาร 26:16-18

บ้านเมืองเจริญมั่งคั่ง

การทหารเข้มแข็ง มีการป้องกันประเทศรอบด้าน

การประดิษฐ์อาวุธแบบใหม่ขึ้นมา ทำให้ประชาชาติทั้งหลายต่างเกรงขาม

เมืองใหม่ ๆ  เกิดขึ้นในถิ่นกันดาร

การค้าระหว่างเมืองก็อยู่ในขั้นที่ดี ประชาชนอยู่ดีมีสุข

….ดี  ดีจริงที่ประเทศนี้เจริญได้ขนาดนี้ในมือของเรา… ราชาอุสซียาห์เริ่มคิดเป็นอื่นไปจากพระเจ้า    ทรงคิดว่า  “ฉันนี่ยอดจริง ๆ “

 

ในพระวิหาร พระเจ้าทรงกำหนดให้ปุโรหิตทำหน้าที่เผาเครื่องหอม  ปุโรหิตยังคงเป็นตัวกลางระหว่างพระเจ้ากับประชาชน และองค์กษัตริย์   ไม่มีอะไรเปลี่ยน

แต่ด้วยความที่ราชาอุสซียาห์ทรงคิดว่า พระองค์ทำได้ทุกอย่าง

 

จึงก้าวล้ำเข้าไปในหน้าที่ของปุโรหิต   ทรงคิดว่า ทำอย่างอื่นได้  ก็ทำอะไรในพระวิหารได้เหมือนกัน  ทรงเดินเข้าไปในพระวิหาร และเริ่มต้นที่จะเผาเครื่องหอม!

พวกเราอาจไม่เข้าใจว่า ทำไมมันเป็นเรื่องใหญ่โต… เรื่องใหญ่ซิ  .. พระเจ้าทรงสั่งอะไร เราต้องทำตามพระเจ้า ไม่ใช่นึกจะทำอะไรก็ได้

“ท่านปุโรหิตขอรับ   พระราชาเสด็จเข้าไปเผาเครื่องหอมขอรับ”  มีคนหนึ่งรีบเข้าไปแจ้งกับปุโรหิต

ดังนั้นปุโรหิตอาซาริยาห์จึงเรียกปุโรหิตอีก 80 คนเข้าไปในพระวิหารด้วยกัน พวกเขาขัดขวางพระราชา

“ขอพระราชาโปรดหยุดที่จะทำสิ่งต้องห้ามนี้พะยะค่ะ”   อาซาริยาห์กราบทูล
“พระราชาไม่ทรงมีหน้าที่เผาเครื่องหอมถวายพระเจ้า  แต่มันเป็นหน้าที่ของปุโรหิต ลูกหลานท่านอาโรน  พวกเขาถูกชำระตัวให้บริสุทธิ์แล้ว จึงมาเผาเครื่องหอม”

ภาพจาก jesusfootprints.wordpress.com

“อะไรนะ  เจ้าว่าอะไร”  ราชาอุสซียาห์ทรงกริ้ว

“ขอประทานอภัยด้วยพะยะค่ะ   ขอเสด็จออกจากสถานบริสุทธิ์    เพราะบัดนี้ พระองค์ทรงล่วงเกินพระเจ้า  และพระองค์จะไม่ได้ทรงรับเกียรติยศจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย”

ราชาอุสซียาห์จะฟังพวกเขาไหม?

 

ยอดพระราชา ๒๖-๒

2 พงศาวดาร 26:6-15

ความเจริญในสมัยของราชาอุสซียาห์นั้น ทำให้ประชาชนเริ่มสบายใจขึ้นมาก  ผู้คนอยู่ดีกินดี  ทำสงครามกับใครก็ชนะ

ที่ต้องทำสงครามก็เพราะในโลกโบราณนั้น หากอยู่เฉยนานไป ทหารก็จะอ่อนแอ  อาจถูกประเทศอื่นเข้ามาโจมตีได้

ราชาอุสซียาห์เองทรงเริ่มต้นต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย  ซึ่งมีความเก่งกาจในการรบเป็นอย่างยิ่ง

ภาพเขียนของไมเคิลแอนเจโล

พระองค์ทรงพังกำแพงเมืองกัททางใต้  เมืองยับเนห์และอัชโดด ยิ่งกว่านั้น ทรงสร้างเมืองในเขตแดนของคนฟิลิสเตียด้วย  นี่อาจหาญมากทีเดียว  ทำให้คนทั้งหลายมองว่า พระองค์ทรงเข้มแข็งในการทหาร

ที่ราชาอุสซียาห์เก่งอย่างนี้ได้  ก็เพราะพระเจ้าทรงช่วยพระองค์ ในการทำสงครามกับคนฟิลิสเตีย  คนอะราเบีย และคนเมอูนิมด้วย   ไม่ว่าไปทำศึกครั้งใด พระเจ้าทรงอยู่ด้วย และทรงช่วยให้พระองค์ได้รับชัยชนะ

กลายเป็นว่าตอนนี้  คนชาวอัมโมนก็ต้องมาส่งส่วยให้กับราชาอุสซียาห์แห่งยูดาห์

พระนามอุสซียาห์กลายเป็นนามที่โดดเด่น   ประชาชาติในตะวันออกกลางต่างยกนิ้วให้   พวกเขาเห็นว่า พระองค์ทรงเข้มแข็งไม่แพ้กษัตริย์ที่เข้มแข็งแห่งราชวงศ์ยูดาห์ในอดีต

แน่นอน ราชาอุสซียาห์ย่อมรู้สึกกระหยิ่มอยู่บ้าง….
พระองค์ทรงสร้าง ซ่อมแซมป้อมนครเยรูซาเล็มให้แข็งแรง  และยังทรงไปดูเมืองอื่น ๆ รอบ ๆ ด้วย

 

พระราชาองค์นี้ไม่เฉพาะเก่งทางการต่อสู้เท่านั้น  แต่ยังดูแลบ้านเมือง ความเป็นอยู่ของราษฎร พระองค์ไม่ทรงทิ้ง  ทรงสร้างเมืองในทะเลทราย ขุดบ่อน้ำ   ทรงให้คนเลี้ยงสัตว์ ทำไร่องุ่น   ราชาอุสซียาห์รักการทำไร่ทำสวนไม่น้อยไปกว่าการปกครอง การทหาร   เป็นพระราชาที่ทรงทำงานรอบด้าน

พระองค์ทรงมีทหารในกองทัพถึง  307,500 คน    มีผู้บังคับบัญชา 2,600 คน แน่อน ยิ่งกองทัพใหญ่ ก็ต้องมีโล่ หอก ธนู  สลิง  เสื้อเกราะ หมวกเหล็ก มากมาย  นี่ทำให้คนมีงานทำอีก  เศรษฐกิจของประเทศก็ดีตามไปด้วย

และนี่เองทำให้มีการคิดค้นเครื่องกลเพื่อทำสงคราม  ประดิษฐ์อาวุธแปลกใหม่ที่ในโลกโบราณไม่เคยมีมาก่อน  เป็นเครื่องยิงลูกธนู และหินใหญ่ให้ไปไกล ๆ  อย่างนี้แล้ว  จะไม่ให้พระนามอุสซียาห์ระบือไปไกลได้อย่างไร

 

รัชสมัยอุสซียาห์ ๒๖-๑

2 พงศาวดาร 26:1-5

ราชาอามาซิยาห์ทรงถูกสังหาร และพระศพก็ถูกนำมาเก็บไว้ตามประเพณี    หากพระองค์ไม่ทรงไปยุ่งกับราชาแห่งอิสราเอล   ยูดาห์ก็จะไม่กลายเป็นเมืองขึ้นของอิสราเอล

สิ้นราชาอามาซิยาห์แล้ว  ราชโอรสคือ อุสซียาห์ก็ขึ้นครองแทนราชบิดาทันที   ตอนนั้นทรงอายุเพียง 16 พรรษา  ยังเป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นอยู่  แต่พระองค์ทรงมีท่านเศคาริยาห์คอยถวายการดูแล  ถวายการสอนให้พระองค์

พระมารดาคือพระนางโยโคลียาห์ก็คอยดูแลเช่นกัน   ดังนั้น อุสซียาห์จึงไม่ทรงลำบากในการปกครองมากนัก

พระองค์ยังทรงถูกเรียกว่า อาซาริยาห์ในบางครั้ง

พระองค์ทรงสร้างเมืองและพยายามนำเมืองต่าง ๆ กลับมาคืนแก่ยูดาห์ด้วย   และสิ่งที่สำคัญก็คือ พระองค์ทรงทำสิ่งที่ชอบพระทัยพระเจ้าตามที่ราชาอามาซิยาห์เคยทรงทำ

 

นี่เป็นสิ่งที่พระราชาแห่งยูดาห์พึงกระทำ

นั่นคือการยำเกรงพระเจ้า และแสวงหาพระองค์   ซึ่งเมื่อทำสิ่งนั้น  พระราชาและประเทศชาติก็จำเริญขึ้นเสมอไป

น่าเสียดายที่พระองค์ยังทรงปล่อยให้มีการถวายสัตวบูชา และเครื่องหอมบนที่สูง  พระองค์น่าจะทรงกำจัดสิ่งเหล่านี้้ออกไปให้หมด  แต่ก็มิได้ทรงลงมือทำสิ่งใด  ….

จุดจบอามาซิยาห์ ๒๕-๖

2 พงศาวดาร 25:20-28

ราชาเยโฮอาชทรงเตือนราชาอามาซิยาห์ว่า  ไม่ควรคิดจะมาสู้รบกัน เพราะจะแพ้แน่นอน  แต่อามาสซิยาห์ไม่ฟัง  ไม่พอใจ    ตั้งใจแล้วนี่นาว่า จะต้องรบกัน  ก็ออกมารบให้รู้แพ้รู้ชนะกันไปเลย   ลึก ๆ  ราชาอามาซิยาห์มั่นใจว่า พระองค์จะทรงชนะ

แต่ การที่ราชาอามาซิยาห์ดึงดันเช่นนี้ เป็นเพราะพระเจ้าจะทรงมอบอามาซิยาห์เองไว้ให้กับศัตรู    เนื่องจากได้หันไปหาพระแห่งเอโดม แทนที่จะเชื่อและวางใจพระเจ้า

กษัตริย์จากเหนือและใต้ ได้เผชิญหน้ากันที่ เบธเชเมธ  แต่ฝ่ายอามาซิยาห์กลับพ่ายแพ้ หนีหัวซุกหัวซุน

“เตือนแล้ว  ข้าเตือนเจ้าแล้วว่า อย่ามาหือกับข้า”  ราชาเยโฮอาช ตรัสกับอามาซิยาห์

“คุมตัวกลับไปเยรูซาเล็มเดี๋ยวนี้  เราจะให้มันพาเราไปเก็บข้าวของ  เงินทองที่มันสะสมไว้”…..  ราชาเยโฮอาชสั่งแม่ทัพ

เมื่อมาถึงนครเยรูซาเล็ม

ทหารอิสราเอลทางเหนือได้รับคำสั่งที่แปลกมาก

“พวกเจ้าไปพังกำแพงเมืองลงมา   แล้วเราราชาอามาซิยาห์มาดูด้วย  ริบทองคำ เงิน ในพระวิหาร  ในวังมาให้หมด  อย่าให้เหลือ”

“แล้วอย่าลืมจับตัวประกันคนสำคัญไปด้วย  พวกนี้จะได้ไม่มาโอหังกับข้าอีก”

ภาพจาก thebiblerevival.com

ดูเหมือนว่า เขาจะทิ้งราชาอามาซิยาห์ไว้ในนครเยรูซาเล็ม กับวังและพระวิหารที่ไร้เครื่องใช้สอย  ในที่สุด อามาซิยาห์หนีไปเมืองลาคีช    แต่เขาก็ตามพระองค์ไปและประหารพระองค์ที่นั่น

ยังดีที่เอาพระศพกลับมาเก็บไว้ในถ้ำเดียวกับบรรพบุรุษของพระองค์

 

 

เตือนแล้วนะ… ๒๕-๔

2 พงศาวดาร 25:17-20

หลังจากที่ชนะศึกเอโดมไม่นาน  ราชาอามาซิยาห์ก็ทรงคิดว่า พระองค์น่าจะทำศึกอีกครั้ง  คราวนี้ จะทำศึกกับราชาเยโฮอาชแห่งอิสราเอลทางเหนือ   พระองค์ทรงปรึกษากับข้าราชบริพาร และแม่ทัพ  ทุกคนต่างมีความเห็นว่า น่าจะรบชนะ  เพราะตอนนั้น เราชาเยโฮอาชไม่มีกองทัพใหญ่ เหมือนยูดาห์   พระองค์ส่งสารไปว่า

“มาเถอะ  ให้เราทั้งสองมาต่อสู้กัน”

เมื่อราชาเยโฮอาชได้รับสารนั้น  ก็ทรงไม่พอพระทัย  แต่ไม่ได้ต้องการที่จะทำสงครามกับยูดาห์  จึงให้คนส่งสารตอบกลับมาว่า

“ต้นหนามแห่งเลบานอน  ส่งสารมาหาต้นสีดาร์แห่งเลบานอน กล่าวว่า จงยกบุตรสาวของท่านให้แต่งงานกับลูกชายของเรา… “

ราชาเยโฮอาชได้เปรียบเทียบราชาอามาซิยาห์ว่าเป็นเพียงต้นหนาม  ส่วนเยโฮอาชเป็นสนสีดาร์ที่งดงาม  สารของเยโฮอาชจบลงที่ว่า

“พอดีมีสัตว์ป่าในทุ่งตัวหนึ่งเดินผ่านมา  และย่ำต้นหนามนั้นจนราบ  ท่านอามาซิยาห์คิดว่า … ดูซิข้าได้โจมตีเอโดมสำเร็จ… และท่านก็โอ้อวด    แต่เราขอเตือนท่านว่า  อยู่กับบ้านสบาย ๆ เถอะ  ทำไมต้องเหิมเกริมให้มามีเรื่องต่อสู้ แล้วเจอกับอันตรายที่จะทำให้ท่านล้มลงไปเล่า   ไม่เฉพาะตัวท่านเท่านั้น  แต่ทั้งยูดาห์ด้วย”

ราชาเยโฮอาชเตือนราชาอามาซิยาห์ในสารนั้น

แต่อามาซิยาห์ไม่ฟัง

กลับโกรธ….  พร้อมที่จะออกไปสู้กับราชาเยโฮอาช   คิดว่า ตนเองเก่งกล้าสามารถ

อามาซิยาห์หาทราบไม่ว่า

นี่เป็นมาจากพระเจ้า เพราะว่า อามาซิยาห์ได้ดูหมิ่นพระองค์ด้วยการไปกราบไหว้นมัสการเทวรูปแห่งเอโดม ซึ่งเป็นพระของศัตรู…..

ความโง่เขลาของอามาซิยาห์เกิดขึ้นและจะนำไปสู่หายนะ  เพราะว่า ไม่ฟังคำเตือนดี ๆ ของราชาเยโฮอาช  พระเจ้าจะทรงปล่อยให้อามาซิยาห์เข้าสู่สงครามกับอิสราเอล  เทวรูป…นำอามาซิยาห์ไปสู่การตัดสินใจที่โง่เขลา ….และแน่นอน พระราชาจะได้ชิมผลของการตัดสินใจนั้น

คำเตือนที่ไร้ผล ๒๕-๓

แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิด ก็เกิดขึ้นกับราชาอามาซิยาห์

แทนที่จะขอบคุณพระเจ้ากับการปราบชาวเสอีร์จนอยู่มือ  ราชาอามาซิยาห์กลับนำรูปเคารพของศัตรูมาตั้งเป็นพระ  ทั้งกราบไหว้ นมัสการรูปเหล่านั้น และเผาเครื่องหอมถวายด้วย

ใครกัน ที่ยุให้พระราชาทำเช่นนี้

แต่จะใครยุแหย่ก็ตาม  ราชาอามาซิยาทรงตัดสินใจได้ว่า พระองค์จะทรงทำสิ่งที่ถูกต้อง หรือสิ่งที่จะนำหายนะมาสู่พระองค์
พระเจ้าทรงกริ้วต่อการกระทำของอามาซิยาห์

พระองค์เป็นผู้ประทานชัยชนะให้กับเขา  แต่เขากลับหันไปหาพระของศัตรู!! นี่มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่มันก็เป็นไปแล้ว….

พระเจ้าจึงทรงใช้ผู้กล่าวคำของพระองค์ไปเฝ้าราชาอามาซิยาห์


“ทำไมเจ้า จึงแสวงหาพระของชนชาติที่ไม่สามารถช่วยตนเองให้พ้นมือของเจ้าได้?” เขาทูลพระราชาว่า พระเจ้าตรัสอย่างไร   เป็นคำถามที่แทงใจราชาอามาซิยาห์  มันทำให้เห็นว่า พระองค์นั้นทรงโง่เขลาเพียงใด

“ข้าแต่งตั้งให้เจ้าเป็นที่ปรึกษาข้ารึ  เจ้าจึงมาพูดอย่างนี้  หยุดเดี๋ยวนี้!”  ราชาอามาซิยาห์ทรงกริ้วยิ่งนักที่ถูกกล่าวหา

“พะยะค่ะ”  ผู้กล่าวคำของพระเจ้าคนนั้นจึงหยุดพูดไปสักพัก

แต่แล้วเขาก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ข้าพระบาทรู้ว่า  พระเจ้าทรงตั้งพระทัยจะทำลายพระองค์อย่างแน่นอน    เพราะพระองค์ทรงกระทำเยี่ยงนี้ และไม่ได้ฟังคำปรึกษาของข้าพระบาท”

“ไป  ไปให้พ้นหน้าข้า… เจ้าคงไม่อยากตายนะ”

เขาจึงรีบออกไปจากพระพักตร์พระราชาโดยไม่รีรอ…

 

ทั้งขึ้นทั้งล่อง ๒๕-๓

2 พงศาวดาร 25:10-13

แม้ว่า ราชาอามาซิยาห์จะไม่ได้ยึดเงินคืน   เมื่อบอกเลิกบริการรับจ้างรบของทหารอิสราเอล   แต่พวกเขาก็โกรธกันหัวฟัดหัวเหวี่ยง   ตลอดทางพวกเขาก่นด่าราชาอามาซิยาห์

“ไม่น่ามาจ้างพวกเรา แล้วก็บอกเลิก”

“นั่นซิ  ไม่ให้เกียรติกันเลย”

“ใคร ๆ จะว่า พวกเราไม่เชี่ยวการรบ  จึงถูกบอกเลิก”

“แต่เราก็ได้เิงินมามากโขอยู่นะท่าน”

“ไม่มากพอ  เดี๋ยวจะได้เห็นว่า พวกเรานั้นราคาแพงกว่านั้นมากนัก!”

 

ในเวลาเดียวกัน อามาสิยาห์ พาทหารของพระองค์ไปยังหุบเขาเกลือ ทางใต้ของแผ่นดินยูดาห์

ที่นั่นพระองค์ทรงโจมตีคนชาวเสอีร์ 10,000 คน!    และยังจับเป็นได้อีก 10,000 คน

ทหารยูดาห์ทำได้!

“ไชโย!!  พระราชาของเราไม่น่าไปเสียเงินจ้างทหารอิสราเอลเลย   ถ้าพระองค์ทรงเก็บไว้ให้เป็นรางวัลของพวกเราน่าจะดีกว่า”

“จริงด้วย”

พวกเขาจับคนเสอีร์บังคับให้เดินขึ้นไปบนยอดเขา เป็นหน้าผา     แล้วก็ผลักพวกเขาลงมาข้างล่างจนสิ้นชีวิตหมดทุกคน

ขณะที่พวกเขากำลังชื่นชมกับชัยชนะนั้นเอง

มีม้าเร็วจากหัวเมืองขอเข้าเฝ้าพระราชา

“พวกทหารเอฟราอิมเข้าโจมตีหัวเมืองตั้งแต่สะมาเรียไปถึงเบธโฮโรนพะยะค่ะ”

 

“พวกเขาฆ่าประชาชนไป 3000 คน  และปล้นข้าวของไปด้วยมากมายพะยะค่ะ”

 

ถ้าทหารพวกนี้มาช่วยรบ  จะเกิดอะไรขึ้น  อาจจะหักหลังทัพยูดาห์กลางคนก็เป็นได้?

ไม่ช่วยรบ ก็พาลไปทำร้ายคนอื่นอีก …. ร้ายทั้งขึ้นทั้งล่อง

 

 

เงินที่เสียเปล่า ๒๕-๒

2 พงศาวดาร 25:5-10

ต่อมา ราชาอามาซิยาห์ได้รวบรวมทหารจำนวนมากมายจากยูดาห์  โดยแบ่งเป็นกองร้อย กองพันตามเผ่าซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนเผ่ายูดาห์ และเบนยามิน  โดยมีคนที่อายุ 20 ปีขึ้นไป เกณฑ์ได้ถึง 300,000  คนที่มีความสามารถในการใช้อาวุธทั้งหอก และโล่ พร้อมที่จะสู้ศึก

มีทหารมากมายขนาดนี้  แต่ราชาอามาซิยาห์ยังไม่ค่อยจะมั่นพระทัย

“ข้าจะทำอย่างไรดี  จะบุกเอโดมด้วยคนเพียงแค่นี้”…..  จึงมีคนบางคนในราชสำนักเสนอความเห็น “เห็นทีเราต้องมีทหารรับจ้างเข้ามาสมทบพะยะค่ะ”

ดังนั้นพระองค์จึงไปจ้างทหารรับจ้างจากอิสราเอล ใช้เงินไป 100 ตะลันต์ โดยได้ทหารมา 100,000 คน!

พระองค์พอพระทัยมาก

“ทีนี่เราก็มีทหาร 400,000 คน  น่าจะพอ พอที่จะช่วยให้เราชนะเอโดมได้ไม่ยากนัก”

แต่ขณะที่พระองค์กำลังทรงวางแผน ปรึกษากองทัพและข้าราชการของพระองค์  ก็มีคนมาขอเข้าเฝ้า

“ข้าแต่พระราชา  ขอพระองค์อย่าทรงปล่อยให้กองทัพอิสราเอล  ร่วมทำสงครามกับพระองค์เลย  เพราะว่า พระเจ้ามิได้ทรงอยู่กับทัพอิสราเอลที่มาจากเผ่าเอฟราอิมพวกนี้”

“แต่ขอพระราชาโปรดเสด็จไป  และทำสงคราม  เหตุใดพระองค์จึงทรงคิดว่า พระเจ้าจะทรงเหวี่ยงพระองค์ต่อหน้าต่อตาศัตรูเหล่านั้นล่ะ?

ขอพระราชาจงทรงพระเจริญ

พระเจ้าทรงฤทธิ์ที่จะช่วย หรือทิ้งขว้างไปตามพระทัยพระองค์”

 

“แต่ ท่านผู้กล่าวคำของพระเจ้า  ….” ราชาอามาซิยาห์เริ่มเสียดาย  “จะทำอย่างไรกับเงิน 100 ตะลันท์ที่ข้าให้พวกเขาไปแล้วล่ะ?”

ชายผู้ที่รับใช้พระเจ้ามาตอบว่า
“พระเจ้าทรงสามารถที่จะประทานแก่พระองค์  มากมายกว่านี้หลายเท่านัก”

อามาซิยาห์จะเชื่ออย่างไรดี

เชื่อผู้กล่าวคำของพระเจ้า  แล้วเสียเงิน 100 ตะลันท์ไปฟรี  ๆ

หรือจะดื้อดึงเอาคนเหล่านี้เข้ามาช่วยรบ….

ทรงต้องตัดสินใจนานพอควร

ทรงถามข้าราชการ และนายทหาร ซึ่งต่างก็มีความเห็นหลากหลายมาก

ในที่สุด
“เจ้าไปสั่งผู้บัญชาการทหารของอิสราเอล ให้เขากลับบ้านไปได้  ส่วนเงินนั้นข้าให้ไปเลย”

โอ้โห…. การตัดสินใจครั้งนี้มันยอดจริง ๆ

กล้าเชื่อพระเจ้า…… กล้าเชื่อว่า พระเจ้าจะประทานชัยชนะให้!!

 

ไว้ชีวิต ๒๕-๒

พงศาวดาร 25:1-4

ราชาโยอาชทรงสิ้นไปอย่างไร้คนเอาใจใส่  ถูกลอบปลงพระชนม์ง่าย ๆ เพราะพระองค์กำลังป่วยอยู่ในห้องบรรทม

ราชาโยอาชทรงเริ่มต้นครองประเทศในเวลาอายุยังน้อยมาก  แต่ความเป็นจริงคือ  มีผู้ใหญ่ ผู้สำเร็จราชการคอยดูแลการปกครองให้เสมอมา   และพระองค์ก็ทรงเป็นผู้ทำลายรูปเคารพ และซ่อมแซมพระวิหารของพระเจ้าอย่างใหญ่โตในสมัยของพระองค์

แต่แล้ว ก่อนเวลาพระองค์สิ้นพระชนม์  พระองค์ได้ทรงทำสิ่งที่ผิดต่อพระเจ้าและการสิ้นพระชนม์นั้นได้บ่งบอกว่า พระองค์เป็นผู้นำความร้ายกาจนั้น มาสู่ชีวิตของพระองค์เอง…..

ขณะนั้นเอง อามาซิยาห์โอรสของพระองค์ทรงอายุ 25 พรรษา  จึงต้องรับราชบัลลังก์มาตามประเพณี  และพระองค์ก็พอที่จะว่าราชการได้เพราะได้เรียนรู้ประเพณี และหน้าที่ของกษัตริย์มาก่อนหน้านี้แล้ว

 

พระมารดาของอามาซิยาห์คือ เยโฮอัดดีน(หรือเยโฮอัดดาน)  เป็นชาวนครเยรูซาเล็ม  เธอได้สั่งสอนให้อามาซิยาห์อยู่ในทางของพระเจ้า

ผลก็คือ ราชาอามาซิยาห์ได้ครอบครองประเทศด้วยการดำเนินตามน้ำพระทัยของพระเจ้า   เป็นสิ่งที่ดี… แต่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า  พระองค์ไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างสุดใจ  เราอ่านดูแล้วรู้สึกว่า ไม่อยากให้ราชาอามาซิยาห์ต้องพบจุดจบอย่างราชบิดาเลย….

 

ราชาอามาซิยาห์นั้นได้ทรงสั่ง

“ไปสืบหา สอบสวน และจัดการประหารคนที่ฆ่าพ่อของเรา”  ดังนั้นคนที่เป็นฆาตกรจึงถูกจับประหารหมดทุกคน

ส่วนลูกหลาน คนในครอบครัวของฆาตกรเหล่านั้น

ถ้าเป็นชาติอื่น ๆ  จะถูกฆ่าตายไปตาม ๆ กัน

ราชาอามาซิยาห์กลับไม่ทำ

ทำไมล่ะ?  พระองค์ไม่กลัวพวกเขากลับมาแก้แค้นหรือ?

 

ที่ราชาอามาซิยาห์ไม่ทรงฆ่าล้างครอบครัวก็เพราะทรงเชื่อฟังคำบัญชาของพระเจ้าผ่านโมเสสมาว่า

“พ่อจะไม่ต้องตายเพราะบาปของลูก  และลูกจะไม่ตายเพราะบาปของพ่อ แต่ละคนจะตายเพราะบาปของตนเอง”

วันสุดท้ายของพระราชา ๒๔-๗

2 พงศาวดาร 24:25-27

เมื่อวานถามว่า แล้วราชาโยอาชจะทำอย่างไรต่อไปดี ในเมื่อพระองค์ทรงถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสมากจากทหารชาวซีเรีย

 

พระองค์ไม่มีโอกาสที่จะทรงทำอะไรต่อไป เพราะว่า ยังมีข้าราชการบางคนไม่พอใจพระองค์มานานแล้ว   เห็นเป็นโอกาสดีที่จะกำจัดพระองค์

 

“เราต้องสังหารพระราชา” ศาบาดบุตร นางชิเมอัทชาวอัมโมนบอกกับเพื่อนอย่างมั่นใจ

“ใช่แล้ว” เยโฮศาบาดบุตร นางชิมริทคนโมอับตอบ  เขาเห็นด้วย

“ถ้าเราไม่ทำ คนอื่นจะไม่กล้าทำ”

“เอาเดี๋ยวนี้เลยไหม?”

“เอาเลยซิ  พวกเจ้าจะรอช้าอยู่ทำไม?”

พวกเขาจึงเข้าไปหาพระองค์ในห้องบรรทม

“เจ้ามาทำอะไร?” พระราชาทรงถามอย่างอ่อนเพลีย

“ข้าพระบาทมาเพื่อช่วยให้พระองค์ไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปพะยะค่ะ”

พวกเขาตอบอย่างโหดเหี้ยม  และประหารพระองค์ในห้องบรรทมของพระองค์ทันที ไม่รอให้ใครจับได้ทัน

ภาพเอื้อเฟื้อจาก dsmedia.org

 

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า นี่คือการเรียกคืนโลหิตของเศคาริยาห์บุตรชายเยโฮยาดาผู้ได้ดูแล และรักษาราชวงศ์ยูดาห์

เมื่อพระราชาสิ้นพระชนม์

มีการประกาศให้ประชาชนรับทราบทั้งเมือง

และเอาพระศพไปเก็บไว้ในถ้ำในเมือง

แต่พระศพของราชาโยอาชไม่ได้อยู่กับพระศพของบรรพชนของพระองค์  ดูเหมือนว่า ประชาชนไม่ยอมที่จะถวายเกียรติพระองค์  เป็นเพราะอะไรหรือ? เพราะพระองค์พ่ายแพ้ศัตรูใช่ไหม?

แม้ว่าราชาโยอาชทำสิ่งดีมากมายในสมัยที่ท่านเยโฮยาดามีชีวิตอยู่  แต่เมื่อพระองค์อยู่เอง ก็ทรงฟังความเห็นของข้าราชการ เจ้านายที่ใจคดต่อพระเจ้า ดังนั้น พระองค์จึงพลาดพลั้งทำผิดพลาดมากมาย….

นี่เป็นผลของการฟังเสียงคนชั่วร้าย…

 

ความพ่ายแพ้จากพระเจ้า ๒๔-๖

2 พงศาวดาร 24:23-25

ไม่ทันพ้นปีที่เศคาริยาห์ถูกหินขว้างตาย  กองทัพซีเรียจากทางเหนือก็เข้ามาบุกยูดาห์   ไม่ได้เป็นกองทัพใหญ่โตอะไร เป็นเพียงกองทัพจ้อยร่อย  เทียบกับยูดาห์ไม่ได้เลย

พวกเขากล้าหาญที่จะมาต่อสู้กับยูดาห์ ทั้ง ๆ ที่ยูดาห์มีทหารมากกว่า

“เราจะไปกลัวอะไรกับกองทัพเล็ก ๆ อย่างซีเรีย  เดี๋ยวมันก็ต้องกระเจิงกลับบ้านไป”  หลายคนคิดอย่างนี้

ทหารยูดาห์มองเห็นว่า ทหารซีเรียเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางไม่พอ  ยังมีจำนวนน้อยด้วย

แต่แล้ว  เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!

เพราะซีเรียบุกเข้ามา

ได้สังหารเจ้านาย  ผู้ปกครองเสียหลายคนจนเกือบหมด ริบทรัพย์สินไปมากมาย

ภาพโดย J R Jones

“เอากลับไปบรรณาการเจ้านายของเราที่เมืองดามัสกัส…. เชอะ เจ้าพวกนี้มันสำคัญผิดคิดว่าตัวเองเก่ง”

ทหารซีเรียฮึกเหิมเป็นอย่างยิ่ง  พวกเขาเอาชนะยูดาห์ง่าย ๆ  ราวกับปอกกล้วยเข้าปาก

ที่ไม่คาดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ

พวกเขาทำร้ายราชาโยอาจจนบาดเจ็บสาหัสมาก…  ไม่สามารถเดินได้เลย….ทรงนอนที่แท่นด้วยความเจ็บปวดทุรนทุราย

 

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ยูดาห์ละทิ้งพระเจ้า   พระองค์จึงทรงมอบพวกเขาให้กับศัตรู!

ดูซิ  จะชนะ หรือจะแพ้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีกองทัพใหญ่หรือเล็ก   แต่ขึ้นอยู่กับความสัตย์ซื่อที่เขามีต่อพระเจ้าอย่างเห็นได้ชัด

ราชาโยอาชจะทรงทำอย่างไรต่อไป….

 

ชีวิตที่ถูกปลิด ๒๔-๕

2 พงศาวดาร 24:20-22

“โอ… ขอพระเจ้าทรงมองดู และโปรดแก้แค้นให้ข้าด้วย”

เศคารียาห์ ซึ่งเป็นบุตรของปุโรหิตเยโฮยาดา  ร้องทูลขอต่อพระเจ้าก่อนที่เขาจะสิ้นใจ

เกิดอะไรขึ้นหรือ?

ทำไมเขาต้องขอให้พระเจ้าทรงแก้แค้นให้ด้วย?

เศคาริยาห์ร้องขอพระเจ้าทรงทำเช่นนั้นด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวในใจ ยิ่งกว่าเจ็บตัว   เขา..ถูกหินขว้างจนตาย

เขาได้รับพระวิญญาณของพระเจ้าในเวลาที่คนยูดาห์กำลังหันไปจากพระองค์

ทรงนำเขาไปเตือนประชาชนว่า

“ทำไมพวกท่านจึงทำผิดต่อพระบัญญัติของพระเจ้ากัน

นี่เป็นเหตุที่ทำให้พวกท่านไม่เจริญ  ไม่รุ่งเรือง ไม่เติบโต”

เพียงพูดแค่นี้ พวกผู้คนที่ได้ยินเขาพูดก็รู้สึกเจ็บใจมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราชาโยอาช

“เจ้านี่ ลูกไอ้เยโฮยาดา  มันกำแหง  อวดดี  มาสั่งสอนพวกเรา”  ราชาโยอาชทรงกล่าวเสียงกร้าว

แต่เศคาริยาห์ไม่ได้กลัวราชาโยอาชเลย

“เป็นเพราะท่านทอดทิ้งพระเจ้า  พระเจ้าจึงทรงทอดทิ้งท่าน”

ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับราชาโยอาช  ผู้ที่เคยเป็นคนอยู่ในความดูแลของเยโฮยาดา  มีอะไรที่ทำให้พระองค์เปลี่ยนไปเช่นนี้… คำทูลสอพลอของพวกที่เกลียดชังพระเจ้า สามารถทำให้พระราชาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

“ขว้างมันให้ตายเดี๋ยวนี้  ให้ตายเหมือนพ่อของมัน!!” พระราชาทรงสั่งเสียงดังมาก

ดังนั้นพวกเขาจึงรวมหัวกัน ไปเอาหินมาข้วางเขาที่ลานพระวิหารจนสิ้นใจ

ราชาโยอาชมิได้ทรงคิดถึงความเมตตา กรุณาที่เยโฮยาดาได้ช่วยให้พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่

และยังได้สั่งสังหารบุตรชายของเขาด้วย

เป็นสิ่งที่น่ากลัวจริง ๆ  แต่ราชาโยอาชกลับไม่ทรงกลัวสักนิด

 

ใจที่ออกห่าง ๒๔-๔

2 พงศาวดาร 24:17-19

หลังจากที่เยโฮยาดาสิ้นชีวิตไปไม่นานนัก

สิ่งที่อยู่ในใจของกลุ่มราชวงศ์แห่งยูดาห์ก็ปรากฏชัด

พวกเขาเข้ามาเฝ้าราชาโยอาช  คุยโน่น คุยนี่กับพระราชา
ใช้เวลาพักหนึ่ง  เดี๋ยวเข้ามาทูลขณะที่ทรงราชการ  ขณะที่เสวย ขณะที่พระองค์พักผ่อน
พวกเขากล่อมเสียจนราชาโยอาช..มีพระทัยโอนเอนตามเขา
พระองค์ทรงฟังคำทูลทั้งเท็จทั้งจริงผสมกันของพวกเขา   ที่พระองค์ทรงฟังเขาก็เพราะ ราชาโยอาชเองไม่ได้ต่อสู้กับเหล่าศัตรูที่น่ากลัวเหมือนกับราชาดาวิดซึ่งทรงรู้ว่า ศัตรูนั้นเจ้าเล่ห์เจ้าเหลี่ยมเพียงใด

ราชาโยอาช อยู่ในความดูแลใกล้ชิดของเยโฮยาดา  เมื่อไม่มีผู้ดูแล พระราชาก็อ่อนแอลงไป

 

ราชาโยอาชไม่ทรงทราบว่า พวกเขาเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพระเจ้า

 

ทรงฟังเขาทุกอย่าง ….

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ

แทนที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า  นมัสการพระองค์  ปรนนิบัติพระองค์ด้วยการรักเพื่อนบ้าน  ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

พวกเขากลับทอดทิ้งพระวิหารที่ไม่กี่ปีมานี้ พวกเขาช่วยกันซ่อมแซมดูแล  และให้พระวิหารเป็นที่รกร้างอีกครั้ง

ประชาชนก็ทำตามพวกเขา

“พวกเราไปกราบไหวเทวรูปบาอัลและอาเช-ราห์กันเถอะ”

“อืม…. พิธีกรรมของทางโน้น มันเร้าอารมณ์มากเลย ข้าชอบ”

 

“เจ้าคิดอะไรกัน  ทำไมเจ้าทอดทิ้งพระเจ้า?” คนหนึ่งเตือน

“ก็ข้าบอกแล้ว  พิธีกรรมเร้าใจ  ….ไม่ต้องมาสารภาพบาป  ถวายเครื่องบูชาไถ่บาป  แค่ข้าไปร่วมพิธี  จ่ายเงินให้พวกเขาไป แล้วพวกเขาก็ทำให้เราสนุกสุดเหวี่ยง”

 

พิธีกรรมในการกราบไหว้รูปเหล่านั้น เป็นพิธีที่ประกอบด้วยทั้งเวทมนต์ และโสเภณีทั้งชายหญิงในที่บูชา มีการกินเลี้ยง กินเหล้า การเต้นรำที่ปลุกอารมณ์

ดังนั้น คนที่ไม่ได้รักพระเจ้าจริง ๆ  ไม่รู้จักพระองค์ ไม่เกรงกลัวพระเจ้า ก็จะหันไปทางนั้น

และพวกนี้ก็จะชักชวนคนอื่น ๆ ไปด้วย

 

พระเจ้าทรงพิโรธกับสิ่งที่พวกเขาทำ…

พระองค์ทรงพิโรธทั้งคนในนครเยรูซาเล็ม  และคนในแผ่นดินยูดาห์

แต่พระองค์ยังไม่ทรงทำลายเขา

ทรงส่งคนของพระองค์หลายคนมาตักเตือน

พวกเขากลับเยาะเย้ย และไม่ฟังคนของพระเจ้า !

 

ศักดิ์ศรีเยโฮยาดา ๒๔-๓

2 พงศาวดาร 24:12-16

เมื่อได้ต้นทุนมาแล้ว  เขาก็จัดเงินอย่างเหมาะสม  มันต้องมีเงินสำหรับซื้อวัสดุก่อสร้าง    สำหรับซื้ออาหาร

สำหรับเป็นค่าแรงของคนที่ทำงานตั้งแต่ผู้ดูแล คุมคนงาน ไปจนถึงคนงานทุกคนที่เข้ามา ช่างไม้  ช่างก่อ  ช่างเหล็ก  ช่างทองเหลือง  ช่างที่ทำงานผ้า และคนที่คอยทำอาหารเลี้ยงคนเหล่านี้

ยังมีค่าใช้จ่ายจุกจิกที่คาดเดาได้  และไม่ได้อีกหลายอย่าง

ราชาโยอาช  และท่านเยโฮยาดาปรึกษากันกับผู้ใหญ่ ว่าต้องจัดระเบียบอย่างไร  จากนั้นก็ลงมือทำตามที่ได้ประชุมกันนั้น

“ดีจริง  ทั้งประชาชนและกษัตริย์นั้น ได้ร่วมมือกันสนับสนุนการก่อสร้างครั้งนี้”

“ฮื่อ… ข้าว่ามันต้องเสร็จแน่นอน”  คนงานที่เข้ามาทำงานนั้น พวกเขาเต็มใจอย่างยิ่ง  และพวกเขาทำงานอย่างมุ่งมั่น  ทุกเย็นที่เขากลับบ้าน  เขาคิดถึงเช้าวันต่อมาที่เขาจะได้เข้ามาทำงานด้วยกันอีก

 

ช่วงเวลานั้น ประชาชนก็ได้ยินเสียงฆ้อน เสียงเลื่อย เสียงฮัมเพลงออกมาจากพระวิหาร  พวกเขายิ้มให้กัน  …. เมื่อเราทำสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อเราให้พระเจ้าทรงเป็นที่หนึ่ง ชีวิตก็มีความสุขจริง

ไม่นานนัก  การซ่อมแซมพระวิหารก็เสร็จสิ้นลง  พวกเขานำเงินที่เหลือมาคืนราชาโยอาช และท่านเยโฮยาดา

แต่ทั้งสองไม่ได้เก็บเอาไว้

แต่เอาแร่ทองคำ และเงินเหล่านั้น มาทำเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่จำเป็นในพระวิหาร  เป็นภาชนะต่าง ๆ  ตามอย่างที่พระราชาซาโลมอนเคยทรงทำเอาไว้

จากนั้นมา

การนมัสการพระเจ้า  การถวายเครื่องบูชา  การเข้าใกล้ชิดพระเจ้านั้น กลายเป็นวิถีชีวิตของคนยูดาห์อีกครั้ง

ตลอดชีวิตของเยโฮยาดา  ประชาชนกลับมาทั้งหัวใจและร่างกาย  ไม่ห่างจากพระเจ้าเหมือนสมัยอาธาลิยาห์

ท่านเป็นปุโรหิตที่ห่วงใยจิตวิญญาณของประชาชนยิ่งนัก  ท่านมีหน้าที่ช่วยให้ประชาชนได้สารภาพบาปต่อพระเจ้า และเริ่มต้นชีวิตใหม่

ท่านมีชีวิตอยู่ถึง 130 ปี   และกลายเป็นคนหนึ่งที่ได้รับการฝังศพในถ้ำเก็บศพของกษัตริย์แห่งยูดาห์   …. โห….คนที่ทำงานจริง  รักประชาชนจริง  รักพระเจ้าจริง  ช่างได้เกียรติสูงส่ง…. ไม่เหมือนราชาบางองค์ที่พวกเขาไม่สนใจจะทำงานศพให้ด้วยซ้ำ

 

วิธีการของพระราชา ๒๔-๒

2 พงศาวดาร 24:8-11

ในเมื่อขอให้เหล่าเลวีช่วยออกไปตามหัวเมือง และนำเงินจากการถวายเข้ามาช่วยซ่อมแซมพระวิหารไม่สำเร็จ

ราชาโยอาชก็ไม่ได้ทรงคิดจะเลิกล้มโครงการ

มันต้องใช้เวลา และเงินมากมายกับการซ่อมพระวิหาร  นอกจากพระองค์จะทรงถวายเงินเองแล้ว  ประชาชนทุกคนก็ควรมีส่วนในงานนี้ เพราะจะทำให้เขาได้ทำหน้าที่ของตน  ได้มีโอกาสแบ่งปันเพื่อส่วนรวม

ดังนั้น พระองค์จึงบัญชาให้เขาทำหีบใบใหญ่ วางไว้ข้างนอกประตูพระวิหาร
“เอ๊ะ  นั่นอะไร?”  เมื่อคนเห็นก็จะถามกันไปมา
“หีบสมบัติแน่เลยนะพ่อ”
“อืมม… น่าจะเป็นอย่างนั้นนะลูก”

ภาพเอื้อเฟื้อจาก dsmedia.org

พอพวกเขาเดินไปใกล้จึงรู้ว่า   เป็นหีบรับเงินถวายของประชาชนตามที่โมเสสได้กำหนดไว้ นานมาแล้ว
“อ้อ… ดีมาก  ข้าจะได้ถวายทรัพย์สิ่งของที่ข้ามี   ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรในเวลาที่ผ่านมา  แล้วดูซิ  พระราชาแจ้งว่า จะเอาของถวายเหล่านี้ไปเป็นทุนในการซ่อมพระวิหารด้วย”

“ใช่  เป็นสิ่งดีจริง ๆ   ข้าเห็นด้วย”
“ฉันก็เห็นด้วย”   ประชาชนทั้งหลายต่างพอใจที่พระราชาทรงทำเช่นนี้ ให้พวกเขามีส่วนในการซ่อมแซมพระวิหาร  เขาไม่ได้รู้สึกหวงสิ่งที่มีอยู่เลย

ดังนั้น ทั้งประชาชน ทหาร และข้าราชการ พ่อค้า … ต่างก็มาถวายทั้งเหรียญเงิน ทอง ทั้งเครื่องประดับที่เป็นของมีค่า  เป็นทั้งเงินที่เขาต้องถวายเหมือนกับภาษี  และเป็นทั้งที่พวกเขาถวายเกินมาอย่างเต็มใจ

กริ่ง   กริ้งงงงง   เคล้ง….  โป๊งงงง…!!

เสียงของสิ่งที่ใส่เข้ามาในหีบนั้น ดังทั้งวัน

ดังนั้น เมื่อหีบเต็มเมื่อไร เขาก็จะเอาสมบัติที่ได้มา เก็บไว้ในคลัง โดยทำรายการอย่างละเอียด  ทำอย่างนี้เป็นเวลานานพอสมควร  ในที่สุด ก็ได้ทุนมากพอที่จะซ่อมพระวิหาร

 

ถามหน่อยนะครับ

ราชาโยอาชทรงโกรธไหมที่เยโฮยาดาไม่สามารถทำให้เลวีทำงานสำเร็จ?

พระองค์ทรงเลิกล้มความคิดหรือไม่?

ถ้าเรามีงานหนึ่งที่ให้เพื่อนช่วยทำ แต่ทำไม่สำเร็จ เราจะทำอย่างไร?

 

ดำริของพระราชา ๒๔-๑

2 พงศาวดาร 24:1-7

ราชาโยอาช… มีพระมารดานามว่า ศิบิยาห์   พระองค์เริ่มปกครองประเทศเป็นทางการเมื่อทรงอายุเพียง 7 ปี! เป็นไปได้อย่างไรที่เด็กอายุแค่นี้จะปกครองประเทศที่มีคนอายุมากกว่า และมีประสบการณ์ในชีวิตมากกว่า

ไม่ใช่ว่าราชาโยอาชจะทรงทำทุกอย่างตั้งแต่ต้น   เมื่อทรงเริ่มนั้น พระองค์ก็ต้องเรียนรู้วิชาการ และทุก ๆ อย่างที่เป็นหน้าที่ขององค์กษัตริย์
ผู้ที่ดูแลให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยคือ ปุโรหิต เยโฮยาดานั่นเอง

และราชาโยอาชก็เป็นผู้ที่เชื่อฟังท่านเยโฮยาดา   ทำสิ่งที่ดีตามน้ำพระทัยของพระเจ้า   ท่านเยโฮยาดาก็เป็นเหมือนผู้ปกครองประเทศและกษัตริย์กลาย ๆ   โดยมีขุนนางข้าราชการช่วยในการปกครองให้เป็นปกติ

ราชาโยอาชมีมเหสี สององค์ ซึ่งท่านเยโฮยาดาเป็นผู้มองดูว่า ใครเป็นสาวน้อยที่เหมาะกับการเป็นราชินี … และก็จัดการทุกอย่างให้ด้วย   และในที่สุดราชาโยอาชก็มีโอรส ธิดาหลายองค์   ดูเหมือนว่า ทุกอย่างน่าจะกลับสู่สภาพที่ดี

ต่อมาเมื่อทรงโตขึ้น  และทรงปกครองด้วยพระองค์เอง   ราชาโยอาชทรงเห็นว่า พระวิหารของพระเจ้านั้นต้องมีการซ่อมแซมเพราะว่า ทรุดโทรมมากเหลือเกิน   และราชินีอาธาลิยาห์ และโอรสของพระนางเองก็ได้เอาสิ่งของต่าง ๆ ในพระวิหารนั้นไปถวายจ้าวบาอัลเสียด้วย  ดังนั้น ในพระวิหารก็ไม่มีของใช้ครบครันเหมือนคราวที่ราชาซาโลมอนทรงสร้าง

ราชาโยอาชเข้ามาดูความทรุดโทรมของพระวิหาร ภาพเอื้อเฟื้อจาก http://www.dsmedia.org

 

พระองค์จึงทรงเรียกประชุมทั้งปุโรหิตและเลวี ซึ่งมีหน้าที่ดูแลพระวิหารโดยตรง

“ขอให้เจ้าทั้งหลายออกไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ในยูดาห์  ให้เจ้าจัดว่าใครต้องไปที่ไหน  เก็บเงินจากคนอิสราเอลเพื่อว่า เราจะได้ซ่อมแซมพระวิหารของพระเจ้า   ขอให้พวกเจ้ารีบทำให้เสร็จโดยเร็ว”

แต่…

เกิดปัญหา

คนเลวีมาเข้าเฝ้าพระราชา แล้วก็ออกไปโดยไม่สนใจจะทำตามคำบัญชาของพระองค์แม้แต่น้อย

“รอก่อนก็ได้  ไม่ต้องรีบหรอก”

“พระราชาทรงใจร้อนเกินไป   แหม  เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ทำไมต้องมารีบด่วนกันตอนนี้”

พวกเขาอยู่อย่างเช้าชามเย็นชามนานเกินไป

ไม่ได้คิดที่จะทำอะไรให้ดีขึ้น

ไม่ได้คิดอยากจะพัฒนา  แต่พอใจกับการอยู่ไปวัน ๆ   ยังไง ๆ ก็มีกิน…

พระราชาทรงรออยู่  แต่ก็ไม่เห็นอะไรเกิดจึง จึงทรงปรึกษาท่านเยโฮยาดา

“ทำไมท่านจึงไม่จัดให้คนเลวีนำส่วยตามคำสั่งของท่านโมเสส  เข้ามาในพระวิหารเล่า?  จริง ๆ แล้ว ถ้าประชาชนช่วยกันตามที่มีกฎ  พระวิหารก็จะได้รับการซ่อมแซม  เป็นที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้ามากกว่านี้”

ตอนนั้นเองท่านเยโฮยาดาก็ไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องการซ่อมพระวิหาร  เพราะท่านมีภาระเรื่องพระราชา และบ้านเมืองมากพอ   การคิดซ่อมพระวิหารเป็นมาจากพระองค์เอง….

“จริงซินะ… สิ่งที่พระราชากำลังจะทำนั้น ดีจริง… ทำไมเราจึงไม่ใส่ใจ”  ท่านเพิ่งจะคิดออก

 

รัชสมัยใหม่… ๒๓-๓

2 พงศาวดาร 23:16-21

บรรยากาศของบ้านเมืองตอนนั้น  มีทั้งเสียงร้องสรรเสริญพระเจ้า และเสียงแตรของเลวี   ผู้คนเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง  ตอนนี้พวกเขาจะไม่อยู่ภายใต้การปกครองของราชินีใจร้ายอีกต่อไป…. ขอบคุณพระเจ้าจริง ๆ

ดังนั้น  ท่านเยโฮยาดาจึงทำพันธสัญญา กับประชาชนและกับราชาน้อยว่า  พวกเขาจะเป็นประชาชนของพระเจ้าผู้เดียวเท่านั้น

ภาพได้รับความเอื้อเฟื้อจาก http://www.dsmedia.org

 

 

“พวกเรา  รู้แล้วใช่ไหมว่า ต้องทำอะไร?  “คนหนึ่งร้องเสียงดัง

“ใช่   ๆใช่   ๆ  รู้แล้ว  ถ้าเราเป็นคนของพระเจ้า เราต้องทำลายเทวรูปให้หมด สิ้นซากจากแผ่นดินของเรา!!”

แล้ว ประชาชนก็พากันไปยังวิหารของจ้าวบาอัล  ทั้งทำลายและพังเทวรูป  แท่นบูชาต่าง  ๆ     และปุโรหิตของบาอัลก็ถูก สังหารหน้าแท่นบูชานั้นเอง

เสียงโครมครามแตกหักดังอยู่พักหนึ่ง

ทุกอย่างก็สงบลง

 

ท่านเยโฮยาดาได้จัดยามที่พระนิเวศ  และจัดคนถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้าตามคำสั่งของโมเสส

พวกเขาดีใจมากที่ได้กลับมาทำตามคำสั่งของพระเจ้าอีกครั้ง หลังจากที่ราชินีอาธาลิยาห์ห้ามการถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าแห่งอิสราเอล  และให้คนนมัสการเฉพาะเจ้าบาอัล   แน่นอนที่มีคนขัดขืนอยู่เงียบ ๆ  และคนเหล่านั้นก็รอเวลานี้อยู่

 

การดูแลรักษาความปลอดภัย  และการป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในพระวิหารเป็นสิ่งที่ท่านเยโฮยาดาเป็นห่วงมาก จึงได้ตั้งยามเฝ้าประตูอย่างดี

ท่านเยโฮดาเองได้นำทหาร  ขุนนาง และผู้ปกครองรวมทั้งประชาชนมาเชิญราชาน้อยออกจากพระวิหาร

เจ้าชายน้อยเองไม่เคยออกจากห้องนอนในพระวิหารมาก่อนเลย  ทรงตกใจเล็กน้อยที่เห็นคนมากมายมายินดีด้วย  ใคร ๆ ก็น้อมกราบพระองค์

ทรงดีใจมากที่ได้ออกจากห้องที่ถูกเก็บไว้มานานถึง 7 ปี

พวกเขานำราชาน้อยไปยังราชวัง

และเชิญพระองค์ประทับบนบัลลังก์ เป็นเครื่องหมายว่า บัดนี้พวกเขามีพระราชาที่จะครอบครององค์ใหม่แล้ว  บ้านเมืองจะสงบ ไม่ต้องตกภายใต้การกดขี่อีกต่อไป

“ขอบคุณพระเจ้า   สรรเสริญพระเจ้า!!”   เสียงประชาชนโห่ร้อง

“ขอพระราชาจงทรงพระเจริญ”   เสียงนั้นดังออกไปนอกนครเยรูซาเล็ม

 

จุดจบราชินี ๒๓-๒

2 พงศาวดาร 23:12-15

“ขอพระราชาจงทรงพระเจริญ!”

“ขอพระราชาจงทรงพระเจริญ!”

เสียงที่ดังซ้ำ ๆ สนั่นเมือง และเสียงประชาชนวิ่งกันไปยังพระวิหารของพระเจ้า   ทำให้ราชินีอาธาลิยาห์ตกใจมาก

…..เกิดอะไรขึ้นหรือนี่  ทำไมมีเสียงเช่นนี้ ก็ฉันเป็นพระราชินี แล้วทำไมจึงถวายพรพระราชาอย่างนี้?….   ดังนั้นพระนางจึงเข้าไปยังพระนิเวศของพระเจ้า

..”หา… เจ้าเด็กคนนั้นเป็นใคร?   บังอาจมายืนอยู่ที่เสาหาน  และยังมีองครักษ์มากมายอีก  มันเป็นใคร?”   ทำไมพระนางจะไม่ทราบ  เด็กคนนั้น คือหลานย่าคนหนึ่งของพระนางนั่นเอง

ขณะที่ประชาชนกำลังร้องเพลง  เป่าแตร สรรเสริญพระเจ้ากันอยู่  ราชินีอาธาลิยาห์ก็รู้สึกโกรธจนกรีดร้องขึ้นมา     เสียงดังมากจนทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว

“กบฎ!   กบฎ!  เจ้าพวกทรยศ!!   พวกเจ้าออกไปให้หมดเดี๋ยวนี้!!!”

ท่านเยโฮยาดาหันมา  และเดินนำหน้านายร้อยที่ได้ทำพันธสัญญากันไว้   สั่งว่า
“ท่านจงคุมนางออกมาระหว่างแถวทหาร  และดูว่า ใครตามนางไปก็ประหารชีวิต”

“แต่ท่านอย่าประหารนางในพระวิหารของพระเจ้า “

“ขอรับ”  ทุกคนรับคำของท่านพร้อมเพรียง

เขาจึงนำราชินีอาธาลิยาห์ออกไปทางประตูม้า ซึ่งอยู่ตรงพระราชวัง

Gustave Doré (1832-1883)

ราชินีอาธาลิยาห์ดิ้นไปตลอดทาง พร้อมตะโกนว่า “เจ้าพวกกบฎ  เจ้าต้องตาย  ทหาร จับพวกมันประหารเสีย”

แต่พระนางกลับถูกทหารสังหารเสียที่ตรงนั้นเอง …..