คำทำนายของฮุลดาห์ ๓๔-๓

2 พงศาวดาร 34:22-28

ในเมื่อพระราชาทรงบัญชาให้ไปหาวิธีการที่จะช่วยไม่ให้เกิดหายนะในประเทศ ปุโรหิต ฮิลคียาห์จึงรีบไปหาฮุลดาห์  เธอเป็นภรรยาของชัลลูมผู้ดูแลเสื้อคลุมในพระวิหาร   แต่สิ่งที่สำคัญคือ พระเจ้าทรงใช้เธอให้กล่าวพระดำรัสของพระองค์เสมอ ดังนั้น ใคร ๆ ก็จะมักไปหาฮุลดาห์เพื่อที่จะรู้พระทัยของพระเจ้าเฉพาะเรื่อง
“แม่นาง  พระราชาให้มาถามท่านว่า จะทำอย่างไรดี เพื่อไม่ให้พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเรา  เพราะว่า บรรพบุรุษของพวกเราละเลยพระองค์และไม่ปรนนิบัติพระองค์ กลับไปกราบไหว้บูชาพระอื่น ๆ “

ฮุลดาห์ไม่ยิ้มเลย  เธอรู้ว่า สิ่งที่เธอกำลังจะพูดออกไปนั้น มันน่ากลัว และถ้าพวกเขาไม่ฟังเธอ  สิ่งร้าย ๆ ก็จะเกิดขึ้นแน่นอน

“แม่นาง  อย่านิ่งเฉยอยู่ซิ  พวกเราร้อนใจกันมาก”

ภาพเอื้อเฟื้อจาก bibleartbooks.com วาดโดย Robert Flores

เธอถอนหายใจ  และหันมากล่าวว่า

“องค์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้…  พวกเจ้าจงไปแจ้งกับผู้ที่ใช้เจ้ามา  ว่า พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะนำความหายนะมาสู่สถานที่นี้   และมาสู่ประชาชนตามที่มีคำแช่งสาปเขียนไว้ในหนังสือที่อ่านกันต่อหน้าพระราชาแห่งยูดาห์แน่นอน”

พวกเขาที่ฟังอยู่ร้องพร้อม ๆ กันว่า “ฮ้า!!”   กลัวมาก  หันมองหน้ากันเลิกลัก

“เพราะพวกเขาได้ละทิ้งเรา ซึ่งเป็นพระเจ้าของเขา  และยังเผาเครื่องหอมให้กับพระอื่น ๆ    พวกเขาทำสิ่งที่ยั่วเย้าให้เราโกรธ ดังนั้น เราจะระบายความโกรธของเราเหนือสถานที่นี้   ไม่  ไม่มีใครจะระงับความโกรธของเราได้…”

บางคนถึงกับน้ำตาไหลพรากเมื่อได้ยินคำของฮุลดาห์

“จงกลับไปบอกพระราชาที่ทรงใช้เจ้ามานั้นว่า  องค์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสอย่างนี้”

เธอถอนหายใจอีกครั้ง

“ แต่เนื่องจากราชาโยสิยาห์ได้ตอบสนองเรา  ถ่อมใจลงต่อหน้าเราเมื่อได้ยินคำสาปแช่งเหล่านี้   ราชาโยสิยาห์ ฉีกเสื้อผ้าและร้องไห้ต่อเราอย่างจริงใจ  เราได้ยินเสียงของเขาแล้ว
เราจะให้เขาตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขาโดยสงบ  เขาจะไม่เห็นสิ่งร้ายที่จะเกิดขึ้นในสถานที่นี้ และกับคนที่อยู่ในนั้น “

เมื่อได้ฟังคำของฮุลดาห์จนหมดสิ้น  พวกเขาจึงนำความไปกราบทูลพระราชา ….

พระองค์จะทรงทำอย่างไรต่อไปดี?  ทรงรอดพ้นหายนะ  แต่ประชาชนล่ะ?

พระคำที่ค้นพบ ๓๔-๒

2 พงศาวดาร 34:8- 21
ในปีที่ 18 ของการครองราชย์  หลังจากที่ราชาโยสิยาห์ได้ชำระแผ่นดิน และบ้านเมือง รวมไปถึงพระวิหารของพระเจ้า  พระองค์ก็ส่งคนไปเพื่อซ่อมแซมพระวิหารของพระเจ้า

“ท่านฮิลคียาห์ ขอท่านโปรดรับเงินที่เรานำได้จากการถวายจากคนที่เหลือในอิสราเอล ชนเผ่ามนัสเสห์ และเอฟราอิม รวมไปถึง ยูดาห์  รวมทั้งคนนครเยรูซาเล็ม”   ปุโรหิตฮิลคียาห์จึงจัดการส่งเงินให้กับผู้ดูแลช่างต่าง ๆ  พวกเขาเต็มใจทำงานกันอย่างขมีขมัน

ระหว่างการซ่อมแซมพระวิหารนั้นเอง
“ท่านปุโรหิตขอรับ  ข้าพบหนังสือม้วนนี้ซ่อนอยู่ในพระวิหาร  จึงนำมาให้ท่าน  ข้าไม่ทราบว่ามันสำคัญมากไหม”  คนงานคนหนึ่งนำมาให้หัวหน้างาน และหัวหน้างานนำมาให้ปุโรหิต

ปุโรหิตเห็นหนังสือม้วนนั้น ก็รู้ทันทีว่า เป็นหนังสือบันทึกพระบัญชาของพระเจ้าที่ประทานแก่โมเสส  เขานำไปให้ท่านชาฟานซึ่งเป็นราชเลขา  พอเขาเห็นหนังสือม้วนนั้น ก็ตาโต

“ข้าต้องนำไปทูลพระราชาด่วน  ขอบใจท่านมากนะ ท่านปุโรหิต”  ชาฟานทราบดีว่า พระบัญญัติม้วนนี้แหละที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรหลาย ๆ อย่างในประเทศของเขาได้   เขานำเรื่องนี้ไปทูลพระราชา

“ข้าแต่พระราชา  ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาเกี่ยวกับการซ่อมแซมพระวิหารนั้น  พระองค์ไม่ต้องทรงกังวลพระทัยเลย พวกเราทุกคนตั้งใจทำ และอีกไม่นานก็จะสำเร็จ”

“ดีมาก ขอให้ท่านดูแลทุกอย่างให้ละเอียดละออ”

“พะยะค่ะ  แต่ที่สำคัญตอนนี้  เราได้พบเงินบางส่วนซ่อนอยู่  และนำเงินนั้นไปให้กับผู้ทำการซ่อมแซม  แต่มีเรื่องสำคัญจะทูลพะยะค่ะ”

“เรื่องอะไร เจ้ารีบบอกข้ามา”

“ท่านปุโรหิตมอบหนังสือม้วนนี้ให้กับข้าพระบาทเพื่อนำมาให้พระองค์พะยะค่ะ”

พระราชาทรงหยิบหนังสือม้วนนั้นมาดู  พระพักตร์ซีด  “นี่มันเป็นพระคำของพระเจ้านี่นา  ชาฟาน เจ้าอ่านให้เราฟังเดี๋ยวนี้!”

ภาพวาดโดย Leonaert Bramer (1596-1764)

เมื่อพระราชาได้ยินพระคำของพระเจ้า  พระองค์ทรงตัวสั่น และทรงฉีกฉลองของพระองค์ทันที…. พระองค์ทรงเรียกชาย 5 คนที่รับใช้พระองค์อย่างใกล้ชิดเข้ามา… ทำไม  เกิดอะไรขึ้นหรือ?

“ไป เจ้าจงไปถามคนของพระเจ้าให้เราและทุกคนที่ยังเหลืออยู่ในยูดาห์และอิสราเอลว่า เราควรจะทำอย่างไร  เมื่อเราฟังพระคำของพระเจ้าเรารู้ว่า พระพิโรธของพระเจ้าที่ลงมายังพวกเรานั้นรุนแรงมาก   เป็นเพราะบรรพบุรุษของเราไม่ได้รักษาพระคำของพระองค์ตามที่เขียนไว้เลย   เร็ว เจ้าอย่าช้า”

 

บทบาทโยสิยาห์ ๓๔-๑

2 พงศาวดาร 34:1-7

ตอนที่ราชาโยสิยาห์ขึ้นครองนั้น ทรงอายุเพียง 8 ปี  … โอรสของราชาอาโมนที่ถูกข้าราชการสมคบคิดสังหาร…
แต่ลูกชายคนนี้หล่นไกลต้น  … หมายความว่าอย่างไรหรือ
ราชาอาโมนเริ่มครองด้วยการหันหารูปเคารพ
แต่ราชาโยสิยาห์นั้น ขึ้นครองด้วยมีผู้สำเร็จราชการที่ซื่อสัตย์ช่วยดูแล ช่วยเป็นพี่เลี้ยงในการปกครอง  สิ่งดีที่เกิดขึ้นก็คือ พระองค์ทรงปกครองด้วยการปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเคารพในพระเจ้าสูงสุด พระองค์ทรงปกครองอย่างถูกต้องในสายพระเนตรพระเจ้า ให้ความยุติธรรมกับประชาชน  เดินในหนทางของบรรพบุรุษคือราชาดาวิด  ทรงแน่วแน่มาก ไม่หันไปทางซ้ายหรือขวา

แต่อย่าลืมว่า ความเสียหายที่ราชบิดาทำไว้ยังคงหลงเหลืออยู่  มีหลายสิ่งที่ต้องดูแล ต้องทำให้ถูกต้อง  ราชาโยสิยาห์ค่อย ๆ ทำไปทีละอย่างสองอย่าง

ปีที่ 8 แห่งการครองราชย์  ทรงอายุเพียง 16 ปี  ราชาโยสิยาห์ก็แสวงหาพระเจ้าแห่งอิสราเอล  และพระองค์ทรงเรียนรู้ทางของพระเจ้า จากพระบัญญัติ คำบัญชาต่าง ๆ ที่บันทึกไว้  พระองค์ทรงซึมซับ ซาบซึ้งในพระคำของพระเจ้า  ทรงมองเห็นว่า อะไรถูก อะไรผิดชัดเจน

 

จนเมื่อทรงอายุ 18 ปี พระองค์ก็ทรงสั่งให้คนออกไปชำระทั้งแผ่นดินยูดาห์ และนครเยรูซาเล็ม
“พระราชาโยสิยาห์ทรงทำเหมือนกับเสด็จปู่ของพระองค์เลย”
“ใช่แล้ว ดีจริงที่จะทรงนำพระพรมาเหนือบ้านเมืองของเรา”
พวกเขาทำลายเทวรูป สถายบูชาของบาอัล อาเชราห์ และอื่น ๆ จนแตกหักเสียหายไปสิ้น  ไม่พอ  … ยังทรงสั่งให้ทุบจนละเอียด

“ทุบให้เป็นฝุ่น  แล้วพวกเจ้าก็เอาฝุ่นเหล่านี้ไปโรยไว้ที่สุสานของคนที่ชอบกราบไหว้รูปเหล่านี้…” พระราชาทรงบัญชา

“ส่วนกระดูกของพวกที่เป็นผู้นำประชาชนให้หลงผิด ก็เอาไปเผาบนแท่นพวกนั้น ให้เราชำระยูดาห์และนครเยรูซาเล็มให้สะอาด”

ราชาโยสิยาห์ไม่ได้ทรงทำการเหล่านี้แค่ในยูดาห์ แต่ทรงเดินทางไปแผ่นดินอิสราเอล    ไปยังเมืองของเขตต่าง ๆ ของเผ่ามนัสเสห์  เผ่าเอฟราอิม    เผ่าสิเมโอน และนัฟทาลี  แม้ว่าตอนนั้นอิสราเอลทางเหนือนี่ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของอัสซีเรียไปแล้ว

พระองค์ทรงไปสั่งให้คนที่เหลือในแผ่นดิน ทำลายเทวรูป และแท่นบูชาทั้งสิ้น  เมื่อทรงเห็นว่า เสร็จหมดแล้วก็เสด็จกลับนครเยรูซาเล็ม

 

ผู้สืบทอดบัลลังก์ ๓๓-๕

2 พงศาวดาร 33:21-25
หลังจากที่ราชามนัสเสห์สิ้นพระชนม์ไป อาโมน ราชโอรสก็ขึ้นครองราชย์ต่อมา
ทรงเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับราชบิดาของพระองค์ทุกอย่าง การทำสิ่งชั่วร้าย การชักชวนให้ประชาชนทำผิดต่อพระเจ้า การถูกจับไปเป็นเชลยที่บาบิโลน และการกลับมาครองบัลลังก์…
ทรงรู้ว่า ราชามนัสเสห์ได้สั่งปรับเปลี่ยนโครงสร้างความเชื่อของประชาชน ทรงสนับสนุนให้ประชาชนกลับมาสารภาพบาปต่อพระเจ้า ให้พวกเขาปรนนิบัตินมัสการพระเจ้าแห่งอิสราเอล…
แต่ทั้งหมดนี้ ไม่ได้ทำให้ราชาอาโมนทำตาม พระองค์กลับทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า อย่างที่ราชบิดาเคยกระทำตอนต้นรัชกาล กลับเอาเทวรูปขึ้นมาอีก และถวายเครื่องบูชาแก่เทวรูปเหล่านั้น รูปไหนที่ราชบิดาเคยเคารพก็กลับเอาขึ้นมาใหม่ทั้งหมด.!!
นี่มันอะไรกัน? ดีไม่กี่ปีกลับมาร้ายอีกแล้ว

ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Amon_of_Judah
มีคนมาเตือนราชาอาโมน แต่พระองค์ไม่ทรงฟัง ไม่ทรงคิดจะทำตามอย่างราชบิดาที่ได้กลับใจใหม่
สิ่งที่ร้ายคือ ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ พระองค์ยิ่งทำสิ่งที่ชั่วร้ายมากขึ้นทุกวัน
แต่มีข้าราชการที่ไม่เห็นด้วย และวางแผนสังหารพระราชา ซึ่งก็ทำสำเร็จได้โดยง่าย ราชาอาโมนสิ้นพระชนม์ในราชวัง
เรื่องไม่ง่ายอย่างที่คิด!!
ประชาชนไม่พอใจที่ข้าราชการเหล่านี้ประหารพระราชา พวกเขาได้ร่วมมือกันจับคนเหล่านั้นมาสังหารเสียสิ้น
แล้วจะเอาใครครองต่อไปดี ราชาอาโมนครองเพียงแค่ 2 ปีก็มาสิ้นพระชนม์เสียแล้ว
ไม่ยาก… ประชาชนได้คืนบัลลังก์ให้กับโอรสของราชาอาโมน นั่นคือเจ้าชายโยสิยาห์ ซึ่งขณะนั้นทรงอายุเพียง 8 พรรษาเท่านั้นเอง
พระเจ้าทรงใช้ให้ประชาชนเหล่านี้ ได้ทำหน้าที่ปกป้องราชวงศ์ยูดาห์ให้สืบเนื่องต่อไป….

มั่นใจในพระสัญญา ๓๓-๔

2 พงศาวดาร 33:13-20
ราชามนัสเสห์ ผู้ไม่เคยมีพระเจ้าในสายตา… มาบัดนี้ ยามที่อยู่เป็นเชลยในบาบิโลน กลับทรงอธิษฐานสุดหัวใจ ขอพระเจ้าทรงยกโทษให้ …
และพระเจ้าทรงเห็น ทรงได้ยิน พระทัยของพระองค์ทรงสงสารราชามนัสเสห์ผู้ที่หัวใจแตกร้าว และสำนึกผิดอย่างแท้จริง
พระเจ้าจึงทรงนำให้ราชามนัสเสห์ได้มีโอกาสกลับมายังนครเยรูซาเล็มอีกครั้ง!
ไม่น่าเชื่อ!!

ราชามนัสเสห์เองทรงเห็นว่า พระองค์น่าจะสิ้นพระชนม์ในบาบิโลน แค่พระเจ้าทรงยกโทษให้ก็ดีที่สุดแล้ว
แต่พระเจ้าทรงปราณียิ่งกว่านั้น มากกว่าที่คิดหวัง
พระเจ้าทรงคืนบัลลังก์ให้แก่พระองค์
“พระเจ้าทรงมีอยู่จริง พระเจ้าเที่ยงแท้แน่นอน” ราชามนัสเสห์ยอมรับ “พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของข้าพระองค์ ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์”
แล้วต่อมา พระองค์จึงทรงสร้างกำแพงเมืองเพิ่มขึ้น พระองค์ทรงแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารในหัวเมืองต่าง ๆ ทั่วยูดาห์
สิ่งที่สำคัญคือ พระองค์ทรงสั่งรื้อเอาเทวรูปต่าง ๆ รูปเคารพสารพัดอย่างที่มีในพระวิหารนั้นออกไป ทรงสั่งให้เอาออกไปจากที่สูงซึ่งพระองค์เคยทรงสร้างเอาไว้ ทรงทำลายแท่นบูชาสำหรับพระอื่นในพระวิหารและในนครเยรูซาเล็ม เอาออกไปทิ้งนอกนครเยรูซาเล็มทั้งหมด
“พระราชามีคำบัญชาให้รื้อฟื้นแท่นบูชาของพระเจ้า และทรงถวายเครื่องศานติบูชา และเครื่องบูชาโมทนาพระคุณพระเจ้า”
ผู้คนต่างพูดกันทั่วนครเยรูซาเล็ม “และทรงสั่งให้พวกเรานมัสการปรนนิบัติพระเจ้าแห่งอิสราเอล”

ขอบคุณพระเจ้าที่ราชามนัสเสห์ได้ทรงสำนึกผิดและกลับพระทัย ไม่ทำตามทางเดิมที่เคยทำต่อไป
การที่ราชามนัสเสห์ได้ขออภัยโทษบาปต่อพระเจ้า ทั้ง ๆ ที่ความผิดต่อพระเจ้านั้นมากมาย เป็นเครื่องเตือนใจเราจริง ๆ ว่า เรามั่นใจในพระสัญญาของพระเจ้าได้เสมอ…. พระเจ้าทรงไม่เคยดูหมิ่นใจที่ชอกช้ำ…

พระเจ้าทรงชำระราชามนัสเสห์ … พระองค์ทรงให้ราชามนัสเสห์มีโอกาสที่จะกลับมาแก้ตัวใหม่ในสิ่งที่พลาดไปแล้ว
ขอบคุณพระเจ้า
ที่พระเจ้าไม่ทรงเหวี่ยงราชามนัสเสห์ออกไปในขณะที่ทรงทูลขอความกรุณาจากพระเจ้า แต่กลับทรงรับคำอธิษฐานจากใจที่แตกร้าว จากร่างกายที่ทุกข์ทรมานสาหัส…..
ราชามนัสเสห์ทรงครองยูดาห์รวม 55 ปีจึงสิ้นพระชนม์….

คำอธิษฐานของราชาร้าย ๓๓-๓

2 พงศาวดาร 33:10-13

จากการที่ราชามนัสเสห์ได้ทำสิ่งที่ดูหมิ่นต่อพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการเอาเทวรูปเข้าไปในพระวิหาร หรือการฆ่าลูกของพระองค์เองเพื่อบูชายัญ เหล่านี้ พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัย และพระองค์ก็ทรงใช้คนของพระองค์ มาเตือนพวกเขา แต่… ถึงเตือนเท่าไร พวกเขาก็ไม่ฟัง

สิ่งที่พระเจ้าทรงทำคือ พระองค์ทรงให้กองทัพอัสซีเรียเข้ามาบุกนครเยรูซาเล็ม !

และราชามนัสเสห์ก็ถูกจับตัวมัดด้วยโซ่ทองเหลืองและลากไปด้วยขอเหล็ก พวกเขาลากพระองค์ไปอย่างนั้นจนถึงบาบิโลน
ระยะทางระหว่างเยรูซาเล็มไปจนถึงบาบิโลนนั้น ใช้เวลานานมาก

มันเป็นเวลานานพอที่จะทรมานราชามนัสเสห์อย่างช้า ๆ และเจ็บปวด ทั้งจิตใจและร่างกาย พระองค์ถูกคนทั้งหลาย ถูกทหารชั้นผู้น้อยมองตามอย่างเหยียดหยาม


“พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ทำผิดต่อพระองค์ ผิดต่อพระองค์อย่างยิ่ง ข้าพระองค์ทำเหมือนกับว่า พระองค์ไม่มีในโลกนี้ ข้าพระองค์เป็นราชาแห่งยูดาห์ แต่บัดนี้ต้องมาเป็นเชลยที่ต่ำต้อย”
“ขอพระเจ้าทรงโปรดอภัยบาปทั้งสิ้นของข้าพระองค์
ข้าพระองค์ไม่สมควรที่จะได้รับพระเมตตาของพระองค์เลย…”

ราชามนัสเสห์ที่เคยเย่อหยิ่ง จองหองต่อพระเจ้า กลับกลายมาเป็นอีกคน!

บางครั้ง ความทุกข์ยากมันก็ดีสำหรับชีวิต เพราะทำให้ตระหนักว่า ตัวจริงของเรานั้น ไม่สำคัญอะไรเลย เราต้องการพระเจ้าเสมอ พระองค์เท่านั้น ที่จะทรงทำให้เราพ้นความยากลำบากไปได้

พระเจ้าจะทรงฟังคำอธิษฐานของคนที่สำนึกผิด ที่ทำความผิดบาปอย่างร้ายแรงยิ่งไหม?

พระเจ้าจะทรงตอบราชามนัสเสห์ไหม?

ถ้าเราทำบาปร้าย และสำนึกผิด เราใจแตกสลาย… พระเจ้าจะทรงฟังเราหรือเปล่า?

เริ่มต้นก็ร้ายแล้ว ๓๓-๒

2 พงศาวดาร 33:5-9

ยิ่งไปกว่าการสร้างแท่นเผาบูชาตามที่สูงต่าง ๆ ในเมือง ราชามนัสเสห์ยังได้สร้างเทวรูปใส่ไว้ในพระวิหารของพระเจ้าด้วย! มีแท่นบูชาสำหรับเทววัตถุแห่งท้องฟ้า  ในลานพระวิหาร

ที่ร้ายสุดนั่นก็คือ

เอาโอรสของพระองค์เองมาเป็นเครื่องเผาบูชา!

มันเกินความคิดของผู้คน  เราไม่เข้าใจถึงความคิดของราชามนัสเสห์  พระองค์ทรงประสงค์อะไรจึงต้องทำเช่นนั้น ?  พระองค์เชื่อว่าจะทำให้เจ้าพ่อ เจ้าแม่เหล่านั้นพอใจ หรือว่ากลัวเจ้าเหล่านั้นโกรธเอา  ….

ภาพจาก newworldencyclopedia.org

พอจะคิดออกไหม??… เพราะราชามนัสเสห์ยังใช้พวกโหรเพื่อบอกอนาคต  และไสยศาสตร์เวทมนต์ต่าง ๆ มากมาย แถมยังเลี้ยงเหล่าคนทรงแบบต่าง ๆ ไว้ด้วย  คนเหล่านี้ คงพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมให้มนัสเสห์ทำสิ่งที่ร้ายแรงถึงกับเอาโอรสที่จะเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป หรือที่จะเป็นเจ้าครองนครเมื่อโตขึ้นฆ่าบูชาเสีย

การเข้าไปเกี่ยวข้องกับหมอดู ไสยศาสตร์ มนต์ดำต่าง ๆ  จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่ง  มันทำเหมือนกับว่าจะช่วยให้ดีขึ้น แต่ความจริงแล้วมันทำให้เราเป็นทาสของมัน  ต้องรู้อนาคต  ต้องไปดูดวง ต้องไปทำของ…..

ราชามนัสเสห์ทำเช่นนี้ทำให้พระเจ้าพิโรธยิ่งนัก   พระวิหาร เป็นที่ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสกับราชาดาวิดและราชาซาโลมอน  เป็นที่ประจักษ์ของทั้งข้าราชการ ประชาชนว่า “เราจะใส่นามของเราในวิหารแห่งนี้ และในนครเยรูซาเล็มซึ่งเราได้เลือกออกมาจาก 12 เผ่าแห่งอิสราเอลตลอดไปเป็นนิตย์   และเราจะไม่ให้เท้าของคนอิสราเอลออกจากแผ่นดินที่เราได้ให้กับบรรพบุรุษของเจ้า ขอเพียงให้เจ้าระมัดระวังที่จะทำตามสิ่งที่เราสั่งเจ้าไว้  ทั้งตามกฏหมาย บัญญัติ   และกฎที่เราได้ให้เจ้าทางโมเสส “

แต่แล้ว มาถึงวันนี้  ราชามนัสเสห์กลับนำให้ชนเผ่ายูดาห์และชาวเมืองเยรูซาเล็มต้องหลงไปจากทางของพระเจ้า   ลงมือทำสิ่งที่ชั่วร้ายไปกว่าเหล่าชนชาติที่พระเจ้าได้ทรงทำลายต่อหน้าคนอิสราเอลเสียอีก

 

มนัสเสห์… ราชาองค์ใหม่ ๓๓-๑

2 พงศาวดาร 36:1-4

เมื่อราชบิดาคือเฮเซคียาห์สิ้นพระชนม์นั้น  เจ้าชายมนัสเสห์ทรงอายุเพียง 12 ปี เจ้าชายองค์นี้ทรงเติบโตมาท่ามกลางผู้ใหญ่ที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการบ้านการเมือง
ลองคิดดูว่า หากเราต้องมีหน้าที่ทำงานขณะที่ยังเล็กอยู่นั้น  เป็นสภาพกดดันเพียงใด  เจ้าชายน้อยต้องเรียนรู้กิจการบ้านเมือง  เล่นไม่ได้เหมือนเด็กอื่น ๆ

เมื่อทรงเติบโตเป็นชายหนุ่ม ราชามนัสเสห์กลายเป็นราชาแสนร้ายแห่งราชวงศ์ยูดาห์!   คนร้ายที่สุดกลายเป็นราชาแห่งยูดาห์แล้วใครจะทำอะไรได้?   ราชามนัสเสห์ทรงทำทุกอย่างตามแบบของชนชาติรอบข้าง  ไม่นมัสการพระเจ้าต่อไป แต่หันไปสร้างที่สูงเพื่อสร้างแท่นบูชาเทวรูปต่าง ๆ เหมือนกับชนชาติที่พระเจ้าทรงไล่ออกไปจากแผ่นดิน

ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้?  บางรัชสมัยก็มีพระราชาที่ช่วยให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ด้วยการติดตามพระเจ้า และตั้งใจทำงานเหมือนกับสมัยของราชาอาสา  เฮเซคียาห์ แต่แล้ว บางสมัยประชาชนก็ต้องเจอผู้นำที่พาเขาออกห่างจากพระเจ้าอีก วนเวียนกันอยู่อย่างนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

อะไรที่พระราชบิดาทรงทำลายไป  โอรสก็สร้างขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแท่นบูชาจ้าวบาอัล  เจ้าแม่อัชเชราห์ และดวงดาวต่าง ๆ บนท้องฟ้า

ภาพจาก no.wikipedia.org

ที่ร้ายไปกว่านั้น  ราชามนัสเสห์ได้สร้างแท่นบูชาในพระวิหารของพระเจ้า!  ช่างท้าทายพระเจ้าเหลือเกิน  พระเจ้าเคยตรัสว่า “พระนามของเราจะอยู่ในวิหารนั้นตลอดไป”  แต่มนัสเสห์กำลังพยายามให้พระนามของพระเจ้าออกไปจากพระวิหาร  กลายเป็นชื่อพระอื่นแทน

ราชามนัสเสห์ทำทุกอย่างเหล่านี้ทำไม?

ราชบิดาไม่เคยสอนพระองค์เลยหรือว่า อะไรควร และอะไรไม่ควร?  ช่วงที่ราชามนัสเสห์เกิดมานั้น เป็นช่วงเวลาของความรุ่งเรืองในอิสราเอล  เป็น 15 ปีสุดท้ายของราชาเฮเซคียาห์

เกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลานั้นที่ทำให้ราชามนัสเสห์ไม่ได้รู้จักพระเจ้าเลย?

 

กับดักจากความมั่งคั่ง ๓๒-๕

2 พงศาวดาร 32:27-33

ในเวลาต่อมา ราชาเฮเซคียาห์ทรงยิ่งเจริญและรุ่งเรืองทั้งราชทรัพย์ พระเกียรติ และพระองค์ได้สร้างพระคลังส่วนพระองค์

คลังส่วนพระองค์!

ไม่ใช่เล็กน้อย  เรื่องนี้เท่ากับราชาเฮเซคียาห์จะต้องลงทุน ลงแรง และเวลาสำหรับทรัพย์สมบัติที่ไม่ยั่งยืนเหล่านี้ … พระองค์ทรงเสียเวลาไปขนาดไหน ไม่มีบันทึกไว้ แต่พระคลังก็ไม่เหมือนพระวิหาร ที่ประโยชน์การใช้สอยนั้นแตกต่างกันสุดขั้ว  พระวิหารได้สร้างไว้เพื่อประชาชนจะได้มาสำนึกบาปและไถ่บาปของตน

ส่วนพระคลังล่ะ? เอาไว้สะสมทรัพย์สิน เงิน ทอง อัญมณี  โล่ อาวุธ รวมไปถึงยุ้งฉางส่วนพระองค์ประกอบด้วยเครื่องเทศ อาหารต่าง ๆ  เหล้าองุ่น น้ำมัน   แถมยังมีคอกสัตว์ส่วนพระองค์ที่มีทั้งวัวควาย และฝูงแพะ แกะ  พระองค์ยังทรงทำพระคลัง ยุ้งฉางปศุสัตว์เหล่านี้ในเมืองอื่น ๆ  เก็บอาหารไว้มากมาย เพราะว่า พระเจ้าได้ประทานอวยพระพรแด่พระองค์มากยิ่ง

ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำราชกิจอะไรก็เจริญไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการก่อสร้าง การปกครอง….

แต่แล้ว วันหนึ่ง กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ส่งทูตมาเยี่ยมชมนครดาวิด และพระเจ้าได้ทรงปล่อยราชาเฮเซคียาห์ให้ทำอะไรตามพระทัยของพระองค์เอง

พระเจ้าทรงต้องการที่จะทดสอบพระทัยของพระราชา  พระองค์ทรงคิดอะไรกันแน่ และจะตัดสินพระทัยอย่างไร !!

ถ้าเพื่อน ๆ อยากทราบว่า ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำอย่างไร ให้คลิกที่นี่

พระเจ้าทรงปล่อยเรา และทดสอบเราอย่างนี้บ้างหรือเปล่า? คงมีหลายครั้งแล้วล่ะ  แต่เราอาจไม่รู้ตัว  กว่าจะรู้ตัวก็ผิดต่อพระเจ้าไปแล้ว….

ไม่นานก็สิ้นรัชกาลเฮเซคียาห์  ราชกิจต่าง ๆ ของพระองค์นั้น ท่านอิสยาห์ก็ได้บันทึกไว้ไม่น้อย  พระศพของพระองค์ถูกเก็บไว้ในถ้ำเก็บพระศพของราชาแห่งยูดาห์  …. และราชโอรสคือ มนัสเสห์ก็ขึ้นครองต่อมา

 

เปลี่ยนใจไปมา ๓๒-๔

2 พงศาวดาร 32: 24-26

หลังจากที่ราชาเฮเซคียาห์ทรงได้มีความสุขกับการที่ได้รับชัยชนะกษัตริย์เซนนาเคอริบ  และการที่มีประชาชาติหลายชาติได้หันมาเกรงกลัวพระองค์

พระองค์ก็ทรงอยู่อย่างสบาย ลืมความทุกข์ยาก และลืมสิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้พระองค์

แล้วต่อมา พระราชาก็ทรงป่วย… ป่วยหนักมากจนแทบจะสิ้นพระชมม์

ไม่มีหมอคนใดรักษาได้  ทุกคนส่ายหัวเมื่อเห็นพระอาการของพระราชา

ขณะที่พระราชาอธิษฐานต่อพระเจ้า …. ก็มีคนหนึ่งมาเยี่ยม นั่นคือท่านอิสยาห์  และได้ทูลพระราชาว่า พระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างแน่นอน

ราชาเฮเซคียาห์ทรงเป็นทุกข์ยิ่งนัก

ทรงหันหาพระเจ้า  กราบลงทูลขอความเมตตาจากพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ  พระองค์ทรงร้องไห้ไม่หยุด คร่ำครวญต่อพระเจ้าไม่ยั้ง

ในที่สุด

พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของพระองค์  และตอบคำอธิษฐาน โดยทรงสัญญาจะให้ชีวิตอีก 15 ปีในการปกครอง

พระราชาทรงดีใจมาก  และพระองค์ทรงกลับใจ ดำเนินชีวิตใหม่ที่ถูกต้อง  จัดการบ้านเมืองอย่างเรียบร้อยตามที่พระเจ้าทรงเตือนไว้ และในที่สุด พระองค์ก็ทรงอยู่ต่อมาอีกหลายปีตามที่พระเจ้าตรัส

แต่… คนเรานี่ก็แปลก  ได้สิ่งดีจากพระเจ้า แล้ว ไป ๆ มา ๆ ก็อาจหลงลืม และระเริงไปตามความคิดเห็นของตัวเอง

ราชาเฮเซคียาห์ก็เช่นเดียวกัน

พระองค์ทรงกลับมาเย่อหยิ่งอีก

ไม่น่าแปลกใจที่ทุกวันนี้  เราเห็นผู้ปกครองดี ๆ หรือนายทหารชั้นดีที่สัตย์ซื่อ ต่อมา อาจกลายเป็นอีกคนที่น่ากลัวไปได้

เราต้องมาดูว่า พระองค์ทรงทำอะไรหรือ ที่ทำให้พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยอีกครั้ง

 

พระเจ้าทรงตอบ ๓๒-๓

2 พงศาวดาร 32:16-23

ไม่ใช่แค่ขู่พระราชา และขู่ประชาชนเท่านั้น  แต่ผู้นำสาส์นของเซนนาเคอริบยังได้กล่าวคำที่หมิ่นประมาทพระเจ้า และดูหมิ่นราชาเฮเซคียาห์อย่างโอหังเหลือที่จะกล่าว

“พระเจ้าของท่านก็เหมือนพระของประชาชาติต่าง ๆ นั่นแหละ ไม่สามารถจะช่วยผู้คนจากเงื้อมมือของเซนนาเคอริบได้   …. พวกท่านไม่เห็นหรือ พวกเขากลายเป็นเชลยของเราไปหมดแล้ว
พวกท่านไม่เห็นหรือว่า พวกเขาลำบากยากเข็ญเพียงไร  บังอาจมาสู้กับกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่จากอัสซีเรียเช่นนี้  ….

พระเจ้าของราชาเฮเซคียาห์   ยังไง ๆ ก็ไม่สามารถช่วยประชากรอิสราเอลให้พ้นมือเราไปได้”

“ฮะฮ้า  ครั้งนี้พวกเจ้าแพ้แน่นอน  ไอ้พวกขี้แพ้!”   เขาตะโกนเสียงก้องลานเมือง

… ยิ่งข้าส่งเสียงดังเท่าไร  ก็จะทำให้ชาวเมืองกลัวมากเท่านั้น โธ่เอ๋ย  ข้าเห็นสีหน้าของพวกเจ้าแล้วก็ขำ   แค่นี้ก็กลัวไปได้  ยังไม่ได้ส่งกองทัพมาเสียด้วยซ้ำ….  ผู้ส่งสาส์นคิดในใจ

แล้วเขาก็ร้องตะโกนด่าว่าพระเจ้าแห่งอิสราเอลราวกับว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยมือ… โดยไม่มีความกลัวเกรงพระองค์สักนิดเดียว

แต่ราชาเฮเซคียาห์จะไม่ยอมแพ้เพียงเพราะฟังคำขู่ของพวกเขา  และพระองค์ก็ไม่ทรงประมาทด้วยเช่นกัน   ราชาเฮเซคียาห์พร้อมกับข้าราชการ  ประชาชน  และท่านอามอส  ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอย่างรีบด่วน  อธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระองค์

“พระเจ้าข้า  โปรดทรงเมตตาข้าพระองค์ทั้งหลายด้วย…. เพราะว่า คนของเราตกใจกลัวกันยิ่งนัก  ขอพระเจ้าทรงให้ทุกคนได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์”

พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเฮเซคียาห์

ด้วยการส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาต่อสู้กับกองทัพของอัสซีเรีย  ทำให้กองทัพนั้นต้องยกทัพกลับไปด้วยความอับอายอย่างยิ่ง

สำหรับเซนนาเคอริบเอง ถูกโอรสองค์หนึ่งฆ่าอย่างเลือดเย็นขณะที่พระองค์กำลังถวายเครื่องบูชาให้กับเทวรูปแห่งอัสซีเรีย

 

พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของพระราชา และประชาชนอิสราเอลมากกว่าที่เขาขอ  พระองค์ทรงให้เขารอดพ้นจากศัตรู และยังทำให้คนมากมายได้นำของถวายมาบรรณาการแด่ราชาเฮเซคียาห์ที่นครเยรูซาเล็ม     และทำให้ประชาชาติรอบข้างเกรงกลัว  ยกย่องพระองค์มากยิ่งนัก

 

คำขู่จากเซนนาเคอริบ ๓๒-๒

2 พงศาวดาร 32:9-19

ขณะที่ราชาเฮเซคียาห์ทรงให้กำลังใจประชาชนของพระองค์  กษัตริย์เซนนาเคอริบแห่งอัสซีเรียกลับทำสิ่งที่ตรงกันข้าม
ขณะนั้นเอง เซนนาเคอริบใช้กองทหารทั้งหมดที่เดินทางมาจากอัสซีเรียทางเหนือนั้น  ตรึงกำลังล้อมเมืองลาคีชอยู่  โดยดูจากเหตุการณ์แล้ว  ก็มองเห็นว่า น่าจะตีเมืองโดยไม่ยากนัก

แต่ว่า…  พระองค์ทรงคิดว่า ก็น่าจะทำสงครามจิตวิทยากับราชาเฮเซคียาห์ไปพร้อม ๆ กัน  จะได้ไม่ต้องเสียกำลังพลมาก   ถ้าตีเมืองลาคีชได้ ก็จะได้เมืองอื่น ๆ จนไปถึงนครเยรูซาเล็ม  เอาให้แพ้แบบเกมโดมิโนไปเลย

พระองค์ทรงส่งสาส์นมายังราชาเฮเซคียาห์ รวมไปถึงคนที่อาศัยในนครเยรูซาเล็มว่า
“ชาวนครเยรูซาเล็มเอ๋ย…. เจ้าทั้งหลายกำลังหวังพึ่งอะไรอยู่  จึงยังตายใจอยู่ในนครเยรูซาเล็มท่ามกลางวงล้อมของพวกเรา  ราชาเฮเซคียาห์กำลังหลอกล่อพวกเจ้าให้อดอาหารอดน้ำจนตาย    พูดกับพวกเจ้าว่า …องค์พระเจ้าของเราจะช่วยเราให้พ้นมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย  ชะ ชะ ก็ราชาองค์นี้เป็นผู้ทำลายสถานบูชาในที่สูงทั่วไปในเยรูซาเล็ม  แถมยังบัญชาให้ประชาชนมานมัสการพระเจ้าที่พระวิหารในนครเยรูซาเล็มเพียงแห่งเดียวเท่านั้น”

กษัตริย์เซนนาเคอริบกำลังดูหมิ่นองค์พระเจ้าของอิสราเอลเห็น ๆ  พยายามให้คนเห็นว่า    ราชาเฮเซคียาห์ต่างหากที่ต้องปกป้องพระเจ้า….

“พวกเจ้าทั้งหลายไม่เห็นหรือว่า  เสด็จพ่อของเรา และตัวเราได้จัดการกับชนชาติต่าง ๆ อย่างไรบ้าง ?  แล้วดูซิว่า พระแห่งชนชาติเหล่านั้นสามารถช่วยพวกเขาให้พ้นมือของเราได้หรือไม่ โธ่เอ๋ย ล้วนแล้วแต่ขี้แพ้ทั้งสิ้น “

 

เมื่อประชาชนทั้งหลายฟังคำจากสาส์นของเซนนาเคอริบ  พวกเขาก็นิ่ง  บางคนกลัว  แต่หลายคนก็ไม่กลัว เขารู้ว่า พระเจ้าของเขาเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ ไม่เหมือนพระอื่น ๆ

“ขอให้ทุกคนจำใส่ใจไว้ว่า  มีพระองค์ไหนในชาติต่าง ๆ ที่ราชบิดาของข้าไปทำลาย สามารถช่วยผู้คนจากมือของข้าได้    แล้วพระเจ้าของเฮเซคียาห์จะช่วยได้หรือ  ไม่มีทาง  ไม่มีพระองค์ไหนจะมาต่อสู้เซนนาเคอริบแห่งอัสซีเรียได้…”

“ดังนั้นอย่า จงอย่าให้ราชาเฮเซคียาห์หลอกพวกเจ้า   และอย่าเชื่อฟังราชาของเจ้า  เพราะไม่มีพระของประเทศใดช่วยคนในชาตินั้นจากมือของข้า หรือราชบิดาของข้าได้    พระเจ้าของเจ้าก็ไม่มีวันที่จะช่วยเจ้าให้พ้นมือข้าเช่นกัน”

และที่พูดนี้ พวกเขาอ่านเป็นภาษาฮีบรูเพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าใจทุกคำที่กษัตริย์เซนนาเคริบต้องการแจ้ง

ราชาเฮเซคียาห์กับประชาชนฟังสาส์นขู่ไปพร้อม ๆ กัน

ทีนี้ พระราชาจะทำอย่างไรล่ะ ? อย่างน้อยประชาชนส่วนหนึ่งก็เริ่มกลัวแล้ว  พวกเขาบางคนยังไม่มีความมั่นคงในพระเจ้า….

 

 

ผู้ที่อยู่ฝ่ายเรา ๓๒-๑

2 พงศาวดาร 32:1-8

ต่อมาไม่นานนัก    กษัตริย์แห่งอัสซีเรียผู้เรืองพระนาม คือเซนนาเคอริบยกกองทัพใหญ่มาบุกยูดาห์  หวังจะยึดเอาเป็นเมืองขึ้น  เมื่อยกทัพมาแล้ว ก็สั่งให้ตั้งค่ายทหารล้อมหัวเมืองที่มีป้อมหลาย ๆ เมือง โดยกษัตริย์เซนนาเคอริบนี้ทรงมีพระทัยแน่วแน่จะยึดนครเยรูซาเล็มและเมืองอื่น ๆ ให้ได้

“ราชาแห่งอัสซีเรียเข้ามาบุกเราแบบโถมเข้ามาล้อมหลาย ๆ เมืองพร้อมกัน”  ราชาเฮเซคียาห์ตรัสกับเหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่

“พะยะค่ะ  และทรงตั้งพระทัยว่าจะยึดเอานครของเราด้วย  ข้าพระบาทได้ส่งคนไปสืบมาแล้ว”

“เอาอย่างนี้  พวกเขายังไม่ได้ล้อมเมืองเรา  เราต้องจัดการปิดตาน้ำนอกเมืองทุกแห่ง  มิฉะนั้น  เมื่อพวกเขามาล้อมเรา  ก็จะมีน้ำอุดมสมบูรณ์”

“เรายอมไม่ได้พะยะค่ะ  ถ้าพวกเขามีน้ำอย่างมากมายเช่นเรามี เขาก็จะเข้มแข็งและอาจตีพวกเรายับได้”

ทั้งพระราชาและข้าราชการได้วางแผนปิดตาน้ำรอบเมืองที่มีอยู่ บ่อน้ำเหล่านี้ มีไว้ให้ประชาชนได้ใช้ในการทำกสิกรรมนอกเมืองอยู่แล้ว

ดังนั้นทั้งทหาร  ข้าราชการ และประชาชนทั่วไปจึงเข้ามาช่วยกันถมลำธาร ปิดตาน้ำทั้งหมด ไม่ให้เป็นประโยชน์แก่กษัตริย์อัสซีเรีย  ทรงทำให้มีอุโมงค์น้ำเข้ามาในเมือง

อย่างไรประชาชนในเมืองยังจะมีน้ำใช้ตลอดเพราะมีอุโมงค์นำน้าเข้ามา

ภาพจาก  http://biblicalstudies.info/hezekiah/hezekiah.htm

พระราชาทรงรีบที่จะรวบรวมคนมาซ่อมกำแพงที่เคยปรักหักพัง และยังสร้างหอคอยขึ้นมา   สร้างกำแพงขึ้นมาอีกชั้น และทำให้ป้อมมิลโลของนครดาวิดแข็งแรงขึ้นอีก

เท่านั้นยังไม่พอ  ยังทรงสั่งสร้างอาวุธอีกหลายอย่าง รวมทั้งโล่มากมาย

“พวกเราต้องรีบทำอาวุธให้ทันก่อนที่ศัตรูจะมาบุกรุกเรา” นายทหารชั้นผู้ใหญ่คุยกับหัวหน้าช่างที่ทำอาวุธ

“ขอรับ  ข้าและเหล่าช่างเหล็กไม่ได้นิ่งนอนใจ  พวกเรารู้ว่า เรื่องนี้สำคัญมาก  ขอท่านวางใจพวกเราเถอะ”

พระราชายังทรงห่วงอีกเรื่อง

“ขอให้ท่านรวบรวมชาวเมืองมาที่ลานเมืองด่วน”   ราชาเฮเซคียาห์ตรัสสั่งคนที่พระองค์ทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการ

และเมื่อประชาชนมาพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วพระองค์ก็ทรงกล่าวคำที่ให้กำลังใจกับประชาชน …..

“ขอให้ท่านทุกคนเข้มแข็ง และกล้าหาญ  อย่ากลัว อย่าไปเกรงกษัตริย์แห่งอัสซีเรียหรือกองทัพใหญ่โตที่มาด้วยนั้น  เพราะว่า ผู้ที่อยู่ฝ่ายเรานั้น มีกำลังมากกว่าพวกเขายิ่งนัก

พวกเขาเป็นกำลังของร่างกาย เนื้อหนังที่เรามองเห็น  แต่กำลังของเรานั้นคือ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา  พระองค์จะทรงช่วยเรา และจะทรงต่อสู้ศัตรูนี้ให้เรา”

“แด่พระเจ้าจอมโยธา…..พวกเราน้อมนมัสการพระองค์!!”

เสียงประชาชนตอบพระราชาดังสนั่นเมือง

ประชาชนรู้แล้วว่า ผู้ที่ฝ่ายเขาคือองค์พระเจ้า  แล้วเขาจะกลัวศัตรูไปทำไม….

 

นมัสการอย่างจริงใจ ๓๑-๓

2 พงศาวดาร 31:11-21

มีการบันทึกไว้ว่า  ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำสิ่งที่ดี  ถูกต้อง และสัตย์ซื่อต่อพระพักตร์ของพระเจ้า  นั่นหมายความว่า พระองค์ทรงทำทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาอย่างซื่อตรง   และยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าจะทรงทำงานในเรื่องเกี่ยวกับการนมัสการพระเจ้า   ในการรักษากฎบัญญัติของพระเจ้า ในการแสวงหาพระเจ้า   ราชาเฮเซคียาห์ทรงทำด้วยสุดพระทัย  ดังนั้น พระองค์จึงทรงยิ่งจำเริญขึ้นทั้งส่วนพระองค์  และในการปกครองประเทศ!

พระองค์ทรงสั่งให้คนของพระองค์นำสิ่งที่คนทั้งหลายนำมาถวายนั้น ส่วนหนึ่งเก็บไว้ในคลังพระวิหาร    ราชาเฮเซคียาห์ทรงมาควบคุมดูแลใกล้ชิด  โดยมีอาซาริยาห์ท่านปุโรหิตเป็นผู้ช่วย    โดยของถวายเหล่านี้ จะต้องมีการทั้งเก็บ และแจกไปให้กับปุโรหิตและเลวีตามสมควร  ไม่ใช่เฉพาะในนครเยรูซาเล็มเท่านั้น  แต่รวมไปถึงปุโรหิต และเลวีตามหัวเมืองต่าง ๆ  ด้วย

มีการขึ้นทะเบียนปุโรหิตและเลวีอย่างเป็นระบบระเบียบ  ทุกอย่างมีขั้นตอนและมีการบันทึกไว้เป็นอย่างดี  ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่า ครอบครัวใดบ้างที่เข้ามาทำงานในพระวิหาร มีคนกี่คนในครอบครัว  คนเหล่านี้ ต้องรักษาตัวให้บริสุทธิ์เสมอ

จะเห็นว่า ในการนมัสการพระเจ้าสมัยก่อน ไม่เหมือนสมัยนี้เลย     ในสมัยต่อมานั้น  พระเจ้าทรงให้เรานมัสการพระองค์ที่ไหนก็ได้  ไม่จำเป็นต้องไปที่นครเยรูซาเล็ม  ที่พระวิหาร…. แต่พระเจ้าทรงค้นหาคนที่จะนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณ  และด้วยความจริง

นั่นหมายถึงว่า เรานมัสการ ยกย่อง บูชาพระเจ้าจากหัวใจของเรา  จากชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้า  สิ่งที่ยังเหมือนกันในสมัยนี้กับสมัยก่อนคือ  พระเจ้าทรงขอให้ผู้ที่เข้ามานมัสการพระองค์นั้น   มีชีวิตที่บริสุทธิ์  ..เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์

 

 

ผลของการถวาย ๓๑-๒

2 พงศาวดาร 31:5-10

การจัดระเบียบเพื่อให้พระวิหารได้ทำหน้าที่ช่วยประชาชนในการนมัสการ สารภาพบาปในสมัยราชาเฮเซคียาห์นั้น  นอกจากพระราชาจะทรงลงมือทำด้วยพระองค์เอง ทรงถวายให้กับงานในพระวิหารอย่างมากมาย

และพระองค์ก็ทรงบัญชาให้ชาวนครเยรูซาเล็ม ถวายสิ่งที่สมควรเพื่อว่าเหล่าปุโรหิต และเลวี จะได้ไม่ต้องออกไปทำงานหาเลี้ยงชีพ  แต่ให้ตั้งใจทำงานในพระวิหารเต็มกำลัง  สุดใจตามพระบัญญัติของพระเจ้า

“พระราชาทรงชวนให้เราถวาย”

“นั่นซิ   และพระองค์ก็ทรงถวายเองมากด้วย”

“พวกเราน่าจะร่วมใจกันถวายนะ    จะได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน”

ผู้คนต่างพากันเอาของมาถวายในพระวิหาร เพื่อการนมัสการพระเจ้าจะได้สืบต่อเนื่องกันไป  พวกเขาเอาพวกข้าวต่าง ๆ  ผลไม้ น้ำมัน  น้ำผึ้ง ผักต่าง ๆ  และพวกเขาได้นำหนึ่งในสิบของผลผลิต ของรายได้เข้ามาถวายในพระวิหารนั้น

ไม่ใช่แต่เท่านั้น ยังมีสัตว์ต่าง ๆ เช่นวัว แกะ นก ที่ใช้เป็นเครื่องถวายบูชาด้วย

ดูซิ  สมัยก่อนนี้ การจะเข้าเฝ้าพระเจ้า  การจะนมัสการมันช่างเป็นเรื่องใหญ่โตเสียจริง ๆ   แต่พวกเขาไม่ได้คิดเช่นนั้น เขารู้ว่า กำลังทำเพื่อถวายพระเจ้า  เขานำมาถวายจนเป็นกองใหญ่โต

จากเดือนที่สามไปถึงเดือนเจ็ด  ของถวายนั้นเต็มไปหมดเป็นกอง ๆ  เมื่อพระราชาเสด็จมาเห็นเข้า
“ขอบคุณพระเจ้าจริง ๆ  ที่ประชาชนต่างมีน้ำใจเพื่อว่า แผ่นดินของพระเจ้าจะได้ขยายออกไป  ทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน จะได้มานมัสการพระเจ้าด้วยกัน  คนที่ไม่มีก็ได้รับแบ่งปันจากคนที่มีมากสรรเสริญพระเจ้าสูงสุด “

“แล้วพวกท่านจะจัดการอย่างไรกับสิ่งของที่กองมากมายเช่นนี้ “ พระราชาทรงถาม

“พวกเราแบ่งไปตามสัดส่วนของตำแหน่งปุโรหิต เลวีแล้ว ก็ยังเหลืออยู่อีกมากมายพะยะค่ะ ”   อาซาริยาห์ มหาปุโรหิตทูลตอบ

“ท่านลองบอกข้ามาซิว่า ท่านควรจะทำอย่างไรกับของมากมายเช่นนี้”  ราชาเฮเซคียาห์ เป็นพระราชานักจัดการ  ทรงรู้ว่าจะทำอย่างไรอยู่แล้ว….

 

ทำลายต่อ ๓๑-๑

2 พงศาวดาร 31:1-3

เมื่อประชาชน เลวี ปุโรหิต ข้าราชการ และราชารวมทั้งราชวงศ์ของพระองค์ได้ร่วมเทศกาลด้วยกันนั้น  พวกเขาอิ่มใจกันถ้วนหน้า และสิ่งที่พวกเขาทำเป็นอย่างแรกเมื่อจบเทศกาลก็คือ

เขาไปตามที่สูง ในเมืองต่าง ๆ   และทำลายเทวรูป  เสาหลัก และแท่นบูชาอย่างไม่ละเว้น  ก่อนหน้านั้น พวกเขาทำลายเทวรูปที่อยู่ในนครเยรูซาเล็ม


“อย่าให้เหลือ  อย่ายอมที่จะปล่อยเทวรูปเหล่านี้ไว้ เพราะมันเป็นสิ่งที่กั้นพระพรของพระเจ้าไปจากเรา”

พวกเขาเดินทางไปทั่วแผ่นดินยูดาห์  เบนยามิน เอฟราอิม และมานัสเสห์  เป็นพื้นที่กว้างขวางมาก  และเมื่อพวกเขาทำลายจนหมดสิ้นในเมืองเหล่านั้น

“ลาแล้วท่าน  ข้าจะกลับบ้าน ขอพระเจ้าทรงอวยพรท่าน”

“เช่นกัน ขอสันติสุขของพระเจ้าอยู่กับท่าน”

พวกเขาร่ำลากันอย่างชื่นบาน  และมองเห็นอนาคตอันสดใสของบ้านเมือง เพราะว่าพวกเขาได้ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรพระเจ้าแล้ว ….

ส่วนในนครเยรูซาเล็ม

ราชาเฮเซคียาห์ได้แต่งตั้งปุโรหิต และเลวีเพื่อทำงานในหน้าที่ต่าง ๆ  อย่างครบถ้วน
“ขอให้ทุกท่านทำหน้าที่อย่างตั้งใจ เพื่อว่า พระพรของพระเจ้าจะอยู่กับเราเสมอไป”

“พะยะค่ะ”  เสียงตอบขานรับจากกลุ่มปุโรหิตและเลวี
“เราจะเป็นผู้ส่งเครื่องเผาบูชา ศานติบูชา เพื่อที่จะได้รับใช้ปรนนิบัติ โมทนาขอบคุณพระเจ้า  และสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน

ราชาเฮเซคียาห์จึงทรงส่งเครื่องเผาบูชาส่วนพระองค์มาทั้งเช้าเย็น และสำหรับวันสะบาโต วันขึ้นค่ำ  และสำหรับการเลี้ยงที่กำหนดไว้ตามพระบัญญัติของพระเจ้า

แต่ถ้าเพียงพระราชาทำเท่านั้น เหล่าปุโรหิตและเลวีก็จะลำบาก เพราะพวกเขาต้องกินจากส่วนของเครื่องเผาบูชาเหล่านี้  จะทำอย่างไรกันล่ะ  ?

 

นครร่าเริง ๓๐-๖


2 พงศาวดาร 30:22-25

สิ่งดีที่เกิดขึ้นในการนมัสการนั้น นอกจากผู้คนจะได้สัมผัสองค์พระเจ้าแล้ว พวกเขายังเริ่มเข้าใจอะไร ๆ ที่ผ่านมา พวกเขาสำนึกในความบาปที่ได้ทำ …..
ราชาเฮเซคียาห์ทรงให้กำลังใจกับเหล่าคนเลวี เขาเหล่านี้ มีความเข้าใจในราชกิจของพระเจ้าเกี่ยวกับการนมัสการอย่างลึกซึ้ง
“ขอให้พวกท่านทำหน้าที่อันดีนี้ต่อไป ประเทศของเราจะเปลี่ยนแปลง รุ่งเรืองหากว่าท่านทั้งหลายยังสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า เช่นนี้”
เวลานั้น ผู้คนจึงได้กินอาหารในเทศกาลด้วยกัน 7 วัน ไม่ได้กินอย่างเดียว แต่ได้คุยกัน ได้สนทนาถึงสิ่งที่ผ่านมา และสิ่งที่จะมาในอนาคต
สิ่งที่สำคัญยิ่งคือ
พวกเขาสำนึกผิดต่อพระเจ้า ได้สารภาพบาปด้วยน้ำตาไหล หลายคนใช้เวลานานมากในการสารภาพบาป ยิ่งพวกเขาอยู่ใกล้พระเจ้ามากเท่าไร พวกเขาก็เห็นบาปของตัวเองมากมายเท่านั้น



“ขอบคุณพระเจ้าสูงสุด ที่พระองค์ไม่ทรงลงโทษเราทั้งหลายสมกับที่เราได้ทำบาปต่อพระองค์ มิอย่างนั้นแล้ว พวกเราคงไม่ได้มีชีวิตอยู่ในเวลานี้ เพราะบาปของเรานั้น โทษก็คือ เราควรตายไปจากโลก”
“ท่านขอรับ” คนหนึ่งเข้ามาเสนอกับปุโรหิต
“ทำไมเราไม่ทำการเลี้ยงต่ออีกสัก 7 วัน ยังมีหลายคนต้องใช้เวลาในการปรับชีวิตจิตใจของเขา และเขาจะได้สารภาพบาปกัน เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่”
ดังนั้นจึงมีการปรึกษาหารือกันเพื่อต่องานไปอีก 7 วัน ด้วยความยินดีในพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ราชาเฮเซคียาห์ได้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับประชาชนเพื่อมีส่วนในเทศกาลที่ประชาชนจะได้เปลี่ยนชีวิตให้ถูกต้องกับพระเจ้า
วัวผู้หนุ่ม 1,000 ตัว แกะ 7,000 ตัว
เจ้าชายในราชวงศ์ให้วัวผู้หนุ่มอีก 1,000 ตัว แกะอีก 10,000 ตัว และเหล่าปุโรหิตก็ได้ชำระตัวเพื่อเข้าร่วมงานในรอบสองนี้ด้วย
ทุกคนที่อยู่ในเทศกาลต่างพากันยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ทั้งนครเยรูซาเล็มมีแต่ความชื่นชมยินดี
หลายร้อยปีแล้ว …. ไม่เคยมีการฉลองที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาเลย นับแต่สมัยราชาซาโลมอน….
ใจของราษฎรต่างยินดี และเปลี่ยนแปลง
แน่นอน เราเห็นว่า ยิ่งพวกเขากลับมาหาพระเจ้า พวกเขาก็จะยิ่งสัตย์ซื่อต่อพระองค์มากขึ้น

บรรยากาศการนมัสการ ๓๐-๕

2 พงศาวดาร 30:18ก- 21

เกิดปัญหาที่ว่า คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในพิธีปัสกานั้น ไม่ได้เตรียมตัวมาอย่างที่สมควร  พวกเขาเป็นคนทางเหนือที่ไม่รู้ว่า ตัวเองต้องทำอย่างไร  เพราะราชาทางเหนือส่วนใหญ่จะให้คนกราบไหว้เทวรูป ซึ่งไม่ได้ต้องการความบริสุทธิ์ในชีวิตจิตใจ

พวกเขาต้องการแค่ความสนุกสนานในพิธีเหล่านั้น

แต่กับการที่จะนมัสการพระเจ้า  มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทุกคนต้องชำระตัวให้บริสุทธิ์ก่อน

พระราชาเฮเซคียาห์ทรงครุ่นคิดว่า จะทำอย่างไร?

ในที่สุด พระองค์ก็ทรงนึกออก….

พระองค์อธิษฐานขอเพื่อพวกเขา

“ข้าแต่พระเจ้าแห่งชนชาติอิสราเอลทั้งปวง   ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรมาที่พวกเรา    ขอพระองค์ทรงโปรดยกโทษบาปของเราด้วย   ขอพระเจ้าทรงโปรดยกความผิดบาปให้กับทุกคน

พระองค์เจ้าข้า  พวกเขาต้องการแสวงหาพระองค์  อยากจะได้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้า  ผู้ทรงเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา  พวกเขาไม่ได้ทำตามข้อบังคับต่าง ๆ ของพระวิหาร เพราะพวกเขาไม่รู้มาก่อน   ขอพระเจ้าทอดพระเนตรและเมตตาด้วยพระเจ้าข้า”

แล้วพระเจ้าทรงยินคำอธิษฐานของราชาเฮเซคียาห์   และพระองค์ทรงรักษาคนเหล่านั้น ทรงชำระพวกเขาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ดังนั้นพวกเขาจึงได้เข้าร่วมอยู่ในเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ 7 วัน ด้วยความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนปุโรหิต และเลวีก็ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  พร้อมกับเล่นดนตรีด้วยเสียงดังในเวลากลางวัน

“เพลงแบบนี้ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

“ยิ่งใหญ่จริง ๆ  ข้าขอบคุณพระเจ้าที่ข้ามีโอกาสมาที่นี่ ใจของข้าเปลี่ยนไป  ไม่เหมือนเดิมเลย”

“ที่แผ่นดินฝ่ายเหนือไม่เคยมีพระราชาที่รักพระเจ้าเลย   มีแต่พระราชาที่ชอบพิธีกราบไหว้วัวทองคำบ้าง  เทวรูปต่าง ๆ บ้าง และในงานเหล่านั้นก็มีการเลี้ยง การร่ายรำที่ยั่วยวน  มีการหยอกล้อกันระหว่างผู้หญิงผู้ชาย”

ภาพจากpastorerickson.com

แต่การนมัสการที่นี่ไม่เหมือนอย่างนั้น

พระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของการนมัสการ

พวกเขาร้องเพลงถวายพระเจ้า

เล่นดนตรีถวายพระองค์

พวกเขาอธิษฐาน

และถ่อมใจลงต่อพระเจ้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย

 

 

พวกที่ยังไม่ชำระตัว ๓๐-๔

2 พงศาวดาร 30:16-18ก
ในพิธีฉลองเทศกาลนั้น เหล่าปุโรหิตก็ยืนอยู่ตามที่กำหนดไว้สำหรับตน พวกเขาจะรับเลือดมาจากคนเลวี และสาดเลือดนั้นไปที่แท่นบูชา
โอ…. แท่นบูชาเต็มไปด้วยเลือด และกลิ่นคาวเลือดสัตว์
“มันน่ากลัวจริง ๆ ข้าสยองเหลือเกิน”
“ถ้าเป็นเลือดพวกเรากันเองนี่มันสยดสยองกว่านะนาย”

มีการประกาศออกมาในเวลานั้นว่า
“หลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้ ยังไม่ได้ชำระตัวเองให้สะอาด ปราศจากบาป ขอท่านทั้งหลายรออยู่ก่อน เพราะเราต้องสังหารลูกแกะปัสการสำหรับบุคคลเหล่านี้ เพื่อว่าจะชำระให้พวกเขาบริสุทธิ์จำเพาะพระเจ้า”
พวกเขามองหน้ากันกระซิบว่า
“เจ้าดูซิ คนที่ไม่ชำระตัวยังบังอาจเข้ามา เห็นไหมว่า ท่านปุโรหิตไม่ยอม พวกเขาต้องชำระตัวเองก่อน”
“จะเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ทั้งทีนี่มันยากเย็นจริงนะ”
“ก็ใช่… เป็นเพราะพระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยที่มนุษย์หาพระองค์ทั้งที่ยังสกปรกอยู่ เราต้องรับการชำระก่อนจึงจะเข้าเฝ้าพระองค์ได้อย่างถูกต้อง”
ในสมัยโบราณนั้น ก่อนที่พระเยซูจะมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
การเข้าเฝ้าพระเจ้าก็ยากเช่นนี้
มันเป็นภาระหนักที่ต้องเตรียมตัวก่อนล่วงหน้านานพอควร
ต้องเตรียมทั้งใจและกายให้พร้อม
คนจำนวนมากมายจากเอฟราอิม มานัสเสห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุน ก็มาด้วย
และปัญหาคือ พวกเขาไม่ได้ชำระตัวให้สะอาด แต่จะมากินปัสกา ไม่ทำตามอย่างที่ท่านโมเสสได้กำหนดไว้

ทำอย่างไรดี….
คนมากมายเช่นนี้ ไม่ชำระตัว จะไปหาแกะที่ไหนมาเป็นผู้รับบาปแทนพวกเขา??
คนที่เข้ามาก่อนหน้านี้ เราก็หาแกะให้ครบแล้ว
แต่ประชาชนจากทางเหนือนี้เล่า…. พวกเขาลืมคำสอนของโมเสสไปหมดแล้ว
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จะชำระตัวอย่างไร
แล้วจะทำอย่างไรดีนี่……??

ความละอายใจของปุโรหิต ๓๐-๓

2 พงศาวดาร 30:12-15

นอกจากจะมีคนทางเหนือเตรียมตัวเข้ามาร่วมนมัสการพระเจ้าแล้ว  คนชนเผ่ายูดาห์เองก็มีหัวใจที่จะทำตามคำเชิญชวนของพระราชารวมทั้งเจ้าชายตามเมืองต่าง ๆ อย่างเต็มใจ

เป็นความเต็มใจจากส่วนลึกที่พระเจ้าประทานให้พวกเขา

ดังนั้น เดือนที่สอง  ใกล้ถึงเวลากำหนด  จึงมีคนเดินทางเข้ามายังนครเยรูซาเล็มมากมาย เพื่อจะร่วมในเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ

“โอ้ย  ทำไมคนมากมายเช่นนี้?”
“นั่นซิ  พวกเราไม่เคยมีคนเข้ามาในเมืองหลวงจำนวนมหาศาลอย่างนี้มาก่อน  ต้องคอยดูแลความปลอดภัย และความสะอาดให้มาก ๆ นะท่าน”

เมื่อถึงวันนัดหมาย  พวกเขาก็อยู่ร่วมนมัสการพระเจ้า และยังทำสิ่งที่ไม่คาดฝัน
พวกเขาไปเอาแท่นบูชาเทวรูปต่าง ๆ ที่ยังคงค้างอยู่ในนครเยรูซาเล็มออกมา

คนทั้งเมืองมาช่วยกันทำลายเทวรูปต่าง ๆ

“ท่านแน่ใจหรือว่าจะทำลายมัน  ไม่เกรงใจคนอื่นเลยหรือ”

“ยิ่งกว่าแน่ใจ  จะมีเวลาไหนที่เรามีโอกาสทำลายเทวรูปซึ่งพระเจ้าทรงชังได้ดีกว่าเวลานี้อีก   ท่านก็รู้นี่นาว่า เทวรูปเหล่านี้แหละ นำให้คนหลงผิด  และทำให้พระเจ้าเองทรงเมินพระพักตร์จากพวกเรา”

“เราต้องเตรียมนครนี้ให้สะอาด  ไม่มีสิ่งโสโครกอย่างนี้ เพื่อว่า การนมัสการของเรานั้น จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า”

“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะช่วยท่านด้วยแล้วกัน  ส่งเสานั่นมา!”

พวกเขายังขนเครื่องใช้สำหรับเผาเครื่องหอมของสถานบูชาเหล่านี้ออกมาและพากันไปทิ้งที่หุบเขาขิดโรน  ซึ่งเป็นที่ ๆ  รับขยะ ขี้เถ้าของสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังของนครเยรูซาเล็ม

“ข้ารู้สึกโล่งใจ”

“ข้าก็เหมือนกัน  ไปเถอะ  เราไปร่วมพิธีปัสกากัน”

 

 

วันนั้น เป็นวันที่สิบสี่ของเดือนที่สอง   เมื่อพวกเขาเข้าไปในลานพระวิหาร  ก็เห็นเหล่าเจ้าหน้าที่กำลังฆ่าเจ้าแกะน้อยที่น่าสงสารจำนวนไม่น้อย

 

วันนั้นเอง  ทั้งปุโรหิตและเลวีต่างมีเกิดความรู้สึกละอายใจมาก
พวกเขาหัวใจเต้นด้วยความทุกข์   “ทำไมข้าจึงสกปรกในใจ? ไม่มีใครมองเห็นใจของข้าก็จริง  แต่พระเจ้าทรงเห็นทุกอย่าง”

“ดูซิว่า ผู้คนธรรมดากลับมีความกระตือรือร้นในพระเจ้ายิ่งกว่าพวกเรา  นำของโสโครกทั้งหลายในเมืองออกไปทิ้งจนหมด”

 

การที่แกะถูกฆ่าเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปพวกเขา…. ทำให้เขาเข้าใจแล้วว่า บาปในชีวิตของพวกเขานั้น มันมีโทษร้ายแรงเพียงใด